head ads

วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

มรสุมซัดอุตฯเซรามิก4เด้ง!

ที่มา มรสุมซัดอุตฯเซรามิก4เด้ง!
อุตฯเซรามิก เจอ 4 เด้ง ซัดภาคการผลิตเซ โดยทั้งค่าบาทแข็ง ก๊าซหุงต้มขึ้นราคา ค่าจ้าง 300 บาท แถมสินค้าจากต่างประเทศได้อานิสงส์ค่าเงินบาทนำเข้าขายราคาถูกทะลักมากขึ้น กระทบกลุ่มเอสเอ็มอีที่ผลิตตามบ้านเรือนปิดกิจการแล้ว 40-50 ราย ยันอยากเห็นค่าเงินที่ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ช่วงพยุงภาวะขาดทุน จากสต๊อกที่ค้างอยู่ส่งออกไม่ได้

     นายอำนาจ ยะโสธร เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากการที่ประเทศไทยประสบปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทในปัจจุบันตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อกลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสินค้าใน 3 ประเภท ได้แก่ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร ที่มีมูลค่าการส่งออกปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 5.346 พันล้านบาท กลุ่มเครื่องสุขภัณฑ์  4.309 พันล้านบาท กระเบื้องปูพื้นและปูผนัง  3.685 พันล้านบาท ที่ส่วนใหญ่จะส่งออกไปตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป กำลังจะประสบปัญหากับภาวะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และอาจทำให้ยอดการส่งออกลดลง ซึ่งจะมีผลต่อมูลค่าการส่งออกปีนี้ลดลงด้วย

     "นอกจาก ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแล้ว ยังได้รับผลกระทบจากสินค้าเซรามิที่นำเข้ามาจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก จากปกติที่นำเข้ามาขายในราคาที่ต่ำอยู่แล้ว แต่เมื่อมาเจอค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอีก ยิ่งทำให้สินค้าเซรามิกทะลักเข้ามามากขึ้นกว่าเดิมทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าในราคาต่ำได้"

    ขณะเดียวกันยังจะประสบปัญหาต้นทุนพลังงานที่เพิ่มมากขึ้น จากกรณีที่กระทรวงพลังงานจะปรับราคาก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจี ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตในวันที่ 1 มิถุนายนนี้ อีก 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม  จากเดิมราคา 18.13 บาทต่อกิโลกรัม จะส่งผลให้กลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิกขนาดเล็กจริงๆ ต้องแบกรับภาระต้นทุนเพิ่ม โดยยังไม่รวมต้นทุนที่เกิดจากการปรับค่าจ้าง 300 บาทต่อวันเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้น สิ่งที่กลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิก โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีต้องเผชิญอยู่ขณะนี้ถือว่าโหดร้ายอย่างมาก

    นายอำนาจ กล่าวอีกว่า จากปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ปิดกิจการไปแล้วประมาณ 40-50 ราย ที่ส่วนใหญ่มีสายการผลิตอยู่ในบ้าน มีพนักงานระหว่าง 40-50 คน โดยกลุ่มนี้ที่ปิดกิจการลงจะเป็นเรื่องของการแบกภาระต้นทุนและการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่ไหว ส่วนผู้ผลิตขนาดกลางและรายใหญ่ จะกระทบในเรื่องของค่าเงินบาทและการปรับขึ้นของต้นทุนพลังงาน เป็นต้น

    ทั้งนี้ มองว่า ค่าเงินบาทในประเทศไทยสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิกควรอยู่ที่ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ถือว่าเหมาะสมมากที่สุด เพราะปัจจุบันกลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิก ยังมีสินค้าค้างสต๊อกอยู่จำนวนมากและไม่สามารถปรับขึ้นราคาได้ เนื่องจากส่งออกไปก็จะประสบภาวะขาดทุน จึงได้ชะลอการส่งออก เพื่อรอให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพมากกว่านี้

    อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้ประกอบการพยายามดิ้นรนอยู่ขณะนี้คือจะทำอย่างไร ให้สามารถลดต้นทุนการผลิตให้ได้ต่ำที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของลดค่าใช้จ่าย การหาตลาดใหม่ การเพิ่มมูลค่าของสินค้าโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และเน้นคุณภาพในตราสินค้าที่ปัจจุบันเป็นจุดเด่นที่คู่แข่งขันไม่สามารถสู้ได้
    นอกจากนี้ ในส่วนของกลุ่มเอสเอ็มอี ควรจับมือกับกลุ่มผู้ประกอบการด้วยกัน ในเรื่องของการใช้เตาเผาร่วมกัน โดยใช้เตาเผาที่ประหยัดพลังงานใช้งานได้ 24 ชั่วโมง เพราะเตาเผารุ่นเก่าช่วงเปิดและปิดจะทำให้มีการใช้พลังงานที่สูง

    ทั้งนี้ ภาครัฐจะต้องเร่งประชาสัมพันธ์หรือทำความเข้าใจกับผู้บริโภคให้มากขึ้น ในเรื่องของคุณภาพสินค้า เพื่อสกัดการไหลเข้าของสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพตามมาตรฐาน เพราะเมื่อลูกค้าซื้อสินค้านำเข้ามาใช้ เช่น กระเบื้อง เมื่อปูลงพื้นไปแล้วจะพบว่าเกิดการหลุดลอกของกระเบื้องที่ไม่ได้มาตรฐาน และลูกค้าต้องเสียเงินซื้อสินค้าใหม่ ดังนั้น สิ่งที่ผู้บริโภคควรคำนึงคือ เลือกสินค้าที่มีคุณภาพที่ผลิตโดยคนไทย ถึงแม้ว่าจะราคาแพงกว่าก็ตาม แต่ถือว่าคุ้มค่ากว่าเมื่อเทียบกับการต้องเปลี่ยนสินค้าบ่อยๆ

    "สิ่งที่อยากให้ภาครัฐช่วยเหลือ ในเรื่องของการสนับสนุนเงินทุนที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ สนับสนุนในเรื่องของปรัดลดราคาเครื่องจักรหรือลดภาษีในเรื่องต่างๆ ให้เอสเอ็มอี  ถึงแม้ว่าจะมีหลายหน่วยงานนำเสนอข่าวสารและศึกษาแนวทางในการช่วยเหลือเอสเอ็มอีอยู่แล้วก็ตาม แต่ก็อยากให้มีความชัดเจนรวดเร็ว และลงลึกมากกว่านี้"

 จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,841 วันที่  5-8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ท่องเที่ยวใต้ยังคึกคัก‘ททท.’ชูคอนเซ็ปต์ป่าสวย ทะเลใสฯ

วันอังคาร ที่ 07 พฤษภาคม พ.ศ. 2556, 06.00 น.
นายปรเมศวร์ อมาตยกุล ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)เปิดเผยว่า ในขณะนี้การท่องเที่ยวในภาคใต้ถือว่ามีการเติบโตมากกว่าปี 2555 ที่ผ่านมา โดยมีอัตรานักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 28.99% ส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น 87,696.34 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 4.03% และคาดว่าในปี 2556 นี้จะเติบโตขึ้นอีกประมาณ 20% ซึ่งนับว่าการท่องเที่ยวในภาคใต้ยังคงได้รับความนิยมสูงอยู่ ทั้งในส่วนของนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยเอง

ในปี 2556 นี้ทาง ททท.มีแผนประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ในภาคใต้ ซึ่งมีทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล ป่า และศาสนา ตามคอนเซ็ปต์ของการท่องเที่ยวภาคใต้ “ป่าสวย ทะเลใส หลากหลายวัฒนธรรม” เพื่อให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมอย่าง ภูเก็ต มีจำนวนนักท่องเที่ยวที่ค่อนข้างจะแออัดแล้ว ททท.จึงเริ่มทำประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวที่ใหม่ๆ โดยมีกิจกรรมการออกบูธตามภาคต่างๆของประเทศ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวในภาคอื่นๆ ให้เข้ามาท่องเที่ยวในภาคใต้มากขึ้น อีกทั้ง ททท.ยังเตรียมจัดงาน “เที่ยววันธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา” และงาน “มหัศจรรย์ 2 ฝั่งทะเลใต้” เพื่อเป็นการกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับในส่วนของแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ในภาคใต้ ที่มีทั้งความอุดมสมบูรณ์ และไม่แออัด อาทิ เกาะตาชัย เกาะหลีเป๊ะ และหมู่เกาะตะรุเตา เพราะการเดินทางที่สะดวกมากขึ้น มีสายการบินที่บินตรงถึงเกาะ นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อไปยังลังกาวีได้

จึงทำให้แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลเหล่านี้เริ่มได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากขึ้น โดยส่วนใหญ่ยังคงเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และจะพักประมาณ 4-5 วันเฉลี่ยค่าใช้จ่ายในแต่ละวันอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาทต่อคน

ส่วนแหล่งท่องเที่ยวประเภทอื่นๆ ในภาคใต้ที่ทาง ททท.จะเน้นย้ำการประชาสัมพันธ์แก่นักท่องเที่ยวคือ ป่าไทรนับร้อยปีที่ได้ชื่อว่า “Little Amazon” ในจังหวัดพังงา ซึ่งในขณะนี้เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแล้ว แต่ในตลาดนักท่องเที่ยวชาวไทยยังไม่ได้ผลตอบรับมากนัก ดังนั้น ททท.จะมีการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น เพื่อให้มีการเข้ามาท่องเที่ยวกันมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงศาสนาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีความน่าสนใจ ซึ่งในขณะนี้ยังคงได้รับความนิยมสูงจากนักท่องเที่ยวกลุ่มมาเลเซีย ที่เข้ามาทำบุญ ไหว้พระ สำหรับปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นั้น ก็ยังคงต้องเฝ้าระวังต่อไป แต่ ททท.ก็ยังคงมีการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้ ททท.จัดทำโครงการ “เที่ยว 12 เดือนสุขใจ ให้พลังชีวิต” เพื่อเป็นการกระตุ้นนักท่องเที่ยวทำบุญ ไหว้พระ เสริมสิริมงคล ที่รวมวัดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไว้ด้วย

มี.ค.ส่งออกยานยนต์โต11% ตลาดยุโรปขยายตัวสูงสุด

วันอังคาร ที่ 07 พฤษภาคม พ.ศ. 2556, 20.00 น.

ที่มา หนังสือพิมพ์แนวหน้า
7 พ.ค.56 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจ เดือน มี.ค. และแนวโน้มปี 56 ต่อ ครม.ว่า แม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 4.5-5.5% อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 2.5-3.5% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 0.9%ของจีดีพี

การส่งออกในเดือน มี.ค.มีมูลค่า 2.04 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 4.2% เทียบกับเดือน ก.พ.ที่หดตัว 4.6% ส่งผลให้ไตรมาสแรกของปี 56 มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.5% เทียบกับเป้าหมายการส่งอออกทั้งปีที่กำหนดไว้ที่ 9%

ในเดือนมี.ค.สินค้าส่งออกที่ยังขยายตัวได้ดี ได้แก่ ยานยนต์ขยายตัว 11% เครื่องใช้ไฟฟ้าขยายตัว 11.2% สินค้าการส่งออกที่หดตัว ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์หดตัว 11.3% สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่มหดตัว 3.7% ยางพาราหดตัว 11.1% สินค้าประมงหดตัว 22.1% สินค้าเกษตรแปรรูปหดตัว 0.9% และทองคำหดตัว 36.9%

ส่วนตลาดส่งออกสินค้าที่ขยายตัว ได้แก่ สหภาพยุโรปขยายตัว 15% ตลาดอาเซียนขยายตัว 5.5% ออสเตรเลียขยายตัว 39.9% ขณะที่ตลาดสหรัฐการส่งออกหดตัว 4.7% และการส่งออกไปตลาดญี่ปุ่นหดตัว 0.9%

ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมพบว่ามีการขยายตัวแต่ขยายตัวในเกณฑ์ที่ต่ำ เนื่องจากการหดตัวของภาคการผลิตที่มีสัดส่วนการส่งออกสูง ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัว 0.5% เทียบกับเดือนก.พ.ที่หดตัว 1.2% สอดคล้องกับการใช้กำลังการผลิตในเดือนมี.ค.ที่เพิ่มเป็น 70.4% เทียบกับเดือนก.พ.ที่มีการใช้กำลังการผลิต 62.9%

“สินค้าที่มีสัดส่วนการส่งออกต่ำกว่า 60% มีการขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะยานยนต์ สิ่งทอ และเคมีภัณฑ์ แต่สินค้าที่สัดส่วนส่งออกเกิน 60% การส่งออกหดตัวเป็นเดือนที่ 2 โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป เสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องหนัง อิเล็กทรอนิกส์ และฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ ทำให้การดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวในเกณฑ์ต่ำ เสถียรภาพเศรษฐกิจไทยอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อชะลอตัว การว่างงานต่ำ การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้น โดยเดือนมี.ค.ภาครัฐจัดเก็บรายได้สุทธิ 1.51 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก.พ.7.9% และสูงกว่าประมาณการรายได้ 1.3% ส่งผลให้ครึ่งปีงบประมาณรัฐจัดเก็บรายได้ 9.78 แสนล้านบาทสูงกว่าประมาณการ 9.48 หมื่นล้านบาท"

สำหรับหนี้สาธารณะของประเทศ ณ สิ้นเดือนก.พ.อยู่ที่ 5.07 ล้านล้านบาท หรือ 44.1% ของจีดีพี สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ขยายตัว 14.8% สภาพคล่องส่วนเกินในระบบอยู่ที่ 1.48 ล้านล้านบาท เพิ่มจากเดือนก.พ.ที่มีสภาพคล่องส่วนเกิน 1.42 ล้านล้านบาท
นอกจากนี้ ในเดือนมี.ค.มีเงินทุนไหลเข้าสุทธิ 222 ล้านเหรียญสหรัฐ สาเหตุหลักเป็นเพราะคนไทยไปลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้น ส่วนค่าเงินบาทเฉลี่ยในเดือนเม.ย.อยู่ที่ 29.07 บาทต่อเหรียญสหรัฐ แข็งค่าขึ้นจาก 29.52 บาทต่อเหรียญสหรัฐในเดือนมี.ค. โดย 4 เดือนแรกของปีค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 29.62 บาทต่อเหรียญสหรัฐ

ส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจโลกไตรมาสที่ 1 ฟื้นตัวอย่างล่าช้า โดยเศรษฐกิจสหรัฐปรับตัวดีขึ้น แต่ยังขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เศรษฐกิจกลุ่มยูโรโซนยังอยู่ในช่วงหดตัว เศรษฐกิจจีนขยายตัวต่ำกว่าที่คาดเช่นเดียวกับเศรษฐกิจอื่นๆในภูมิภาคเอเชีย ส่งผลให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศลดเป้าขยายตัวทางเศรษฐกิจเหลือ 3.3% จาก 3.5% ก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม แรงกดดันเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้ประเทศต่างๆดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่มีมาตรการผ่อนคลายการเงิน รวมถึงการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุไถ่ถอนที่ยาวขึ้นเพื่อสร้างแรงกดดันให้ดอกเบี้ยในตลาดลดต่ำลง ส่งผลให้ดัชนีภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้นเป็น 51.1% สูงที่สุดในรอบ 13 เดือน

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

บาทแข็งส่งออกเสื้อผ้า-เกษตรสาหัส

17 Apr 13 ,  กรุงเทพธุรกิจ
ที่มา http://www.logisticsdigest.com/news/economy/item/9231
"บาทแข็ง"ส่งออกเครื่องนุ่งห่ม-สินค้าเกษตรอาการน่าห่วง หลังผู้นำเข้าหันซื้อจากเวียดนาม-อินโดฯและจีนแทน เหตุสินค้าไทยราคาแพง คำสั่งซื้อลด
นายวัลลภ วิตนากร ที่ปรึกษาสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย กล่าวว่าการส่งออกไตรมาส 2 คาดจะขยายตัวลดลงใกล้เคียงไตรมาสแรก ถ้าเงินบาทแข็งค่าอีกจะทำให้ไตรมาส 2 เป็นช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายว่า ผู้ส่งออกจะต่อสู้กับปัจจัยเสี่ยงได้หรือไม่ เพราะไม่ใช่แค่ค่าบาท แต่ยังมีค่าแรงงาน 300 บาท ที่ทำให้มีภาระต้นทุนเพิ่ม แต่ไม่ปรับราคาสินค้าได้ เท่ากับว่าอยู่ในสถานะไม่สามารถแข่งขันได้

"ผู้ซื้อไม่คิดจะขึ้นราคาให้อยู่แล้ว เพราะขายปลีกปลายทางขึ้นไม่ได้ เศรษฐกิจในสหรัฐ ยุโรป ยังคลุมเครือ ว่าจะฟื้นได้หรือไม่ ภาครัฐต้องพิจารณาได้แล้วว่าจะช่วยผู้ส่งออกอย่างไร"นายวัลลภ กล่าว

ทั้งนี้ เงินบาทที่แข็งค่าตั้งแต่ต้นเดือนม.ค.จนถึงขณะนี้เทียบกับปลายปีก่อนแข็งค่าไปแล้ว 5% การที่เงินบาทไทยแข็งค่าสูงสุดในภูมิภาค ทำให้คำสั่งซื้อสินค้าลดลงตั้งแต่ปลายไตรมาสแรกแล้ว คาดจะต่อเนื่องถึงไตรมาส 2 เพราะผู้ซื้อต่างประเทศจะเทคำสั่งซื้อไปที่เวียดนาม อินโดนีเซีย และจีน มีค่าเงินสวนทางกับไทย คาดจะได้เห็นเงินบาทที่ 28 บาทต่อดอลลาร์เร็วๆ นี้

"ปัญหาค่าเงินทำให้ไม่สามารถโค้ดราคาขายสินค้าได้ ขณะที่เวียดนาม อินโดนีเซีย โค้ดราคาสินค้าให้ลูกค้าได้ทันที เมื่อโค้ดราคาไม่ได้รับออร์เดอร์ก็ไม่ได้ ผู้ซื้อก็มีเหตุผลที่ไม่สามารถขึ้นราคาให้ไทยได้ เพราะเศรษฐกิจปลายทางยังไม่แน่นอน ดังนั้นเรื่องปรับราคาขายต้องไม่ต้องพูดถึง"

เตือนตลาดใหม่หายาก

สำหรับการแก้ปัญหาโดยหาตลาดใหม่ เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เมื่อประเมินสถานะรายตลาดพบว่า หลายภูมิภาคยังมีเศรษฐกิจไม่แน่นอนรวมทั้งอาเซียน ส่วนจีนและอินเดีย ไม่ใช่ตลาดที่มีอัตราขยายตัวโดดเด่น เหมือนหลายปีที่ผ่านมา ขณะที่สหรัฐและยุโรปเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว

"ถ้าส่งออกเดือนหน้าไม่ถึง 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ สถานการณ์ส่งออกปีนี้น่าเป็นห่วง ตอนนี้สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กำลังจะปรับเป้าส่งออกใหม่ แต่ขอดูตัวเลขเดือนมี.ค.ก่อน คาดส่งออกปีนี้น่าจะไม่เกิน 5.5% ”นายวัลลภ กล่าว และว่าอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม ได้รับผลกระทบใน 2 ด้านคือ การส่งออกที่ชะลอตัวลง และการค้าภายในไม่น่าจะขยายตัวได้ เพราะประชาชนมีภาระค่าใช้จ่าย จากโครงการรถยนต์คันแรกไปแล้ว การซื้อสินค้าอื่นๆ จึงมีไม่มาก"

ส่งออกกุ้งอาการน่าห่วงค่าเงิน-ราคา

นายผณิศวร ชำนาญเวช นายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย กล่าวว่า การส่งออกไตรมาส 2 และทั้งปี ยังน่าเป็นห่วงโดยเฉพาะการส่งออกกุ้ง ที่ปีนี้เป็นครั้งแรกที่ส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐไม่ถึง 24% จากปีก่อนอยู่ที่ 28% สาเหตุคือไม่มีกุ้ง เพราะไม่มีความชัดเจนว่ากุ้งรอบใหม่จะออกสู่ตลาดเมื่อใดและมีปริมาณเท่าใด ทำให้ผู้ส่งออกไม่สามารถรับคำสั่งซื้อได้

"โรงงานในเมืองไทยมีกำลังผลิต 5.5 แสนตันต่อปี แต่ตอนนี้มีกุ้งไม่ถึง 3 แสนตัน แล้วโรงงานจะเอาอะไรทำ จะหยุดผลิตต้องจ่ายค่าแรง 75% ถ้าเลิกจ้างก็ผิดกฎหมาย ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้"
นายผณิศวร กล่าว

นายสมเกียรติ อนุราษฎร์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ไตรมาส 2 ยังมีปัญหาเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ทำให้การส่งออกแข่งขันลำบาก เพราะราคาสินค้าไทยจะสูงกว่าคู่แข่ง เมื่อเทียบกับเวียดนามที่ค่าเงินไม่ผันผวน ส่วนอินโดนีเซีย กลับมีแนวโน้มค่าเงินอ่อนตัว การแก้ปัญหาหากจะให้เห็นผลช่วงไตรมาส 2 คงจะไม่ทันการณ์ เพราะการหาตลาดต้องใช้เวลาในการติดต่อเจรจา เชื่อว่าการส่งออกไตรมาส 2 จะยังไม่กระเตื้องเช่นเดียวกับไตรมาสแรก

"ช่วงไตรมาสแรกได้รับผลกระทบจากค่าเงินที่แข็งค่ามากแลกเป็นเงินบาทได้น้อยลง ไตรมาส 2 ราคาเราแข่งขันเขาไม่ได้ ทำให้การส่งออกปีนี้น่าเป็นห่วง เพราะค่าเงินแข็งกว่าคู่แข่ง"นายสมเกียรติ กล่าว

ลุ้นญี่ปุ่นเปิดตลาดนำเข้าไก่สด

นางฉวีวรรณ คำพา ประธาน บริษัท ฉวีวรรณกรุ๊ป กล่าวว่าจากราคาไก่ที่ปรับเพิ่มขึ้นทำให้ผู้นำเข้าหันไปเจรจาต่อรองนำเข้าไก่จากจีนแทน แต่ระหว่างนั้นได้เกิดปัญหาไข้หวัดนก ทำให้ผู้นำเข้าหันเข้ามาซื้อที่ไทย แต่ก็มีปัญหาเรื่องราคาที่สูงขึ้น เนื่องจากเงินบาทที่แข็งค่า ดังนั้นหากเงินบาทแข็งค่าไปกว่านี้ ผู้ส่งออกคงไม่สามารถปรับราคาได้อีก

"ปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นทั้งเงินบาทแข็งค่า ค่าแรง และวัตถุดิบอาหารสัตว์มีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้ผู้ส่งออกไม่กล้ารับออเดอร์ครั้งละมากๆ ต้องทำฟอเวิร์ดเงินเป็นครั้งๆ ที่สำคัญภาวะนี้สถาบันการเงิน ก็ไม่มีการปล่อยสินเชื่อเลย ดังนั้นภาครัฐควรจะมีมาตรการช่วยเหลือบ้าง ปีนี้ผู้ส่งออกต้องรับภาระหนักจริงๆ” นางฉวีวรรณ กล่าว และว่าการส่งออกไก่ของไทยในปีนี้จะได้ 6 แสนตัน มูลค่าประมาณ 7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่ส่งออกได้ 5.3 แสนตัน มูลค่า 6 หมื่นล้านบาท กรณีที่ญี่ปุ่นเปิดตลาดไก่สดให้กับไทยอีกครั้ง จะมีโอกาสส่งออกได้มากกว่าเป้าที่กำหนดไว้"

พัฒนาการด้านอุตสาหกรรมหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ของประเทศจีน

ที่มา http://vclass.mgt.psu.ac.th/~465-302/2007-1/Assignment-02/BPA_30_72/evalu/china.htm
 แนวคิดของเหมา เจ๋อ ตุง ทำลายพันธนาการศักดินาและขจัด อิทธิพลของจักรวรรดินิยมได้ในปี ค.ศ. 1950  ต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 1953-1957  จีนอยู่ภายใต้แผนเศรษฐกิจ 5 ปี แผนแรก ในช่วงนี้รายได้ประชาชาติเพิ่มโดยเฉลี่ยปีละ 8.9 เปอร์เซ็นต์ มีการลงทุนในอุตสาหกรรมหนัก อาทิ อุตสาหกรรมโลหะ เครื่องจักรไฟฟ้า ถ่านหิน  น้ำมัน และเคมี ต่อมาในปี ค.ศ. 1958-1962 แผนระยะ 5 ปี ฉบับที่ 2 จีนใช้นโยบายกระโดดไปข้างหน้า (Great Leap Forward) การลงทุนยังเป็นอุตสาหกรรมหนักอย่างเดิม แต่ทางเกษตรมีการระดมแรงงานมาสร้างทำนบ เขื่อน  ต่อมาในปี ค.ศ. 1976 หลังการเสียชีวิตของเหมามีการปรับการบริหารเศรษฐกิจ  จีนหันมาสนใจสั่งเทคโนโลยีเข้าจากต่างประเทศ ยกเลิกการปฏิวัติวัฒนธรรม นำระบบโบนัสมาใช้ใหม่ เพิ่มราคาผลผลิตทางเกษตรและเพิ่มค่าจ้างแรงงาน  ในปัจจุบันจีนได้เข้าเป็นสมาชิกของ WTO ได้ผลักดันให้ประเทศมีนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ยึดมั่นการกระตุ้นอุปสงค์ของตลาดภายในประเทศ และดำเนินนโยบายการคลังในเชิงรุกเพื่อยึดเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวของประเทศ รวมทั้งรักษาเสถียรภาพของค่าเงินหยวน เร่งปรับโครงสร้างด้านการเกษตรและปฏิรูปชนบทเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมไฮเทค เพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและเพิ่มมูลค่าของสินค้า

การพัฒนาอุตสาหกรรมของจีน
                เมื่อราวๆ กลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีการวิพากษ์ในหนังสือพิมพ์จีนว่าด้วย การทบทวนและประเมินการพัฒนาอุตสาหกรรมจีนตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 จนปัจจุบัน และเปรียบเทียบกับการพัฒนาอุตสาหกรรมหลังเปิดประเทศปฏิรูปเศรษฐกิจ ซึ่งมีหลากหลายความเห็นที่น่าสนใจที่ไทยอาจต้องศึกษา เพื่อนำมาใช้เป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบายหรือยุทธศาสตร์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมและการลงทุนของประเทศ
                เนื่องจากประเทศจีนได้เริ่มพัฒนาตามแบบฉบับอุตสาหกรรมใหม่ (ปฏิวัติอุตสาหกรรม
ครั้งที่ 1) ประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย และเกิดการชะงักงันเป็นเวลาหลายสิบปีจวบจนกลางศตวรรษที่ 20 และเกือบหยุดสนิทประมาณ 30 ปี เสร็จแล้วใช้เวลาอีก 20 ปี ในการพัฒนาแบบก้าวกระโดดจนกระทั่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีในหลายๆ ด้านของโลก นักวิชาการจีนดังกล่าวมีความเห็นว่า ที่จีนสามารถพัฒนาจนเป็นเช่นนี้ เกิดจากกระแสความคิด 2 กระแส

                กระแสแรก จีนได้วางพื้นฐานอุตสาหกรรมหนักไว้ตั้งแต่ต้นและไม่เคยละทิ้ง เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก เครื่องจักรกล เคมี จึงกลายเป็นพื้นฐานรองรับและประกันการพัฒนา

                กระแสที่สอง ในช่วงที่จีนเปิดประเทศใหม่ๆ ว่าด้วยแนวทางที่จะนำเข้าเทคโนโลยี
สมัยใหม่ มีกลุ่มหนึ่งเห็นคล้อยตามคำแนะนำของประเทศที่พัฒนาแล้วสมัยนั้นว่าควรที่จะพัฒนาตามขั้นตอน เนื่องจากเทคโนโลยีจีนขณะนั้นล้าหลังอยู่มาก จึงเลือกนำเข้าเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในระดับก่อนหน้าสมัยนั้น 5-10 ปี

                ถึงแม้เทคโนโลยีที่จีนใช้ในขณะนั้นจะล้าหลังในสากลโลก แต่ถือว่าทันสมัยมาก
สำหรับจีน ในการผลิตและจำหน่ายในตลาดของจีน ซึ่งรับความนิยมสูงมาก เช่น รถยนต์ จักรยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ขณะเดียวกัน ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่เห็นว่า พื้นฐานทางวิชาการและเทคโนโลยีจีน พร้อมอยู่แล้ว จึงเลือกที่จะก้าวกระโดดโดยซื้อเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด ณ ขณะ นั้น เช่น ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และการ
สื่อสาร เทคโนโลยีอวกาศ อุตสาหกรรมเหล็ก ปรากฏในภายหลังว่า ทั้งสองกลุ่มได้พบ
จุดบรรจบกันในช่วงสิ้นศตวรรษที่ 20 และนำมาซึ่งความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยี
และอุตสาหกรรมอีกระลอกดังที่เห็นกันขณะนี้

                ผลและสภาพของการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมของจีนที่เราได้เห็นทุกวันนี้ นัก
วิชาการจีนส่วนใหญ่มองว่าเป็นผลเกิดจากการปูพื้นฐานทางวิชาการและการพัฒนา อุตสาหกรรมหนักตั้งแต่สมัยแรก กลายเป็นหลักประกันสนับสนุนให้อุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งอุตสาหกรรมเบา เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ ให้พัฒนาอยู่บนขาของตนเอง ไม่ว่าจะ เป็นวัตถุดิบ เช่น เหล็กและโลหะอื่นๆ พลาสติก และเคมี ที่เป็นพื้นฐานนำไปแปรรูป ต่อจนจีนสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระดับสูงดังที่เป็นอยู่ และเป็นพื้นฐานในการ พัฒนาเทคโนโลยีและสิทธิบัตรตราสินค้าของตนเอง


อุตสาหกรรมโทรคมนาคมของจีน

ในยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge based economy) การสร้างนวัตกรรมในภาคอุตสาหกรรมโทรคมนาคมถูกนำมาเป็นยุทธศาสตร์ระดับชาติที่ได้รับความสนใจในหลายๆประเทศ รวมถึงประเทศจีนด้วย และหากพิจารณาขนาดตลาดโทรคมนาคมในโลก จะเห็นได้ว่า ประเทศจีนจะมีขนาดของตลาดที่ใหญ่ที่สุด รองลงมาจะเป็นประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศญี่ปุ่น

ส่วนประเทศจีนเพิ่งจะอยู่ในสถานะเริ่มต้นเท่านั้น แต่ก็เป็นประเทศที่กำลังจะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ของโลกในอีกไม่นานนี้อันมีแรงผลักดันหลายประการดังนี้

ประการแรก คือ ประเทศจีนมีตลาดท้องถิ่นขนาดใหญ่สนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมโทรคมนาคม เติบโตอย่างรวดเร็ว

ประการที่สอง คือ ประเทศจีนมีห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ที่เข้มแข็ง และมีประสบการณ์ที่ดีโดยได้เรียนรู้จากบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมและบริษัทให้บริการข้อมูล

ประการที่สาม คือ ประเทศจีนมีการส่งเสริมธุรกิจด้านผู้ผลิต และผู้ประกอบการ และ

ประการที่สี่ ภาครัฐบาลมีบทบาทในการออกกฎระเบียบที่สำคัญ ในการก่อสร้าง สนับสนุน บ่มเพาะธุรกิจโทรคมนาคม ที่มีประสิทธิภาพจึงสามารถกล่าวได้ว่ารัฐบาลของประเทศจีน เป็นผู้นำให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมโดยใช้กลยุทธ์แบบ Macroscopic strategies และการให้ความสำคัญกับการร่วมกันพัฒนาระหว่างบริษัทผู้ประกอบการโทรคมนาคม (Operator) และบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคม (Supplier / Manufacturer) อย่างชัดเจนที่สุด โดยเป็นการร่วมกันพัฒนาภายใต้การนำโดยกลยุทธ์ของรัฐบาลเป็นปัจจัยหลัก

                ผู้ประกอบกิจการด้านโทรคมนาคมหลายแห่งจากจีนได้เข้ามาให้บริการกับลูกค้าในประเทศจีน ตัวอย่างเช่น บริษัท SK Telecom และ NTTDoCoMo รวมถึงบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ต่างๆ

ตั้งแต่บริษัท China Unicom ผู้ให้บริการด้านโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศจีน ได้นำระบบ CDMA เข้ามาใช้เป็นเจ้าแรก ทำให้ผู้ให้บริการจากเกาหลีและญี่ปุ่นพยายามที่จะเข้ามาลงทุนในจีน อันเนื่องจากว่า ทั้งคู่สามารถปรับเข้าใช้โครงข่าย CDMA ได้โดยง่าย เพราะมีประสบการณ์ทางเทคโนโลยีด้านนี้อยู่แล้ว โดย CDMA เป็นคู่ต่อสู้กับระบบ GSM ที่มีผู้ใช้อยู่ในจีนแล้วกว่า 130 ล้านราย

จีนได้เข้ามาเป็นสมาชิกขององค์กรการค้าโลก (WTO: World Trade Organization) เมื่อปี 2001 ทำให้จีนต้องมีการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของอุตสาหกรรมด้านโทรคมนาคม โดยรัฐบาลกลางได้พิจารณาส่งเสริมให้มีการเปิดกว้างอุตสาหกรรมโทรคมนาคม อันเนื่องมาจากการเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้จีนเป็นตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใหญ่ที่สุดอันเนื่องมาจากมีประชากรเป็นจำนวนมากนั่นเอง

ผู้นำของจีนก็ตระหนักดีว่า อุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน ได้เข้าสู่ยุคใหม่ โดยเป็นยุคแห่งความร่วมมือกันระหว่างบริษัทต่างชาติกับประเทศจีน และความร่วมมือนี้จะต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว เพื่อการก้าวไปเป็นบริษัทระดับนานาชาติได้ในปี 2003 การเติบโตของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในประเทศจีน ดำเนินไปอย่างมั่นคง การขยายตัวของความต้องการ และมูลค่าที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ถูกจับตามองจากนานาชาติ จำนวนผู้ใช้โทรศัพท์ทั่วประเทศสูงถึง 500 ล้าน จำนวนผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ มีมากกว่าผู้ใช้โทรศัพท์ Fixed line และยอดผู้ใช้อินเตอร์เน็ต (ไม่รวมโมมายอินเตอร์น็ต) มีจำนวนสูงกว่า 80 ล้าน ซึ่งเป็นอันดับสองของโลก

                จากสถิติพบว่าจะมีจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์รายใหม่อยู่ที่ 90 ล้านรายต่อปี โดยในสิ้นเดือนกันยายนปี 2004 มีจำนวนมากกว่า 626 ล้านราย โดยกว่า 320 ล้านรายจะเป็นผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ จนทำให้เกิดรายได้กว่า 386.2 พันล้านหยวน (46.5 พันล้านดอลล่าสหรัฐฯ)



ตัวบ่งชี้ที่จะบอกได้ว่าประเทศจีนมีบางอย่างที่สามารถเป็นเจ้าแห่งโทรคมนาคมได้ คือ

1. จีนมีการจัดตั้งระบบการรวมอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ทั้งงานวิจัยและพัฒนา, การดำเนินการ, การให้บริการ ไว้ด้วยกันเป็นห่วงโซ่

2. เครือข่ายโทรคมนาคมถูกวางระบบด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด

3. จีนมีขนาดของตลาดสำหรับธุรกิจโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในโลก

4. จีนมีผู้ประกอบการโทรคมนาคมระดับยักษ์ใหญ่อยู่หลายราย มีการลงทุนสูง มีการแข่งขัน ในระดับนานาชาติ

5. มีการบริการ ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการให้ผู้ใช้มีความพึงพอใจ

6. การให้บริการโครงข่าย ทั้งทางเสียงและข้อมูล ในตลาดโทรคมนาคม มีการขยายตัว ไปยังเอเชียและแปซิฟิกอย่างชัดเจน

7. ผู้ประกอบการจีน พุ่งเป้าไปยังการลงทุนและทำธุรกิจระหว่างประเทศ (Global capital market) ด้วยการลงทุนด้วยมูลค่าสูง

8. ตั้งแต่จีนเข้าสู่การเป็นสมาชิก WTO มีผู้ประกอบการรายใหญ่จากนานาชาติเข้าไปยังประเทศจีน ก่อตั้งศูนย์กลาง การทำการวิจัยและพัฒนา อย่างมากมาย



อุตสาหกรรมโทรคมนาคมของประเทศจีนที่ประเทศไทยควรเรียนรู้
        ปัจจุบันสภาพตลาดของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในประเทศจีนมีการแข่งขันกันสูงขึ้น มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้น ประกอบกับมีการกระตุ้นจากภาครัฐบาลในการก้าวไปสู่การสื่อสารยุค "3จี" (3G) โดยให้ไลเซ่นส์ 3จี กับบริษัทผู้ประกอบการทั้ง 4 รายในประเทศจีน อันได้แก่ ไชน่า โมบาย, ไชน่า ยูนิคอม, ไชน่า เทเลคอม และ ไชน่า เน็ตคอม จึงเป็นการกระตุ้นการแข่งขันในตลาดให้สูงขึ้นด้วย(สามารถหารายละเอียดของ3Gได้http://www.xraymobile.com/archives/2005/04/ocoaauenn_3g_kn.html)

      ปลายปี 2004 ประเทศจีนมีผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 334 ล้านคน (25.9% ของประชากรทั้งประเทศจีน) และจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ และโทรศัพท์บ้านห่างกัน 22.38 ล้านคน เนื่องมาจากจำนวนผู้ใช้งานใหม่ที่เพิ่มขึ้นของโทรศัพท์เคลื่อนที่ คิดเป็น 1.3 เท่าของผู้ใช้งานใหม่ของโทรศัพท์บ้าน

     จากการวิเคราะห์พบว่า แม้การขยายตัวของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่จะเพิ่มขึ้น แต่รายได้กลับลดน้อยลงอันเป็นผลเนื่องมาจากการเกิดสงครามราคา (Price war) ระหว่างเทเลคอม โอเปอเรเตอร์ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดในตลาดโลว์-เอ็น (Low-End) นั่นเอง ซึ่งคล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย

         การหาลูกค้าของตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ในช่วงที่ผ่านมา ไชน่า โมบาย มีการแข่งขันโดยทำสงครามราคาที่ดุเดือดมาก โดยเริ่มตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปี 2003 และในครึ่งปีแรกของปี 2004 ก็ลดราคาลงไปถึงราคาต้นทุน (Bottom Line of Cost) ซึ่งทำให้รายได้ลดลงจนไม่เกิดกำไร แม้ว่าจะสวนทางกับจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ต้องจำทนอยู่ในภาวะกดดันนั้นมาตลอด
          จนกระทั่งกระทรวงข้อมูลข่าวสารอุตสาหกรรม (Ministry of Information Industry) ได้เข้ามาดูแลกวดขัน จึงทำให้ปลายปี 2004 สงครามราคาจึงค่อยๆ ลดลง และการแข่งขันเริ่มเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น

         ไชน่า โมบาย ได้พยายามใช้โอกาสจากเทคโนโลยีที่มีอยู่ ในการพัฒนาและออกแบบบริการรูปแบบใหม่ ยกตัวอย่างโครงการที่กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัยและพัฒนา เช่น จับมือร่วมกับบริษัท กูเกิลในการพัฒนาช่องทางไร้สาย และอี-คอมเมิร์ซบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ในอนาคต โดยกูเกิลนั้นเป็นผู้ให้บริการเสิร์ช เอ็นจิ้นกับผู้ใช้บริการของ ไชน่า โมบาย

          โดยปัจจุบันบริการนี้เปิดให้บริการกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในสหรัฐอเมริกาแล้ว 6 แห่ง และกำลังจะเริ่มให้บริการกับไชน่า โมบายด้วยเช่นกัน

          ไชน่า โมบายให้บริการดาวน์โหลด เกมผ่านโทรศัพท์มือถือขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศจีน โดยได้ทำการทดลองในเฟสแรกที่ มณฑล Guangdong ตั้งแต่ต้นปี 2002 และขยายให้บริการในมณฑลเซี่ยงไฮ้เป็นมณฑลต่อมา และขยายออกไปจนครอบคลุมทุกพื้นที่ให้บริการ

            สภาวะปัจจุบันของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมภายในประเทศจีน อยู่ในภาวะที่แข่งขันกันสูง จึงมีความเสี่ยงสูงที่กำไรจากการประกอบการจะลดลงตามไปด้วย อีกทั้งหน่วยงานวางแผนทางเศรษฐกิจระดับชาติของจีน ได้พิจารณาออกกฎข้อบังคับใหม่ เพื่อสร้างมาตรฐานของกระบวนการอนุมัติการลงทุนในด้านธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ และระบบการสื่อสารโทรคมนาคมไร้สายในประเทศใหม่ โดยเปิดทางให้ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือจากต่างประเทศเข้ามาทำตลาดในจีนได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นความเสี่ยงอีกทางหนึ่งด้วย

        แม้ว่าช่วงที่ผ่านมานักลงทุนจากต่างประเทศจะยังไม่เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในประเทศจีนมากนัก แต่บริษัทเหล่านั้นก็กำลังเตรียมตัว และรอดูท่าทีและเวลาที่เหมาะสมสำหรับจะเข้าไปลงทุน ซึ่งคาดว่าตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป จะเริ่มมีการหลั่งไหลของบริษัทข้ามชาติที่จะเข้าไปลงทุนในตลาดสื่อสารจีนมากขึ้น

      ประกอบกับเทคโนโลยี 3จี ที่สามารถให้บริการด้านโมบาย ดาต้า ที่รัฐบาลจีนผลักดันให้เกิดขึ้นในประเทศ ยิ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มคู่แข่งขันขึ้นในตลาด จึงอาจทำให้เกิดการแข่งขันในอุตสาหกรรมด้านดังกล่าวทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่างบริษัทในประเทศและบริษัทข้ามชาติ โดยมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยเช่นกัน

"AEC" กับโอกาสในอุตสาหกรรมอาหาร

ที่มาhttp://www.smi.or.th/index.php/sample-sites-10/sample-sites-10/563-2013-03-04-08-00-23
ผู้ อ่านหลายท่านคงเคยได้ยินผ่านหู ผ่านตา ว่าเราจะมีการเปิดเสรีอาเซียน หรือ AEC กันในปี 2558 และหลายท่านคงเคยเข้าร่วมประชุม หรือติดตามรายงานการเตรียมความพร้อมในการเปิด AEC กันอยู่เนือง ๆ

แต่ผมเชื่อว่ายังมีผู้ประกอบการอีก

หลายท่านที่ยังมีคำถามค้างคาใจในอุตสาหกรรมที่ตนประกอบการอยู่ ว่าจะได้เปรียบ เสียเปรียบ หรือต้องปรับตัว

อย่างไรกับเรื่องนี้แน่นอนว่าแต่ละอุตสาหกรรมมีความพร้อม มีความได้เปรียบ-เสียเปรียบ

แตกต่างกัน การเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ AEC ของแต่ละอุตสาหกรรมจึงแตกต่างกันไปด้วย

ข้อ สรุปที่เป็นภาพรวมอาจจะยังไม่เป็นคำตอบให้ผู้ประกอบการเห็นภาพมากนัก จึงอาจเหมาะสมกว่าที่การเตรียมความพร้อมควรดำเนินการในลักษณะ Cluster ซึ่งลองมาดูอุตสาหกรรมอาหารที่คิดว่า

น่าจะมีโอกาสมากกันก่อน

อุตสาหกรรม อาหาร เป็นอุตสาหกรรมที่โดดเด่น ปี 2011 มีการขยายตัวก้าวกระโดดถึง 20% ซึ่งนับว่าอยู่ในระดับสูง เมื่อเทียบการส่งออกรวมขยายตัวในระดับ 15.9% โดยปีหนึ่งประเทศไทยส่งออกอาหารกว่า 33 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 32 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 14.2 ของการส่งออกทั้งหมด

เนื่อง จากอุปนิสัยการบริโภคอาหารของคนในโลกไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ส่วนใหญ่ประเทศไหนรับประทานขนมปัง ก็รับประทานกันแต่ขนมปัง ประเทศไหน

รับประทานข้าว ก็รับประทานกันแต่ข้าว

ดังนั้น ฐานลูกค้าของเราที่ส่งออกไปยังประเทศท็อปเทน (Top 10) จึงไม่เปลี่ยนแปลง

กี่ปีก็ยังคงเป็นประเทศเดิม ๆ ซึ่งประเทศเหล่านี้มีประเทศในอาเซียน + 3 รวม 6 ประเทศ รวมฐานประชากรลูกค้าเรา

เฉพาะ กลุ่มนี้ราว 1,805 ล้านคนเข้าไปแล้ว และเนื่องจากประเทศไทยมีวัตถุดิบอุดมสมบูรณ์ 80% ของวัตถุดิบที่ผลิตอาหารใช้วัตถุดิบที่ผลิตได้ในประเทศ แต่เราทราบกันดีว่าถ้าหากขายในรูปผลิตภัณฑ์การเกษตร จะได้ราคาที่ไม่ดีนัก แถมตลาดอุปกรณ์แปรรูปและบรรจุหีบห่อของไทยขยายตัวเพื่อรองรับมาอย่างต่อ เนื่อง (ตลาดอุปกรณ์แปรรูปและบรรจุอาหาร หรือ Food processing and packaging equipment : FPPE ของไทยโตเฉลี่ย 20% ทุกปี ตั้งแต่ปี 1999 โดยในปี 2011 มีมูลค่าการค้า 270 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 61.0%)

จึงเป็นการได้เปรียบที่ประเทศไทยจะมุ่งเน้นในอุตสาหกรรม อาหารแปรรูป ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่ม ต่อยอดมูลค่าสินค้าเกษตรที่เรามีจุดแข็งอยู่แล้วได้เป็นอย่างดี

หาก เปิด AEC แล้ว เราจะมีโอกาสมากในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป โดยเฉพาะอาหารพร้อมรับประทาน (Ready-to-eat Food : RTE) โดยสถาบันอาหารคาดการณ์ว่าการเปิด AEC จะช่วยให้ฐานลูกค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้นราว 600 ล้านคน นอกเหนือจากความได้เปรียบด้านวัตถุดิบ เรายังมีความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางในภูมิภาคอีกด้วย

หากไล่ดูทีละประเทศ ไทยเรามีโอกาสอย่างไร ?

เริ่ม ที่ประเทศเวียดนาม มูลค่า Chilled Ready Meals โต 108.8% ใน 5 ปี ตามการพัฒนาของอุตสาหกรรมค้าปลีก : มูลค่า RTE ที่ประเทศเวียดนาม ปี 2011 โต 14.9% โดย RTE แบบกระป๋องเป็น

ที่นิยมที่สุด โดยมีสัดส่วนราว 80% ของ RTE ทั้งหมด แต่หากพิจารณา RTE ประเภท Chilled Pizza, Dinner Mixes, Frozen Pizza, Frozen Ready Meals และ Prepared Salads ซึ่งเป็นอาหารที่ต้องจัดจำหน่ายผ่านช่องทางการค้าปลีกรูปแบบใหม่ ซึ่งมีตู้เย็นหรือห้องเย็นที่

ทันสมัยในการเก็บรักษา

เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต, ไฮเปอร์มาร์เก็ต หรือคอนวีเนี่ยนสโตร์ พบว่า RTE เหล่านี้ไม่มีส่วนแบ่งตลาดเลยในประเทศเวียดนาม ในขณะที่มีเพียง Chilled Ready Meals ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดเพียงราว 10.6% แต่หากมีอัตราการขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง 108.8% ในช่วงระยะเวลา 5 ปี (ปี 2006-2011) (เฉลี่ยปีละ 21.8%) ซึ่งสอดคล้องกับการขยายตัวของซูเปอร์มาร์เก็ต, ไฮเปอร์มาร์เก็ต หรือคอนวีเนี่ยนสโตร์ ที่ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มจาก 23.4% เป็น 54.0% หรือเพิ่มขึ้น 130.8% (เฉลี่ยปีละ 26.2%) ในช่วงเวลาเดียวกัน

ในขณะที่ส่วนแบ่งตลาดของร้านโชห่วย (Small Grocery) ลดลง -21.6% และ Non-Grocery Retailers ลดลง -76.6%

ประเทศ เวียดนาม มีผู้ประกอบการ RTE รายใหญ่เพียง 2 ราย ยังมีโอกาสในการเปิดตลาด : นอกจาก Vissan Co.,Ltd และ Hanlong Canned Food JSC ที่มีส่วนแบ่งการตลาดที่มั่นคงในระดับรวมราว 55.3% แล้ว ผู้ประกอบการรายอื่นจะเป็นผู้ประกอบการรายย่อยที่สินค้าไม่เป็นที่นิยมมาก นัก (ส่วนแบ่งการตลาดน้อยอย่างสม่ำเสมอ)

การบุกตลาดเวียดนามโดย เฉพาะ RTE ประเภทที่ต้องพึ่งพิงการค้าปลีกรูปแบบใหม่ ประเภทที่ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นของคอนวีเนี่ยนสโตร์ จึงอาจจะยังมีโอกาสอยู่อีกมาก

ต่อมาคือประเทศอินโดนีเซีย มูลค่าอาหารพร้อมรับประทานแบบแห้ง ขยายตัว

ก้าว กระโดด 74.2% ใน 5 ปี : ต่างกับเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซียเขาฮิต RTE แบบแห้ง มูลค่าตลาด RTE ในอินโดนีเซียขยายตัว 38.4% ในช่วง 5 ปี (ปี 2005-2010) โดยอาหารพร้อมรับประทานแบบแห้ง (Dried Ready Meals) โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์โจ๊กกึ่งสำเร็จรูปและพาสต้า

กึ่งสำเร็จรูป มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง

โดย ในช่วงดังกล่าว มูลค่า RTE แบบแห้งขยายตัว 74.2% ในขณะที่ RTE แบบกระป๋องขยายตัว 7.0% แต่หาก Frozen Pizza จากที่เคยมีส่วนแบ่งในมูลค่าตลาด RTE 2.6% กลับกลายเป็นไม่เหลือส่วนแบ่งในตลาดเลยตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา

ประเทศ อินโดนีเซียมีผู้ประกอบการ RTE เพียง 3 ราย กินส่วนแบ่งตลาด 83.1% ขายผลิตภัณฑ์ในวงแคบ : Canning Foods Indonesia PT, SimbaIndosnack Makmur PT และ Indofood Sukses Makmur Tbk PT เป็น 3 ผู้ประกอบการที่มีส่วนแบ่งตลาดรวมในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

โดยในปี 2009 มีส่วนแบ่งตลาดอยู่

ในระดับ 83.1% ของมูลค่าขายปลีกในตลาด RTE โดยผลิตภัณฑ์จะมีเพียง RTE แบบกระป๋องและแบบแห้งเท่านั้น

จึง อาจจะยังเป็นโอกาสของไทยที่จะไปเปิดตลาดในผลิตภัณฑ์ RTE ประเภทอื่น ซึ่งการเปิดตลาดในอินโดนีเซียจำเป็นต้องคำนึงถึงการปรุงอาหารตามหลักศาสนา อิสลามเป็นสำคัญ

ประเทศสิงคโปร์บริโภคอาหารกระป๋องราคาสูง ส่วนแบ่งการตลาดไม่แน่นอน แล้วแต่กลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ คงไม่น่าแปลกใจที่คนในประเทศที่ร่ำรวยอย่าง

สิงคโปร์จะบริโภคของแพง

แม้ปริมาณอาหาร RTE ในสิงคโปร์โต

ไม่ มาก คือโตเพียงร้อยละ 2.1% ในปี 2010 แต่หากมูลค่าอาหาร RTE โต 2.6% โดยคนสิงคโปร์บริโภคอาหาร RTE ราคาเฉลี่ยราว 7,129 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่อินโดนีเซียบริโภคอาหาร RTE ราคาเฉลี่ยราว 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2010 เพิ่มขึ้นจาก 3,630

รูเปียห์ต่อตัน ในปี 2007

โดย ในประเทศสิงคโปร์อาหาร RTE แบบกระป๋องมีสัดส่วนถึง 90.7% และอาหาร RTE ประเภทแช่แข็งที่ได้รับความนิยม ได้แก่ อาหาร Italian และ Western โดยตลอด 5 ปีที่ผ่านมามีสัดส่วนการบริโภค 46.0% และ 27.5% ของอาหารแช่แข็งทั้งหมด ตามลำดับ

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการ RTE ในประเทศสิงคโปร์มีหลากหลาย ส่วนแบ่งตลาดไม่แน่นอน แล้วแต่กลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการส่งเสริมการตลาด โดย Xiamen Jiahua Import & Export Trading Co.,Ltd เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดในประเทศสิงคโปร์ มีสัดส่วนการตลาดในช่วง 5 ปี สูงสุดในปี 2006 ที่ 23.2% และต่ำสุดในปี 2008 ที่ 16.2%

ประเทศ คู่แข่ง ซึ่งก็คือประเทศพม่า ยังไม่น่ากลัวนัก โอกาสในอุตสาหกรรม RTE ของไทยเราในอาเซียนมีมากจริง ๆ แต่หลายคนคงอดห่วงคู่แข่งอย่างประเทศพม่า ที่มีค่าแรงถูกแล้วกำลังจะเปิดประเทศไม่ได้

แม้แรงงานพม่าจะมีราคา ถูกและมีประชากรวัยแรงงานที่อายุไม่มากอยู่จำนวนมาก แต่ปัจจุบันยังขาดซึ่งเทคโนโลยีในการผลิตและสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่เพียง พอ

โดย 75% ของประชากรทั้งหมดยังไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้ น้ำประปายังมีราคาสูง ไม่มีระบบการระบายน้ำ หรือการกำจัดสิ่งปฏิกูลที่ดี พม่าจึงนับเป็นคู่แข่งที่ไม่น่ากลัวนัก (แต่เราก็ประมาทไม่ได้)

นั่น เป็นส่วนของโอกาสครับ...แต่ละประเทศก็มีโอกาสในตลาด RTE ที่แตกต่างกัน ซึ่งแน่นอนว่าหนทาง RTE ของไทยใน AEC คงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ครั้งหน้า

มาดูกันว่าเราต้องทำอะไรบ้าง เพื่อจะไขว่คว้าโอกาสทองนี้ไว้

วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เปิดเทอมผู้ปกครองจุก วัตถุดิบค่าแรงดันชุดนักเรียน-อุปกรณ์การเรียนพุ่ง

 2 พฤษภาคม 2556
ที่มาhttp://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32582&Key=hotnews
          ตลาดชุดนักเรียน/อุปกรณ์การเรียนตบเท้าปรับราคาขึ้นรับเปิดเทอม ผู้ผลิตโอดต้นทุนค่าวัตถุดิบ - ค่าแรงขึ้นแบกรับไม่ไหว "แบรนด์จุฬา" เผยต้องปรับราคา 20 บาทต่อชุด พร้อมอัดกลยุทธ์เรียกความมั่นใจแข่งแบรนด์ดัง

          ขณะที่ "สเต็ดเล่อร์" ซุ่มขึ้นราคาตั้งแต่ปลายปีก่อนหลังราคาไม้ทะยานขึ้น ด้านนันยาง ย้ำไม่ปรับราคาขึ้น เหตุคุมเข้มต้นทุน ด้านโรงเรียนเอกชน ชี้งบสนับสนุนรัฐสุดเขียม ชุดอนุบาลแค่ 300 บาท ส่วนชุดประถมแค่ 360 บาท

          นางชญาณิศา ลิ้มดำเนิน ผู้ผลิตและจำหน่ายชุดนักเรียนแบรนด์ "จุฬา" เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ตลาดชุดนักเรียนได้รับผลกระทบจากภาวะต้นทุนวัตถุดิบสำหรับการตัดเย็บชุดนักเรียน อาทิ ผ้า , กระดุม เป็นต้น ที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ปีก่อนในอัตรา 5-10% ต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้ที่มีต้นทุนค่าแรงงานขั้นต่ำที่ปรับขึ้นเป็น 300 บาทต่อวัน ส่งผลให้ต้องปรับราคาขายเพิ่มเป็น 10 บาทต่อชิ้นหรือ 20 บาทต่อชุด โดยปัจจุบันชุดนักเรียนแบรนด์จุฬามีราคาชุดละ 185 -340 บาท

          ทั้งนี้ราคาขายที่ปรับเพิ่มขึ้นทำให้ชุดนักเรียน "จุฬา" ต้องวางแผนปรับกลยุทธ์การตลาดใหม่ โดยเน้นการขายส่งให้กับร้านค้าเพิ่มขึ้น พร้อมกับการให้สิทธิ์ในการสั่งจองชุดนักเรียนล่วงหน้าโดยยังไม่ต้องชำระเงินก่อน ขณะที่ชุดนักเรียนแบรนด์อื่นจะต้องชำระเงินทันทีที่มีการสั่งจองชุดนักเรียนเพื่อนำไปขาย นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำชุดนักเรียนตัวอย่างเพื่อให้ผู้ปกครองทำการเปรียบเทียบเนื้อผ้าระหว่างแบรนด์จุฬา และชุดนักเรียนแบรนด์อื่น เนื่องจากพฤติกรรมการเลือกซื้อชุดนักเรียนของผู้ปกครอง ยังยึดติดกับแบรนด์สินค้า จึงต้องให้ลูกค้าเห็นคุณภาพที่ไม่แตกต่างกัน

          ด้านนางอภิวันท์ มงคลชัยดิษฐ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท สเต็ดเล่อร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องเขียน "สเต็ดเล่อร์" กล่าวว่า ราคาต้นทุนวัตถุดิบโดยรวมได้มีการปรับเพิ่มสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะไม้ ซึ่งถือเป็นส่วนประกอบหลักในการผลิตเครื่องเขียน ทั้งดินสี ดินสอสี ได้มีการปรับเพิ่มขึ้น 30-40% ส่งให้ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาบรรดาผู้ประกอบการหลายรายในตลาดเครื่องเขียนทยอยปรับราคาขึ้น 5% แต่บริษัทยังไม่มีการปรับขึ้นราคาแต่อย่างใด เนื่องจากยังเตรียมไม้ไว้เพียงพอต่อการผลิตสินค้าออกจำหน่ายในช่วงครึ่งปีแรก แต่บริษัทได้มีการปรับขึ้นราคาไปก่อนหน้าแล้วช่วงปลายปีที่ผ่านมาในอัตรา 5% ในสินค้าบางตัวจากราคาต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น

          สำหรับแนวทางการทำตลาดของสเต็ดเล่อร์นั้น จะมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในช่องทางต่างๆ ตลอดทั้งปี โดยในช่วงต้นปีจะเน้นจำหน่ายผ่านช่องทางดีลเลอร์เป็นหลัก เนื่องจากเป็นช่องทางที่มีขนาดใหญ่และครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึงทั่วประเทศ ขณะที่ในช่วงเทศกาลเปิดเทอมบริษัทจะเน้นทำตลาดผ่านช่องทางค้าปลีก โดยการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ร้านอุปกรณ์เครื่องเขียนชั้นนำต่างๆ อาทิ บีทูเอส, เดอะ มอลล์ ,7-11,บิ๊กซี เป็นต้น ในการจัดโปรโมชันส่งเสริมการขาย ซึ่งถือเป็นช่วงซีซันของตลาดอุปกรณ์เครื่องเขียน

          ขณะเดียวกันยังได้ใช้งบประมาณ 6 ล้านบาทในการจัดแคมเปญ "Staedtler school tour" ในช่วงเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน นี้ เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายตามโรงเรียนต่างๆทั่วประเทศ โดยแคมเปญดังกล่าวบริษัทได้ดำเนินการต่อเนื่องมา 2-3 ปี และสามารถสร้างยอดขายเพิ่มเติมจากช่วงปกติได้ 10% พร้อมกันนี้ยังได้หันมาจับตลาดระดับกลาง-ล่าง โดยใช้กลุ่มดินสอสีเป็นตัวทำตลาด หลังจากที่ผ่านมาบริษัทเน้นการทำตลาดในระดับบนเป็นหลัก ทั้งนี้การหันมาลงแข่งขันในตลาดระดับกลาง-ล่าง ที่มีราคาถูกกว่าดินสอสีในกลุ่มบนเกือบ 100 % ซึ่งถือเป็นการขยายฐานลูกค้ากลุ่มนักเรียนทั่วประเทศในต่างจังหวัดให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

          นายจักรพล จันทวิมล ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรองเท้าแบรนด์ นันยาง กล่าวว่า ราคาของรองเท้านันยางในปีนี้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากปีที่ผ่านมาแต่อย่างใด แม้ว่าราคาต้นทุนโดยรวมจะปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งทางบริษัทเน้นการบริการจัดการที่มีประสิทธิภาพ ทำให้บริหารต้นทุนได้ดีระดับหนึ่งจนไม่ต้องปรับราคารองเท้าขึ้น โดยปัจจุบันยังคงขายรองเท้าในราคาเริ่มต้นที่คู่ละ 285 บาท

          ส่วนบรรยากาศการซื้อขายรองเท้านักเรียนนั้น จะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่ 1. ช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงก่อนสงกรานต์ 2. ช่วงหลังสงกรานต์ถึงช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม และ 3. ช่วงก่อนเปิดภาคเรียน 1 สัปดาห์และต่อเนื่องไปหลังเปิดเรียน ซึ่งขณะนี้เริ่มมีกำลังซื้อจากผู้ปกครองเข้ามาแล้ว เห็นได้จากร้านค้าตัวแทนจำหน่ายของบริษัทมีการสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เป้าหมายที่บริษัทคาดว่าจะเติบโต 12% ในช่วงเปิดเทอมน่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

          สำหรับตลาดรองเท้านักเรียนปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 5 พันล้านบาท แบ่งเป็นรองเท้าผ้าใบนักเรียน ลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด พลศึกษา และอุดมศึกษา มูลค่า 3 พันล้านบาท หรือสัดส่วนประมาณ 61% ที่เหลือเป็นรองเท้านักเรียนหนังดำสำหรับนักเรียนหญิงประมาณ 38% และที่เหลือเป็นรองเท้าบางโรงเรียน โดยตลาดรวมรองเท้าปีนี้น่าจะมีการเติบโตปีละ 5-6%

          ด้านผู้บริหารระดับสูงโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเปิดทำการเรียนการสอนในระดับอนุบาลถึงประถมศึกษา กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการมีงบอุดหนุนเครื่องแบบนักเรียนระดับอนุบาลรายละ 300 บาท และระดับประถมศึกษารายละ 360 บาท ซึ่งถือว่าไม่เพียงพอสำหรับนักเรียนแต่ละคน เพราะราคาชุดนักเรียนมีการปรับเพิ่มขึ้นทุกปี และเด็กนักเรียนแต่ละคนจะต้องมีชุดนักเรียนไม่ต่ำกว่าคนละ 2 ชุดเป็นอย่างน้อยด้วย โดยในปีนี้ราคาชุดนักเรียนยังคงปรับขึ้นไม่เกินชุดละ 50 บาท เพราะผู้ผลิตแจ้งในเบื้องต้นว่าต้นทุนในปีนี้ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

          สำหรับราคาชุดนักเรียนที่ทางโรงเรียนนำมาจำหน่ายนั้น จะจำหน่ายชุดละไม่เกิน 400 บาท โดยราคาเสื้อนักเรียนจะมีราคาตามขนาด อาทิ เสื้อ ไซซ์ S ราคา 145 บาท M ราคา 165 บาท L ราคา 185 บาท และ XL ราคา 195 บาท ส่วนกางเกงและกระโปรงจะมีระดับราคา 145-285 บาท ส่วนอุปกรณ์การเรียนผู้ผลิตยังไม่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

          จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,840 วันที่ 2-4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

          ที่มา: http://www.thanonline.com

บาทแข็งค่าแห่นำเข้าพุ่งน้ำมันถูกลงลิตรละบาท



วันพุธที่ 01 พฤษภาคม 2013
 เวลา 09:20 น.
กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ
ที่มา http://www.thanonline.com/index.php?option
ปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าทุบสถิติต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันเงินบาทแข็งค่าแล้วกว่า 6% แซงหน้าหลายประเทศในภูมิภาค ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการโดยเฉพาะภาคส่งออกที่เรียกร้องให้ภาครัฐใช้ยาแรง อย่างไรก็ตามอีกด้านก็ยังมีอุตสาหกรรมบางสาขา ที่ได้รับอานิสงส์จากเงินบาทแข็งค่า อาทิกลุ่มอุตสาหกรรมนำเข้าเครื่องจักร

    นายไสว ชัยชนะกล ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและโลหะการ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า เงินบาทแข็งค่า ทำให้กลุ่มผู้นำเข้าเครื่องจักรได้รับประโยชน์2 ด้านคือ ราคาเครื่องจักรนำเข้าถูกลง5-10% และเศรษฐกิจทั่วโลกซบเซา ทำให้ผู้ผลิตเครื่องจักรรายใหญ่จาก ยุโรปจีน ญี่ปุ่น และไต้หวันออกมาขายเครื่องจักรราคาถูกมากขึ้น

    ทั้งนี้ข้อมูลจากกรมศุลกากรระบุมูลค่าการนำเข้าเครื่องจักรกลทุกชนิดต่อปีราว 2 แสนล้านบาท เครื่องจักรทุกประเภทเติบโตอย่างก้าวกระโดด

    นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เงินบาทแข็งค่าทำให้ซื้อวัตถุดิบได้ในราคาที่ถูกลง ซึ่งขณะน้ีเตรียมนำเข้าเม็ดพลาสติกจากจีนและสิงคโปร์ ล็อตแรกภายในต้นเดือนพฤษภาคมนี้ ประมาณ 150 ตันต่อเดือน จากนั้นจะปรับเพิ่มเป็น 300 ตันต่อเดือนภายในเดือนถัดไป และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก หากค่าเงินบาทยังแข็งอย่างต่อเนื่อง

    โดยในช่วงนี้ราคานำ เข้าเม็ดพลาสติกจะถูกกว่าราคาในประเทศประมาณ 2.50 บาทต่อกิโลกรัม โดยปัจจุบันบริษัทซื้อเม็ดพลาสติกจากผู้ผลิตในประเทศทั้งหมดจากกลุ่ม บมจ.ปตท. และเอสซีจี ซึ่งมีความต้องการใช้เม็ดพลาสติกอยู่ที่ประมาณ 5.5 พันตันต่อเดือนขณะเดียวกันบริษัทยังปรับการลงทุนมาเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ มากขึ้นและเร่งสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่

    ด้านนางสาววันดี กุญชรยาคงกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า หลังเงินบาทแข็งค่าขึ้นที่ 29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าแผงเซลล์แสงอาทิตย์และเครื่องแปลงไฟฟ้าลดลงประมาณ3-5% ดังนั้นในช่วง 1-2 เดือนนี้ บริษัทจะเร่งนำเข้าแผงเซลล์แสงอาทิตย์และเครื่องแปลงไฟฟ้าของโครงการโซลาร์ฟาร์ม 6 โครงการสุดท้าย รวมกำลังผลิต45 เมกะวัตต์ กำลังการผลิตรวม 45 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

    เช่นเดียวกับกลุ่มพลังงาน จัดเป็นอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า โดยนายสุรงค์ บูลกุล ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นนํ้ามัน ปิโตรเลียม ส.อ.ท. กล่าวว่า ต้นทุนการนำเข้านํ้ามันดิบได้ลดลงประมาณ 0.70-0.80บาทต่อลิตร ขณะที่ราคานํ้ามันสำเร็จรูปณ สถานีบริการนํ้ามันในประเทศถูกลงประมาณ 0.50-1 บาทต่อลิตร โดยปัจจุบันกลุ่มโรงกลั่นนํ้ามันส่วนใหญ่จะอิงเงินบาทเกือบทั้งหมด ดังนั้นในช่วงนี้ก็จะได้รับผลดีจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นด้วย

    อุตสาหกรรมอัญมณี โดยนายวีระศักดิ์ เลอวิศิษฎ์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ส.อ.ท.กล่าวว่า แม้ค่าเงินบาทจะส่งผลกระทบรุนแรงและเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในรูปเงินบาทช่วงไตรมาสที่ 1/2556 ขยายตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 44% แต่ในแง่การนำเข้าทองคำ เพื่อใช้ในการผลิตเครื่องประดับทำด้วยทอง และเพื่อเก็งกำไรกลับขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาทองในช่วงนี้มีราคาตํ่าสุดในรอบหลายปี ส่งผลให้การนำเข้าทองคำในไตรมาสแรกของปีนี้ มีมูลค่าสูงถึง 1.90แสนล้านล้าน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 61%
    นายวัลลภ วิตนากร ที่ปรึกษาสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทยกล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่า ทำให้การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบ และกึ่งสำเร็จรูปจากต่างประเทศมีราคาที่ถูกลงเพื่อนำมาใช้ในกระบวนการผลิตแทนใช้ของในประเทศเพื่อลดต้นทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาผู้ประกอบการเครื่องนุ่งห่มจะใช้วัตถุดิบในประเทศสัดส่วน 65% และนำเข้า 35% หากเงินบาทยังแข็งค่าขึ้นอีก คาดสัดส่วนการนำเข้าจะเพิ่มทดแทนเป็น 65% แทน ขณะที่การใช้ในประเทศจะเหลือเพียง 35%

    ส่วนนายเปล่งศักดิ์ ประกาศเภสัช นายกสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจเกษตรไทย กล่าวว่า จากบาทแข็งค่า ส่งผลให้การนำเข้าปุ๋ย แม่ปุ๋ย รวมถึงยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์จากต่างประเทศในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้มีแนวโน้มการนำเข้าเพิ่มขึ้น ซึ่งในรอบการส่งมอบอีก 2-3 เดือนข้างหน้าเกษตรกรอาจจะได้ใช้สินค้าในราคาที่ถูกลง เมื่อเทียบไตรมาสแรกที่การซื้อขายโค้ดราคาล่วงหน้าตั้งแต่ปลายปีถึงต้นปี ที่ค่าเงิน30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

 จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,840 วันที่  2-4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556