ที่มา http://www.logisticsdigest.com/news/economy/item/9231
นายวัลลภ วิตนากร ที่ปรึกษาสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย กล่าวว่าการส่งออกไตรมาส 2 คาดจะขยายตัวลดลงใกล้เคียงไตรมาสแรก ถ้าเงินบาทแข็งค่าอีกจะทำให้ไตรมาส 2 เป็นช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายว่า ผู้ส่งออกจะต่อสู้กับปัจจัยเสี่ยงได้หรือไม่ เพราะไม่ใช่แค่ค่าบาท แต่ยังมีค่าแรงงาน 300 บาท ที่ทำให้มีภาระต้นทุนเพิ่ม แต่ไม่ปรับราคาสินค้าได้ เท่ากับว่าอยู่ในสถานะไม่สามารถแข่งขันได้
"ผู้ซื้อไม่คิดจะขึ้นราคาให้อยู่แล้ว เพราะขายปลีกปลายทางขึ้นไม่ได้ เศรษฐกิจในสหรัฐ ยุโรป ยังคลุมเครือ ว่าจะฟื้นได้หรือไม่ ภาครัฐต้องพิจารณาได้แล้วว่าจะช่วยผู้ส่งออกอย่างไร"นายวัลลภ กล่าว
ทั้งนี้ เงินบาทที่แข็งค่าตั้งแต่ต้นเดือนม.ค.จนถึงขณะนี้เทียบกับปลายปีก่อนแข็งค่าไปแล้ว 5% การที่เงินบาทไทยแข็งค่าสูงสุดในภูมิภาค ทำให้คำสั่งซื้อสินค้าลดลงตั้งแต่ปลายไตรมาสแรกแล้ว คาดจะต่อเนื่องถึงไตรมาส 2 เพราะผู้ซื้อต่างประเทศจะเทคำสั่งซื้อไปที่เวียดนาม อินโดนีเซีย และจีน มีค่าเงินสวนทางกับไทย คาดจะได้เห็นเงินบาทที่ 28 บาทต่อดอลลาร์เร็วๆ นี้
"ปัญหาค่าเงินทำให้ไม่สามารถโค้ดราคาขายสินค้าได้ ขณะที่เวียดนาม อินโดนีเซีย โค้ดราคาสินค้าให้ลูกค้าได้ทันที เมื่อโค้ดราคาไม่ได้รับออร์เดอร์ก็ไม่ได้ ผู้ซื้อก็มีเหตุผลที่ไม่สามารถขึ้นราคาให้ไทยได้ เพราะเศรษฐกิจปลายทางยังไม่แน่นอน ดังนั้นเรื่องปรับราคาขายต้องไม่ต้องพูดถึง"
เตือนตลาดใหม่หายาก
สำหรับการแก้ปัญหาโดยหาตลาดใหม่ เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เมื่อประเมินสถานะรายตลาดพบว่า หลายภูมิภาคยังมีเศรษฐกิจไม่แน่นอนรวมทั้งอาเซียน ส่วนจีนและอินเดีย ไม่ใช่ตลาดที่มีอัตราขยายตัวโดดเด่น เหมือนหลายปีที่ผ่านมา ขณะที่สหรัฐและยุโรปเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว
"ถ้าส่งออกเดือนหน้าไม่ถึง 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ สถานการณ์ส่งออกปีนี้น่าเป็นห่วง ตอนนี้สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กำลังจะปรับเป้าส่งออกใหม่ แต่ขอดูตัวเลขเดือนมี.ค.ก่อน คาดส่งออกปีนี้น่าจะไม่เกิน 5.5% ”นายวัลลภ กล่าว และว่าอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม ได้รับผลกระทบใน 2 ด้านคือ การส่งออกที่ชะลอตัวลง และการค้าภายในไม่น่าจะขยายตัวได้ เพราะประชาชนมีภาระค่าใช้จ่าย จากโครงการรถยนต์คันแรกไปแล้ว การซื้อสินค้าอื่นๆ จึงมีไม่มาก"
ส่งออกกุ้งอาการน่าห่วงค่าเงิน-ราคา
นายผณิศวร ชำนาญเวช นายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย กล่าวว่า การส่งออกไตรมาส 2 และทั้งปี ยังน่าเป็นห่วงโดยเฉพาะการส่งออกกุ้ง ที่ปีนี้เป็นครั้งแรกที่ส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐไม่ถึง 24% จากปีก่อนอยู่ที่ 28% สาเหตุคือไม่มีกุ้ง เพราะไม่มีความชัดเจนว่ากุ้งรอบใหม่จะออกสู่ตลาดเมื่อใดและมีปริมาณเท่าใด ทำให้ผู้ส่งออกไม่สามารถรับคำสั่งซื้อได้
"โรงงานในเมืองไทยมีกำลังผลิต 5.5 แสนตันต่อปี แต่ตอนนี้มีกุ้งไม่ถึง 3 แสนตัน แล้วโรงงานจะเอาอะไรทำ จะหยุดผลิตต้องจ่ายค่าแรง 75% ถ้าเลิกจ้างก็ผิดกฎหมาย ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้"
นายผณิศวร กล่าว
นายสมเกียรติ อนุราษฎร์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ไตรมาส 2 ยังมีปัญหาเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ทำให้การส่งออกแข่งขันลำบาก เพราะราคาสินค้าไทยจะสูงกว่าคู่แข่ง เมื่อเทียบกับเวียดนามที่ค่าเงินไม่ผันผวน ส่วนอินโดนีเซีย กลับมีแนวโน้มค่าเงินอ่อนตัว การแก้ปัญหาหากจะให้เห็นผลช่วงไตรมาส 2 คงจะไม่ทันการณ์ เพราะการหาตลาดต้องใช้เวลาในการติดต่อเจรจา เชื่อว่าการส่งออกไตรมาส 2 จะยังไม่กระเตื้องเช่นเดียวกับไตรมาสแรก
"ช่วงไตรมาสแรกได้รับผลกระทบจากค่าเงินที่แข็งค่ามากแลกเป็นเงินบาทได้น้อยลง ไตรมาส 2 ราคาเราแข่งขันเขาไม่ได้ ทำให้การส่งออกปีนี้น่าเป็นห่วง เพราะค่าเงินแข็งกว่าคู่แข่ง"นายสมเกียรติ กล่าว
ลุ้นญี่ปุ่นเปิดตลาดนำเข้าไก่สด
นางฉวีวรรณ คำพา ประธาน บริษัท ฉวีวรรณกรุ๊ป กล่าวว่าจากราคาไก่ที่ปรับเพิ่มขึ้นทำให้ผู้นำเข้าหันไปเจรจาต่อรองนำเข้าไก่จากจีนแทน แต่ระหว่างนั้นได้เกิดปัญหาไข้หวัดนก ทำให้ผู้นำเข้าหันเข้ามาซื้อที่ไทย แต่ก็มีปัญหาเรื่องราคาที่สูงขึ้น เนื่องจากเงินบาทที่แข็งค่า ดังนั้นหากเงินบาทแข็งค่าไปกว่านี้ ผู้ส่งออกคงไม่สามารถปรับราคาได้อีก
"ปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นทั้งเงินบาทแข็งค่า ค่าแรง และวัตถุดิบอาหารสัตว์มีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้ผู้ส่งออกไม่กล้ารับออเดอร์ครั้งละมากๆ ต้องทำฟอเวิร์ดเงินเป็นครั้งๆ ที่สำคัญภาวะนี้สถาบันการเงิน ก็ไม่มีการปล่อยสินเชื่อเลย ดังนั้นภาครัฐควรจะมีมาตรการช่วยเหลือบ้าง ปีนี้ผู้ส่งออกต้องรับภาระหนักจริงๆ” นางฉวีวรรณ กล่าว และว่าการส่งออกไก่ของไทยในปีนี้จะได้ 6 แสนตัน มูลค่าประมาณ 7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่ส่งออกได้ 5.3 แสนตัน มูลค่า 6 หมื่นล้านบาท กรณีที่ญี่ปุ่นเปิดตลาดไก่สดให้กับไทยอีกครั้ง จะมีโอกาสส่งออกได้มากกว่าเป้าที่กำหนดไว้"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น