head ads

วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

มรสุมซัดอุตฯเซรามิก4เด้ง!

ที่มา มรสุมซัดอุตฯเซรามิก4เด้ง!
อุตฯเซรามิก เจอ 4 เด้ง ซัดภาคการผลิตเซ โดยทั้งค่าบาทแข็ง ก๊าซหุงต้มขึ้นราคา ค่าจ้าง 300 บาท แถมสินค้าจากต่างประเทศได้อานิสงส์ค่าเงินบาทนำเข้าขายราคาถูกทะลักมากขึ้น กระทบกลุ่มเอสเอ็มอีที่ผลิตตามบ้านเรือนปิดกิจการแล้ว 40-50 ราย ยันอยากเห็นค่าเงินที่ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ช่วงพยุงภาวะขาดทุน จากสต๊อกที่ค้างอยู่ส่งออกไม่ได้

     นายอำนาจ ยะโสธร เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากการที่ประเทศไทยประสบปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทในปัจจุบันตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อกลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสินค้าใน 3 ประเภท ได้แก่ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร ที่มีมูลค่าการส่งออกปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 5.346 พันล้านบาท กลุ่มเครื่องสุขภัณฑ์  4.309 พันล้านบาท กระเบื้องปูพื้นและปูผนัง  3.685 พันล้านบาท ที่ส่วนใหญ่จะส่งออกไปตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป กำลังจะประสบปัญหากับภาวะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และอาจทำให้ยอดการส่งออกลดลง ซึ่งจะมีผลต่อมูลค่าการส่งออกปีนี้ลดลงด้วย

     "นอกจาก ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแล้ว ยังได้รับผลกระทบจากสินค้าเซรามิที่นำเข้ามาจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก จากปกติที่นำเข้ามาขายในราคาที่ต่ำอยู่แล้ว แต่เมื่อมาเจอค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอีก ยิ่งทำให้สินค้าเซรามิกทะลักเข้ามามากขึ้นกว่าเดิมทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าในราคาต่ำได้"

    ขณะเดียวกันยังจะประสบปัญหาต้นทุนพลังงานที่เพิ่มมากขึ้น จากกรณีที่กระทรวงพลังงานจะปรับราคาก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจี ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตในวันที่ 1 มิถุนายนนี้ อีก 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม  จากเดิมราคา 18.13 บาทต่อกิโลกรัม จะส่งผลให้กลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิกขนาดเล็กจริงๆ ต้องแบกรับภาระต้นทุนเพิ่ม โดยยังไม่รวมต้นทุนที่เกิดจากการปรับค่าจ้าง 300 บาทต่อวันเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้น สิ่งที่กลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิก โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีต้องเผชิญอยู่ขณะนี้ถือว่าโหดร้ายอย่างมาก

    นายอำนาจ กล่าวอีกว่า จากปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ปิดกิจการไปแล้วประมาณ 40-50 ราย ที่ส่วนใหญ่มีสายการผลิตอยู่ในบ้าน มีพนักงานระหว่าง 40-50 คน โดยกลุ่มนี้ที่ปิดกิจการลงจะเป็นเรื่องของการแบกภาระต้นทุนและการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่ไหว ส่วนผู้ผลิตขนาดกลางและรายใหญ่ จะกระทบในเรื่องของค่าเงินบาทและการปรับขึ้นของต้นทุนพลังงาน เป็นต้น

    ทั้งนี้ มองว่า ค่าเงินบาทในประเทศไทยสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิกควรอยู่ที่ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ถือว่าเหมาะสมมากที่สุด เพราะปัจจุบันกลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิก ยังมีสินค้าค้างสต๊อกอยู่จำนวนมากและไม่สามารถปรับขึ้นราคาได้ เนื่องจากส่งออกไปก็จะประสบภาวะขาดทุน จึงได้ชะลอการส่งออก เพื่อรอให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพมากกว่านี้

    อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้ประกอบการพยายามดิ้นรนอยู่ขณะนี้คือจะทำอย่างไร ให้สามารถลดต้นทุนการผลิตให้ได้ต่ำที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของลดค่าใช้จ่าย การหาตลาดใหม่ การเพิ่มมูลค่าของสินค้าโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และเน้นคุณภาพในตราสินค้าที่ปัจจุบันเป็นจุดเด่นที่คู่แข่งขันไม่สามารถสู้ได้
    นอกจากนี้ ในส่วนของกลุ่มเอสเอ็มอี ควรจับมือกับกลุ่มผู้ประกอบการด้วยกัน ในเรื่องของการใช้เตาเผาร่วมกัน โดยใช้เตาเผาที่ประหยัดพลังงานใช้งานได้ 24 ชั่วโมง เพราะเตาเผารุ่นเก่าช่วงเปิดและปิดจะทำให้มีการใช้พลังงานที่สูง

    ทั้งนี้ ภาครัฐจะต้องเร่งประชาสัมพันธ์หรือทำความเข้าใจกับผู้บริโภคให้มากขึ้น ในเรื่องของคุณภาพสินค้า เพื่อสกัดการไหลเข้าของสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพตามมาตรฐาน เพราะเมื่อลูกค้าซื้อสินค้านำเข้ามาใช้ เช่น กระเบื้อง เมื่อปูลงพื้นไปแล้วจะพบว่าเกิดการหลุดลอกของกระเบื้องที่ไม่ได้มาตรฐาน และลูกค้าต้องเสียเงินซื้อสินค้าใหม่ ดังนั้น สิ่งที่ผู้บริโภคควรคำนึงคือ เลือกสินค้าที่มีคุณภาพที่ผลิตโดยคนไทย ถึงแม้ว่าจะราคาแพงกว่าก็ตาม แต่ถือว่าคุ้มค่ากว่าเมื่อเทียบกับการต้องเปลี่ยนสินค้าบ่อยๆ

    "สิ่งที่อยากให้ภาครัฐช่วยเหลือ ในเรื่องของการสนับสนุนเงินทุนที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ สนับสนุนในเรื่องของปรัดลดราคาเครื่องจักรหรือลดภาษีในเรื่องต่างๆ ให้เอสเอ็มอี  ถึงแม้ว่าจะมีหลายหน่วยงานนำเสนอข่าวสารและศึกษาแนวทางในการช่วยเหลือเอสเอ็มอีอยู่แล้วก็ตาม แต่ก็อยากให้มีความชัดเจนรวดเร็ว และลงลึกมากกว่านี้"

 จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,841 วันที่  5-8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ท่องเที่ยวใต้ยังคึกคัก‘ททท.’ชูคอนเซ็ปต์ป่าสวย ทะเลใสฯ

วันอังคาร ที่ 07 พฤษภาคม พ.ศ. 2556, 06.00 น.
นายปรเมศวร์ อมาตยกุล ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)เปิดเผยว่า ในขณะนี้การท่องเที่ยวในภาคใต้ถือว่ามีการเติบโตมากกว่าปี 2555 ที่ผ่านมา โดยมีอัตรานักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 28.99% ส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น 87,696.34 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 4.03% และคาดว่าในปี 2556 นี้จะเติบโตขึ้นอีกประมาณ 20% ซึ่งนับว่าการท่องเที่ยวในภาคใต้ยังคงได้รับความนิยมสูงอยู่ ทั้งในส่วนของนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยเอง

ในปี 2556 นี้ทาง ททท.มีแผนประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ในภาคใต้ ซึ่งมีทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล ป่า และศาสนา ตามคอนเซ็ปต์ของการท่องเที่ยวภาคใต้ “ป่าสวย ทะเลใส หลากหลายวัฒนธรรม” เพื่อให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมอย่าง ภูเก็ต มีจำนวนนักท่องเที่ยวที่ค่อนข้างจะแออัดแล้ว ททท.จึงเริ่มทำประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวที่ใหม่ๆ โดยมีกิจกรรมการออกบูธตามภาคต่างๆของประเทศ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวในภาคอื่นๆ ให้เข้ามาท่องเที่ยวในภาคใต้มากขึ้น อีกทั้ง ททท.ยังเตรียมจัดงาน “เที่ยววันธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา” และงาน “มหัศจรรย์ 2 ฝั่งทะเลใต้” เพื่อเป็นการกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับในส่วนของแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ในภาคใต้ ที่มีทั้งความอุดมสมบูรณ์ และไม่แออัด อาทิ เกาะตาชัย เกาะหลีเป๊ะ และหมู่เกาะตะรุเตา เพราะการเดินทางที่สะดวกมากขึ้น มีสายการบินที่บินตรงถึงเกาะ นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อไปยังลังกาวีได้

จึงทำให้แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลเหล่านี้เริ่มได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากขึ้น โดยส่วนใหญ่ยังคงเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และจะพักประมาณ 4-5 วันเฉลี่ยค่าใช้จ่ายในแต่ละวันอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาทต่อคน

ส่วนแหล่งท่องเที่ยวประเภทอื่นๆ ในภาคใต้ที่ทาง ททท.จะเน้นย้ำการประชาสัมพันธ์แก่นักท่องเที่ยวคือ ป่าไทรนับร้อยปีที่ได้ชื่อว่า “Little Amazon” ในจังหวัดพังงา ซึ่งในขณะนี้เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแล้ว แต่ในตลาดนักท่องเที่ยวชาวไทยยังไม่ได้ผลตอบรับมากนัก ดังนั้น ททท.จะมีการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น เพื่อให้มีการเข้ามาท่องเที่ยวกันมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงศาสนาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีความน่าสนใจ ซึ่งในขณะนี้ยังคงได้รับความนิยมสูงจากนักท่องเที่ยวกลุ่มมาเลเซีย ที่เข้ามาทำบุญ ไหว้พระ สำหรับปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นั้น ก็ยังคงต้องเฝ้าระวังต่อไป แต่ ททท.ก็ยังคงมีการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้ ททท.จัดทำโครงการ “เที่ยว 12 เดือนสุขใจ ให้พลังชีวิต” เพื่อเป็นการกระตุ้นนักท่องเที่ยวทำบุญ ไหว้พระ เสริมสิริมงคล ที่รวมวัดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไว้ด้วย

มี.ค.ส่งออกยานยนต์โต11% ตลาดยุโรปขยายตัวสูงสุด

วันอังคาร ที่ 07 พฤษภาคม พ.ศ. 2556, 20.00 น.

ที่มา หนังสือพิมพ์แนวหน้า
7 พ.ค.56 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจ เดือน มี.ค. และแนวโน้มปี 56 ต่อ ครม.ว่า แม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 4.5-5.5% อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 2.5-3.5% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 0.9%ของจีดีพี

การส่งออกในเดือน มี.ค.มีมูลค่า 2.04 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 4.2% เทียบกับเดือน ก.พ.ที่หดตัว 4.6% ส่งผลให้ไตรมาสแรกของปี 56 มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.5% เทียบกับเป้าหมายการส่งอออกทั้งปีที่กำหนดไว้ที่ 9%

ในเดือนมี.ค.สินค้าส่งออกที่ยังขยายตัวได้ดี ได้แก่ ยานยนต์ขยายตัว 11% เครื่องใช้ไฟฟ้าขยายตัว 11.2% สินค้าการส่งออกที่หดตัว ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์หดตัว 11.3% สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่มหดตัว 3.7% ยางพาราหดตัว 11.1% สินค้าประมงหดตัว 22.1% สินค้าเกษตรแปรรูปหดตัว 0.9% และทองคำหดตัว 36.9%

ส่วนตลาดส่งออกสินค้าที่ขยายตัว ได้แก่ สหภาพยุโรปขยายตัว 15% ตลาดอาเซียนขยายตัว 5.5% ออสเตรเลียขยายตัว 39.9% ขณะที่ตลาดสหรัฐการส่งออกหดตัว 4.7% และการส่งออกไปตลาดญี่ปุ่นหดตัว 0.9%

ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมพบว่ามีการขยายตัวแต่ขยายตัวในเกณฑ์ที่ต่ำ เนื่องจากการหดตัวของภาคการผลิตที่มีสัดส่วนการส่งออกสูง ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัว 0.5% เทียบกับเดือนก.พ.ที่หดตัว 1.2% สอดคล้องกับการใช้กำลังการผลิตในเดือนมี.ค.ที่เพิ่มเป็น 70.4% เทียบกับเดือนก.พ.ที่มีการใช้กำลังการผลิต 62.9%

“สินค้าที่มีสัดส่วนการส่งออกต่ำกว่า 60% มีการขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะยานยนต์ สิ่งทอ และเคมีภัณฑ์ แต่สินค้าที่สัดส่วนส่งออกเกิน 60% การส่งออกหดตัวเป็นเดือนที่ 2 โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป เสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องหนัง อิเล็กทรอนิกส์ และฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ ทำให้การดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวในเกณฑ์ต่ำ เสถียรภาพเศรษฐกิจไทยอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อชะลอตัว การว่างงานต่ำ การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้น โดยเดือนมี.ค.ภาครัฐจัดเก็บรายได้สุทธิ 1.51 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก.พ.7.9% และสูงกว่าประมาณการรายได้ 1.3% ส่งผลให้ครึ่งปีงบประมาณรัฐจัดเก็บรายได้ 9.78 แสนล้านบาทสูงกว่าประมาณการ 9.48 หมื่นล้านบาท"

สำหรับหนี้สาธารณะของประเทศ ณ สิ้นเดือนก.พ.อยู่ที่ 5.07 ล้านล้านบาท หรือ 44.1% ของจีดีพี สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ขยายตัว 14.8% สภาพคล่องส่วนเกินในระบบอยู่ที่ 1.48 ล้านล้านบาท เพิ่มจากเดือนก.พ.ที่มีสภาพคล่องส่วนเกิน 1.42 ล้านล้านบาท
นอกจากนี้ ในเดือนมี.ค.มีเงินทุนไหลเข้าสุทธิ 222 ล้านเหรียญสหรัฐ สาเหตุหลักเป็นเพราะคนไทยไปลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้น ส่วนค่าเงินบาทเฉลี่ยในเดือนเม.ย.อยู่ที่ 29.07 บาทต่อเหรียญสหรัฐ แข็งค่าขึ้นจาก 29.52 บาทต่อเหรียญสหรัฐในเดือนมี.ค. โดย 4 เดือนแรกของปีค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 29.62 บาทต่อเหรียญสหรัฐ

ส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจโลกไตรมาสที่ 1 ฟื้นตัวอย่างล่าช้า โดยเศรษฐกิจสหรัฐปรับตัวดีขึ้น แต่ยังขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เศรษฐกิจกลุ่มยูโรโซนยังอยู่ในช่วงหดตัว เศรษฐกิจจีนขยายตัวต่ำกว่าที่คาดเช่นเดียวกับเศรษฐกิจอื่นๆในภูมิภาคเอเชีย ส่งผลให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศลดเป้าขยายตัวทางเศรษฐกิจเหลือ 3.3% จาก 3.5% ก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม แรงกดดันเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้ประเทศต่างๆดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่มีมาตรการผ่อนคลายการเงิน รวมถึงการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุไถ่ถอนที่ยาวขึ้นเพื่อสร้างแรงกดดันให้ดอกเบี้ยในตลาดลดต่ำลง ส่งผลให้ดัชนีภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้นเป็น 51.1% สูงที่สุดในรอบ 13 เดือน

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

บาทแข็งส่งออกเสื้อผ้า-เกษตรสาหัส

17 Apr 13 ,  กรุงเทพธุรกิจ
ที่มา http://www.logisticsdigest.com/news/economy/item/9231
"บาทแข็ง"ส่งออกเครื่องนุ่งห่ม-สินค้าเกษตรอาการน่าห่วง หลังผู้นำเข้าหันซื้อจากเวียดนาม-อินโดฯและจีนแทน เหตุสินค้าไทยราคาแพง คำสั่งซื้อลด
นายวัลลภ วิตนากร ที่ปรึกษาสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย กล่าวว่าการส่งออกไตรมาส 2 คาดจะขยายตัวลดลงใกล้เคียงไตรมาสแรก ถ้าเงินบาทแข็งค่าอีกจะทำให้ไตรมาส 2 เป็นช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายว่า ผู้ส่งออกจะต่อสู้กับปัจจัยเสี่ยงได้หรือไม่ เพราะไม่ใช่แค่ค่าบาท แต่ยังมีค่าแรงงาน 300 บาท ที่ทำให้มีภาระต้นทุนเพิ่ม แต่ไม่ปรับราคาสินค้าได้ เท่ากับว่าอยู่ในสถานะไม่สามารถแข่งขันได้

"ผู้ซื้อไม่คิดจะขึ้นราคาให้อยู่แล้ว เพราะขายปลีกปลายทางขึ้นไม่ได้ เศรษฐกิจในสหรัฐ ยุโรป ยังคลุมเครือ ว่าจะฟื้นได้หรือไม่ ภาครัฐต้องพิจารณาได้แล้วว่าจะช่วยผู้ส่งออกอย่างไร"นายวัลลภ กล่าว

ทั้งนี้ เงินบาทที่แข็งค่าตั้งแต่ต้นเดือนม.ค.จนถึงขณะนี้เทียบกับปลายปีก่อนแข็งค่าไปแล้ว 5% การที่เงินบาทไทยแข็งค่าสูงสุดในภูมิภาค ทำให้คำสั่งซื้อสินค้าลดลงตั้งแต่ปลายไตรมาสแรกแล้ว คาดจะต่อเนื่องถึงไตรมาส 2 เพราะผู้ซื้อต่างประเทศจะเทคำสั่งซื้อไปที่เวียดนาม อินโดนีเซีย และจีน มีค่าเงินสวนทางกับไทย คาดจะได้เห็นเงินบาทที่ 28 บาทต่อดอลลาร์เร็วๆ นี้

"ปัญหาค่าเงินทำให้ไม่สามารถโค้ดราคาขายสินค้าได้ ขณะที่เวียดนาม อินโดนีเซีย โค้ดราคาสินค้าให้ลูกค้าได้ทันที เมื่อโค้ดราคาไม่ได้รับออร์เดอร์ก็ไม่ได้ ผู้ซื้อก็มีเหตุผลที่ไม่สามารถขึ้นราคาให้ไทยได้ เพราะเศรษฐกิจปลายทางยังไม่แน่นอน ดังนั้นเรื่องปรับราคาขายต้องไม่ต้องพูดถึง"

เตือนตลาดใหม่หายาก

สำหรับการแก้ปัญหาโดยหาตลาดใหม่ เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เมื่อประเมินสถานะรายตลาดพบว่า หลายภูมิภาคยังมีเศรษฐกิจไม่แน่นอนรวมทั้งอาเซียน ส่วนจีนและอินเดีย ไม่ใช่ตลาดที่มีอัตราขยายตัวโดดเด่น เหมือนหลายปีที่ผ่านมา ขณะที่สหรัฐและยุโรปเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว

"ถ้าส่งออกเดือนหน้าไม่ถึง 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ สถานการณ์ส่งออกปีนี้น่าเป็นห่วง ตอนนี้สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กำลังจะปรับเป้าส่งออกใหม่ แต่ขอดูตัวเลขเดือนมี.ค.ก่อน คาดส่งออกปีนี้น่าจะไม่เกิน 5.5% ”นายวัลลภ กล่าว และว่าอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม ได้รับผลกระทบใน 2 ด้านคือ การส่งออกที่ชะลอตัวลง และการค้าภายในไม่น่าจะขยายตัวได้ เพราะประชาชนมีภาระค่าใช้จ่าย จากโครงการรถยนต์คันแรกไปแล้ว การซื้อสินค้าอื่นๆ จึงมีไม่มาก"

ส่งออกกุ้งอาการน่าห่วงค่าเงิน-ราคา

นายผณิศวร ชำนาญเวช นายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย กล่าวว่า การส่งออกไตรมาส 2 และทั้งปี ยังน่าเป็นห่วงโดยเฉพาะการส่งออกกุ้ง ที่ปีนี้เป็นครั้งแรกที่ส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐไม่ถึง 24% จากปีก่อนอยู่ที่ 28% สาเหตุคือไม่มีกุ้ง เพราะไม่มีความชัดเจนว่ากุ้งรอบใหม่จะออกสู่ตลาดเมื่อใดและมีปริมาณเท่าใด ทำให้ผู้ส่งออกไม่สามารถรับคำสั่งซื้อได้

"โรงงานในเมืองไทยมีกำลังผลิต 5.5 แสนตันต่อปี แต่ตอนนี้มีกุ้งไม่ถึง 3 แสนตัน แล้วโรงงานจะเอาอะไรทำ จะหยุดผลิตต้องจ่ายค่าแรง 75% ถ้าเลิกจ้างก็ผิดกฎหมาย ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้"
นายผณิศวร กล่าว

นายสมเกียรติ อนุราษฎร์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ไตรมาส 2 ยังมีปัญหาเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ทำให้การส่งออกแข่งขันลำบาก เพราะราคาสินค้าไทยจะสูงกว่าคู่แข่ง เมื่อเทียบกับเวียดนามที่ค่าเงินไม่ผันผวน ส่วนอินโดนีเซีย กลับมีแนวโน้มค่าเงินอ่อนตัว การแก้ปัญหาหากจะให้เห็นผลช่วงไตรมาส 2 คงจะไม่ทันการณ์ เพราะการหาตลาดต้องใช้เวลาในการติดต่อเจรจา เชื่อว่าการส่งออกไตรมาส 2 จะยังไม่กระเตื้องเช่นเดียวกับไตรมาสแรก

"ช่วงไตรมาสแรกได้รับผลกระทบจากค่าเงินที่แข็งค่ามากแลกเป็นเงินบาทได้น้อยลง ไตรมาส 2 ราคาเราแข่งขันเขาไม่ได้ ทำให้การส่งออกปีนี้น่าเป็นห่วง เพราะค่าเงินแข็งกว่าคู่แข่ง"นายสมเกียรติ กล่าว

ลุ้นญี่ปุ่นเปิดตลาดนำเข้าไก่สด

นางฉวีวรรณ คำพา ประธาน บริษัท ฉวีวรรณกรุ๊ป กล่าวว่าจากราคาไก่ที่ปรับเพิ่มขึ้นทำให้ผู้นำเข้าหันไปเจรจาต่อรองนำเข้าไก่จากจีนแทน แต่ระหว่างนั้นได้เกิดปัญหาไข้หวัดนก ทำให้ผู้นำเข้าหันเข้ามาซื้อที่ไทย แต่ก็มีปัญหาเรื่องราคาที่สูงขึ้น เนื่องจากเงินบาทที่แข็งค่า ดังนั้นหากเงินบาทแข็งค่าไปกว่านี้ ผู้ส่งออกคงไม่สามารถปรับราคาได้อีก

"ปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นทั้งเงินบาทแข็งค่า ค่าแรง และวัตถุดิบอาหารสัตว์มีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้ผู้ส่งออกไม่กล้ารับออเดอร์ครั้งละมากๆ ต้องทำฟอเวิร์ดเงินเป็นครั้งๆ ที่สำคัญภาวะนี้สถาบันการเงิน ก็ไม่มีการปล่อยสินเชื่อเลย ดังนั้นภาครัฐควรจะมีมาตรการช่วยเหลือบ้าง ปีนี้ผู้ส่งออกต้องรับภาระหนักจริงๆ” นางฉวีวรรณ กล่าว และว่าการส่งออกไก่ของไทยในปีนี้จะได้ 6 แสนตัน มูลค่าประมาณ 7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่ส่งออกได้ 5.3 แสนตัน มูลค่า 6 หมื่นล้านบาท กรณีที่ญี่ปุ่นเปิดตลาดไก่สดให้กับไทยอีกครั้ง จะมีโอกาสส่งออกได้มากกว่าเป้าที่กำหนดไว้"

พัฒนาการด้านอุตสาหกรรมหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ของประเทศจีน

ที่มา http://vclass.mgt.psu.ac.th/~465-302/2007-1/Assignment-02/BPA_30_72/evalu/china.htm
 แนวคิดของเหมา เจ๋อ ตุง ทำลายพันธนาการศักดินาและขจัด อิทธิพลของจักรวรรดินิยมได้ในปี ค.ศ. 1950  ต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 1953-1957  จีนอยู่ภายใต้แผนเศรษฐกิจ 5 ปี แผนแรก ในช่วงนี้รายได้ประชาชาติเพิ่มโดยเฉลี่ยปีละ 8.9 เปอร์เซ็นต์ มีการลงทุนในอุตสาหกรรมหนัก อาทิ อุตสาหกรรมโลหะ เครื่องจักรไฟฟ้า ถ่านหิน  น้ำมัน และเคมี ต่อมาในปี ค.ศ. 1958-1962 แผนระยะ 5 ปี ฉบับที่ 2 จีนใช้นโยบายกระโดดไปข้างหน้า (Great Leap Forward) การลงทุนยังเป็นอุตสาหกรรมหนักอย่างเดิม แต่ทางเกษตรมีการระดมแรงงานมาสร้างทำนบ เขื่อน  ต่อมาในปี ค.ศ. 1976 หลังการเสียชีวิตของเหมามีการปรับการบริหารเศรษฐกิจ  จีนหันมาสนใจสั่งเทคโนโลยีเข้าจากต่างประเทศ ยกเลิกการปฏิวัติวัฒนธรรม นำระบบโบนัสมาใช้ใหม่ เพิ่มราคาผลผลิตทางเกษตรและเพิ่มค่าจ้างแรงงาน  ในปัจจุบันจีนได้เข้าเป็นสมาชิกของ WTO ได้ผลักดันให้ประเทศมีนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ยึดมั่นการกระตุ้นอุปสงค์ของตลาดภายในประเทศ และดำเนินนโยบายการคลังในเชิงรุกเพื่อยึดเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวของประเทศ รวมทั้งรักษาเสถียรภาพของค่าเงินหยวน เร่งปรับโครงสร้างด้านการเกษตรและปฏิรูปชนบทเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมไฮเทค เพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและเพิ่มมูลค่าของสินค้า

การพัฒนาอุตสาหกรรมของจีน
                เมื่อราวๆ กลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีการวิพากษ์ในหนังสือพิมพ์จีนว่าด้วย การทบทวนและประเมินการพัฒนาอุตสาหกรรมจีนตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 จนปัจจุบัน และเปรียบเทียบกับการพัฒนาอุตสาหกรรมหลังเปิดประเทศปฏิรูปเศรษฐกิจ ซึ่งมีหลากหลายความเห็นที่น่าสนใจที่ไทยอาจต้องศึกษา เพื่อนำมาใช้เป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบายหรือยุทธศาสตร์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมและการลงทุนของประเทศ
                เนื่องจากประเทศจีนได้เริ่มพัฒนาตามแบบฉบับอุตสาหกรรมใหม่ (ปฏิวัติอุตสาหกรรม
ครั้งที่ 1) ประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย และเกิดการชะงักงันเป็นเวลาหลายสิบปีจวบจนกลางศตวรรษที่ 20 และเกือบหยุดสนิทประมาณ 30 ปี เสร็จแล้วใช้เวลาอีก 20 ปี ในการพัฒนาแบบก้าวกระโดดจนกระทั่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีในหลายๆ ด้านของโลก นักวิชาการจีนดังกล่าวมีความเห็นว่า ที่จีนสามารถพัฒนาจนเป็นเช่นนี้ เกิดจากกระแสความคิด 2 กระแส

                กระแสแรก จีนได้วางพื้นฐานอุตสาหกรรมหนักไว้ตั้งแต่ต้นและไม่เคยละทิ้ง เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก เครื่องจักรกล เคมี จึงกลายเป็นพื้นฐานรองรับและประกันการพัฒนา

                กระแสที่สอง ในช่วงที่จีนเปิดประเทศใหม่ๆ ว่าด้วยแนวทางที่จะนำเข้าเทคโนโลยี
สมัยใหม่ มีกลุ่มหนึ่งเห็นคล้อยตามคำแนะนำของประเทศที่พัฒนาแล้วสมัยนั้นว่าควรที่จะพัฒนาตามขั้นตอน เนื่องจากเทคโนโลยีจีนขณะนั้นล้าหลังอยู่มาก จึงเลือกนำเข้าเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในระดับก่อนหน้าสมัยนั้น 5-10 ปี

                ถึงแม้เทคโนโลยีที่จีนใช้ในขณะนั้นจะล้าหลังในสากลโลก แต่ถือว่าทันสมัยมาก
สำหรับจีน ในการผลิตและจำหน่ายในตลาดของจีน ซึ่งรับความนิยมสูงมาก เช่น รถยนต์ จักรยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ขณะเดียวกัน ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่เห็นว่า พื้นฐานทางวิชาการและเทคโนโลยีจีน พร้อมอยู่แล้ว จึงเลือกที่จะก้าวกระโดดโดยซื้อเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด ณ ขณะ นั้น เช่น ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และการ
สื่อสาร เทคโนโลยีอวกาศ อุตสาหกรรมเหล็ก ปรากฏในภายหลังว่า ทั้งสองกลุ่มได้พบ
จุดบรรจบกันในช่วงสิ้นศตวรรษที่ 20 และนำมาซึ่งความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยี
และอุตสาหกรรมอีกระลอกดังที่เห็นกันขณะนี้

                ผลและสภาพของการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมของจีนที่เราได้เห็นทุกวันนี้ นัก
วิชาการจีนส่วนใหญ่มองว่าเป็นผลเกิดจากการปูพื้นฐานทางวิชาการและการพัฒนา อุตสาหกรรมหนักตั้งแต่สมัยแรก กลายเป็นหลักประกันสนับสนุนให้อุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งอุตสาหกรรมเบา เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ ให้พัฒนาอยู่บนขาของตนเอง ไม่ว่าจะ เป็นวัตถุดิบ เช่น เหล็กและโลหะอื่นๆ พลาสติก และเคมี ที่เป็นพื้นฐานนำไปแปรรูป ต่อจนจีนสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระดับสูงดังที่เป็นอยู่ และเป็นพื้นฐานในการ พัฒนาเทคโนโลยีและสิทธิบัตรตราสินค้าของตนเอง


อุตสาหกรรมโทรคมนาคมของจีน

ในยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge based economy) การสร้างนวัตกรรมในภาคอุตสาหกรรมโทรคมนาคมถูกนำมาเป็นยุทธศาสตร์ระดับชาติที่ได้รับความสนใจในหลายๆประเทศ รวมถึงประเทศจีนด้วย และหากพิจารณาขนาดตลาดโทรคมนาคมในโลก จะเห็นได้ว่า ประเทศจีนจะมีขนาดของตลาดที่ใหญ่ที่สุด รองลงมาจะเป็นประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศญี่ปุ่น

ส่วนประเทศจีนเพิ่งจะอยู่ในสถานะเริ่มต้นเท่านั้น แต่ก็เป็นประเทศที่กำลังจะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ของโลกในอีกไม่นานนี้อันมีแรงผลักดันหลายประการดังนี้

ประการแรก คือ ประเทศจีนมีตลาดท้องถิ่นขนาดใหญ่สนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมโทรคมนาคม เติบโตอย่างรวดเร็ว

ประการที่สอง คือ ประเทศจีนมีห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ที่เข้มแข็ง และมีประสบการณ์ที่ดีโดยได้เรียนรู้จากบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมและบริษัทให้บริการข้อมูล

ประการที่สาม คือ ประเทศจีนมีการส่งเสริมธุรกิจด้านผู้ผลิต และผู้ประกอบการ และ

ประการที่สี่ ภาครัฐบาลมีบทบาทในการออกกฎระเบียบที่สำคัญ ในการก่อสร้าง สนับสนุน บ่มเพาะธุรกิจโทรคมนาคม ที่มีประสิทธิภาพจึงสามารถกล่าวได้ว่ารัฐบาลของประเทศจีน เป็นผู้นำให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมโดยใช้กลยุทธ์แบบ Macroscopic strategies และการให้ความสำคัญกับการร่วมกันพัฒนาระหว่างบริษัทผู้ประกอบการโทรคมนาคม (Operator) และบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคม (Supplier / Manufacturer) อย่างชัดเจนที่สุด โดยเป็นการร่วมกันพัฒนาภายใต้การนำโดยกลยุทธ์ของรัฐบาลเป็นปัจจัยหลัก

                ผู้ประกอบกิจการด้านโทรคมนาคมหลายแห่งจากจีนได้เข้ามาให้บริการกับลูกค้าในประเทศจีน ตัวอย่างเช่น บริษัท SK Telecom และ NTTDoCoMo รวมถึงบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ต่างๆ

ตั้งแต่บริษัท China Unicom ผู้ให้บริการด้านโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศจีน ได้นำระบบ CDMA เข้ามาใช้เป็นเจ้าแรก ทำให้ผู้ให้บริการจากเกาหลีและญี่ปุ่นพยายามที่จะเข้ามาลงทุนในจีน อันเนื่องจากว่า ทั้งคู่สามารถปรับเข้าใช้โครงข่าย CDMA ได้โดยง่าย เพราะมีประสบการณ์ทางเทคโนโลยีด้านนี้อยู่แล้ว โดย CDMA เป็นคู่ต่อสู้กับระบบ GSM ที่มีผู้ใช้อยู่ในจีนแล้วกว่า 130 ล้านราย

จีนได้เข้ามาเป็นสมาชิกขององค์กรการค้าโลก (WTO: World Trade Organization) เมื่อปี 2001 ทำให้จีนต้องมีการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของอุตสาหกรรมด้านโทรคมนาคม โดยรัฐบาลกลางได้พิจารณาส่งเสริมให้มีการเปิดกว้างอุตสาหกรรมโทรคมนาคม อันเนื่องมาจากการเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้จีนเป็นตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใหญ่ที่สุดอันเนื่องมาจากมีประชากรเป็นจำนวนมากนั่นเอง

ผู้นำของจีนก็ตระหนักดีว่า อุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน ได้เข้าสู่ยุคใหม่ โดยเป็นยุคแห่งความร่วมมือกันระหว่างบริษัทต่างชาติกับประเทศจีน และความร่วมมือนี้จะต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว เพื่อการก้าวไปเป็นบริษัทระดับนานาชาติได้ในปี 2003 การเติบโตของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในประเทศจีน ดำเนินไปอย่างมั่นคง การขยายตัวของความต้องการ และมูลค่าที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ถูกจับตามองจากนานาชาติ จำนวนผู้ใช้โทรศัพท์ทั่วประเทศสูงถึง 500 ล้าน จำนวนผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ มีมากกว่าผู้ใช้โทรศัพท์ Fixed line และยอดผู้ใช้อินเตอร์เน็ต (ไม่รวมโมมายอินเตอร์น็ต) มีจำนวนสูงกว่า 80 ล้าน ซึ่งเป็นอันดับสองของโลก

                จากสถิติพบว่าจะมีจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์รายใหม่อยู่ที่ 90 ล้านรายต่อปี โดยในสิ้นเดือนกันยายนปี 2004 มีจำนวนมากกว่า 626 ล้านราย โดยกว่า 320 ล้านรายจะเป็นผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ จนทำให้เกิดรายได้กว่า 386.2 พันล้านหยวน (46.5 พันล้านดอลล่าสหรัฐฯ)



ตัวบ่งชี้ที่จะบอกได้ว่าประเทศจีนมีบางอย่างที่สามารถเป็นเจ้าแห่งโทรคมนาคมได้ คือ

1. จีนมีการจัดตั้งระบบการรวมอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ทั้งงานวิจัยและพัฒนา, การดำเนินการ, การให้บริการ ไว้ด้วยกันเป็นห่วงโซ่

2. เครือข่ายโทรคมนาคมถูกวางระบบด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด

3. จีนมีขนาดของตลาดสำหรับธุรกิจโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในโลก

4. จีนมีผู้ประกอบการโทรคมนาคมระดับยักษ์ใหญ่อยู่หลายราย มีการลงทุนสูง มีการแข่งขัน ในระดับนานาชาติ

5. มีการบริการ ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการให้ผู้ใช้มีความพึงพอใจ

6. การให้บริการโครงข่าย ทั้งทางเสียงและข้อมูล ในตลาดโทรคมนาคม มีการขยายตัว ไปยังเอเชียและแปซิฟิกอย่างชัดเจน

7. ผู้ประกอบการจีน พุ่งเป้าไปยังการลงทุนและทำธุรกิจระหว่างประเทศ (Global capital market) ด้วยการลงทุนด้วยมูลค่าสูง

8. ตั้งแต่จีนเข้าสู่การเป็นสมาชิก WTO มีผู้ประกอบการรายใหญ่จากนานาชาติเข้าไปยังประเทศจีน ก่อตั้งศูนย์กลาง การทำการวิจัยและพัฒนา อย่างมากมาย



อุตสาหกรรมโทรคมนาคมของประเทศจีนที่ประเทศไทยควรเรียนรู้
        ปัจจุบันสภาพตลาดของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในประเทศจีนมีการแข่งขันกันสูงขึ้น มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้น ประกอบกับมีการกระตุ้นจากภาครัฐบาลในการก้าวไปสู่การสื่อสารยุค "3จี" (3G) โดยให้ไลเซ่นส์ 3จี กับบริษัทผู้ประกอบการทั้ง 4 รายในประเทศจีน อันได้แก่ ไชน่า โมบาย, ไชน่า ยูนิคอม, ไชน่า เทเลคอม และ ไชน่า เน็ตคอม จึงเป็นการกระตุ้นการแข่งขันในตลาดให้สูงขึ้นด้วย(สามารถหารายละเอียดของ3Gได้http://www.xraymobile.com/archives/2005/04/ocoaauenn_3g_kn.html)

      ปลายปี 2004 ประเทศจีนมีผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 334 ล้านคน (25.9% ของประชากรทั้งประเทศจีน) และจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ และโทรศัพท์บ้านห่างกัน 22.38 ล้านคน เนื่องมาจากจำนวนผู้ใช้งานใหม่ที่เพิ่มขึ้นของโทรศัพท์เคลื่อนที่ คิดเป็น 1.3 เท่าของผู้ใช้งานใหม่ของโทรศัพท์บ้าน

     จากการวิเคราะห์พบว่า แม้การขยายตัวของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่จะเพิ่มขึ้น แต่รายได้กลับลดน้อยลงอันเป็นผลเนื่องมาจากการเกิดสงครามราคา (Price war) ระหว่างเทเลคอม โอเปอเรเตอร์ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดในตลาดโลว์-เอ็น (Low-End) นั่นเอง ซึ่งคล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย

         การหาลูกค้าของตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ในช่วงที่ผ่านมา ไชน่า โมบาย มีการแข่งขันโดยทำสงครามราคาที่ดุเดือดมาก โดยเริ่มตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปี 2003 และในครึ่งปีแรกของปี 2004 ก็ลดราคาลงไปถึงราคาต้นทุน (Bottom Line of Cost) ซึ่งทำให้รายได้ลดลงจนไม่เกิดกำไร แม้ว่าจะสวนทางกับจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ต้องจำทนอยู่ในภาวะกดดันนั้นมาตลอด
          จนกระทั่งกระทรวงข้อมูลข่าวสารอุตสาหกรรม (Ministry of Information Industry) ได้เข้ามาดูแลกวดขัน จึงทำให้ปลายปี 2004 สงครามราคาจึงค่อยๆ ลดลง และการแข่งขันเริ่มเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น

         ไชน่า โมบาย ได้พยายามใช้โอกาสจากเทคโนโลยีที่มีอยู่ ในการพัฒนาและออกแบบบริการรูปแบบใหม่ ยกตัวอย่างโครงการที่กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัยและพัฒนา เช่น จับมือร่วมกับบริษัท กูเกิลในการพัฒนาช่องทางไร้สาย และอี-คอมเมิร์ซบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ในอนาคต โดยกูเกิลนั้นเป็นผู้ให้บริการเสิร์ช เอ็นจิ้นกับผู้ใช้บริการของ ไชน่า โมบาย

          โดยปัจจุบันบริการนี้เปิดให้บริการกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในสหรัฐอเมริกาแล้ว 6 แห่ง และกำลังจะเริ่มให้บริการกับไชน่า โมบายด้วยเช่นกัน

          ไชน่า โมบายให้บริการดาวน์โหลด เกมผ่านโทรศัพท์มือถือขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศจีน โดยได้ทำการทดลองในเฟสแรกที่ มณฑล Guangdong ตั้งแต่ต้นปี 2002 และขยายให้บริการในมณฑลเซี่ยงไฮ้เป็นมณฑลต่อมา และขยายออกไปจนครอบคลุมทุกพื้นที่ให้บริการ

            สภาวะปัจจุบันของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมภายในประเทศจีน อยู่ในภาวะที่แข่งขันกันสูง จึงมีความเสี่ยงสูงที่กำไรจากการประกอบการจะลดลงตามไปด้วย อีกทั้งหน่วยงานวางแผนทางเศรษฐกิจระดับชาติของจีน ได้พิจารณาออกกฎข้อบังคับใหม่ เพื่อสร้างมาตรฐานของกระบวนการอนุมัติการลงทุนในด้านธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ และระบบการสื่อสารโทรคมนาคมไร้สายในประเทศใหม่ โดยเปิดทางให้ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือจากต่างประเทศเข้ามาทำตลาดในจีนได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นความเสี่ยงอีกทางหนึ่งด้วย

        แม้ว่าช่วงที่ผ่านมานักลงทุนจากต่างประเทศจะยังไม่เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในประเทศจีนมากนัก แต่บริษัทเหล่านั้นก็กำลังเตรียมตัว และรอดูท่าทีและเวลาที่เหมาะสมสำหรับจะเข้าไปลงทุน ซึ่งคาดว่าตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป จะเริ่มมีการหลั่งไหลของบริษัทข้ามชาติที่จะเข้าไปลงทุนในตลาดสื่อสารจีนมากขึ้น

      ประกอบกับเทคโนโลยี 3จี ที่สามารถให้บริการด้านโมบาย ดาต้า ที่รัฐบาลจีนผลักดันให้เกิดขึ้นในประเทศ ยิ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มคู่แข่งขันขึ้นในตลาด จึงอาจทำให้เกิดการแข่งขันในอุตสาหกรรมด้านดังกล่าวทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่างบริษัทในประเทศและบริษัทข้ามชาติ โดยมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยเช่นกัน

"AEC" กับโอกาสในอุตสาหกรรมอาหาร

ที่มาhttp://www.smi.or.th/index.php/sample-sites-10/sample-sites-10/563-2013-03-04-08-00-23
ผู้ อ่านหลายท่านคงเคยได้ยินผ่านหู ผ่านตา ว่าเราจะมีการเปิดเสรีอาเซียน หรือ AEC กันในปี 2558 และหลายท่านคงเคยเข้าร่วมประชุม หรือติดตามรายงานการเตรียมความพร้อมในการเปิด AEC กันอยู่เนือง ๆ

แต่ผมเชื่อว่ายังมีผู้ประกอบการอีก

หลายท่านที่ยังมีคำถามค้างคาใจในอุตสาหกรรมที่ตนประกอบการอยู่ ว่าจะได้เปรียบ เสียเปรียบ หรือต้องปรับตัว

อย่างไรกับเรื่องนี้แน่นอนว่าแต่ละอุตสาหกรรมมีความพร้อม มีความได้เปรียบ-เสียเปรียบ

แตกต่างกัน การเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ AEC ของแต่ละอุตสาหกรรมจึงแตกต่างกันไปด้วย

ข้อ สรุปที่เป็นภาพรวมอาจจะยังไม่เป็นคำตอบให้ผู้ประกอบการเห็นภาพมากนัก จึงอาจเหมาะสมกว่าที่การเตรียมความพร้อมควรดำเนินการในลักษณะ Cluster ซึ่งลองมาดูอุตสาหกรรมอาหารที่คิดว่า

น่าจะมีโอกาสมากกันก่อน

อุตสาหกรรม อาหาร เป็นอุตสาหกรรมที่โดดเด่น ปี 2011 มีการขยายตัวก้าวกระโดดถึง 20% ซึ่งนับว่าอยู่ในระดับสูง เมื่อเทียบการส่งออกรวมขยายตัวในระดับ 15.9% โดยปีหนึ่งประเทศไทยส่งออกอาหารกว่า 33 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 32 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 14.2 ของการส่งออกทั้งหมด

เนื่อง จากอุปนิสัยการบริโภคอาหารของคนในโลกไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ส่วนใหญ่ประเทศไหนรับประทานขนมปัง ก็รับประทานกันแต่ขนมปัง ประเทศไหน

รับประทานข้าว ก็รับประทานกันแต่ข้าว

ดังนั้น ฐานลูกค้าของเราที่ส่งออกไปยังประเทศท็อปเทน (Top 10) จึงไม่เปลี่ยนแปลง

กี่ปีก็ยังคงเป็นประเทศเดิม ๆ ซึ่งประเทศเหล่านี้มีประเทศในอาเซียน + 3 รวม 6 ประเทศ รวมฐานประชากรลูกค้าเรา

เฉพาะ กลุ่มนี้ราว 1,805 ล้านคนเข้าไปแล้ว และเนื่องจากประเทศไทยมีวัตถุดิบอุดมสมบูรณ์ 80% ของวัตถุดิบที่ผลิตอาหารใช้วัตถุดิบที่ผลิตได้ในประเทศ แต่เราทราบกันดีว่าถ้าหากขายในรูปผลิตภัณฑ์การเกษตร จะได้ราคาที่ไม่ดีนัก แถมตลาดอุปกรณ์แปรรูปและบรรจุหีบห่อของไทยขยายตัวเพื่อรองรับมาอย่างต่อ เนื่อง (ตลาดอุปกรณ์แปรรูปและบรรจุอาหาร หรือ Food processing and packaging equipment : FPPE ของไทยโตเฉลี่ย 20% ทุกปี ตั้งแต่ปี 1999 โดยในปี 2011 มีมูลค่าการค้า 270 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 61.0%)

จึงเป็นการได้เปรียบที่ประเทศไทยจะมุ่งเน้นในอุตสาหกรรม อาหารแปรรูป ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่ม ต่อยอดมูลค่าสินค้าเกษตรที่เรามีจุดแข็งอยู่แล้วได้เป็นอย่างดี

หาก เปิด AEC แล้ว เราจะมีโอกาสมากในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป โดยเฉพาะอาหารพร้อมรับประทาน (Ready-to-eat Food : RTE) โดยสถาบันอาหารคาดการณ์ว่าการเปิด AEC จะช่วยให้ฐานลูกค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้นราว 600 ล้านคน นอกเหนือจากความได้เปรียบด้านวัตถุดิบ เรายังมีความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางในภูมิภาคอีกด้วย

หากไล่ดูทีละประเทศ ไทยเรามีโอกาสอย่างไร ?

เริ่ม ที่ประเทศเวียดนาม มูลค่า Chilled Ready Meals โต 108.8% ใน 5 ปี ตามการพัฒนาของอุตสาหกรรมค้าปลีก : มูลค่า RTE ที่ประเทศเวียดนาม ปี 2011 โต 14.9% โดย RTE แบบกระป๋องเป็น

ที่นิยมที่สุด โดยมีสัดส่วนราว 80% ของ RTE ทั้งหมด แต่หากพิจารณา RTE ประเภท Chilled Pizza, Dinner Mixes, Frozen Pizza, Frozen Ready Meals และ Prepared Salads ซึ่งเป็นอาหารที่ต้องจัดจำหน่ายผ่านช่องทางการค้าปลีกรูปแบบใหม่ ซึ่งมีตู้เย็นหรือห้องเย็นที่

ทันสมัยในการเก็บรักษา

เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต, ไฮเปอร์มาร์เก็ต หรือคอนวีเนี่ยนสโตร์ พบว่า RTE เหล่านี้ไม่มีส่วนแบ่งตลาดเลยในประเทศเวียดนาม ในขณะที่มีเพียง Chilled Ready Meals ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดเพียงราว 10.6% แต่หากมีอัตราการขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง 108.8% ในช่วงระยะเวลา 5 ปี (ปี 2006-2011) (เฉลี่ยปีละ 21.8%) ซึ่งสอดคล้องกับการขยายตัวของซูเปอร์มาร์เก็ต, ไฮเปอร์มาร์เก็ต หรือคอนวีเนี่ยนสโตร์ ที่ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มจาก 23.4% เป็น 54.0% หรือเพิ่มขึ้น 130.8% (เฉลี่ยปีละ 26.2%) ในช่วงเวลาเดียวกัน

ในขณะที่ส่วนแบ่งตลาดของร้านโชห่วย (Small Grocery) ลดลง -21.6% และ Non-Grocery Retailers ลดลง -76.6%

ประเทศ เวียดนาม มีผู้ประกอบการ RTE รายใหญ่เพียง 2 ราย ยังมีโอกาสในการเปิดตลาด : นอกจาก Vissan Co.,Ltd และ Hanlong Canned Food JSC ที่มีส่วนแบ่งการตลาดที่มั่นคงในระดับรวมราว 55.3% แล้ว ผู้ประกอบการรายอื่นจะเป็นผู้ประกอบการรายย่อยที่สินค้าไม่เป็นที่นิยมมาก นัก (ส่วนแบ่งการตลาดน้อยอย่างสม่ำเสมอ)

การบุกตลาดเวียดนามโดย เฉพาะ RTE ประเภทที่ต้องพึ่งพิงการค้าปลีกรูปแบบใหม่ ประเภทที่ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นของคอนวีเนี่ยนสโตร์ จึงอาจจะยังมีโอกาสอยู่อีกมาก

ต่อมาคือประเทศอินโดนีเซีย มูลค่าอาหารพร้อมรับประทานแบบแห้ง ขยายตัว

ก้าว กระโดด 74.2% ใน 5 ปี : ต่างกับเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซียเขาฮิต RTE แบบแห้ง มูลค่าตลาด RTE ในอินโดนีเซียขยายตัว 38.4% ในช่วง 5 ปี (ปี 2005-2010) โดยอาหารพร้อมรับประทานแบบแห้ง (Dried Ready Meals) โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์โจ๊กกึ่งสำเร็จรูปและพาสต้า

กึ่งสำเร็จรูป มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง

โดย ในช่วงดังกล่าว มูลค่า RTE แบบแห้งขยายตัว 74.2% ในขณะที่ RTE แบบกระป๋องขยายตัว 7.0% แต่หาก Frozen Pizza จากที่เคยมีส่วนแบ่งในมูลค่าตลาด RTE 2.6% กลับกลายเป็นไม่เหลือส่วนแบ่งในตลาดเลยตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา

ประเทศ อินโดนีเซียมีผู้ประกอบการ RTE เพียง 3 ราย กินส่วนแบ่งตลาด 83.1% ขายผลิตภัณฑ์ในวงแคบ : Canning Foods Indonesia PT, SimbaIndosnack Makmur PT และ Indofood Sukses Makmur Tbk PT เป็น 3 ผู้ประกอบการที่มีส่วนแบ่งตลาดรวมในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

โดยในปี 2009 มีส่วนแบ่งตลาดอยู่

ในระดับ 83.1% ของมูลค่าขายปลีกในตลาด RTE โดยผลิตภัณฑ์จะมีเพียง RTE แบบกระป๋องและแบบแห้งเท่านั้น

จึง อาจจะยังเป็นโอกาสของไทยที่จะไปเปิดตลาดในผลิตภัณฑ์ RTE ประเภทอื่น ซึ่งการเปิดตลาดในอินโดนีเซียจำเป็นต้องคำนึงถึงการปรุงอาหารตามหลักศาสนา อิสลามเป็นสำคัญ

ประเทศสิงคโปร์บริโภคอาหารกระป๋องราคาสูง ส่วนแบ่งการตลาดไม่แน่นอน แล้วแต่กลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ คงไม่น่าแปลกใจที่คนในประเทศที่ร่ำรวยอย่าง

สิงคโปร์จะบริโภคของแพง

แม้ปริมาณอาหาร RTE ในสิงคโปร์โต

ไม่ มาก คือโตเพียงร้อยละ 2.1% ในปี 2010 แต่หากมูลค่าอาหาร RTE โต 2.6% โดยคนสิงคโปร์บริโภคอาหาร RTE ราคาเฉลี่ยราว 7,129 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่อินโดนีเซียบริโภคอาหาร RTE ราคาเฉลี่ยราว 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2010 เพิ่มขึ้นจาก 3,630

รูเปียห์ต่อตัน ในปี 2007

โดย ในประเทศสิงคโปร์อาหาร RTE แบบกระป๋องมีสัดส่วนถึง 90.7% และอาหาร RTE ประเภทแช่แข็งที่ได้รับความนิยม ได้แก่ อาหาร Italian และ Western โดยตลอด 5 ปีที่ผ่านมามีสัดส่วนการบริโภค 46.0% และ 27.5% ของอาหารแช่แข็งทั้งหมด ตามลำดับ

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการ RTE ในประเทศสิงคโปร์มีหลากหลาย ส่วนแบ่งตลาดไม่แน่นอน แล้วแต่กลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการส่งเสริมการตลาด โดย Xiamen Jiahua Import & Export Trading Co.,Ltd เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดในประเทศสิงคโปร์ มีสัดส่วนการตลาดในช่วง 5 ปี สูงสุดในปี 2006 ที่ 23.2% และต่ำสุดในปี 2008 ที่ 16.2%

ประเทศ คู่แข่ง ซึ่งก็คือประเทศพม่า ยังไม่น่ากลัวนัก โอกาสในอุตสาหกรรม RTE ของไทยเราในอาเซียนมีมากจริง ๆ แต่หลายคนคงอดห่วงคู่แข่งอย่างประเทศพม่า ที่มีค่าแรงถูกแล้วกำลังจะเปิดประเทศไม่ได้

แม้แรงงานพม่าจะมีราคา ถูกและมีประชากรวัยแรงงานที่อายุไม่มากอยู่จำนวนมาก แต่ปัจจุบันยังขาดซึ่งเทคโนโลยีในการผลิตและสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่เพียง พอ

โดย 75% ของประชากรทั้งหมดยังไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้ น้ำประปายังมีราคาสูง ไม่มีระบบการระบายน้ำ หรือการกำจัดสิ่งปฏิกูลที่ดี พม่าจึงนับเป็นคู่แข่งที่ไม่น่ากลัวนัก (แต่เราก็ประมาทไม่ได้)

นั่น เป็นส่วนของโอกาสครับ...แต่ละประเทศก็มีโอกาสในตลาด RTE ที่แตกต่างกัน ซึ่งแน่นอนว่าหนทาง RTE ของไทยใน AEC คงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ครั้งหน้า

มาดูกันว่าเราต้องทำอะไรบ้าง เพื่อจะไขว่คว้าโอกาสทองนี้ไว้

วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เปิดเทอมผู้ปกครองจุก วัตถุดิบค่าแรงดันชุดนักเรียน-อุปกรณ์การเรียนพุ่ง

 2 พฤษภาคม 2556
ที่มาhttp://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32582&Key=hotnews
          ตลาดชุดนักเรียน/อุปกรณ์การเรียนตบเท้าปรับราคาขึ้นรับเปิดเทอม ผู้ผลิตโอดต้นทุนค่าวัตถุดิบ - ค่าแรงขึ้นแบกรับไม่ไหว "แบรนด์จุฬา" เผยต้องปรับราคา 20 บาทต่อชุด พร้อมอัดกลยุทธ์เรียกความมั่นใจแข่งแบรนด์ดัง

          ขณะที่ "สเต็ดเล่อร์" ซุ่มขึ้นราคาตั้งแต่ปลายปีก่อนหลังราคาไม้ทะยานขึ้น ด้านนันยาง ย้ำไม่ปรับราคาขึ้น เหตุคุมเข้มต้นทุน ด้านโรงเรียนเอกชน ชี้งบสนับสนุนรัฐสุดเขียม ชุดอนุบาลแค่ 300 บาท ส่วนชุดประถมแค่ 360 บาท

          นางชญาณิศา ลิ้มดำเนิน ผู้ผลิตและจำหน่ายชุดนักเรียนแบรนด์ "จุฬา" เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ตลาดชุดนักเรียนได้รับผลกระทบจากภาวะต้นทุนวัตถุดิบสำหรับการตัดเย็บชุดนักเรียน อาทิ ผ้า , กระดุม เป็นต้น ที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ปีก่อนในอัตรา 5-10% ต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้ที่มีต้นทุนค่าแรงงานขั้นต่ำที่ปรับขึ้นเป็น 300 บาทต่อวัน ส่งผลให้ต้องปรับราคาขายเพิ่มเป็น 10 บาทต่อชิ้นหรือ 20 บาทต่อชุด โดยปัจจุบันชุดนักเรียนแบรนด์จุฬามีราคาชุดละ 185 -340 บาท

          ทั้งนี้ราคาขายที่ปรับเพิ่มขึ้นทำให้ชุดนักเรียน "จุฬา" ต้องวางแผนปรับกลยุทธ์การตลาดใหม่ โดยเน้นการขายส่งให้กับร้านค้าเพิ่มขึ้น พร้อมกับการให้สิทธิ์ในการสั่งจองชุดนักเรียนล่วงหน้าโดยยังไม่ต้องชำระเงินก่อน ขณะที่ชุดนักเรียนแบรนด์อื่นจะต้องชำระเงินทันทีที่มีการสั่งจองชุดนักเรียนเพื่อนำไปขาย นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำชุดนักเรียนตัวอย่างเพื่อให้ผู้ปกครองทำการเปรียบเทียบเนื้อผ้าระหว่างแบรนด์จุฬา และชุดนักเรียนแบรนด์อื่น เนื่องจากพฤติกรรมการเลือกซื้อชุดนักเรียนของผู้ปกครอง ยังยึดติดกับแบรนด์สินค้า จึงต้องให้ลูกค้าเห็นคุณภาพที่ไม่แตกต่างกัน

          ด้านนางอภิวันท์ มงคลชัยดิษฐ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท สเต็ดเล่อร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องเขียน "สเต็ดเล่อร์" กล่าวว่า ราคาต้นทุนวัตถุดิบโดยรวมได้มีการปรับเพิ่มสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะไม้ ซึ่งถือเป็นส่วนประกอบหลักในการผลิตเครื่องเขียน ทั้งดินสี ดินสอสี ได้มีการปรับเพิ่มขึ้น 30-40% ส่งให้ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาบรรดาผู้ประกอบการหลายรายในตลาดเครื่องเขียนทยอยปรับราคาขึ้น 5% แต่บริษัทยังไม่มีการปรับขึ้นราคาแต่อย่างใด เนื่องจากยังเตรียมไม้ไว้เพียงพอต่อการผลิตสินค้าออกจำหน่ายในช่วงครึ่งปีแรก แต่บริษัทได้มีการปรับขึ้นราคาไปก่อนหน้าแล้วช่วงปลายปีที่ผ่านมาในอัตรา 5% ในสินค้าบางตัวจากราคาต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น

          สำหรับแนวทางการทำตลาดของสเต็ดเล่อร์นั้น จะมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในช่องทางต่างๆ ตลอดทั้งปี โดยในช่วงต้นปีจะเน้นจำหน่ายผ่านช่องทางดีลเลอร์เป็นหลัก เนื่องจากเป็นช่องทางที่มีขนาดใหญ่และครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึงทั่วประเทศ ขณะที่ในช่วงเทศกาลเปิดเทอมบริษัทจะเน้นทำตลาดผ่านช่องทางค้าปลีก โดยการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ร้านอุปกรณ์เครื่องเขียนชั้นนำต่างๆ อาทิ บีทูเอส, เดอะ มอลล์ ,7-11,บิ๊กซี เป็นต้น ในการจัดโปรโมชันส่งเสริมการขาย ซึ่งถือเป็นช่วงซีซันของตลาดอุปกรณ์เครื่องเขียน

          ขณะเดียวกันยังได้ใช้งบประมาณ 6 ล้านบาทในการจัดแคมเปญ "Staedtler school tour" ในช่วงเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน นี้ เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายตามโรงเรียนต่างๆทั่วประเทศ โดยแคมเปญดังกล่าวบริษัทได้ดำเนินการต่อเนื่องมา 2-3 ปี และสามารถสร้างยอดขายเพิ่มเติมจากช่วงปกติได้ 10% พร้อมกันนี้ยังได้หันมาจับตลาดระดับกลาง-ล่าง โดยใช้กลุ่มดินสอสีเป็นตัวทำตลาด หลังจากที่ผ่านมาบริษัทเน้นการทำตลาดในระดับบนเป็นหลัก ทั้งนี้การหันมาลงแข่งขันในตลาดระดับกลาง-ล่าง ที่มีราคาถูกกว่าดินสอสีในกลุ่มบนเกือบ 100 % ซึ่งถือเป็นการขยายฐานลูกค้ากลุ่มนักเรียนทั่วประเทศในต่างจังหวัดให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

          นายจักรพล จันทวิมล ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรองเท้าแบรนด์ นันยาง กล่าวว่า ราคาของรองเท้านันยางในปีนี้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากปีที่ผ่านมาแต่อย่างใด แม้ว่าราคาต้นทุนโดยรวมจะปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งทางบริษัทเน้นการบริการจัดการที่มีประสิทธิภาพ ทำให้บริหารต้นทุนได้ดีระดับหนึ่งจนไม่ต้องปรับราคารองเท้าขึ้น โดยปัจจุบันยังคงขายรองเท้าในราคาเริ่มต้นที่คู่ละ 285 บาท

          ส่วนบรรยากาศการซื้อขายรองเท้านักเรียนนั้น จะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่ 1. ช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงก่อนสงกรานต์ 2. ช่วงหลังสงกรานต์ถึงช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม และ 3. ช่วงก่อนเปิดภาคเรียน 1 สัปดาห์และต่อเนื่องไปหลังเปิดเรียน ซึ่งขณะนี้เริ่มมีกำลังซื้อจากผู้ปกครองเข้ามาแล้ว เห็นได้จากร้านค้าตัวแทนจำหน่ายของบริษัทมีการสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เป้าหมายที่บริษัทคาดว่าจะเติบโต 12% ในช่วงเปิดเทอมน่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

          สำหรับตลาดรองเท้านักเรียนปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 5 พันล้านบาท แบ่งเป็นรองเท้าผ้าใบนักเรียน ลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด พลศึกษา และอุดมศึกษา มูลค่า 3 พันล้านบาท หรือสัดส่วนประมาณ 61% ที่เหลือเป็นรองเท้านักเรียนหนังดำสำหรับนักเรียนหญิงประมาณ 38% และที่เหลือเป็นรองเท้าบางโรงเรียน โดยตลาดรวมรองเท้าปีนี้น่าจะมีการเติบโตปีละ 5-6%

          ด้านผู้บริหารระดับสูงโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเปิดทำการเรียนการสอนในระดับอนุบาลถึงประถมศึกษา กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการมีงบอุดหนุนเครื่องแบบนักเรียนระดับอนุบาลรายละ 300 บาท และระดับประถมศึกษารายละ 360 บาท ซึ่งถือว่าไม่เพียงพอสำหรับนักเรียนแต่ละคน เพราะราคาชุดนักเรียนมีการปรับเพิ่มขึ้นทุกปี และเด็กนักเรียนแต่ละคนจะต้องมีชุดนักเรียนไม่ต่ำกว่าคนละ 2 ชุดเป็นอย่างน้อยด้วย โดยในปีนี้ราคาชุดนักเรียนยังคงปรับขึ้นไม่เกินชุดละ 50 บาท เพราะผู้ผลิตแจ้งในเบื้องต้นว่าต้นทุนในปีนี้ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

          สำหรับราคาชุดนักเรียนที่ทางโรงเรียนนำมาจำหน่ายนั้น จะจำหน่ายชุดละไม่เกิน 400 บาท โดยราคาเสื้อนักเรียนจะมีราคาตามขนาด อาทิ เสื้อ ไซซ์ S ราคา 145 บาท M ราคา 165 บาท L ราคา 185 บาท และ XL ราคา 195 บาท ส่วนกางเกงและกระโปรงจะมีระดับราคา 145-285 บาท ส่วนอุปกรณ์การเรียนผู้ผลิตยังไม่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

          จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,840 วันที่ 2-4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

          ที่มา: http://www.thanonline.com

บาทแข็งค่าแห่นำเข้าพุ่งน้ำมันถูกลงลิตรละบาท



วันพุธที่ 01 พฤษภาคม 2013
 เวลา 09:20 น.
กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ
ที่มา http://www.thanonline.com/index.php?option
ปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าทุบสถิติต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันเงินบาทแข็งค่าแล้วกว่า 6% แซงหน้าหลายประเทศในภูมิภาค ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการโดยเฉพาะภาคส่งออกที่เรียกร้องให้ภาครัฐใช้ยาแรง อย่างไรก็ตามอีกด้านก็ยังมีอุตสาหกรรมบางสาขา ที่ได้รับอานิสงส์จากเงินบาทแข็งค่า อาทิกลุ่มอุตสาหกรรมนำเข้าเครื่องจักร

    นายไสว ชัยชนะกล ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและโลหะการ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า เงินบาทแข็งค่า ทำให้กลุ่มผู้นำเข้าเครื่องจักรได้รับประโยชน์2 ด้านคือ ราคาเครื่องจักรนำเข้าถูกลง5-10% และเศรษฐกิจทั่วโลกซบเซา ทำให้ผู้ผลิตเครื่องจักรรายใหญ่จาก ยุโรปจีน ญี่ปุ่น และไต้หวันออกมาขายเครื่องจักรราคาถูกมากขึ้น

    ทั้งนี้ข้อมูลจากกรมศุลกากรระบุมูลค่าการนำเข้าเครื่องจักรกลทุกชนิดต่อปีราว 2 แสนล้านบาท เครื่องจักรทุกประเภทเติบโตอย่างก้าวกระโดด

    นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เงินบาทแข็งค่าทำให้ซื้อวัตถุดิบได้ในราคาที่ถูกลง ซึ่งขณะน้ีเตรียมนำเข้าเม็ดพลาสติกจากจีนและสิงคโปร์ ล็อตแรกภายในต้นเดือนพฤษภาคมนี้ ประมาณ 150 ตันต่อเดือน จากนั้นจะปรับเพิ่มเป็น 300 ตันต่อเดือนภายในเดือนถัดไป และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก หากค่าเงินบาทยังแข็งอย่างต่อเนื่อง

    โดยในช่วงนี้ราคานำ เข้าเม็ดพลาสติกจะถูกกว่าราคาในประเทศประมาณ 2.50 บาทต่อกิโลกรัม โดยปัจจุบันบริษัทซื้อเม็ดพลาสติกจากผู้ผลิตในประเทศทั้งหมดจากกลุ่ม บมจ.ปตท. และเอสซีจี ซึ่งมีความต้องการใช้เม็ดพลาสติกอยู่ที่ประมาณ 5.5 พันตันต่อเดือนขณะเดียวกันบริษัทยังปรับการลงทุนมาเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ มากขึ้นและเร่งสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่

    ด้านนางสาววันดี กุญชรยาคงกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า หลังเงินบาทแข็งค่าขึ้นที่ 29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าแผงเซลล์แสงอาทิตย์และเครื่องแปลงไฟฟ้าลดลงประมาณ3-5% ดังนั้นในช่วง 1-2 เดือนนี้ บริษัทจะเร่งนำเข้าแผงเซลล์แสงอาทิตย์และเครื่องแปลงไฟฟ้าของโครงการโซลาร์ฟาร์ม 6 โครงการสุดท้าย รวมกำลังผลิต45 เมกะวัตต์ กำลังการผลิตรวม 45 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

    เช่นเดียวกับกลุ่มพลังงาน จัดเป็นอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า โดยนายสุรงค์ บูลกุล ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นนํ้ามัน ปิโตรเลียม ส.อ.ท. กล่าวว่า ต้นทุนการนำเข้านํ้ามันดิบได้ลดลงประมาณ 0.70-0.80บาทต่อลิตร ขณะที่ราคานํ้ามันสำเร็จรูปณ สถานีบริการนํ้ามันในประเทศถูกลงประมาณ 0.50-1 บาทต่อลิตร โดยปัจจุบันกลุ่มโรงกลั่นนํ้ามันส่วนใหญ่จะอิงเงินบาทเกือบทั้งหมด ดังนั้นในช่วงนี้ก็จะได้รับผลดีจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นด้วย

    อุตสาหกรรมอัญมณี โดยนายวีระศักดิ์ เลอวิศิษฎ์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ส.อ.ท.กล่าวว่า แม้ค่าเงินบาทจะส่งผลกระทบรุนแรงและเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในรูปเงินบาทช่วงไตรมาสที่ 1/2556 ขยายตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 44% แต่ในแง่การนำเข้าทองคำ เพื่อใช้ในการผลิตเครื่องประดับทำด้วยทอง และเพื่อเก็งกำไรกลับขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาทองในช่วงนี้มีราคาตํ่าสุดในรอบหลายปี ส่งผลให้การนำเข้าทองคำในไตรมาสแรกของปีนี้ มีมูลค่าสูงถึง 1.90แสนล้านล้าน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 61%
    นายวัลลภ วิตนากร ที่ปรึกษาสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทยกล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่า ทำให้การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบ และกึ่งสำเร็จรูปจากต่างประเทศมีราคาที่ถูกลงเพื่อนำมาใช้ในกระบวนการผลิตแทนใช้ของในประเทศเพื่อลดต้นทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาผู้ประกอบการเครื่องนุ่งห่มจะใช้วัตถุดิบในประเทศสัดส่วน 65% และนำเข้า 35% หากเงินบาทยังแข็งค่าขึ้นอีก คาดสัดส่วนการนำเข้าจะเพิ่มทดแทนเป็น 65% แทน ขณะที่การใช้ในประเทศจะเหลือเพียง 35%

    ส่วนนายเปล่งศักดิ์ ประกาศเภสัช นายกสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจเกษตรไทย กล่าวว่า จากบาทแข็งค่า ส่งผลให้การนำเข้าปุ๋ย แม่ปุ๋ย รวมถึงยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์จากต่างประเทศในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้มีแนวโน้มการนำเข้าเพิ่มขึ้น ซึ่งในรอบการส่งมอบอีก 2-3 เดือนข้างหน้าเกษตรกรอาจจะได้ใช้สินค้าในราคาที่ถูกลง เมื่อเทียบไตรมาสแรกที่การซื้อขายโค้ดราคาล่วงหน้าตั้งแต่ปลายปีถึงต้นปี ที่ค่าเงิน30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

 จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,840 วันที่  2-4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

เอสเอ็มอี 4,000 รายหายใจรวยริน


Pic_332277

ไทยรัฐออนไลน์
โดย ทีมข่าวเศรษฐกิจ
14 มีนาคม 2556, 05:45 น.
ที่มา http://www.thairath.co.th/content/eco/332277
นายโสภณ ผลประสิทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) กว่า 4,000 รายที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาททั่วประเทศและธุรกิจที่ต้องการเตรียมพร้อมในการรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ได้แสดงความต้องการให้ กสอ.เข้าไปช่วยเหลือในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของสถาบันการเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง รวมถึงการหาตลาดและการลดต้นทุนในการผลิตสินค้า

ทั้งนี้ กสอ.จะให้ความช่วยเหลือแก่ธุรกิจที่เข้าโครงการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและโอทอปสู่เวทีโลก โดยจะให้คำปรึกษาในการทำแผนงานธุรกิจ รวมถึงการตรวจสอบสถานะทางการเงินเพื่อรับรองคุณสมบัติของผู้ประกอบการ ซึ่งจะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถพิจารณาให้สินเชื่อได้เร็วขึ้น  เอสเอ็มอีที่แจ้งความต้องการให้ กสอ. เข้าช่วยเหลือส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจที่อยู่ในต่างจังหวัดและอยู่ไกลจากเส้นทางขนส่ง จึงมีต้นทุนการผลิตที่สูง และที่สำคัญทำเรื่องขอกู้เงินจากสถาบันการเงินไม่เป็น ดังนั้น เมื่อ กสอ.เข้าไปแนะนำจะช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น

ด้านนายเซ็ทซึโอ อิอุจิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศญี่ปุ่น กรุงเทพฯ (เจโทร) กล่าวว่า ปัญหาการขาดแคลนแรงงานฝีมือในอุตสาหกรรมยานยนต์ และนโยบายการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาททั่วประเทศ  เป็นปัญหาต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในอนาคต เนื่องจากจะเกิดการแข่งขันแย่งชิง แรงงานที่มีทักษะในกลุ่มประเทศผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศเอเชียด้วยกันเอง ประเทศไทยต้องเร่งยกระดับทักษะฝีมือแรงงานอย่างเร่งด่วน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยรัฐบาลไทยกับญี่ปุ่นได้ร่วมมือกันในการตั้งโครงการ สถาบันพัฒนาบุคลากรยานยนต์เพื่อให้เกิดระบบการพัฒนาบุคลากรที่ยั่งยืน.

วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

ธ.กลางเกาหลีใต้"สุดอ่วม"ส่อขาดทุนยับ 2.3 หมื่นล้านบ.

ธ.กลางเกาหลีใต้"สุดอ่วม"ส่อขาดทุนยับ 2.3 หมื่นล้านบ. ลงทุน"ทองคำ"ราคาดิ่งฮวบเป็นประวัติการณ์
วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 17:00:40 น.

   
 ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1366185640&grpid=03&catid=03
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 18 เม.ย.ว่า ธนาคารกลางเกาหลีใต้ตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ถูกวิจารณ์โจมตี หลังบริหารลงทุนผิดพลาด ด้วยการลงทุนถือครองทองคำเป็นจำนวนมากในสภาพต้องขาดทุนหนัก โดยประเมินว่า ธนาคารกลางเกาหลีใต้อาจต้องขาดทุนจากการซื้อทองคำเป็นจำนวนกว่า 800 ล้านดอลลาร์ (23,200 ล้านบาท) หลังจากเกิดภาวะราคาทองคำตกฮวบในตลาดโลก

รายงานระบุว่า ที่ผ่านมา ธนาคารกลางเกาหลีใต้ได้ลงทุนถือครองทองคำเป็นจำนวน 104.4 ตัน และสถานการณ์ราคาทองคำตก ทำให้เกิดความวิตกและเสียงวิจารณ์ว่า ธนาคารกลางฯอาจประเมินสถานการณ์ลงทุนทองคำผิดพลาด ซื้่อทองคำไม่ถูกช่วงเวลาและทำให้ต้องขาดทุนเป็นเงินจำนวนสูงมาก โดยนักวิเคราะห์กล่าวว่า หลังจากที่ราคาทองคำปิดที่ 1,361 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือตกลงกว่า 9.3 เปอร์เซนต์ ซึ่งถือว่าตกหนักที่สุดในรอบ 33 ปี ถือเป็นสถานการณ์ที่นักค้าทองคำแตกตื่นอย่างหนัก และเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นราคาทองดิ่งตกฮวบขนาดนี้มาก่อน

ที่ผ่านมา ราคาทองคำถือว่าปรบตัวสูงขึ้นอย่างมากเป็นเกือบ 10 ปีที่ผานมา โดยเมื่อปี 2011 ราคาทองคำได้พุ่งเกินกว่าระดับ 1,920 ดอลลาร์ จากเหตุปัจจัยที่นักลงทุนใช้ทองคำเป็นแหล่งพักทรัพย์สินลงทุน หลังเกิดวิกฤตการเงินโลก

อย่างไรก็ตาม จากราคาทองคำที่ตกฮวบ ทำให้ขณะนี้ธนาคารกลางเกาหลีใต้ ได้ขาดทุนจากการลงทุนถือครองทองคำไปแล้วเป็นมูลค่ากว่า 761 ล้านดอลลาร์ หลังจากซื้อทองคำมาถือครองที่ราคา 1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ นับตั้งแต่ปี 2011 ซี่งนักวิเคราะห์มองว่า ธนาคารกลางเกาหลีใต้ลงทุนซื้อทองคำผิดช่วงจังหวะ โดยถือในช่วงที่ราคาทองคำถึงจุดสูงสุดไปแล้ว

ทว่า ด้านเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางเกาหลีใต้ ได้ออกโรงพยายามลดกระแสวิตกต่อผลกระทบจากการขาดทุนในการซื้อทองคำ ระบุว่า การลงทุนนี้ไม่ได้กระทบต่อแผนการถือครองทุนสำรองต่างประเทศของธนาคารกลางเกาหลีใต้ในระยะยาวแต่อย่างใด

วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

มะกันจ่อขึ้นแท่นผู้ผลิตน้ำมันเบอร์ 1 ส่งเสริมบทบาท-อิทธิพลบนเวทีโลก

เขียนโดย jihad เมื่อ 27 เมษายน, 2013 - 06:41. ข่าว-สถานการณ์ อเมริกา
exxon บริษัทน้ำมันสัญชาติอเมริกา
ที่มา http://www.jihadforjannah.com/bp5/node/3791   
ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของโอบามา ชี้เทคโนโลยีใหม่ซึ่งทำให้สหรัฐฯ สามารถผลิตน้ำมันและก๊าซเพิ่มมากขึ้น กระทั่งกลายเป็นผู้ผลิตอันดับ 1 ของโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า กำลังทำให้บทบาทและอำนาจของอเมริกาในกิจการโลกหนักแน่นขึ้น อีกทั้งส่งผลลึกซึ้งต่อนโยบายด้านการต่างประเทศและความมั่นคงของแดนอินทรี

      ในการแสดงปาฐกถาที่ “ศูนย์นโยบายพลังงานโลก” ซึ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นครนิวยอร์ก เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (24) ซึ่งเป็นปาฐกถาสำคัญครั้งแรกของเขาเกี่ยวกับนโยบายพลังงาน ทอม โดนิลอน ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวว่า การผลิตน้ำมันและก๊าซที่ขยายตัวเกินคาด ช่วยส่งเสริมการสร้างงาน และทำให้เศรษฐกิจแข็งแกร่งขึ้น และสหรัฐฯ มีอำนาจมากขึ้นในการเจรจากับชาติอื่นๆ

      เขาชี้ว่า จากการใช้เทคโนโลยีขุดเจาะแบบใหม่ ด้วยการอัดน้ำที่มีแรงดันสูง (hydraulic fracturing หรือ fracking) ทำให้สามารถสกัดน้ำมันและก๊าซจากหินน้ำมัน (shale rock) และจะส่งให้อเมริกาแซงหน้าซาอุดีอาระเบียขึ้นเป็นผู้ผลิตน้ำมันอันดับ 1 ของโลกในปี 2017

      โดนิลอนซึ่งบอกว่า เวลานี้ตนต้องเกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาด้านนโยบายพลังงานแทบจะทุกวัน กล่าวต่อไปว่า หลังจากเชื่อกันมาตลอด 40 ปีว่า ซัปพลายพลังงานของสหรัฐฯ กำลังลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้อเมริกาต้องพึ่งพิงน้ำมันต่างชาติมากขึ้นๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้กำลังเปลี่ยนไปแล้ว

      การผลิตน้ำมันและก๊าซได้เพิ่มขึ้นเช่นนี้ มีส่วนช่วยในเรื่องที่อเมริกากำลังเป็นผู้นำในการผลักดันการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิหร่านจากกรณีโครงการนิวเคลียร์ และมาตรการคว่ำบาตรอย่างเข้มงวดเช่นนี้เองส่งผลให้เตหะรานส่งออกน้ำมันได้ลดลง กระทบกระเทือนต่อเศรษฐกิจของประเทศนั้น ทว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกไม่ได้พุ่งทะยานแต่อย่างใด

      กระนั้น โดนิลอนยืนยันว่า แม้พึ่งพิงน้ำมันจากตะวันออกกลางน้อยลง แต่อเมริกาจะยังคงร่วมมือกับประเทศต่างๆ เพื่อส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคดังกล่าวต่อไป

      วอชิงตันยังหวังรับบทบาทสำคัญทางการทูตเพื่อช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดในทะเลจีนใต้และทะเลจีนตะวันออกระหว่างจีนกับชาติเพื่อนบ้านที่มีขนาดเล็กกว่า ซึ่งมีปัจจัยผลักดันคือแนวโน้มแหล่งน้ำมันนอกชายฝั่ง โดยโดนิลอนชี้ว่า คณะรัฐบาลโอบามาต่อต้านอย่างหนักแน่นจริงๆ ในเรื่องการใช้กำลังมาสนับสนุนการอ้างสิทธิอธิปไตย

      อย่างไรก็ดี ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาวไม่ได้เปิดเผยว่า รัฐบาลจะดำเนินการอย่างไรกับการตัดสินใจด้านนโยบายพลังงานที่ยังคงคั่งค้างอยู่

      ทั้งนี้ พันธมิตรในเอเชียและยุโรปต่างต้องการให้อเมริกาเพิ่มการส่งออกก๊าซธรรมชาติ เพื่อลดต้นทุนก๊าซนำเข้าของพวกตนลง

      แม้ยอมรับว่า การส่งออกก๊าซธรรมชาติของสหรัฐฯ อาจสามารถลดทอนบทบาทของบางประเทศ เช่น รัสเซียที่เวลานี้มีอิทธิพลครอบงำตลาดก๊าซโลก แต่โดนิลอนไม่ได้เปิดเผยว่า วอชิงตันจะอนุญาตให้ส่งออกเชื้อเพลิงไปยังประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้นหรือไม่

      ปัจจุบัน กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจสอบคำร้องจากบริษัทต่างๆ ที่ต้องการส่งออกก๊าซธรรมชาติ ขณะที่ผู้ผลิตภายในประเทศล็อบบี้อย่างหนักเนื่องจากกลัวว่า การส่งออกก๊าซจะทำให้ต้นทุนเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น และส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของตนก็จะต้องขยับขึ้นเช่นกันในท้ายที่สุด

      นอกจากนี้ โดนิลอนยังไม่พาดพิงถึงโครงการสร้างสายท่อส่งน้ำมันคีย์สโตน เอ็กซ์แอล ที่จะลำเลียงน้ำมันดิบจากแคนาดาไปยังโรงกลั่นในมลรัฐนอร์ทดาโคตา ของสหรัฐฯ

      โครงการนี้ซึ่งต้องได้รับอนุมัติจากโอบามา อยู่ในภาวะหยุดชะงักมาหลายปีแล้ว กลุ่มพิทักษณ์สิ่งแวดล้อมนั้นต้องการให้ยกเลิกเด็ดขาดไปเลย โดยอ้างว่า การผลิตและการจัดส่งน้ำมันชนิดนี้ของแคนาดาจะกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

      ทางด้านเจสัน บอร์ดอฟฟ์ ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายพลังงานแห่งใหม่ของโคลัมเบีย ชี้ว่า วิวาทะเกี่ยวกับการส่งออกน้ำมันและโครงการท่อส่งน้ำมัน เป็นตัวอย่างที่สะท้อนว่า อเมริกากำลังสาละวนกับโครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบที่ร่างขึ้นมาตั้งแต่ในช่วงเวลาที่ประเทศขาดแคลนน้ำมันและต้องพึ่งพิงการนำเข้าน้ำมัน

      บอร์ดอฟฟ์ ที่ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพลังงานระดับสูงของทำเนียบขาวมาจนถึงเดือนมกราคม ทิ้งท้ายว่า พลังงานโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นำไปสู่คำถามเร่งด่วนเกี่ยวกับนโยบายมากมายที่ไม่มีใครเคยนึกถึงมาก่อน

      ทั้งนี้ ศูนย์นโยบายพลังงานของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียแห่งนี้ มีจุดมุ่งหมายที่จะอุดช่องโหว่ทางด้านนโยบายเหล่านี้ ด้วยการวิเคราะห์วิจัยอย่างเป็นอิสระในประเด็นปัญหาต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับกับภาวะที่สหรัฐฯกลับมีพลังงานเหลือล้น ตลอดจนเรื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก

ผู้บริโภคสูญเงินมูลค่าเท่ากับทอง 1 แท่งทุกปีจากการใช้เงินสด!

ข่าวข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันศุกร์ที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๖
ขนาดตัวอักษร:ใหญ่กลางเล็ก

กรุงเทพฯ--5 เม.ย.--สปาร์ค คอมมิวนิเคชั่นส์
ที่มาhttp://www.newswit.com/fin/2013-04-05/62a58cbb2909e8686f19877db14f1d5a/
คนไทยสูญเงินมากถึง 2,000 บาททุกปีจากเศษเหรียญและเงินตราต่างประเทศที่ไม่ได้ใช้

ผลการศึกษาที่ใช้ชื่อว่า Visa Payment Attitudes Studyระบุ ผู้คนส่วนใหญ่สูญเงินมากถึง365ดอลลาร์สหรัฐโดยเฉลี่ยในทุกปีจากเงินสดที่ลืมไว้ในบ้านหรือรถยนต์ หรือเงินตราต่างประเทศที่ไม่ได้ใช้จากการเดินทางท่องเที่ยวในวันหยุดหรือเพื่อติดต่อธุรกิจ จำนวนที่ดูเหมือนจะเล็กน้อยนี้มีมูลค่าเฉลี่ย 1 ดอลลาร์ต่อวัน หรือเทียบเท่าทอง 6.5กรัม

 
วิถีชีวิตที่วุ่นวายทำให้หลายครั้งผู้คนส่วนใหญ่สูญเสียความสามารถในการติดตามควบคุมเรื่องเล็กๆ น้อยๆ รอบตัวพวกเขา เช่น เศษเงินเหรียญ โดยพวกเขาทิ้งเงินเฉลี่ย 80 ดอลลาร์ไว้ในรถยนต์ บ้าน และสำนักงาน ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ ทั้งนี้ ในกลุ่มประเทศที่ทำการสำรวจ มีตัวเลขที่น่าตกใจ คือ ชาวญี่ปุ่นมักลืมหรือมีเศษเหรียญที่ไม่ได้ใช้เฉลี่ยถึง 337 ดอลลาร์ ขณะที่ชาวอินโดนีเซียใช้เงินระมัดระวังที่สุด เพราะไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม พวกเขาจะลืมเงินหรือเศษเหรียญไว้เพียง 21 ดอลลาร์เท่านั้น

การกลับมาบ้านหลังจากท่องเที่ยวในวันหยุดโดยที่มีเศษเหรียญและธนบัตรที่เป็นเงินตราต่างประเทศเต็มอยู่ในกระเป๋านั้นถือเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้น จากการศึกษาดังกล่าว คนทั่วไปเดินทางกลับถึงบ้านพร้อมเงินตราต่างประเทศที่ไม่ได้ใช้เฉลี่ย 285 ดอลลาร์[1]

ส่วนคนไทยสูญเงินเฉลี่ย 66 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,980 บาท) ต่อปี ซึ่งมาจากเศษเหรียญต่างๆที่มีมูลค่าถึง42 ดอลลาร์ (1,260 บาท) และเงินตราต่างประเทศที่ไม่ได้ใช้ 24 ดอลลาร์ (720 บาท)

"การตามเก็บเงินสดอาจเป็นเรื่องยุ่งยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ยุ่งเหยิงและวิถีชีวิตที่ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่มากขึ้นทุกที เรารู้มานานแล้วว่าการพกพาเงินสดอาจไม่สะดวกและไม่น่าเชื่อถือ และตอนนี้เราได้ทราบจากการวิจัยครั้งนี้ว่า ผู้บริโภคเงินหมดกระเป๋าเนื่องจากการใช้จ่ายด้วยเงินสด ทั้งนี้ คนไทยควรตระหนักถึงจำนวนเงินที่อาจจะสูญไปจากการใช้เงินสด โดยหันมาเลือกใช้บัตรวีซ่าของตนมากขึ้นเมื่อเดินทาง" นายสมบูรณ์ ครบธีรนนท์ ผู้จัดการวีซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล ประจำประเทศพม่าและไทยกล่าว

ผลการศึกษาพบว่า โดยเฉลี่ยผู้บริโภคในภูมิภาคมีบัตรเดบิต 2 ใบ แต่พบว่าการรับรู้เกี่ยวกับการใช้บัตรเดบิตในต่างประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ เพียงร้อยละ 42 รับรู้ว่าพวกเขาสามารถใช้บัตรเดบิตได้ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม บัตรเดบิต โดยเฉพาะบัตรเดบิตวีซ่า ได้รับการยอมรับกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก และสามารถนำไปใช้ในร้านค้า ใช้จับจ่ายออนไลน์ หรือแม้แต่การซื้อสินค้าที่ตามจริงต้องใช้เงินสดและการถอนเงินสดจากตู้เอทีเอ็มในต่างประเทศ

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวีซ่าและบัตรเดบิตวีซ่าได้ที่ www.visa-asia.com หรือ www.visacemea.com

[1]เงินตราต่างประเทศที่จ่ายเป็นทิปภายในสนามบิน และ/หรือวางไว้ไม่เป็นที่

วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556

การทำธุรกิจการค้าปลีกและการค้าส่งยังเติบโตได้อีก!

 Written by  AECeconomy Team
ที่มาhttp://www.aececonomy.com/
ในเส้นทางการทำธุรกิจการค้าปลีกและการค้าส่งยังคงมีแนวโน้มไปได้อย่างไกล อย่างต่อเนื่อง เพราะมีทิศทางการพัฒนาในด้านการใช้เทคโนโลยีในด้านอุตสาหกรรมการค้าปลีกและ การค้าส่งเพิ่มมากขึ้นซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ

ทางสมาคมผู้ค้าปลีกค้าส่งไทยชี้ทิศทางปี 2556 ในด้านการเติมโตของภาคเศรษฐกิจการค้าปลีกและการค้าส่งไว้ดังนี้ครับ

1 ธุรกิจค้าปลีกประเภทร้านสะดวกซื้อ มีแนวโน้มในการเติบโตมากที่สุดซึ่งเมื่อเฉลี่ยการเติบโตจะอยู่ที่ 18 เปอร์เซ็น ของผู้ทำธุรกิจค้าปลีกสินค้าและค้าส่งสินค้าซึ่งคิดเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ทั้งหมด

2 สินค้าประเภทออแกนิค หรือก็คือสินค้าความสวยความงาม สินค้าเพื่อสุขภาพ ซึ่งตอนนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากและมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

3 สินค้าคุณภาพดี ราคาสูง ตอนนี้ก็ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคที่มองหาสินค้าคุณภาพ ที่สำคัญบุคคลผู้มีรายมากขึ้นมักจะมองหาคุณภาพมาก่อนเสมอและสินค้าคุณภาพส่วนใหญ่มักมีราคาสูงหรือราคาแพง

4 ธุรกิจค้าปลีกประเภทไฮเปอร์มาร์เกต มีการเนินการทำกิจรรมในการกระตุ้นยอดขายผ่านรอยัลตี้โปรแกรม

5 .ร้านค้าปลีกประเภทสุขภาพและความงามมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้เป็นผลพลอยได้ทางธุรกิจของร้านขายยาที่ต้องหันมาเป็นพันธมิตรกับร้านค้าปลีกประเภทสุขภาพและความงามให้เศรษฐกิจแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

6 ธุรกิจค้าปลีกประเภทตลาดสดกลับเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตลดลงเนื่องจากผู้บริโภคมีพฤติการรมที่เปลี่ยนแปลงการบริโภคไปเนื่องจากสื่อต่างๆ และตลาดสดมีการเป็นมาเป็นตลาดนัดเพิ่มมากขึ้นอีกด้วยครับ

7 ร้านค้าปลีกประเภทอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้าน สำหรับธุรกิจนี้มีการเติบโตไปตามธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

8 โอกาสที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจะเติบโตจะต้องมุ่งทำตลาดเฉพาะ (Niche) มากขึ้น

9 On line marketing และเทคโนโลยีใหม่ๆ มีการนำเข้ามามีบทบาทในการทำธุรกิจมากยิ่งขึ้น ซึ่งสิ่งนี้สามารถตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วมาก

10 เทคโนโลยี Omni Channel  จะได้รับการพัฒนาเพื่อรวบรวมช่องทางที่หลากหลาย Multichannel ให้เป็นหนึ่งเดียวโดยไร้รอยต่อของการปฏิสัมพันธ์ ไม่ว่าจะจับจ่ายใน store หรือ จับจ่ายผ่าน smart phone ข้อมูลธุรกรรมของลูกค้าจะถูกบูรณการในฐานข้อมูลและนำไปสู่การวิเคราะห์พฤติกรรมได้อย่างสมบูรณ์

'โออีซีดี'ชี้เศรษฐกิจอาเซียนสดใส

+ 2013-01-15
ที่มาhttp://www.apecthai.org/apec/th/econnews.php?id=868
รายงานขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ โออีซีดี ภายใต้หัวข้อ แนวโน้มเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปี 2556 (Southeast Asian Economic Outlook 2013) ซึ่งเผยแพร่เมื่อเร็วๆนี้

ที่กระทรวงการต่างประเทศ ชี้ให้เห็นว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งสองมหาอำนาจเศรษฐกิจโตเร็วของเอเชีย คือ จีนและอินเดีย จะฟื้นตัวออกจากภาวะชะลอตัวที่เกิดขึ้นในระหว่างปี 2554-2555 และจะเข้าสู่ภาวะขยายตัวอย่างรวดเร็วอีกครั้งระหว่างปี 2556-2560 หรือช่วง 5 ปีนับจากปี 2556 เป็นต้นไป

    การคาดการณ์ในระยะกลางว่าด้วยเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของโออีซีดี ดิเวลลอปเมนท์ เซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านวิจัยของโออีซีดี ชี้ว่า เศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีการเติบโตอย่างรวดเร็วอีกครั้งระหว่างปี 2556-2560 ที่อัตราเฉลี่ย 5.5% (ดังแผนภูมิประกอบ) ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับที่เคยเป็นมาในช่วงก่อนเกิดวิกฤติการเงิน หรือ pre-crisis period ระหว่างปี 2543-2550

    ความสำเร็จของประเทศในภูมิภาคนี้ในการรักษาอัตราการเติบโตในปี 2555 ที่ระดับ 5.3% เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและฟื้นตัวท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงมากมายจากภายนอกภูมิภาค อินโดนีเซียเป็นประเทศที่ได้รับการคาดหมายว่าจะมีการเติบโตมากที่สุดที่ 6.4 % ในช่วงเวลา 5 ปีนับจากนี้ ซึ่งจะเป็นการเติบโตในอัตราสูงกว่าที่เคยทำได้ในช่วงหลังวิกฤติการเงินเอเชียปี 2550 และเท่าๆกับอัตราเฉลี่ยในช่วง 2ทศวรรษก่อนเกิดวิกฤติดังกล่าว ภาพรวมที่มีแนวโน้มดีวันดีคืนนี้สะท้อนให้เห็นบรรยากาศด้านการลงทุนที่ดีขึ้นมากโดยเฉพาะในแง่การให้ความสนับสนุนการลงทุนของต่างชาติ นอกจากนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียเองยังมีแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานอีกมาก รวมทั้งแผนปฏิรูปเศรษฐกิจ



    ส่วนความคาดหมายเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย ในระยะ 5 ปีข้างหน้าก็นับว่าอยู่ในอัตราสูงกว่าประเทศกำลังพัฒนารายอื่นๆ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากอัตราการออมภายในประเทศอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูง แต่ที่โออีซีดีคาดการณ์ให้ประเทศเหล่านี้มีแนวโน้มการเติบโตของจีดีพีน้อยกว่าอินโดนีเซียก็เพราะทั้ง 4 ประเทศกำลังอยู่ในภาวะที่นอกจากจะเร่งความเร็วในการเพิ่มผลผลิตได้ยากแล้ว ยังเสี่ยงต่อการตกสู่กับดักของการเป็นประเทศรายได้ระดับกลาง หรือที่เรียกว่า middle-income trap ซึ่งทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ช้าลง          



    ทั้งนี้ รายงานระบุว่า หัวจักรขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน ยังเป็นอุปสงค์ภายในประเทศ ทั้งในส่วนของการจับจ่ายใช้สอยและการลงทุนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ โออีซีดี ยังคาดการณ์ว่าประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียนจะมีการขาดดุลด้านการคลังลดน้อยลง ซึ่งนำไปสู่เสถียรภาพมากขึ้นและหนี้สาธารณะที่ลดน้อยลงเมื่อเทียบเป็นสัดส่วนของจีดีพี อย่างไรก็ตาม บางประเทศยังคงจำเป็นต้องสร้างความแข็งแกร่งทางการคลังด้วยการเพิ่มรายได้เข้ารัฐด้วยช่องทางต่างๆ และหลายประเทศจะต้องเผชิญกับความท้าทายด้านนโยบายเศรษฐกิจมหภาคจากหลายปัจจัย อาทิ การไหลเข้าอย่างรวดเร็วของทุนต่างประเทศ ขณะที่ลาว กัมพูชา และเวียดนาม จะเผชิญปัญหาจากภาวะที่มีการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯควบคู่กับสกุลเงินท้องถิ่นอย่างกว้างขวางในระบบเศรษฐกิจของประเทศ

    รายงานของโออีซีดีระบุว่า ความท้าทายสำหรับประเทศไทยคือการพัฒนาการศึกษาและระบบสวัสดิการด้านสุขภาพ ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามรับมือกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่มีมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งเป็นผลพวงมาจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วทางเศรษฐกิจ แม้โออีซีดีจะยอมรับว่า ไทยมีความก้าวหน้าในระดับที่น่าประทับใจในการกระจายการศึกษาและบริการด้านสุขอนามัยแก่ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ แต่ความไม่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงบริการทั้งสองด้านดังกล่าวก็ยังคงมีอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนจน และยังมีความแตกต่างมากระหว่างชนบทและเมืองใหญ่ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความสนใจและดำเนินการแก้ไข คุณภาพการศึกษายังจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านคุณภาพของครู รายงานยังระบุด้วยว่า ในส่วนของบริการสาธารณสุขซึ่งต้นทุนค่าใช้จ่ายกำลังถีบตัวสูงขึ้น จำเป็นต้องมีการคุมต้นทุนไว้ด้วยการมาตรการปฏิรูปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ

    "ไทยยังจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากก้าวการพัฒนาในอดีตที่ผ่านมา และจำเป็นต้องสร้างการเติบโตควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้มากยิ่งขึ้น (greener growth) ในอนาคตด้วยการลดการสร้างก๊าซคาร์บอนสู่บรรยากาศ รวมทั้งมลพิษในรูปแบบอื่นๆ" ส่วนหนึ่งของรายงานในส่วนที่เกี่ยวกับประเทศไทยให้ข้อเสนอแนะ พร้อมระบุว่า การจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้จำเป็นต้องอาศัยความมุ่งมั่นจริงจังจากรัฐบาล องค์กรธุรกิจ รวมทั้งภาคประชาชน และจำเป็นต้องอาศัยนโยบายใหม่ๆเป็นเครื่องมือ ซึ่งรวมถึงการใช้มาตรการด้านการคลังให้สิทธิประโยชน์จูงใจมากขึ้นเพื่อส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมและพฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น  

 จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,806  วันที่   3 - 5  มกราคม พ.ศ. 2556

นักวิชาการเผยไทยมีผู้สูงอายุมากสุดในอาเซียน

By Digital Media | 13 เม.ย. 2556 11:20
นักวิชาการด้านประชากร เผยปัจจุบันไทยกลายเป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดในอาเซียน พอๆ กับสิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย แนะเร่งเตรียมความพร้อมรองรับ
ที่มาhttp://www.mcot.net/site/content?id=5168dcf0150ba05c51000027#.UXXGUaLEE4c
สำนักข่าวไทย 13 เม.ย. - เนื่องในวันผู้สูงอายุแห่งชาติ 13 เมษายน นักวิชาการด้านประชากรเผยปัจจุบันไทยกลายเป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดในอาเซียน พอๆ กับสิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย แนะเร่งเตรียมความพร้อมรองรับ โดยเฉพาะผู้สูงวัยที่จะอยู่ลำพัง หรืออยู่คู่กันสามีภรรยา

ศ.ปราโมทย์ ประสาทกุล อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล  กล่าวถึงสถานการณ์ของผู้สูงอายุไทยว่า ปัจจุบันประชากรของประเทศ ไม่รวมแรงงานข้ามชาติ มีจำนวน 64.5 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นผู้สูงอายุตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 คือบุคคลซึ่งมีอายุเกินกว่า 60 ปีบริบูรณ์จำนวน 8.3 ล้านคน หรือร้อยละ 13 ของประชากรทั้งหมด แต่หากนับที่อายุ  65 ปีขึ้นไปเหมือนหลายประเทศ จะมีจำนวน 5.8 ล้านคน หรือร้อยละ 9 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วพบว่าประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุมากที่สุดในกลุ่มอาเซียน ใกล้เคียงกับสิงคโปร์ที่มีประชากรอายุ 65 ปี ร้อยละ 9 ตามด้วยเวียดนาม ร้อยละ 7 อินโดนีเซีย ร้อยละ 6

ศ.ปราโมทย์ กล่าวต่อว่า สถานการณ์การผู้สูงวัยของประเทศขณะนี้สูงขึ้นเร็วมาก ขณะที่จำนวนประชากร  จะไม่เพิ่ม หรือช้า แต่ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5 ต่อปี ดังนั้นอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีประชากร อายุ 60 ปีขึ้นไปถึง 13 ล้านคน หรือร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมดในขณะนั้น ส่วนอายุ 65 ปี จะมี 9 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 14 ของประชากรไทย  อย่างไรก็ตาม ขณะนี้หน่วยงานต่างๆ ก็ตื่นตัวขึ้นมาก แต่ต้องเร่งด่วนเพื่อรองรับให้ทันสถานการณ์

“กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ สาธารณสุข มหาดไทย มีหลายโครงการ แต่ที่ต้องให้ความสนใจและเตรียมภาวะสูงวัยในอนาคต คือ กลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องอยู่ตามลำพัง หรืออยู่กับสามีภรรยาที่สูงอายุด้วยกัน เพราะลูกไปมีครอบครัว โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่อยู่ในเมืองจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาก ควรเตรียมระบบเฝ้าระวัง ดูแลให้ความช่วยเหลือ ทั้งสิ่งก่อสร้างสาธารณะต่างๆ ถนนหนทาง ห้องที่สร้างเอื้อต่อผู้สูงอายุ รวมถึงระบบการให้ข่าวสารความรู้ให้ทันต่อโลก ไม่ตกเป็นเหยื่อการหลอกลวง และเรื่องสุขภาพ เพราะจะมีโรคหรือความพิการ อันเนื่องมาจากการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นมาก เช่น อัลไซเมอร์ หลอดเลือด หัวใจ ไขข้อหรือกระดูกต่างๆ ที่เป็นโรคของผู้สูงอายุ” ศ.ปราโมทย์ กล่าว . - สำนักข่าวไทย

ขาดทุนยับบาทละ6พัน โรงตึงประกาศลดวงเงินจำนำเหลือ65%ฟันธงทองร่วงต่อ


วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2013 เวลา 10:10 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ ข่าวหน้า1 - คอลัมน์ : BIG
ที่มา http://www.thanonline.com/index.php?option
เผยเบื้องหลังโปรแกรมตัดขายอัตโนมัติของกองทุนขาใหญ่เป็นเหตุ ราคาลงถึงจุดกระหน่ำขายทองท่วมโลก ฉุดราคาดิ่งเหว  วงการฟันธง"ฟองสบู่ทองคำ"แตกแล้ว ยังผันผวนแรงต่อเนื่อง ไทยโชคร้ายเจอช่วงหยุดยาวสงกรานต์โดดหนีไม่ทัน กระอักกันถ้วนหน้า ชาวบ้านขาดทุนจากราคาที่ลดลงไปแล้วบาทละ 6 พันบาท ด้านโรงรับจำนำอ่วมลูกค้าจ่อปล่อยหลุด เพราะราคาไถ่ถอนสูงเกินราคาทองในตลาดแล้ว ประกาศลดวงเงินรับจำนำเหลือ 65-70 %

       ความปั่นป่วนในตลาดค้าทองคำล่าสุด เมื่อวันที่  12 และ15 เมษายน ที่ผ่านมา ที่เกิดอุบัติการณ์ตื่นตระหนกขายทอง หรือ Panic Sell  ซึ่งนำโดยนักลงทุนขาใหญ่ของโลก อย่างกองทุนSPDR  ที่เทขายอย่างหนัก จนทำให้ราคาทองตกลงมาต่ำสุดที่ 1,321 ดอลลลาร์สหรัฐฯ  ส่วนทองในประเทศหลุด 20,000 บาท มาที่ 18,000 บาทปลาย  ๆ หรือลดลงเกือบ 14 % เรียกได้ว่าเป็นภาวะราคาดิ่งเหว   จากที่ราคาทองเคยไต่ระดับขึ้นไปสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,920 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์  ส่วนราคาทองในประเทศเงินบาทที่พุ่งพรวดไปแตะที่น้ำหนักทองบาทละ 27,000 บาท ก่อนจะปรับตัวลงและผันผวนต่อเนื่องมาระยะหนึ่ง สร้างความโกลาหลและส่งผลกระทบต่อเนื่องถ้วนหน้าเวลานี้

***ชัดเจน"ฟองสบู่ทองแตก"
    นางพวรรณ์  นววัฒนทรัพย์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลียนอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด  ซึ่งเป็นผู้นำเข้า-ส่งออกทองคำรายอันดับหนึ่งของไทย ให้ความเห็นกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นภาวะฟองสบู่ทองคำแตก โดยเมื่ออิงจากราคาทองคำหน้าเหมืองซึ่งอยู่ที่ 1,000 -1,100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ขณะที่ราคาซื้อขายปรับขึ้นไปเคยสูงสุดถึง 1,920 ดอลลาร์สหรัฐฯ

    "เชื่อมั่นว่าราคาทองคำที่เหวี่ยงลงแรงอย่างนี้ เป็นภาวะฟองสบู่แตกแล้วชัดเจน และจากนี้ไปยังผันผวนแรงต่อเนื่อง หรือมีโอกาสได้เห็นราคาปรับขึ้นลงวันละ 100 กว่าดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์"

    นางพวรรณ์ กล่าวอีกว่า การปรับตัวลงอย่างรุนแรงและรวดเร็วของราคาทองคำโลก ซึ่งตรงกับวันหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์ของไทยนั้น พบว่าอีกสาเหตุที่ซ้ำเติมตลาดคือ การตั้งโปรแกรมขายอัตโนมัติ ของบรรดากองทุนบริหารความเสี่ยง หรือเฮดจ์ฟันด์ ที่เมื่อราคาทองคำปรับตัวลงมาในระดับหนึ่ง ระบบตั้งขายอัตโนมัติก็จะทำงานทันทีเพื่อตัดขาดทุน หรือ Cut Lost  โดยครั้งนี้แรงขายออกมาหนักตั้งแต่ราคาทองคำปรับลงมาที่ 1,527-1,530 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์  ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดของปีที่ผ่านมา จึงเป็นกระแสให้เกิดแรงเทขายออกมาทั่วโลก

***คนไทยขาใหญ่อันดับ 3 อ่วม
    นางพวรรณ์ กล่าวว่า จากการดิ่งแรงของราคาทองคำในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้นำเข้าทองคำสูงสุดอันดับ 3 ของเอเชีย (อันดับ 1 คือ จีน อันดับ 2 อินเดีย)ได้รับผลกระทบรุนแรง เนื่องจากเป็นวันหยุดยาวถึง5วันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ (12-16 เมษายน)  ขณะที่จีนปรับตัวได้ทัน

    สอดคล้องกับนายพิชญา  พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ  กล่าวว่า ราคาทองคำที่ปรับลงมานั้น หากประเมินถึงต้นทุนของนักลงทุนแต่ละประเภทแล้ว ถือว่าติดทองที่ราคาสูง โดยนักลงทุนทั่วไปได้รับผลกระทบหนักที่สุด คาดว่าขาดทุนเฉลี่ยบาทละ 6,000 บาท หากคำนวณจากต้นทุนเฉลี่ย 25,000 บาทต่อบาททอง   ตามมาด้วยโรงรับจำนำทั่วประเทศ คาดว่าขาดทุนบาทละ 3,000 บาท โดยอ้างอิงจากต้นทุน 4 เดือนก่อนอยู่ที่บาทละ 24,000 บาท  (ดูตารางปบรรยากาศประชาชนแห่ซื้อทองคำย่านเยาวราชคึกคัก หลังราคามีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง(วันที่ 19 เมษายน 2556)ระกอบ)

    ขณะที่นายกมลธัญ  พรไพศาลวิจิตร ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่า  กลุ่มที่ถือว่าได้รับความเสียหายมากที่สุด คือโรงรับจำ ซึ่งถือว่ามีทองคำมากที่สุดถึง 80 % ของมูลค่าการรับจำนำสินทรัพย์ทั้งหมด หรือคิดเป็นความเสียหายประมาณต่อน้ำหนักทองบาทละ 2,000-3,000 บาท

    กรมศุลกากรรายงานการนำเข้า-ส่งออกทองคำแท่งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.พ.2556 )มีจำนวน 90,855 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่านำเข้า 1.47 แสนล้านบาท ส่วนมูลค่าส่งออกมีเพียง 1,880 กิโลกรัม มูลค่า 2.68 พันล้านบาท

บรรยากาศประชาชนแห่ซื้อทองคำย่านเยาวราชคึกคัก หลังราคามีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง(วันที่ 19 เมษายน 2556)-โรงตึ๊งกลืนเลือดลูกค้าปล่อยหลุด 40 %  
          
    นายสุทธิชัย  อภิวัฒนานุกุล  ผู้จัดการ โรงรับจำนำบางหว้า   กล่าวว่า โดยปกติลูกค้าที่นำทองมาจำนำ และไม่มาต่อดอกเบี้ย จนทำให้ตั๋วจำนำหมดอายุสัญญาไม่สามารถไถ่ทองคืนได้  มีสัดส่วน 10 % ของลูกค้าที่มาจำนำทองทั้งหมด  แต่จากภาวะราคาทองคำที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง  คาดจะส่งผลให้สัดส่วนของลูกค้าดังกล่าวเพิ่มเป็น 40 % ทำให้ทางโรงรับจำนำต้องประสบภาวะขาดทุนจากลูกค้ากลุ่มนี้  เพราะให้วงเงินรับจำนำสูงถึงบาทละ 2.2-2.3 หมื่นบาท  แต่ปัจจุบันระดับราคาทองคำลดลงมาเหลือระดับ 1.8 หมื่นบาท  ซึ่งโรงรับจำนำต้องยอมรับภาวะการขาดทุนดังกล่าว  แต่จะไม่นำทองออกจำหน่ายเหมือนเช่นที่ผ่านมาเมื่อทองหลุดจำนำแล้ว  โดยทางโรงรับจำนำจะเก็บไว้จนกว่าราคาทองจะปรับเพิ่มขึ้น

    สำหรับปริมาณลูกค้าที่นำทองมาจำนำในขณะนี้ยังเป็นปกติ  ยังไม่เห็นตัวเลขการลดลงอย่างชัดเจนมากนัก  เพราะราคาทองเพิ่งจะปรับลดลงมาได้เพียงไม่ถึง 1 สัปดาห์  จึงต้องรอประเมินสถานการณ์อีกครั้งหนึ่ง  และทางโรงรับจำนำก็ยังคงรับจำนำทองคำเป็นปกติ   ส่วนวงเงินรับจำนำนั้น จะให้ในสัดส่วนประมาณ 90% ของราคาทองคำ  โดยอ้างอิงราคาทองที่มีการปรับขึ้นลงในแต่ละวันเป็นเกณฑ์  ส่วนอัตราดอกเบี้ยยังคิดเป็นปกติ  ตามที่กฎหมายควบคุม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

*ปรับลดวงเงินจำนำทองหลือ 65-70%
    ด้านโรงรับจำนำของรัฐต้องประกาศลดอัตรารับจำนำเพื่อป้องกันความเสียหาย โดยนายนิธิศ  มนูญพร ผู้อำนวยการสำนักงานธนานุเคราะห์ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ขณะนี้ยังติดตามสถานการณ์ราคาทองคำ หลังจากระดับราคาได้ปรับลงถึงบาทละ 2,400 บาท เมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา   โดยสำนักงานธนานุเคราะห์มีนโยบายถึง 24สาขาทั่วประเทศ ให้ปรับเงื่อนไขรับจำนำเหลือเพียง 70 %  จากไตรมาสแรกปีนี้ที่เคยรับจำนำที่ 85% โดยเฉลี่ยต้นทุนต่อทองคำ 1 บาท จะอยู่ที่ประมาณ 2  หมื่นบาท เทียบกับโรงรับจำนำเอกชนจะให้ราคาสูงกว่า คือที่บาทละ 2.1-2.2 หมื่นบาท  ซึ่งถึง ณ ปัจจุบัน ธนานุเคราะห์ขาดทุนทางบัญชีแล้วประมาณ 10% และหากราคาทองคำยังผันผวนมาก ก็อาจจะคงอัตรารับจำนำไว้ที่ 70%

    ส่วนกรณีการทิ้งตั๋ว ถ้าแนวโน้มราคาทองทรงหรือราคาลดลงอีก ก็มีโอกาสที่ลูกค้าจะทิ้ง หรือไม่มาไถ่ถอนทอง  แต่ในช่วงสัปดาห์แรกหลังเปิดสงกรานต์  ยังมีลูกค้าที่ใช้บริการมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2555 ทยอยจ่ายดอกเบี้ยเพื่อรักษาสถานะ  ซึ่งคาดว่าต้นเดือนพฤษภาคมนี้ น่าจะเห็นภาพชัดขึ้น และคาดว่าในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้  การบังคับใช้อัตราดอกเบี้ยรับจำนำใหม่จะมีผลบังคับ ภายหลังจากที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดพิจารณาภายในที่ 24 เมษายนนี้  ทั้งนี้เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครองและรองรับการเปิดเทอม

    เช่นเดียวกับโรงรับจำนำกทม. นายชัชวาล ศรีนนท์  ผู้อำนวยการสถานธนานุบาล  กล่าวว่า โรงรับจำนำทั้ง 21 แห่งของกทม. มีประชาชนที่ถือตั๋วจำนำอยู่กว่า 1 แสนราย มูลค่าเกือบ 3พันล้านบาท เฉลี่ยการใช้บริการ 900 ล้านบาทต่อเดือน โดยสินทรัพย์ที่คนใช้เป็นหลักประกันมาจำนำเกือบ 80 % เป็นทองคำ  อีก 10 % เป็นเพชรและพระ และที่เหลือพวกเบ็ดเตล็ด ซึ่งตามระเบียบปฎิบัติ กำหนดให้ผู้จัดการแต่ละแห่งรับจำนำที่ 87.5 % ของมูลค่าทรัพย์สินที่มาจำนำ  แต่จากกรณีที่ราคาทองคำอยู่ในช่วงขาลงขณะนี้ จึงขึ้นอยู่ดุลพินิจของผู้จัดการแต่ละแห่ง เช่น อาจให้วงเงินเหลือ 70% หรือ 65% โดยราคาทองคำที่ปรับลดนั้น น่าจะทำให้ขาดทุนกำไรบ้าง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของผู้ว่าราชการกทม. ที่ไม่เน้นทำกำไรแต่ต้องการแบ่งเบาภาระประชาชน ในการเป็นแหล่งเงินหมุนเวียนอยู่แล้ว

     " นโยบายจากผู้ว่าราชการกทม.วงเงินจำนำ 5 พันแรก คิดดอกเบี้ยอัตรา 0.25 % และระหว่างปิดภาคการศึกษาเดือนเมษายนและพฤษภาคมนี้ จัดให้มีโปรโมชันสำหรับผู้ปกครอง นักศึกษาหรือประชาชนสามารถจำนำในวงเงินเต็ม 7 หมื่นบาทต่อคน คิดดอกเบี้ย 0.50 % ต่อเดือน"
*นักเก็งกำไรชะลอซื้อทองแท่ง

    จากการปรับตัวลงแรงของราคาทองคำ ทำให้ประชาชนแห่ซื้อทองรูปพรรณ เนื่องจากเห็นว่าราคาปรับลดลงมามากจากระดับที่เคยขึ้นไปสูงสุด   ส่งผลให้บรรยากาศร้านทองตู้แดงทั่วประเทศคึกคัก  บางร้านสินค้าหมดเกลี้ยง ขณะที่ร้านทองย่านเยาวราชถึงขั้นแจกบัตรคิว อย่างไรก็ตามนางพวรรณ์ กล่าวว่า สำหรับวายแอลจีฯพบว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (16-19 เมษายน) มีคำสั่งซื้อจากร้านทองเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากในภาวะปกติที่ซื้อเฉลี่ยวันละ 5 กิโลกรัมต่อร้าน เพิ่มเป็น 10 กิโลกรัมต่อร้าน

    ขณะที่นักลงทุนประเภทเก็งกำไรในทองคำแท่งพบว่า ได้ชะลอลงทุนลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งรายย่อยและรายใหญ่  จากในภาวะปกติที่นักลงทุนรายย่อยซื้อเฉลี่ย 1 กิโลกรัมต่อวัน ส่วนรายใหญ่ซื้อเฉลี่ย 10 กิโลกรัมต่อวัน

*แนะชะลอซื้อ
    สำหรับคำแนะนำการลงทุนในทองคำ จากการประมวลความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้ค้าทองคำ ต่างเตือนให้ระมัดระวังการลงทุน เนื่องจากทองคำเป็นภาวะฟองสบู่แตก ซึ่งทำให้ราคาเป็นขาลงโดยที่ไม่รู้ว่าจุดต่ำสุดจะอยู่ตรงไหน

    นางพวรรณ์  กล่าวว่าระยะสั้นแนะนำนักลงทุนที่ยังไม่มีทองคำในพอร์ตอย่าเพิ่งรีบร้อนซื้อ โดยให้รอไปก่อนประมาณ 1 เดือน เพื่อดูว่าราคาทองคำยังสามารถยืนเหนือระดับ 1,320 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ได้หรือไม่ หากไม่ได้มีโอกาสหลุดแนวรับถัดไป ส่วนคำแนะนำสำหรับผู้ที่มีทองคำในพอร์ตแล้วหากราคาปรับขึ้นแตะที่ระดับ 1,390-1,400 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ก็ให้ซื้อได้

    "ระยะยาวมีโอกาสที่ราคาทองคำหลุดที่ระดับราคาต้นทุนหน้าเหมือง ซึ่งอยู่ที่เฉลี่ย 1,000-1,100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ " นางพวรรณ์กล่าว

 *แนะกรอบลงทุน1,150–1,530ดอลลาร์สหรัฐฯ
    นายทรงวุฒิ อภิรักษ์ขิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้งแมเนจเม้นท์ จำกัด(มหาชน)  กล่าวว่าจากแนวโน้มราคาทองคำที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง บริษัทแนะนำกลยุทธ์การลงทุน ให้นักลงทุนทยอยซื้อขายตามกรอบแนวรับแนวต้าน ที่1,150 - 1,530 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ พร้อมทั้งให้ติดตามราคาทองคำในช่วงระหว่างวันอย่างต่อเนื่อง  เนื่องจากมองว่า ทิศทางราคาทองคำในขณะนี้เป็นช่วงขาลง และมีความผันผวนอย่างมาก

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,837 วันที่  18 - 20  เมษายน พ.ศ. 2556

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

เศรษฐกิจฟองสบู่ (2)

รศ.ธนรักษ์ เมฆขยาย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้
ที่มาhttp://www.tanarak.mju.ac.th/index.php/2012-05-31-12-22-57/81-sop?showall=1
ตอนที่ 1 ได้กล่าวถึง ความหมาย ประเภท กลไกการเกิดฟองสบู่ และการเกิดและแตกของฟองสบู่ในปี 2540 ในตอนที่ 2 นี้ จะกล่าวถึง ผลกระทบจากภาวะฟองสบู่แตก และสถานการณ์ของฟองสบู่ในประเทศไทยในปัจจุบัน

ผลกระทบจากภาวะฟองสบู่แตก

คณะอนุกรรมการเกือบทุกชุดได้สรุปคล้ายคลึงกันว่า วิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคผิดพลาด และการกำกับดูแลระบบการเงินในประเทศหย่อนยาน บกพร่อง ในการยับยั้งธุรกิจเอกชนและสถาบันการเงินกู้เงินเหรียญสหรัฐระยะสั้น เข้ามาใช้ในกิจการในประเทศ และการไหลเข้ามาของเงินทุนจากต่างประเทศในตลาดหุ้น แล้วถอนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่สุทธิ 39,000 ล้านเหรียญ ณ สิ้นพฤศจิกายน 2539 ไปเดิมพันรักษาค่าเงินบาทให้คงที่อย่าง ขาดสติ ประมาท ไร้ความรับผิดชอบ และขาดความเชี่ยวชาญ จนกระทั่งสูญเสียเกือบหมด โดยเหลือเพียง 8,000 ล้านเหรียญเมื่อสิ้นสิงหาคม 2540 (9 เดือน) เมื่อบวกกับภาระผูกพันเงินที่ไปทำไว้และต้องจ่ายในอนาคตอีก (swap) ประเทศไทยต้องสูญเสียเงินตราไปถึง 33,000 ล้านเหรียญ คิดเป็นรายได้จากการส่งออกสุทธิทั้งปี (ยังไม่หักต้นทุน) ทำให้ต้องไปกู้เงินจาก IMF และจำยอมรับเงื่อนไขที่มาซ้ำเติมกับระบบเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วให้สาหัสลงไปอีก

ความเสียหายที่ติดตามมาคือ ความเสียหายภาคอสังหาริมทรัพย์อีก 191,000 ล้านบาท ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่เข้าไปแบกหนี้ของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะ 56 สถาบันการเงินที่ถูกองค์การการเงินระหว่างประเทศบงการให้ปิดอีก 1,400,000 ล้านบาท

สถานการณ์ฟองสบู่ของประเทศไทยในปัจจุบัน

สถานการณ์ฟองสบู่ที่เกิดขึ้นในปี 2540 ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องทำให้เศรษฐกิจในหลายด้านได้รับผลกระทบในปัจจุบัน ที่เห็นได้ชัดอาจแบ่งออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้


1. ตลาดหลักทรัพย์

sop4
การปรับตัวของตลาดหลักทรัพย์ไทยในปัจจุบัน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับเพิ่มขึ้นมากที่สุดในภูมิภาค ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E ratio) ต่ำกว่าตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค โดย ณ สิ้นเดือนกันยายนอยู่ที่ประมาณ 9 เท่า ประกอบกับผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวดีขึ้น และเป็นการปรับขึ้นในวงกว้าง ครอบคลุมภาคธุรกิจที่มีพื้นฐานดี เช่น สื่อสาร พลังงาน ก่อสร้าง และธนาคารพาณิชย์

มีข้อน่าสังเกตว่า ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2549 สภาพคล่องและปริมาณการซื้อขายสุทธิต่อวันเพิ่มขึ้นมาก โดยนักลงทุนในประเทศมีสัดส่วนการซื้อเพิ่มสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับนักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนประเภทสถาบัน อีกทั้งมีการเปิดบัญชีการซื้อขายของนักลงทุนรายใหม่มากขึ้น ขณะที่นักลงทุนรายเดิมที่มีบัญชีอยู่แล้วกลับเข้ามาทำธุรกรรมซื้อขายเพิ่มขึ้น ที่สำคัญคือ มีการทำการซื้อขายแบบหักลบราคาค่าซื้อและค่าขาย (Net Settlement) มากขึ้น ซึ่งกระตุ้นให้มูลค่าการซื้อขายและความผันผวนของราคาหลักทรัพย์มีเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาค่าความผันผวนหรือ Coefficient of Variance (C.V.) ซึ่งคำนวณจากผลต่างของราคาหลักทรัพย์ที่สูงสุดและต่ำสุดของวัน หารด้วยราคาเฉลี่ยของหลักทรัพย์ พบว่า หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายมากที่สุด 10 อันดับแรกในเดือนกันยายนมี C.V. มากกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด ขณะที่หลักทรัพย์พื้นฐานที่สำคัญ (SET 50) มี C.V. อยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของตลาด อย่างไรก็ดี หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายมากที่สุด 10 อันดับแรกมีสัดส่วนเพียงประมาณร้อยละ 20 ของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยในแต่ละวัน

โดยรวมแล้ว การปรับตัวของราคาหลักทรัพย์ในประเทศนั้น เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค โดยมีปัจจัยที่สนับสนุนคือ พื้นฐานของเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน และความมั่นใจของนักลงทุนทำให้มีเงินทุนไหลเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง และเมื่อพิจารณาภาวะในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2549 พบว่า การเคลื่อนไหวของหลักทรัพย์ที่มีราคาเพิ่มสูงและมีปริมาณการซื้อขายมาก ยังกระจายอยู่ในหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี แต่การซื้อขายหลักทรัพย์บางกลุ่มและการทำ Net Settlement ที่มีมากขึ้นเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดขึ้นพร้อมกับการขยายตัวของสินเชื่ออย่างรวดเร็ว

คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ประเมินว่า การแข็งค่าของเงินบาทที่รวดเร็วนี้ ถึงแม้ยังไม่ประทบต่อความสามารถในการแข่งขันและการส่งออกของไทยมากนัก เนื่องจากความยืดหยุ่นต่อราคา (Price Elasticity) ของการส่งออกสินค้าของไทยต่ำ แต่ก็จำเป็นที่จะต้องรักษาจุดสมดุลระหว่างอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย เพื่อรักษาให้แนวนโยบายการเงินอยู่ในทิศทางที่ผ่อนคลาย มิฉะนั้นอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะลดต่ำลงอีก จึงเห็นชอบที่ ธปท.ออกมาตรการผ่อนคลายเงินทุนเคลื่อนย้าย และมาตรการดูแลเงินทุนระยะสั้นในเดือนกันยายน และเห็นควรให้ติดตามผลของมาตรการเหล่านี้ต่อไป

ทั้งนี้ จากการติดตามการปรับตัวของตลาดการเงินหลังการประกาศใช้มาตรการดูแลเงินทุนระยะสั้นในเดือนกันยายน ปรากฏว่า ผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ (Non-resident) พยายามหลีกเลี่ยงมาตรการดังกล่าว โดยการทำธุรกรรมผ่านบัญชี Nosro Account กับสถาบันการเงินในประเทศเพิ่มขึ้น แทนการลงทุนในตลาด Swap ดังนั้นธปท. จึงมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาทในเดือนตุลาคม โดยอนุญาตให้ Non-resident เปิดบัญชีเงินบาท Nostro Account ได้เฉพาะกรณี และมีการจำกัดวงเงินและกำหนดเงื่อนไขการจ่ายดอกเบี้ยตามระยะเวลาฝากเงิน เป็นผลให้ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนลงอีกครั้ง

อนึ่ง ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับสูงขึ้นมากและส่งผลต่อค่าเงินบาทนั้น คณะกรรมการฯ ประเมินว่า การปรับตัวของดัชนีราคาหลักทรัพย์เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค และภาวะตลาดยังไม่สะท้อนการซื้อขายแบบเก็งกำไร เพราะหลักทรัพย์ที่มีราคาเพิ่มสูงและมีปริมาณซื้อขายมาก ยังกระจายอยู่ในหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี แต่เห็นควรให้ติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์ และพฤติกรรมการซื้อขายในหลักทรัพย์บางกลุ่มอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมป้องกันมิให้เกิดเป็นภาวะฟองสบู่ในอนาคต

เสถียรภาพดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลบัญชีเงินทุนยังอยู่ในเกณฑ์ดี ด้านดุลบัญชีเดินสะพัดนั้นปรับตัวดีขึ้นโดยตลอด ทั้งจากดุลการค้าและดุลบริการที่เกินดุล โดยเฉพาะดุลบริการที่ดีขึ้นเนื่องจากรายได้จากนักท่องเที่ยวปรับตัวสู่ภาวะปกติหลังจากปัญหา SARS คลี่คลายลง และคาดว่า จะปรับตัวดีขึ้นอีกในไตรมาสที่ 4 ที่เป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของไทย ในขณะที่มีการไหลเข้าของเงินทุนสุทธิต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนหากไม่นับรวมการชำระคืนหนี้ IMF ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และตลาดเงินในช่วงเดือนกรกฎาคมจนถึงต้นเดือนกันยายน

ในด้านเงินทุนสำรองระหว่างประเทศนั้นยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่าทางการได้ชำระหนี้รายงวดแก่ IMF หมด โดย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 37.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 40.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือนกันยายน สะท้อนเสถียรภาพต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง นอกจากนี้ยอดค้างหนี้ต่างประเทศปรับตัวลดลงมาโดยตลอด ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2546 ภาระหนี้ต่างประเทศอยู่ที่ 52.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยหนี้ต่างประเทศระยะยาวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 77.9 ของหนี้ต่างประเทศทั้งหมด ขณะนั้นหนี้ต่างประเทศระยะสั้นลดลง ทำให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเมื่อเทียบเป็นสัดส่วนกับหนี้ต่างประเทศระยะสั้นสูงขึ้นเป็นลำดับ โดยอยู่ที่ 3.27 ในเดือนกรกฎาคม ดังนั้น คณะกรรมการฯ ประเมินว่า เงินทุนสำรองระหว่างประเทศนี้เพียงพอที่จะรองรับผลกระทบจากความเสี่ยงด้านต่างประเทศ


2. ภาคอสังหาริมทรัพย์

sop6
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเกาหลีใต้ครั้งนี้มีเงื่อนไขสิ่งแวดล้อม และนโยบายของรัฐบาลที่คล้ายคลึงกับของไทยเป็นอย่างมากอย่างน่าเอามาสังวร ล่าสุดในบ้านเราเป็นที่ทราบกันดีว่า ขณะนี้การเก็งกำไรคอนโดมิเนียมราคาสูงที่แม้แต่ยังไม่ได้สร้าง ได้เริ่มขึ้นแล้ว เหมือนในตอนฟองสบู่กำลังพองคราวที่แล้ว และกำลังมีทีท่าจะไปไกล เพราะการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่โดยรอบกรุงเทพฯ และบางเมืองใหญ่กำลังร้อนแรงอย่างผิดสังเกต ถ้าฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตก จะทำให้มีคนเจ็บตัวเป็นจำนวนมาก และมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม แต่จะรุนแรงแค่ไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยรอบข้างในเรื่องอื่นๆ ด้วย เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลก สถานะหนี้ต่างประเทศของเอกชน หนี้สาธารณะของประเทศ ความเสี่ยงของเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญอยู่ ฯลฯ

ถึงฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์จะยังไม่แตก แต่ในปัจจุบันสิ่งที่น่ากลัวก็คือ ภาระหนี้จากการซื้อที่อยู่อาศัยของคนชั้นกลาง ทั้งล่างและบน ที่น่ารื่นแบกกันไว้ตอนดอกเบี้ยต่ำ ขณะนี้มีสัญญาณในระดับโลกว่า อัตราดอกเบี้ยอาจขยับขึ้น ซึ่งไทยก็ต้องขยับตามในเวลาต่อไป

ผลก็คือ คนเหล่านี้จะต้องแบกภาระหนี้เพิ่มขึ้นอีกมากขึ้น ถ้าอัตราดอกเบี้ยขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ ใน 5 ปีข้างหน้า บางคนอาจต้องสูญเสียบ้าน เพราะไม่สามารถผ่อนได้อีกต่อไปในตอนนั้น เพราะอาจมีของแถมอีกคือหนี้ผ่อนรถยนต์ และผ่อนบัตรเครดิต หากรายได้ไม่เพิ่มขึ้นมากอย่างสมดุลกัน การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการใช้จ่ายของครัวเรือนนั้นมันมีความเสี่ยงอย่างนี้ แต่ตราบที่ผู้คนมีรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยทั่วไป มันก็ไปของมันได้ แต่ถ้าหากมีอะไรมาทำให้มันสะดุด ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลก การก่อการร้าย เงินเฟ้อ การสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ค่าเงินบาทไม่คงที่ ฯลฯ ในระดับบุคคลจะเดือดร้อนกันมาก และเศรษฐกิจก็จะขับเคลื่อนไปได้ยาก


3. บัตรเครดิต

sop5
ปี 2547 เอเชียหลายประเทศก้าวสู่ความสดใส อย่างน้อยๆ ก็มีเมืองไทยของเรา ดูเหมือนจะสลัดอาการเจ็บป่วยจากพิษวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อ 5 – 6 ปีก่อนได้เกือบหมด ดูได้จากตัวเลขทางเศรษฐกิจดีขึ้น อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มจาก 1.9% ในปี 2544 เป็น 6% ในปี 2546 รายได้ประชาชาติต่อคนต่อปีเพิ่มขึ้นเป็น 92,036 บาท อัตราการว่างงานลดลงเหลือ 2% และการลงทุนภาคเอกชนมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 13% ในปี 2546 ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้นและมีความต้องการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น รวมทั้งยังเป็นปัจจัยผลักดันให้ผู้ประกอบการต่างๆ แข่งขันกันเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ทั้งทางด้านการปรับปรุงคุณภาพของสินค้าและการบริการที่ดี รวมทั้งกลยุทธ์ทางการตลาดทั้งเรื่องราคาและการโฆษณาประชาสัมพันธ์ถูกนำมาใช้สร้างภาพลักษณ์ของสินค้าตัวเองให้อยู่ในใจผู้บริโภค

“บัตรเครดิต” ได้เข้ามามีบทบาทในระบบการเงินของไทยเพิ่มมากขึ้นสำหรับเพิ่มความคล่องตัวในการใช้จ่ายของประชาชนทั้งเพื่อการบริโภคและการทำธุรกิจ โดยแนวคิดของบัตรเครดิตคือ ผู้ที่ถือบัตรเครดิตสามารถที่จะนำบัตรชำระค่าสินค้าได้ทันที แม้ว่าในขณะนั้นจะไม่มีเงินสด หลังจากนั้นผู้ที่ออกบัตรจึงค่อยเรียกเก็บค่าสินค้าจากผู้ถือบัตร หรือถ้าเมื่อถึงกำหนดชำระและมีเงินไม่เพียงพอ ก็สามารถชำระเพียงส่วนหนึ่งได้ วงเงินของสินเชื่อจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการผ่อนชำระ ซึ่งทางผู้ออกบัตรจะเป็นผู้วิเคราะห์ โดยจะพิจารณาจากเงินเดือน อาชีพการงาน และประวัติเครดิตของบุคคลเป็นหลัก เนื่องจากบัตรเครดิตเป็นสินเชื่อที่ไม่ต้องมีหลักประกัน ทางผู้ออกบัตรจึงคิดดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าสินเชื่อที่มีหลักประกัน

บัตรเครดิตที่ใช้กันอยู่ทั่วไปมีอยู่ 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ

1. ของธนาคารพาณิชย์ไทย เช่น บัตรเครดิตธนาคารกสิกร บัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ เป็นต้น

2. ของธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ เช่น VISA, MASTER, AMERICAN EXPRESS (AMES) ฯลฯ

3. ของบริษัทที่ไม่ใช่ธนาคาร (นอนแบงก์) เช่น บัตร AMEX หรือ DINERs เป็นต้น

และเนื่องจากผลประโยชน์ที่สูงจากดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม จึงทำให้ผู้ประกอบการบัตรเครดิตมีการแข่งขันกันสูงมาก สังเกตได้จากการพยายามที่จะวางกลยุทธ์ในการดึงลูกค้าด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าธรรมเนียมรายปี โดยไม่มีเงื่อนไข การให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ มากมาย และกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ เช่น บัตรเคทีซี วีซ่า ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความร้อนแรงของธุรกิจบัตรเครดิตที่ทวีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะกลายเป็นสินค้าแฟชั่นอย่างหนึ่งที่คนทันสมัยมีระดับต้องถือไว้คนละไม่น้อยกว่า 1 ใบ จะจำเป็นมากน้อยแค่ไหนเอาไว้พูดกันทีหลัง กลยุทธ์ธุรกิจบัตรเครดิตในปัจจุบันของแต่ละธนาคารดูได้จาก ดูจาก 11.1 ???

สถานการณ์บัตรเครดิตในปัจจุบัน อัตราการถือครอ
งบัตรของคนไทยทั้งประเทศอยู่ที่ 5.37% ของประชากร ซึ่งต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ธปท.รายงานตัวเลขให้บริการบัตรเครดิตล่าสุดไตรมาสที่ 4 ปี 2546 ว่าระบบธนาคารพาณิชย์มีการให้บริการบัตรเครดิตกับประชาชนทั้งสิ้น 4,224,362 บัตร เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 จำนวน 191,938 บัตร ซึ่งถือว่า เป็นการเพิ่มขึ้นที่ไม่มากเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก โดยเป็นบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ 3,390,297 บัตร เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 จำนวน 142,098 บัตร เป็นบัตรเครดิตจองธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศในไทย 834,065 บัตร เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 จำนวน 49,840 บัตร แต่หากเทียบกับสิ้นปีก่อน พบว่า ยอดบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ไทยเพิ่มขึ้น 682,885 บัตร และเป็นการเพิ่มขึ้นของบัตรเครดิตธนาคารต่างประเทศ 116,425 บัตร ด้านการใช้บัตรเครดิตของคนไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ธปท.ได้เตรียมออกมาตรการการควบคุมบัตรเครดิต เนื่องจากกลุ่มผู้สมัครใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ทำให้ยอดบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ กลุ่มผู้มีรายได้ต่ำ และข้อสำคัญที่น่าเป็นห่วงคือ ผู้ออกบัตรเป็นสถาบันที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) ที่มีการแข่งขันกันสูง อย่างไรก็ตาม มาตรการที่จะออกเพิ่มเติมเพื่อดูแลและควบคุมการทำธุรกิจบัตรเครดิต รวมทั้งการให้สินเชื่อบัตรเครดิตนั้น สามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องรอ พ.ร.บ.สถาบันการเงินผ่านการพิจารณาของรัฐสภาก่อน โดยมาตรการเพิ่มเติมนี้จะครอบคลุมถึงบัตรเครดิตที่ออกโดยสถาบันการเงิน และบัตรเครดิตที่ออกโดยบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน


4. ระดับรากหญ้า

sop7
หนี้ในภาคครัวเรือนสูงขึ้น เพราะประชาชนมีโอกาสในการกู้มากขึ้น โดยในปี 2545 ครัวเรือนมีหนี้สินเฉลี่ย 83,314 บาท ขณะที่มีรายได้ 13,418 บาท แต่เงินที่กู้มาไม่ได้นำไปใช้ก่อให้เกิดรายได้ แต่นำไปใช้คืนหนี้นอกระบบ นำไปจับจ่ายสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น รถจักรยานยนต์ โทรศัพท์มือถือ ละลายไปกับการจับจ่ายสินค้าที่ไม่สร้างรายได้ แม้นิตยสารนิวส์วีคจะกล่าวถึงความสำเร็จของรัฐบาล ในการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และสามารถขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตสูงที่สุดในเอเชียรองจากจีน แต่ได้แสดงความห่วงใยปัญหาหนี้ของผู้บริโภคไว้เหมือนกัน เพราะทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตครั้งใหม่

ปัญหาหนี้ระดับรากหญ้าถูกจับตามาตลอด เพราะถ้าบริหารจัดการไม่ดี และรัฐบาลยังมุ่งแต่การอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นการบริโภค วิกฤตการณ์หนี้เสียครั้งใหญ่อาจจะเกิดขึ้น และจะส่งผลกระทบรุนแรงยิ่งกว่าวิกฤติเศรษฐกิจฟองสบู่ในครั้งแรก เพราะฟองสบู่ครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นกับประชาชนในวงกว้าง คนระดับรากหญ้าทั่วไปอาจต้องตกอยู่ในสภาพล้มละลาย และการบูรณะฟื้นฟูแก้ปัญหาจะยุ่งยากซับซ้อนมากกว่าเก่า เพราะไม่รู้ว่าจะปรับโครงสร้างลูกหนี้ NPLs ระดับรากหญ้าจำนวนนับล้านๆ คนในรูปแบบใด นอกจากนั้น ยังไม่รู้ว่า รัฐบาลจะปั๊มเงินมาจากไหนมาแก้ปัญหาอีก เพราะใช้เงินจมหายไปในระบบมากแล้ว การสนับสนุนให้ประชาชนมีการใช้จ่ายเกินตัวจากรัฐบาลในโครงการเอื้ออาทรต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งที่กำลังทำให้ปัญหาฟองสบู่กลับมาอีกครั้ง

[1] ราวปี ค.ศ. 1930 หรือ พ.ศ. 2543 เกิดเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก เรียกว่า The Great Depression ซึ่งเป็นผลมาจากฟองสบู่แตกในสหรัฐอเมริกา
[2] ภาคเศรษฐกิจสต็อก คือ ภาคเศรษฐกิจที่ราคาเป็นตัวกำหนดมูลค่า เช่น เช่น หุ้น ที่ดิน สมาชิกสนามกอล์ฟ บ้าน รูปภาพ ใบจองสินค้าต่างๆ ฯลฯ

[3] ผลกำไรจากหลักทรัพย์ที่ได้จากการซื้อสินทรัพย์ถาวรหรือสินทรัพย์เพื่อการลงทุน แล้วขายได้ในราคาที่สูงกว่าราคาตามบัญชีหรือราคาที่ซื้อมา

[4] วัฎจักรเศรษฐกิจประกอบด้วย ห้วงบูม ห้วงปั่นป่วน ห้วงซบเซา (ถดถอย) และห้วงฟื้นตัว (ก่อนที่จะเริ่มห้วงบูมใหม่)

[5] เช่น มูลค่าทางสัญลักษณ์ (Symbol Value) มูลค่าทางวัฒนธรรม (Cultural Value) หรือคาดว่าราจาจะสูงขึ้นไปอีก

[6] เดิมเก็งกำไรในสินค้าที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ง่าย ต่อมาเก็งกำไรจากหลักทรัพย์หรือในตลาดหุ้น การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยจึงมีมากขึ้น ทำให้อุปสงค์ต่อภาคเศรษฐกิจจริงเพิ่มขึ้น

[7] ในตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ และเศรษฐกิจสต็อกเป็นผลลัพธ์ของพัฒนาการระบบทุนนิยม

[8] เงินกู้ (Loan) ที่ปล่อยกู้แก่ผู้มีเครดิตทางการเงินต่ำกว่ามาตรฐาน (Subprime) เพื่อซื้อบ้าน ด้วยวิธีนำบ้านไปจำนอง (Mortgage) กับผู้ให้กู้หรือสถาบันการเงิน เพื่อแลกเปลี่ยนกับการได้เงินกู้มาจ่ายเป็นค่าบ้าน กลุ่มลูกค้าคือ ผู้มีรายได้น้อยไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน หรือผู้มีประวัติทางการเงินไม่ดี เช่น ผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งเคยเฟื่องฟูมากในช่วง 4-5 ปีก่อน