ที่มาhttp://www.apecthai.org/apec/th/econnews.php?id=868
ที่กระทรวงการต่างประเทศ ชี้ให้เห็นว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งสองมหาอำนาจเศรษฐกิจโตเร็วของเอเชีย คือ จีนและอินเดีย จะฟื้นตัวออกจากภาวะชะลอตัวที่เกิดขึ้นในระหว่างปี 2554-2555 และจะเข้าสู่ภาวะขยายตัวอย่างรวดเร็วอีกครั้งระหว่างปี 2556-2560 หรือช่วง 5 ปีนับจากปี 2556 เป็นต้นไป
การคาดการณ์ในระยะกลางว่าด้วยเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของโออีซีดี ดิเวลลอปเมนท์ เซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านวิจัยของโออีซีดี ชี้ว่า เศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีการเติบโตอย่างรวดเร็วอีกครั้งระหว่างปี 2556-2560 ที่อัตราเฉลี่ย 5.5% (ดังแผนภูมิประกอบ) ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับที่เคยเป็นมาในช่วงก่อนเกิดวิกฤติการเงิน หรือ pre-crisis period ระหว่างปี 2543-2550
ความสำเร็จของประเทศในภูมิภาคนี้ในการรักษาอัตราการเติบโตในปี 2555 ที่ระดับ 5.3% เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและฟื้นตัวท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงมากมายจากภายนอกภูมิภาค อินโดนีเซียเป็นประเทศที่ได้รับการคาดหมายว่าจะมีการเติบโตมากที่สุดที่ 6.4 % ในช่วงเวลา 5 ปีนับจากนี้ ซึ่งจะเป็นการเติบโตในอัตราสูงกว่าที่เคยทำได้ในช่วงหลังวิกฤติการเงินเอเชียปี 2550 และเท่าๆกับอัตราเฉลี่ยในช่วง 2ทศวรรษก่อนเกิดวิกฤติดังกล่าว ภาพรวมที่มีแนวโน้มดีวันดีคืนนี้สะท้อนให้เห็นบรรยากาศด้านการลงทุนที่ดีขึ้นมากโดยเฉพาะในแง่การให้ความสนับสนุนการลงทุนของต่างชาติ นอกจากนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียเองยังมีแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานอีกมาก รวมทั้งแผนปฏิรูปเศรษฐกิจ

ส่วนความคาดหมายเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย ในระยะ 5 ปีข้างหน้าก็นับว่าอยู่ในอัตราสูงกว่าประเทศกำลังพัฒนารายอื่นๆ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากอัตราการออมภายในประเทศอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูง แต่ที่โออีซีดีคาดการณ์ให้ประเทศเหล่านี้มีแนวโน้มการเติบโตของจีดีพีน้อยกว่าอินโดนีเซียก็เพราะทั้ง 4 ประเทศกำลังอยู่ในภาวะที่นอกจากจะเร่งความเร็วในการเพิ่มผลผลิตได้ยากแล้ว ยังเสี่ยงต่อการตกสู่กับดักของการเป็นประเทศรายได้ระดับกลาง หรือที่เรียกว่า middle-income trap ซึ่งทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ช้าลง

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า หัวจักรขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน ยังเป็นอุปสงค์ภายในประเทศ ทั้งในส่วนของการจับจ่ายใช้สอยและการลงทุนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ โออีซีดี ยังคาดการณ์ว่าประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียนจะมีการขาดดุลด้านการคลังลดน้อยลง ซึ่งนำไปสู่เสถียรภาพมากขึ้นและหนี้สาธารณะที่ลดน้อยลงเมื่อเทียบเป็นสัดส่วนของจีดีพี อย่างไรก็ตาม บางประเทศยังคงจำเป็นต้องสร้างความแข็งแกร่งทางการคลังด้วยการเพิ่มรายได้เข้ารัฐด้วยช่องทางต่างๆ และหลายประเทศจะต้องเผชิญกับความท้าทายด้านนโยบายเศรษฐกิจมหภาคจากหลายปัจจัย อาทิ การไหลเข้าอย่างรวดเร็วของทุนต่างประเทศ ขณะที่ลาว กัมพูชา และเวียดนาม จะเผชิญปัญหาจากภาวะที่มีการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯควบคู่กับสกุลเงินท้องถิ่นอย่างกว้างขวางในระบบเศรษฐกิจของประเทศ
รายงานของโออีซีดีระบุว่า ความท้าทายสำหรับประเทศไทยคือการพัฒนาการศึกษาและระบบสวัสดิการด้านสุขภาพ ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามรับมือกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่มีมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งเป็นผลพวงมาจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วทางเศรษฐกิจ แม้โออีซีดีจะยอมรับว่า ไทยมีความก้าวหน้าในระดับที่น่าประทับใจในการกระจายการศึกษาและบริการด้านสุขอนามัยแก่ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ แต่ความไม่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงบริการทั้งสองด้านดังกล่าวก็ยังคงมีอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนจน และยังมีความแตกต่างมากระหว่างชนบทและเมืองใหญ่ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความสนใจและดำเนินการแก้ไข คุณภาพการศึกษายังจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านคุณภาพของครู รายงานยังระบุด้วยว่า ในส่วนของบริการสาธารณสุขซึ่งต้นทุนค่าใช้จ่ายกำลังถีบตัวสูงขึ้น จำเป็นต้องมีการคุมต้นทุนไว้ด้วยการมาตรการปฏิรูปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ
"ไทยยังจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากก้าวการพัฒนาในอดีตที่ผ่านมา และจำเป็นต้องสร้างการเติบโตควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้มากยิ่งขึ้น (greener growth) ในอนาคตด้วยการลดการสร้างก๊าซคาร์บอนสู่บรรยากาศ รวมทั้งมลพิษในรูปแบบอื่นๆ" ส่วนหนึ่งของรายงานในส่วนที่เกี่ยวกับประเทศไทยให้ข้อเสนอแนะ พร้อมระบุว่า การจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้จำเป็นต้องอาศัยความมุ่งมั่นจริงจังจากรัฐบาล องค์กรธุรกิจ รวมทั้งภาคประชาชน และจำเป็นต้องอาศัยนโยบายใหม่ๆเป็นเครื่องมือ ซึ่งรวมถึงการใช้มาตรการด้านการคลังให้สิทธิประโยชน์จูงใจมากขึ้นเพื่อส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมและพฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,806 วันที่ 3 - 5 มกราคม พ.ศ. 2556
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น