วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2013 เวลา 10:10 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ ข่าวหน้า1 - คอลัมน์ : BIG
ที่มา http://www.thanonline.com/index.php?option
ความปั่นป่วนในตลาดค้าทองคำล่าสุด เมื่อวันที่ 12 และ15 เมษายน ที่ผ่านมา ที่เกิดอุบัติการณ์ตื่นตระหนกขายทอง หรือ Panic Sell ซึ่งนำโดยนักลงทุนขาใหญ่ของโลก อย่างกองทุนSPDR ที่เทขายอย่างหนัก จนทำให้ราคาทองตกลงมาต่ำสุดที่ 1,321 ดอลลลาร์สหรัฐฯ ส่วนทองในประเทศหลุด 20,000 บาท มาที่ 18,000 บาทปลาย ๆ หรือลดลงเกือบ 14 % เรียกได้ว่าเป็นภาวะราคาดิ่งเหว จากที่ราคาทองเคยไต่ระดับขึ้นไปสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,920 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ส่วนราคาทองในประเทศเงินบาทที่พุ่งพรวดไปแตะที่น้ำหนักทองบาทละ 27,000 บาท ก่อนจะปรับตัวลงและผันผวนต่อเนื่องมาระยะหนึ่ง สร้างความโกลาหลและส่งผลกระทบต่อเนื่องถ้วนหน้าเวลานี้
***ชัดเจน"ฟองสบู่ทองแตก"
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลียนอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำเข้า-ส่งออกทองคำรายอันดับหนึ่งของไทย ให้ความเห็นกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นภาวะฟองสบู่ทองคำแตก โดยเมื่ออิงจากราคาทองคำหน้าเหมืองซึ่งอยู่ที่ 1,000 -1,100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ขณะที่ราคาซื้อขายปรับขึ้นไปเคยสูงสุดถึง 1,920 ดอลลาร์สหรัฐฯ
"เชื่อมั่นว่าราคาทองคำที่เหวี่ยงลงแรงอย่างนี้ เป็นภาวะฟองสบู่แตกแล้วชัดเจน และจากนี้ไปยังผันผวนแรงต่อเนื่อง หรือมีโอกาสได้เห็นราคาปรับขึ้นลงวันละ 100 กว่าดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์"
นางพวรรณ์ กล่าวอีกว่า การปรับตัวลงอย่างรุนแรงและรวดเร็วของราคาทองคำโลก ซึ่งตรงกับวันหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์ของไทยนั้น พบว่าอีกสาเหตุที่ซ้ำเติมตลาดคือ การตั้งโปรแกรมขายอัตโนมัติ ของบรรดากองทุนบริหารความเสี่ยง หรือเฮดจ์ฟันด์ ที่เมื่อราคาทองคำปรับตัวลงมาในระดับหนึ่ง ระบบตั้งขายอัตโนมัติก็จะทำงานทันทีเพื่อตัดขาดทุน หรือ Cut Lost โดยครั้งนี้แรงขายออกมาหนักตั้งแต่ราคาทองคำปรับลงมาที่ 1,527-1,530 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดของปีที่ผ่านมา จึงเป็นกระแสให้เกิดแรงเทขายออกมาทั่วโลก
***คนไทยขาใหญ่อันดับ 3 อ่วม
นางพวรรณ์ กล่าวว่า จากการดิ่งแรงของราคาทองคำในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้นำเข้าทองคำสูงสุดอันดับ 3 ของเอเชีย (อันดับ 1 คือ จีน อันดับ 2 อินเดีย)ได้รับผลกระทบรุนแรง เนื่องจากเป็นวันหยุดยาวถึง5วันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ (12-16 เมษายน) ขณะที่จีนปรับตัวได้ทัน
สอดคล้องกับนายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองคำที่ปรับลงมานั้น หากประเมินถึงต้นทุนของนักลงทุนแต่ละประเภทแล้ว ถือว่าติดทองที่ราคาสูง โดยนักลงทุนทั่วไปได้รับผลกระทบหนักที่สุด คาดว่าขาดทุนเฉลี่ยบาทละ 6,000 บาท หากคำนวณจากต้นทุนเฉลี่ย 25,000 บาทต่อบาททอง ตามมาด้วยโรงรับจำนำทั่วประเทศ คาดว่าขาดทุนบาทละ 3,000 บาท โดยอ้างอิงจากต้นทุน 4 เดือนก่อนอยู่ที่บาทละ 24,000 บาท (ดูตารางปบรรยากาศประชาชนแห่ซื้อทองคำย่านเยาวราชคึกคัก หลังราคามีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง(วันที่ 19 เมษายน 2556)ระกอบ)
ขณะที่นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิตร ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่า กลุ่มที่ถือว่าได้รับความเสียหายมากที่สุด คือโรงรับจำ ซึ่งถือว่ามีทองคำมากที่สุดถึง 80 % ของมูลค่าการรับจำนำสินทรัพย์ทั้งหมด หรือคิดเป็นความเสียหายประมาณต่อน้ำหนักทองบาทละ 2,000-3,000 บาท
กรมศุลกากรรายงานการนำเข้า-ส่งออกทองคำแท่งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.พ.2556 )มีจำนวน 90,855 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่านำเข้า 1.47 แสนล้านบาท ส่วนมูลค่าส่งออกมีเพียง 1,880 กิโลกรัม มูลค่า 2.68 พันล้านบาท
บรรยากาศประชาชนแห่ซื้อทองคำย่านเยาวราชคึกคัก หลังราคามีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง(วันที่ 19 เมษายน 2556)-โรงตึ๊งกลืนเลือดลูกค้าปล่อยหลุด 40 %
นายสุทธิชัย อภิวัฒนานุกุล ผู้จัดการ โรงรับจำนำบางหว้า กล่าวว่า โดยปกติลูกค้าที่นำทองมาจำนำ และไม่มาต่อดอกเบี้ย จนทำให้ตั๋วจำนำหมดอายุสัญญาไม่สามารถไถ่ทองคืนได้ มีสัดส่วน 10 % ของลูกค้าที่มาจำนำทองทั้งหมด แต่จากภาวะราคาทองคำที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง คาดจะส่งผลให้สัดส่วนของลูกค้าดังกล่าวเพิ่มเป็น 40 % ทำให้ทางโรงรับจำนำต้องประสบภาวะขาดทุนจากลูกค้ากลุ่มนี้ เพราะให้วงเงินรับจำนำสูงถึงบาทละ 2.2-2.3 หมื่นบาท แต่ปัจจุบันระดับราคาทองคำลดลงมาเหลือระดับ 1.8 หมื่นบาท ซึ่งโรงรับจำนำต้องยอมรับภาวะการขาดทุนดังกล่าว แต่จะไม่นำทองออกจำหน่ายเหมือนเช่นที่ผ่านมาเมื่อทองหลุดจำนำแล้ว โดยทางโรงรับจำนำจะเก็บไว้จนกว่าราคาทองจะปรับเพิ่มขึ้น
สำหรับปริมาณลูกค้าที่นำทองมาจำนำในขณะนี้ยังเป็นปกติ ยังไม่เห็นตัวเลขการลดลงอย่างชัดเจนมากนัก เพราะราคาทองเพิ่งจะปรับลดลงมาได้เพียงไม่ถึง 1 สัปดาห์ จึงต้องรอประเมินสถานการณ์อีกครั้งหนึ่ง และทางโรงรับจำนำก็ยังคงรับจำนำทองคำเป็นปกติ ส่วนวงเงินรับจำนำนั้น จะให้ในสัดส่วนประมาณ 90% ของราคาทองคำ โดยอ้างอิงราคาทองที่มีการปรับขึ้นลงในแต่ละวันเป็นเกณฑ์ ส่วนอัตราดอกเบี้ยยังคิดเป็นปกติ ตามที่กฎหมายควบคุม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
*ปรับลดวงเงินจำนำทองหลือ 65-70%
ด้านโรงรับจำนำของรัฐต้องประกาศลดอัตรารับจำนำเพื่อป้องกันความเสียหาย โดยนายนิธิศ มนูญพร ผู้อำนวยการสำนักงานธนานุเคราะห์ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ขณะนี้ยังติดตามสถานการณ์ราคาทองคำ หลังจากระดับราคาได้ปรับลงถึงบาทละ 2,400 บาท เมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา โดยสำนักงานธนานุเคราะห์มีนโยบายถึง 24สาขาทั่วประเทศ ให้ปรับเงื่อนไขรับจำนำเหลือเพียง 70 % จากไตรมาสแรกปีนี้ที่เคยรับจำนำที่ 85% โดยเฉลี่ยต้นทุนต่อทองคำ 1 บาท จะอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นบาท เทียบกับโรงรับจำนำเอกชนจะให้ราคาสูงกว่า คือที่บาทละ 2.1-2.2 หมื่นบาท ซึ่งถึง ณ ปัจจุบัน ธนานุเคราะห์ขาดทุนทางบัญชีแล้วประมาณ 10% และหากราคาทองคำยังผันผวนมาก ก็อาจจะคงอัตรารับจำนำไว้ที่ 70%
ส่วนกรณีการทิ้งตั๋ว ถ้าแนวโน้มราคาทองทรงหรือราคาลดลงอีก ก็มีโอกาสที่ลูกค้าจะทิ้ง หรือไม่มาไถ่ถอนทอง แต่ในช่วงสัปดาห์แรกหลังเปิดสงกรานต์ ยังมีลูกค้าที่ใช้บริการมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2555 ทยอยจ่ายดอกเบี้ยเพื่อรักษาสถานะ ซึ่งคาดว่าต้นเดือนพฤษภาคมนี้ น่าจะเห็นภาพชัดขึ้น และคาดว่าในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ การบังคับใช้อัตราดอกเบี้ยรับจำนำใหม่จะมีผลบังคับ ภายหลังจากที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดพิจารณาภายในที่ 24 เมษายนนี้ ทั้งนี้เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครองและรองรับการเปิดเทอม
เช่นเดียวกับโรงรับจำนำกทม. นายชัชวาล ศรีนนท์ ผู้อำนวยการสถานธนานุบาล กล่าวว่า โรงรับจำนำทั้ง 21 แห่งของกทม. มีประชาชนที่ถือตั๋วจำนำอยู่กว่า 1 แสนราย มูลค่าเกือบ 3พันล้านบาท เฉลี่ยการใช้บริการ 900 ล้านบาทต่อเดือน โดยสินทรัพย์ที่คนใช้เป็นหลักประกันมาจำนำเกือบ 80 % เป็นทองคำ อีก 10 % เป็นเพชรและพระ และที่เหลือพวกเบ็ดเตล็ด ซึ่งตามระเบียบปฎิบัติ กำหนดให้ผู้จัดการแต่ละแห่งรับจำนำที่ 87.5 % ของมูลค่าทรัพย์สินที่มาจำนำ แต่จากกรณีที่ราคาทองคำอยู่ในช่วงขาลงขณะนี้ จึงขึ้นอยู่ดุลพินิจของผู้จัดการแต่ละแห่ง เช่น อาจให้วงเงินเหลือ 70% หรือ 65% โดยราคาทองคำที่ปรับลดนั้น น่าจะทำให้ขาดทุนกำไรบ้าง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของผู้ว่าราชการกทม. ที่ไม่เน้นทำกำไรแต่ต้องการแบ่งเบาภาระประชาชน ในการเป็นแหล่งเงินหมุนเวียนอยู่แล้ว
" นโยบายจากผู้ว่าราชการกทม.วงเงินจำนำ 5 พันแรก คิดดอกเบี้ยอัตรา 0.25 % และระหว่างปิดภาคการศึกษาเดือนเมษายนและพฤษภาคมนี้ จัดให้มีโปรโมชันสำหรับผู้ปกครอง นักศึกษาหรือประชาชนสามารถจำนำในวงเงินเต็ม 7 หมื่นบาทต่อคน คิดดอกเบี้ย 0.50 % ต่อเดือน"
*นักเก็งกำไรชะลอซื้อทองแท่ง
จากการปรับตัวลงแรงของราคาทองคำ ทำให้ประชาชนแห่ซื้อทองรูปพรรณ เนื่องจากเห็นว่าราคาปรับลดลงมามากจากระดับที่เคยขึ้นไปสูงสุด ส่งผลให้บรรยากาศร้านทองตู้แดงทั่วประเทศคึกคัก บางร้านสินค้าหมดเกลี้ยง ขณะที่ร้านทองย่านเยาวราชถึงขั้นแจกบัตรคิว อย่างไรก็ตามนางพวรรณ์ กล่าวว่า สำหรับวายแอลจีฯพบว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (16-19 เมษายน) มีคำสั่งซื้อจากร้านทองเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากในภาวะปกติที่ซื้อเฉลี่ยวันละ 5 กิโลกรัมต่อร้าน เพิ่มเป็น 10 กิโลกรัมต่อร้าน
ขณะที่นักลงทุนประเภทเก็งกำไรในทองคำแท่งพบว่า ได้ชะลอลงทุนลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งรายย่อยและรายใหญ่ จากในภาวะปกติที่นักลงทุนรายย่อยซื้อเฉลี่ย 1 กิโลกรัมต่อวัน ส่วนรายใหญ่ซื้อเฉลี่ย 10 กิโลกรัมต่อวัน
*แนะชะลอซื้อ
สำหรับคำแนะนำการลงทุนในทองคำ จากการประมวลความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้ค้าทองคำ ต่างเตือนให้ระมัดระวังการลงทุน เนื่องจากทองคำเป็นภาวะฟองสบู่แตก ซึ่งทำให้ราคาเป็นขาลงโดยที่ไม่รู้ว่าจุดต่ำสุดจะอยู่ตรงไหน
นางพวรรณ์ กล่าวว่าระยะสั้นแนะนำนักลงทุนที่ยังไม่มีทองคำในพอร์ตอย่าเพิ่งรีบร้อนซื้อ โดยให้รอไปก่อนประมาณ 1 เดือน เพื่อดูว่าราคาทองคำยังสามารถยืนเหนือระดับ 1,320 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ได้หรือไม่ หากไม่ได้มีโอกาสหลุดแนวรับถัดไป ส่วนคำแนะนำสำหรับผู้ที่มีทองคำในพอร์ตแล้วหากราคาปรับขึ้นแตะที่ระดับ 1,390-1,400 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ก็ให้ซื้อได้
"ระยะยาวมีโอกาสที่ราคาทองคำหลุดที่ระดับราคาต้นทุนหน้าเหมือง ซึ่งอยู่ที่เฉลี่ย 1,000-1,100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ " นางพวรรณ์กล่าว
*แนะกรอบลงทุน1,150–1,530ดอลลาร์สหรัฐฯ
นายทรงวุฒิ อภิรักษ์ขิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้งแมเนจเม้นท์ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่าจากแนวโน้มราคาทองคำที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง บริษัทแนะนำกลยุทธ์การลงทุน ให้นักลงทุนทยอยซื้อขายตามกรอบแนวรับแนวต้าน ที่1,150 - 1,530 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ พร้อมทั้งให้ติดตามราคาทองคำในช่วงระหว่างวันอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมองว่า ทิศทางราคาทองคำในขณะนี้เป็นช่วงขาลง และมีความผันผวนอย่างมาก
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,837 วันที่ 18 - 20 เมษายน พ.ศ. 2556
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น