head ads

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

เศรษฐกิจฟองสบู่ (2)

รศ.ธนรักษ์ เมฆขยาย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้
ที่มาhttp://www.tanarak.mju.ac.th/index.php/2012-05-31-12-22-57/81-sop?showall=1
ตอนที่ 1 ได้กล่าวถึง ความหมาย ประเภท กลไกการเกิดฟองสบู่ และการเกิดและแตกของฟองสบู่ในปี 2540 ในตอนที่ 2 นี้ จะกล่าวถึง ผลกระทบจากภาวะฟองสบู่แตก และสถานการณ์ของฟองสบู่ในประเทศไทยในปัจจุบัน

ผลกระทบจากภาวะฟองสบู่แตก

คณะอนุกรรมการเกือบทุกชุดได้สรุปคล้ายคลึงกันว่า วิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคผิดพลาด และการกำกับดูแลระบบการเงินในประเทศหย่อนยาน บกพร่อง ในการยับยั้งธุรกิจเอกชนและสถาบันการเงินกู้เงินเหรียญสหรัฐระยะสั้น เข้ามาใช้ในกิจการในประเทศ และการไหลเข้ามาของเงินทุนจากต่างประเทศในตลาดหุ้น แล้วถอนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่สุทธิ 39,000 ล้านเหรียญ ณ สิ้นพฤศจิกายน 2539 ไปเดิมพันรักษาค่าเงินบาทให้คงที่อย่าง ขาดสติ ประมาท ไร้ความรับผิดชอบ และขาดความเชี่ยวชาญ จนกระทั่งสูญเสียเกือบหมด โดยเหลือเพียง 8,000 ล้านเหรียญเมื่อสิ้นสิงหาคม 2540 (9 เดือน) เมื่อบวกกับภาระผูกพันเงินที่ไปทำไว้และต้องจ่ายในอนาคตอีก (swap) ประเทศไทยต้องสูญเสียเงินตราไปถึง 33,000 ล้านเหรียญ คิดเป็นรายได้จากการส่งออกสุทธิทั้งปี (ยังไม่หักต้นทุน) ทำให้ต้องไปกู้เงินจาก IMF และจำยอมรับเงื่อนไขที่มาซ้ำเติมกับระบบเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วให้สาหัสลงไปอีก

ความเสียหายที่ติดตามมาคือ ความเสียหายภาคอสังหาริมทรัพย์อีก 191,000 ล้านบาท ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่เข้าไปแบกหนี้ของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะ 56 สถาบันการเงินที่ถูกองค์การการเงินระหว่างประเทศบงการให้ปิดอีก 1,400,000 ล้านบาท

สถานการณ์ฟองสบู่ของประเทศไทยในปัจจุบัน

สถานการณ์ฟองสบู่ที่เกิดขึ้นในปี 2540 ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องทำให้เศรษฐกิจในหลายด้านได้รับผลกระทบในปัจจุบัน ที่เห็นได้ชัดอาจแบ่งออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้


1. ตลาดหลักทรัพย์

sop4
การปรับตัวของตลาดหลักทรัพย์ไทยในปัจจุบัน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับเพิ่มขึ้นมากที่สุดในภูมิภาค ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E ratio) ต่ำกว่าตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค โดย ณ สิ้นเดือนกันยายนอยู่ที่ประมาณ 9 เท่า ประกอบกับผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวดีขึ้น และเป็นการปรับขึ้นในวงกว้าง ครอบคลุมภาคธุรกิจที่มีพื้นฐานดี เช่น สื่อสาร พลังงาน ก่อสร้าง และธนาคารพาณิชย์

มีข้อน่าสังเกตว่า ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2549 สภาพคล่องและปริมาณการซื้อขายสุทธิต่อวันเพิ่มขึ้นมาก โดยนักลงทุนในประเทศมีสัดส่วนการซื้อเพิ่มสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับนักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนประเภทสถาบัน อีกทั้งมีการเปิดบัญชีการซื้อขายของนักลงทุนรายใหม่มากขึ้น ขณะที่นักลงทุนรายเดิมที่มีบัญชีอยู่แล้วกลับเข้ามาทำธุรกรรมซื้อขายเพิ่มขึ้น ที่สำคัญคือ มีการทำการซื้อขายแบบหักลบราคาค่าซื้อและค่าขาย (Net Settlement) มากขึ้น ซึ่งกระตุ้นให้มูลค่าการซื้อขายและความผันผวนของราคาหลักทรัพย์มีเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาค่าความผันผวนหรือ Coefficient of Variance (C.V.) ซึ่งคำนวณจากผลต่างของราคาหลักทรัพย์ที่สูงสุดและต่ำสุดของวัน หารด้วยราคาเฉลี่ยของหลักทรัพย์ พบว่า หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายมากที่สุด 10 อันดับแรกในเดือนกันยายนมี C.V. มากกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด ขณะที่หลักทรัพย์พื้นฐานที่สำคัญ (SET 50) มี C.V. อยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของตลาด อย่างไรก็ดี หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายมากที่สุด 10 อันดับแรกมีสัดส่วนเพียงประมาณร้อยละ 20 ของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยในแต่ละวัน

โดยรวมแล้ว การปรับตัวของราคาหลักทรัพย์ในประเทศนั้น เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค โดยมีปัจจัยที่สนับสนุนคือ พื้นฐานของเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน และความมั่นใจของนักลงทุนทำให้มีเงินทุนไหลเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง และเมื่อพิจารณาภาวะในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2549 พบว่า การเคลื่อนไหวของหลักทรัพย์ที่มีราคาเพิ่มสูงและมีปริมาณการซื้อขายมาก ยังกระจายอยู่ในหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี แต่การซื้อขายหลักทรัพย์บางกลุ่มและการทำ Net Settlement ที่มีมากขึ้นเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดขึ้นพร้อมกับการขยายตัวของสินเชื่ออย่างรวดเร็ว

คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ประเมินว่า การแข็งค่าของเงินบาทที่รวดเร็วนี้ ถึงแม้ยังไม่ประทบต่อความสามารถในการแข่งขันและการส่งออกของไทยมากนัก เนื่องจากความยืดหยุ่นต่อราคา (Price Elasticity) ของการส่งออกสินค้าของไทยต่ำ แต่ก็จำเป็นที่จะต้องรักษาจุดสมดุลระหว่างอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย เพื่อรักษาให้แนวนโยบายการเงินอยู่ในทิศทางที่ผ่อนคลาย มิฉะนั้นอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะลดต่ำลงอีก จึงเห็นชอบที่ ธปท.ออกมาตรการผ่อนคลายเงินทุนเคลื่อนย้าย และมาตรการดูแลเงินทุนระยะสั้นในเดือนกันยายน และเห็นควรให้ติดตามผลของมาตรการเหล่านี้ต่อไป

ทั้งนี้ จากการติดตามการปรับตัวของตลาดการเงินหลังการประกาศใช้มาตรการดูแลเงินทุนระยะสั้นในเดือนกันยายน ปรากฏว่า ผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ (Non-resident) พยายามหลีกเลี่ยงมาตรการดังกล่าว โดยการทำธุรกรรมผ่านบัญชี Nosro Account กับสถาบันการเงินในประเทศเพิ่มขึ้น แทนการลงทุนในตลาด Swap ดังนั้นธปท. จึงมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาทในเดือนตุลาคม โดยอนุญาตให้ Non-resident เปิดบัญชีเงินบาท Nostro Account ได้เฉพาะกรณี และมีการจำกัดวงเงินและกำหนดเงื่อนไขการจ่ายดอกเบี้ยตามระยะเวลาฝากเงิน เป็นผลให้ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนลงอีกครั้ง

อนึ่ง ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับสูงขึ้นมากและส่งผลต่อค่าเงินบาทนั้น คณะกรรมการฯ ประเมินว่า การปรับตัวของดัชนีราคาหลักทรัพย์เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค และภาวะตลาดยังไม่สะท้อนการซื้อขายแบบเก็งกำไร เพราะหลักทรัพย์ที่มีราคาเพิ่มสูงและมีปริมาณซื้อขายมาก ยังกระจายอยู่ในหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี แต่เห็นควรให้ติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์ และพฤติกรรมการซื้อขายในหลักทรัพย์บางกลุ่มอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมป้องกันมิให้เกิดเป็นภาวะฟองสบู่ในอนาคต

เสถียรภาพดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลบัญชีเงินทุนยังอยู่ในเกณฑ์ดี ด้านดุลบัญชีเดินสะพัดนั้นปรับตัวดีขึ้นโดยตลอด ทั้งจากดุลการค้าและดุลบริการที่เกินดุล โดยเฉพาะดุลบริการที่ดีขึ้นเนื่องจากรายได้จากนักท่องเที่ยวปรับตัวสู่ภาวะปกติหลังจากปัญหา SARS คลี่คลายลง และคาดว่า จะปรับตัวดีขึ้นอีกในไตรมาสที่ 4 ที่เป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของไทย ในขณะที่มีการไหลเข้าของเงินทุนสุทธิต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนหากไม่นับรวมการชำระคืนหนี้ IMF ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และตลาดเงินในช่วงเดือนกรกฎาคมจนถึงต้นเดือนกันยายน

ในด้านเงินทุนสำรองระหว่างประเทศนั้นยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่าทางการได้ชำระหนี้รายงวดแก่ IMF หมด โดย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 37.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 40.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือนกันยายน สะท้อนเสถียรภาพต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง นอกจากนี้ยอดค้างหนี้ต่างประเทศปรับตัวลดลงมาโดยตลอด ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2546 ภาระหนี้ต่างประเทศอยู่ที่ 52.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยหนี้ต่างประเทศระยะยาวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 77.9 ของหนี้ต่างประเทศทั้งหมด ขณะนั้นหนี้ต่างประเทศระยะสั้นลดลง ทำให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเมื่อเทียบเป็นสัดส่วนกับหนี้ต่างประเทศระยะสั้นสูงขึ้นเป็นลำดับ โดยอยู่ที่ 3.27 ในเดือนกรกฎาคม ดังนั้น คณะกรรมการฯ ประเมินว่า เงินทุนสำรองระหว่างประเทศนี้เพียงพอที่จะรองรับผลกระทบจากความเสี่ยงด้านต่างประเทศ


2. ภาคอสังหาริมทรัพย์

sop6
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเกาหลีใต้ครั้งนี้มีเงื่อนไขสิ่งแวดล้อม และนโยบายของรัฐบาลที่คล้ายคลึงกับของไทยเป็นอย่างมากอย่างน่าเอามาสังวร ล่าสุดในบ้านเราเป็นที่ทราบกันดีว่า ขณะนี้การเก็งกำไรคอนโดมิเนียมราคาสูงที่แม้แต่ยังไม่ได้สร้าง ได้เริ่มขึ้นแล้ว เหมือนในตอนฟองสบู่กำลังพองคราวที่แล้ว และกำลังมีทีท่าจะไปไกล เพราะการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่โดยรอบกรุงเทพฯ และบางเมืองใหญ่กำลังร้อนแรงอย่างผิดสังเกต ถ้าฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตก จะทำให้มีคนเจ็บตัวเป็นจำนวนมาก และมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม แต่จะรุนแรงแค่ไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยรอบข้างในเรื่องอื่นๆ ด้วย เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลก สถานะหนี้ต่างประเทศของเอกชน หนี้สาธารณะของประเทศ ความเสี่ยงของเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญอยู่ ฯลฯ

ถึงฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์จะยังไม่แตก แต่ในปัจจุบันสิ่งที่น่ากลัวก็คือ ภาระหนี้จากการซื้อที่อยู่อาศัยของคนชั้นกลาง ทั้งล่างและบน ที่น่ารื่นแบกกันไว้ตอนดอกเบี้ยต่ำ ขณะนี้มีสัญญาณในระดับโลกว่า อัตราดอกเบี้ยอาจขยับขึ้น ซึ่งไทยก็ต้องขยับตามในเวลาต่อไป

ผลก็คือ คนเหล่านี้จะต้องแบกภาระหนี้เพิ่มขึ้นอีกมากขึ้น ถ้าอัตราดอกเบี้ยขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ ใน 5 ปีข้างหน้า บางคนอาจต้องสูญเสียบ้าน เพราะไม่สามารถผ่อนได้อีกต่อไปในตอนนั้น เพราะอาจมีของแถมอีกคือหนี้ผ่อนรถยนต์ และผ่อนบัตรเครดิต หากรายได้ไม่เพิ่มขึ้นมากอย่างสมดุลกัน การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการใช้จ่ายของครัวเรือนนั้นมันมีความเสี่ยงอย่างนี้ แต่ตราบที่ผู้คนมีรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยทั่วไป มันก็ไปของมันได้ แต่ถ้าหากมีอะไรมาทำให้มันสะดุด ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลก การก่อการร้าย เงินเฟ้อ การสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ค่าเงินบาทไม่คงที่ ฯลฯ ในระดับบุคคลจะเดือดร้อนกันมาก และเศรษฐกิจก็จะขับเคลื่อนไปได้ยาก


3. บัตรเครดิต

sop5
ปี 2547 เอเชียหลายประเทศก้าวสู่ความสดใส อย่างน้อยๆ ก็มีเมืองไทยของเรา ดูเหมือนจะสลัดอาการเจ็บป่วยจากพิษวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อ 5 – 6 ปีก่อนได้เกือบหมด ดูได้จากตัวเลขทางเศรษฐกิจดีขึ้น อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มจาก 1.9% ในปี 2544 เป็น 6% ในปี 2546 รายได้ประชาชาติต่อคนต่อปีเพิ่มขึ้นเป็น 92,036 บาท อัตราการว่างงานลดลงเหลือ 2% และการลงทุนภาคเอกชนมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 13% ในปี 2546 ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้นและมีความต้องการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น รวมทั้งยังเป็นปัจจัยผลักดันให้ผู้ประกอบการต่างๆ แข่งขันกันเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ทั้งทางด้านการปรับปรุงคุณภาพของสินค้าและการบริการที่ดี รวมทั้งกลยุทธ์ทางการตลาดทั้งเรื่องราคาและการโฆษณาประชาสัมพันธ์ถูกนำมาใช้สร้างภาพลักษณ์ของสินค้าตัวเองให้อยู่ในใจผู้บริโภค

“บัตรเครดิต” ได้เข้ามามีบทบาทในระบบการเงินของไทยเพิ่มมากขึ้นสำหรับเพิ่มความคล่องตัวในการใช้จ่ายของประชาชนทั้งเพื่อการบริโภคและการทำธุรกิจ โดยแนวคิดของบัตรเครดิตคือ ผู้ที่ถือบัตรเครดิตสามารถที่จะนำบัตรชำระค่าสินค้าได้ทันที แม้ว่าในขณะนั้นจะไม่มีเงินสด หลังจากนั้นผู้ที่ออกบัตรจึงค่อยเรียกเก็บค่าสินค้าจากผู้ถือบัตร หรือถ้าเมื่อถึงกำหนดชำระและมีเงินไม่เพียงพอ ก็สามารถชำระเพียงส่วนหนึ่งได้ วงเงินของสินเชื่อจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการผ่อนชำระ ซึ่งทางผู้ออกบัตรจะเป็นผู้วิเคราะห์ โดยจะพิจารณาจากเงินเดือน อาชีพการงาน และประวัติเครดิตของบุคคลเป็นหลัก เนื่องจากบัตรเครดิตเป็นสินเชื่อที่ไม่ต้องมีหลักประกัน ทางผู้ออกบัตรจึงคิดดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าสินเชื่อที่มีหลักประกัน

บัตรเครดิตที่ใช้กันอยู่ทั่วไปมีอยู่ 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ

1. ของธนาคารพาณิชย์ไทย เช่น บัตรเครดิตธนาคารกสิกร บัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ เป็นต้น

2. ของธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ เช่น VISA, MASTER, AMERICAN EXPRESS (AMES) ฯลฯ

3. ของบริษัทที่ไม่ใช่ธนาคาร (นอนแบงก์) เช่น บัตร AMEX หรือ DINERs เป็นต้น

และเนื่องจากผลประโยชน์ที่สูงจากดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม จึงทำให้ผู้ประกอบการบัตรเครดิตมีการแข่งขันกันสูงมาก สังเกตได้จากการพยายามที่จะวางกลยุทธ์ในการดึงลูกค้าด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าธรรมเนียมรายปี โดยไม่มีเงื่อนไข การให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ มากมาย และกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ เช่น บัตรเคทีซี วีซ่า ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความร้อนแรงของธุรกิจบัตรเครดิตที่ทวีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะกลายเป็นสินค้าแฟชั่นอย่างหนึ่งที่คนทันสมัยมีระดับต้องถือไว้คนละไม่น้อยกว่า 1 ใบ จะจำเป็นมากน้อยแค่ไหนเอาไว้พูดกันทีหลัง กลยุทธ์ธุรกิจบัตรเครดิตในปัจจุบันของแต่ละธนาคารดูได้จาก ดูจาก 11.1 ???

สถานการณ์บัตรเครดิตในปัจจุบัน อัตราการถือครอ
งบัตรของคนไทยทั้งประเทศอยู่ที่ 5.37% ของประชากร ซึ่งต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ธปท.รายงานตัวเลขให้บริการบัตรเครดิตล่าสุดไตรมาสที่ 4 ปี 2546 ว่าระบบธนาคารพาณิชย์มีการให้บริการบัตรเครดิตกับประชาชนทั้งสิ้น 4,224,362 บัตร เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 จำนวน 191,938 บัตร ซึ่งถือว่า เป็นการเพิ่มขึ้นที่ไม่มากเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก โดยเป็นบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ 3,390,297 บัตร เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 จำนวน 142,098 บัตร เป็นบัตรเครดิตจองธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศในไทย 834,065 บัตร เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 จำนวน 49,840 บัตร แต่หากเทียบกับสิ้นปีก่อน พบว่า ยอดบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ไทยเพิ่มขึ้น 682,885 บัตร และเป็นการเพิ่มขึ้นของบัตรเครดิตธนาคารต่างประเทศ 116,425 บัตร ด้านการใช้บัตรเครดิตของคนไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ธปท.ได้เตรียมออกมาตรการการควบคุมบัตรเครดิต เนื่องจากกลุ่มผู้สมัครใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ทำให้ยอดบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ กลุ่มผู้มีรายได้ต่ำ และข้อสำคัญที่น่าเป็นห่วงคือ ผู้ออกบัตรเป็นสถาบันที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) ที่มีการแข่งขันกันสูง อย่างไรก็ตาม มาตรการที่จะออกเพิ่มเติมเพื่อดูแลและควบคุมการทำธุรกิจบัตรเครดิต รวมทั้งการให้สินเชื่อบัตรเครดิตนั้น สามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องรอ พ.ร.บ.สถาบันการเงินผ่านการพิจารณาของรัฐสภาก่อน โดยมาตรการเพิ่มเติมนี้จะครอบคลุมถึงบัตรเครดิตที่ออกโดยสถาบันการเงิน และบัตรเครดิตที่ออกโดยบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน


4. ระดับรากหญ้า

sop7
หนี้ในภาคครัวเรือนสูงขึ้น เพราะประชาชนมีโอกาสในการกู้มากขึ้น โดยในปี 2545 ครัวเรือนมีหนี้สินเฉลี่ย 83,314 บาท ขณะที่มีรายได้ 13,418 บาท แต่เงินที่กู้มาไม่ได้นำไปใช้ก่อให้เกิดรายได้ แต่นำไปใช้คืนหนี้นอกระบบ นำไปจับจ่ายสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น รถจักรยานยนต์ โทรศัพท์มือถือ ละลายไปกับการจับจ่ายสินค้าที่ไม่สร้างรายได้ แม้นิตยสารนิวส์วีคจะกล่าวถึงความสำเร็จของรัฐบาล ในการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และสามารถขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตสูงที่สุดในเอเชียรองจากจีน แต่ได้แสดงความห่วงใยปัญหาหนี้ของผู้บริโภคไว้เหมือนกัน เพราะทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตครั้งใหม่

ปัญหาหนี้ระดับรากหญ้าถูกจับตามาตลอด เพราะถ้าบริหารจัดการไม่ดี และรัฐบาลยังมุ่งแต่การอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นการบริโภค วิกฤตการณ์หนี้เสียครั้งใหญ่อาจจะเกิดขึ้น และจะส่งผลกระทบรุนแรงยิ่งกว่าวิกฤติเศรษฐกิจฟองสบู่ในครั้งแรก เพราะฟองสบู่ครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นกับประชาชนในวงกว้าง คนระดับรากหญ้าทั่วไปอาจต้องตกอยู่ในสภาพล้มละลาย และการบูรณะฟื้นฟูแก้ปัญหาจะยุ่งยากซับซ้อนมากกว่าเก่า เพราะไม่รู้ว่าจะปรับโครงสร้างลูกหนี้ NPLs ระดับรากหญ้าจำนวนนับล้านๆ คนในรูปแบบใด นอกจากนั้น ยังไม่รู้ว่า รัฐบาลจะปั๊มเงินมาจากไหนมาแก้ปัญหาอีก เพราะใช้เงินจมหายไปในระบบมากแล้ว การสนับสนุนให้ประชาชนมีการใช้จ่ายเกินตัวจากรัฐบาลในโครงการเอื้ออาทรต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งที่กำลังทำให้ปัญหาฟองสบู่กลับมาอีกครั้ง

[1] ราวปี ค.ศ. 1930 หรือ พ.ศ. 2543 เกิดเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก เรียกว่า The Great Depression ซึ่งเป็นผลมาจากฟองสบู่แตกในสหรัฐอเมริกา
[2] ภาคเศรษฐกิจสต็อก คือ ภาคเศรษฐกิจที่ราคาเป็นตัวกำหนดมูลค่า เช่น เช่น หุ้น ที่ดิน สมาชิกสนามกอล์ฟ บ้าน รูปภาพ ใบจองสินค้าต่างๆ ฯลฯ

[3] ผลกำไรจากหลักทรัพย์ที่ได้จากการซื้อสินทรัพย์ถาวรหรือสินทรัพย์เพื่อการลงทุน แล้วขายได้ในราคาที่สูงกว่าราคาตามบัญชีหรือราคาที่ซื้อมา

[4] วัฎจักรเศรษฐกิจประกอบด้วย ห้วงบูม ห้วงปั่นป่วน ห้วงซบเซา (ถดถอย) และห้วงฟื้นตัว (ก่อนที่จะเริ่มห้วงบูมใหม่)

[5] เช่น มูลค่าทางสัญลักษณ์ (Symbol Value) มูลค่าทางวัฒนธรรม (Cultural Value) หรือคาดว่าราจาจะสูงขึ้นไปอีก

[6] เดิมเก็งกำไรในสินค้าที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ง่าย ต่อมาเก็งกำไรจากหลักทรัพย์หรือในตลาดหุ้น การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยจึงมีมากขึ้น ทำให้อุปสงค์ต่อภาคเศรษฐกิจจริงเพิ่มขึ้น

[7] ในตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ และเศรษฐกิจสต็อกเป็นผลลัพธ์ของพัฒนาการระบบทุนนิยม

[8] เงินกู้ (Loan) ที่ปล่อยกู้แก่ผู้มีเครดิตทางการเงินต่ำกว่ามาตรฐาน (Subprime) เพื่อซื้อบ้าน ด้วยวิธีนำบ้านไปจำนอง (Mortgage) กับผู้ให้กู้หรือสถาบันการเงิน เพื่อแลกเปลี่ยนกับการได้เงินกู้มาจ่ายเป็นค่าบ้าน กลุ่มลูกค้าคือ ผู้มีรายได้น้อยไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน หรือผู้มีประวัติทางการเงินไม่ดี เช่น ผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งเคยเฟื่องฟูมากในช่วง 4-5 ปีก่อน

1 ความคิดเห็น:

  1. ใช้สำหรับเงินกู้ของคุณวันนี้ออนไลน์โดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นของทุกชนิดและรับ
    เงินกู้ของคุณในอัตรา 3%
    ติดต่อเราวันนี้ที่
    raphealjefferyfinance@gmail.com
    กรอกแบบฟอร์มการสมัครขอสินเชื่อ

    ชื่อ:
    ประเทศ:
    สถานะ:
    เบอร์โทรศัพท์:
    อายุ:
    อาชีพ:
    จำนวนเงินกู้ที่จำเป็น:
    ระยะเวลา:
    เว็บไซต์: raphealjefferyfinance@gmail.com

    ผบ. นายเจฟฟรีย์

    ตอบลบ