head ads

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สงครามเศรษฐกิจ “Crelization”


สงครามเศรษฐกิจ “Crelization”

สิทธิชัย ฝรั่งทอง วิทยาลัยเซาธ์อีสท์บางกอก  กรุงเทพธุรกิจ Bizweek วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2548
หากย้อนไปเมื่อในอดีต การเกิดขึ้นของสงครามจะเป็นการแก่งแย่งชิงดินแดนและทรัพยากร เพราะสงครามในขณะนั้นจะเป็นการขยายอาณาเขตออกไป โดยมิได้มุ่งหวังเพียงดินแดนเท่านั้น แต่ยังมุ่งหวังทรัพยากรในดินแดนอีกด้วย
ภายหลังสงครามโลกสิ้นสุดลง ก็พบว่า สหประชาชาติสามารถยับยั้งการทำสงครามอาวุธได้ในระดับหนึ่ง แต่เมื่อสงครามอาวุธผ่านไปก็จะกลายเป็นสงครามเศรษฐกิจ
การทำสงครามเศรษฐกิจจะมีการใช้วัฒนธรรมเข้าไปแทรกแซงเป็นการกลืนชาติด้วย ที่เรียกว่า “Crelization” หมายความว่า เป็นความพยายามยัดเยียดวัฒนธรรมของตนให้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในชาตินั้นๆ โดยครอบงำทำให้คนมีวิถีชีวิตตามแบบฉบับวัฒนธรรมของตน หรือรู้สึกว่าเหมือนเป็นวัฒนธรรมของตน
คำถามก็คือ ทำไมต้องมีการทำสงครามวัฒนธรรม
คำตอบก็คือ เพราะว่าวิถีชีวิตจะมีตัวสินค้าเป็นองค์ประกอบ
เมื่อเรายอมรับวิถีชีวิตใดๆ ก็ตาม วิถีชีวิตเหล่านั้นย่อมจะต้องร้องขอสินค้าบางอย่างเพื่อที่จะทำให้การดำเนินชีวิตเหล่านั้นเดินต่อไปได้ เช่น เมื่อเรายอมรับวิถีชีวิตดิจิทัล (Digital) เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ และ PC ก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตเรา ญี่ปุ่นเป็นชาติหนึ่งที่ผลิตเครื่องเสียงได้ดี ซึ่งการร้องเพลงตามเนื้อร้องที่เรียกกันเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า “คาราโอเกะ” เมื่อเรายอมรับวิธีการร้องเพลงกันตามเนื้อเพลงที่เป็นคาราโอเกะ ในที่สุดสินค้าเกี่ยวกับการร้องเพลงคาราโอเกะแบบญี่ปุ่นก็จะขายดีไปด้วย
การรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดตามแบบฉบับวัฒนธรรมอเมริกัน เช่น ทานแฮมเบอร์เกอร์ที่แมคโดนัลด์ ทานไก่ที่ KFC ดื่มโค้ก หรือเป๊ปซี่ แก้กระหายน้ำ การแต่งกายจะให้ดูทันสมัยก็ต้องใส่กางเกงยีนส์เอวต่ำ สวมเสื้อเชิ้ตสั้นรัดรูปโชว์สะดือ สไตล์การแต่งตัวแบบร็อค ฮิพฮอพ พั้งค์ ตามแบบฉบับดารานักร้องต่างประเทศ
หรือการยอมรับว่า ภาษาที่ใช้ในสื่อสารทางธุรกิจต้องเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาสเปน ทำให้ต้องนำเข้าตำรา วัสดุอุปกรณ์ และอาจารย์ที่เป็นเจ้าของภาษาเข้ามาเป็นผู้สอนหลัก เป็นต้น
การเกิดขึ้นของกระแสวัฒนธรรมโลกจะทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกสามารถผลิตสินค้าด้วยต้นทุนที่ต่ำขายได้ทั่วโลก (Economy of Global Scales) ซึ่งเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ข้ามชาติจากประเทศด้อยพัฒนา หรือประเทศโลกที่สาม นอกจากจะใช้สินค้าแทรกเข้าไปในวิถีชีวิตแล้วยังมีการสอดแทรกวัฒนธรรมเข้าไปในธุรกิจบันเทิงและการนำเสนอข่าวอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น Walt Disney, CNN, Hollywood, Sony, รายการเรียลลิตี้ และลิขสิทธิ์เกมโชว์ต่างๆ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ คือ กระบวนการ “CREOLIZATION”
จะเห็นได้ว่าในยุคเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) มีการหลั่งไหลของวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาในสังคมไทยอย่างหนัก จนทำให้รู้สึกว่าวัฒนธรรม ค่านิยม รูปแบบวิถีการดำเนินชีวิตแบบไทยๆ กำลังถูกกลืนและทำลายรากเหง้าความเป็นไทยจนแทบจะหมดสิ้น
แต่ก็ต้องยอมรับอย่างปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันวัฒนธรรมรูปแบบวิถีชีวิตตะวันตก หรือของต่างชาติกำลังมีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตความเป็นอยู่ของคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น รวมทั้งผู้ประกอบการบางรายก็หาประโยชน์จากวัฒนธรรมดังกล่าวด้วยการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่สะท้อนให้วัฒนธรรมต่างๆ มีความผิดเพี้ยน เน้นแต่ด้านวัตถุนิยม ความเป็นปัจเจกชน เอารัดเอาเปรียบกัน จนขาดสติคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมอันดีงามของไทย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าระบบตลาดทุนนิยมนี้ จะมีการแข่งขันที่ส่งผลดีต่อผู้บริโภคในเรื่องคุณภาพผลิตภัณฑ์และรูปแบบของนวัตกรรม (Innovation) ก็ตาม แต่ก็ทำให้สังคมไทยยุคใหม่มีลักษณะเป็นบริโภคนิยม (Consumerism) และสังคมมีความเสี่ยงต่อการถูกกลืนทางวัฒนธรรม ซึ่งคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นฟันเฟืองกลไกทางสังคมต่อไปในอนาคตก็กำลังหลงใหลนิยมชมชอบกับความสุขจากสิ่งบันเทิงต่างๆ ที่มากับกระแสโลกาภิวัตน์และการเปิดเสรีทางการค้า
ดังนั้น ถ้าอยากจะชนะสงครามเศรษฐกิจ จะต้องมีชัยชนะในสงครามวัฒนธรรมก่อน
ณ เวลานี้จะเห็นได้ว่า ต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นชาวยุโรป หรืออเมริกัน ต่างมีนโยบายอย่างชัดเจนในเรื่องเน้นส่งออกวัฒนธรรม (Export) โดยไม่ยอมนำเข้า (Import) ก็หมายความว่า เขาพร้อมที่จะผลักดันวัฒนธรรมของเขาออกมาสู่โลกที่เป็นประเทศโลกที่สาม (Third world) แต่เขาจะพยายามกีดกันการนำเข้าวัฒนธรรมของเราเข้าไป
อย่างไรก็ดี โดยภาพรวมในยุคนี้ จะพบว่า ประเทศไทยไม่อยู่ในภาวะที่สามารถเป็นผู้ควบคุมโลก (Global Dominace) ได้ แต่เป็นได้ก็แค่ทำอย่างไรที่จะอยู่รอดในยุคโลกาภิวัตน์ (Global Survival) ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และการถูกคุกคามจากประเทศมหาอำนาจ ขณะเดียวกัน ก็ต้องเรียนรู้กลยุทธ์ระหว่างชาติว่าอาจจะมีช่องว่างของตลาด (Niche Market) เล็กๆ สำหรับไทยในการที่จะเข้าไปยึดครองบางส่วนหรือส่วนหนึ่งของตลาดได้บ้าง เช่น ครัวโลก สปา หรือสนามกอล์ฟ
การเข้าครอบงำทางวัฒนธรรมของต่างชาติมีกรณีศึกษาของประเทศจีนที่น่าจับตาดูว่า กระแสการไหลเข้าของวัฒนธรรมต่างชาติที่กำลังเข้าไปในประเทศจีนเริ่มจะมีมากขึ้น จนทำให้ประชาชนชาวจีนโดยเฉพาะคนหนุ่มสาววัยรุ่นมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงเหมือนในไทย ไม่ว่าจะเป็นการใช้บัตรเครดิต ทานอาหารฟาสต์ฟู้ด นิยมเพลงฝรั่ง ญี่ปุ่น แต่งกายสไตล์โฉบเฉี่ยว หรือค่านิยมฟรีเซ็กซ์เหมือนชาวตะวันตก
การรุกเข้าของวัฒนธรรมต่างชาติ ทำให้เมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงวัฒนธรรมของจีนมีความวิตกกังวลต่ออันตรายทางสังคมในประเทศ จึงต้องมีการออกมาตรการคุมเข้มสกัดการไหลบ่าของวัฒนธรรมป๊อป โดยเตรียมงดออกใบอนุญาตประกอบกิจการแก่บรรดาสถานีโทรทัศน์ของต่างชาติหน้าใหม่ๆ พร้อมทั้งเพิ่มมาตรการคุมเข้มการเซ็นเซอร์รายการโทรทัศน์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ
ทั้งยังจะคุมเข้มบรรดาบริษัทที่ทำหน้าที่แพร่ภาพกระจายเสียงผ่านดาวเทียมทางโทรทัศน์ของต่างชาติ 31 ราย ที่ได้รับใบอนุญาตให้บริการในจีนในช่วงก่อนหน้านี้อีกด้วย
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังเตรียมงดการออกใบอนุญาตแก่บรรดาบริษัทที่นำเข้าหนังสือพิมพ์และนิตยสาร สื่อสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับภาพและเสียง ตลอดจนการ์ตูนสำหรับเด็ก
กฎระเบียบคุมเข้มใหม่นี้จะมีผลต่อผลิตภัณฑ์ที่มีลิขสิทธิ์ของต่างชาติที่บรรดาบริษัทจีนได้รับอนุญาตให้ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวได้สร้างความผิดหวังให้กับบรรดาบริษัทบริการด้านแพร่ภาพ-กระจายเสียงในต่างประเทศ ที่หวังจะเจาะธุรกิจสื่อในประเทศจีน ขณะเดียวกัน บรรดาสถานีโทรทัศน์ และวิทยุของจีนต่างต้องการให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนและจัดทำรายการให้ โดยในจำนวนนี้ มีหลายบริษัทที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน และจะต้องแข่งขันกับคู่แข่งจำนวนมากในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม การแสวงหาความเป็นใหญ่ในยุคโลกาภิวัตน์นี้ จะเห็นได้ว่า ความเจริญก้าวหน้าที่กำลังแพร่กระจายเข้ามาในแต่ละประเทศ ย่อมมีสิ่งแอบแฝงซ่อนเร้นเข้ามาเสมอ
จะสามารถแข่งขันและอยู่รอดได้ในยุคนี้ จึงต้องรู้เท่าทันกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกและทำความเข้าใจบริบทแห่งการเปลี่ยนแปลง (The New Reality) ในแง่มุมต่างๆ ให้ได้ฟ

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภาพรวมของกัมพูชา (6)


ตลาดวัสดุก่อสร้างและธุรกิจก่อสร้างในกัมพูชา

http://122.155.9.68/talad/index.php/cambodia/sector/construction
ปัจจุบันประเทศกัมพูชาอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า จึงมีความต้องการวัสดุก่อสร้างเพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างและปรับปรุงสาธารณูปโภคต่าง ๆ อาทิ ถนน สะพาน ทางรถไฟ ท่าเรือ นิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ที่พักอาศัย และโรงแรม เป็นต้น

อุตสาหกรรมก่อสร้างของกัมพูชาได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลาไม่นานมานี้ ซึ่งเกิดจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของกัมพูชาร่วมกับการได้รับความช่วยเหลือจากต่างชาติเพื่อพัฒนาประเทศในเรื่องของสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานประกอบกับที่การท่องเที่ยวของกัมพูชายังได้รับความนิยมจากต่างชาติ ซึ่งในปี พ.. 2551 ภาคบริการมีการเจริญเติบโตถึงร้อยละ 46.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ดังนั้น จึงส่งผลให้นักธุรกิจเร่งพัฒนาที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อสนองความต้องการ ทำให้เกิดการก่อสร้างโรงแรม เกสเฮ้าส์ และที่พักใหม่ในเมืองสำคัญ เช่น จังหวัดเสียมเรียบ และกรุงพนมเปญ เพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ ประเภทของสินค้าวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง และอุตสาหกรรมการก่อสร้าง สามารถแบ่งเป็น กลุ่มหลัก ตามลักษณะการใช้งาน ดังนี้

1) สินค้าวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง แบ่งตามลักษณะการใช้งานได้ดังนี้

ประเภทสินค้าวัตถุดิบ ได้แก่ วัสดุก่อสร้างประเภท หิน กรวด ทราย ซีเมนต์ หินปูน แร่ยิบซั่ม เป็นต้น

ประเภทวัสดุกึ่งสำเร็จรูป ได้แก่ คอนกรีต ยางมะตอย เหล็ก อิฐบล็อก สีสำหรับทาทั้งภายนอกและภายใน สารเคมีสำหรับยึดเกาะ วัสดุยาแนว แผ่นกระเบื้อง หลังคา ผนัง

ประเภทผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ได้แก่ ระบบกรอบอาคาร ประตู หน้าต่าง แผ่นฟิล์มกันแสง เครื่องสุขภัณฑ์ อุปกรณ์ไฟฟ้า และอิเลคทรอนิคส์ เป็นต้น

2) ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

3) ธุรกิจร้านค้าวัสดุก่อสร้าง

4) ธุรกิจออกแบบและตกแต่งภายใน จัดสวน เพาะพันธุ์สัตว์น้ำ และอุปกรณ์ตกแต่งในบ้านและเครื่องใช้ในบ้าน


อุปสงค์ความต้องการกลุ่มสินค้าก่อสร้าง/วัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง





สินค้าวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง

การนำเข้าสินค้าวัสดุก่อสร้างของประเทศกัมพูชามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี พ.. 2547–2550 มีมูลค่าการนำเข้า 345, 212.10; 960,303.60; 1,200,317.90 และ 1,242,160.10 ล้านเรียล ตามลำดับ หรือคิดเป็นร้อยละ 5.26 ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมดในปี พ.. 2550 ดังแสดงในตารางที่ 2.54 (P2-130) ส่วนการนำเข้าสินค้าวัสดุก่อสร้างของกัมพูชาจากประเทศไทยนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วจะขนส่งผ่านด่านศุลกากรอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ซึ่งในปี พ.. 2549–2551 มีมูลค่าการส่งออกปูนซีเมนต์ 1,269,254,662; 1,069,549,715.39 และ 939,946,580.48 ล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้ ยังไม่รวมวัสดุก่อสร้างที่ไม่ผ่านพิธีการศุลกากรซึ่งนำเข้าบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา นอกจากการนำเข้าปูนซีเมนต์จากไทยแล้ว กัมพูชายังนำเข้าวัสดุก่อสร้างจากประเทศอื่น ๆ เช่น เหล็กนำเข้าจากประเทศจีน

เนื่องจากไทยมีความได้เปรียบเรื่องสถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ทำให้ค่าขนส่งสินค้าวัสดุก่อสร้าง เมื่อเปรียบเทียบกับการนำเข้าจากประเทศเกาหลี จีน หรือเวียดนาม สินค้าไทยจึงมีราคาถูกกว่า หากไม่นับสินค้าวัสดุก่อสร้าง เช่น ปูนซีเมนต์ หลังคา เครื่องสุขภัณฑ์ ฯลฯ แล้ว ไทยควรคิดที่จะขายอื่น ๆ เข้าสู่กัมพูชา ได้แก่ สินค้าหมวดเครื่องเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร เครื่องครัว และเครื่องประดับบ้าน รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งนี้ สินค้าวัสดุก่อสร้างผู้นำเข้าจะเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าเอง โดยจะกระจายสินค้าต่อไปยังตัวแทนขายและร้านค้าปลีกรวมทั้งการขายโดยตรงให้ผู้บริโภคทั้งในกรุงพนมเปญและจังหวัดต่าง ๆ

สำหรับแนวโน้มของตลาดกัมพูชามองว่า ปัจจุบันมีวัตถุดิบชนิดใหม่ ๆ ที่มีคุณสมบัติเทียบเท่าหรือเหนือกว่ามาทดแทนวัตถุดิบไม้ที่เหลือน้อยและมีราคาแพง เช่น เหล็ก อลูมิเนียมพีวีซี กระจก เซรามิก เป็นต้น รวมทั้งวัตถุดิบที่มีคุณสมบัติอื่น ๆ อาทิ ประหยัดพลังงาน เน้นความเป็นธรรมชาติมากที่สุดและเพื่อสุขภาพของผู้บริโภค นอกจากนี้ มีการวิจัยพัฒนาวัสดุก่อสร้างชนิดใหม่ ๆ เช่น วัสดุประเภท Continuous Fiber, Anchorage, หรือน้ำยาปรับปรุงคุณภาพ คอนกรีตแบบต่าง ๆ และวัสดุ อื่น ๆ เข้าสู่ตลาดมากขึ้น

ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาธุรกิจรับสร้างที่อยู่อาศัยมีการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากกัมพูชาอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน อาทิ ถนน สะพาน ทางรถไฟ ท่าเรือ นิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ที่พักอาศัย และโรงแรม เป็นต้น ประกอบกับการพัฒนาที่ดินในปะเทศกัมพูชาในหลาย ๆ โครงการ อาทิ การพัฒนาพื้นที่ในกรุงพนมเปญ การสร้างเมืองใหม่ การพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลจังหวัดสีหนุวิลล์ เป็นต้น ทำให้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเป็นที่ต้องการในตลาดกัมพูชามากขึ้น

สำหรับโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่จะเข้าไปในตลาดธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของกัมพูชานี้ โดยผู้ประกอบการไทยหลายรายถือว่ามีศักยภาพในระดับที่แข่งขันกับผู้รับเหมาในกัมพูชาได้ เนื่องจากฝีมือและมาตรฐานในการทำงานเป็นที่ยอมรับ แต่การออกไปรับงานในต่างประเทศจะต้องอาศัยประสบการณ์ และผู้ประกอบการต้องมีแนวทางรองรับความเสี่ยงในด้านต่างๆ ที่มีมากกว่าตลาดภายในประเทศ เช่น อัตราแลกเปลี่ยน สถานะทางการเงินของผู้ว่าจ้าง ความรู้ความเข้าใจถึงวิถีการดำเนินธุรกิจในประเทศนั้นๆ รวมทั้งประเด็นด้านข้อกฎหมาย เป็นต้น

อย่างไรก็ดี จากข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) นั้นกล่าวว่า การเข้าไปทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง (ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีทักษะและมีเทคโนโลยีในการสนับสนุนการก่อสร้าง นอกจากนั้นงานก่อสร้างภาคอุตสาหกรรมและภาคพาณิชยกรรมส่วนใหญ่ มักเป็นงานก่อสร้างขนาดใหญ่ ดังนั้น ผู้ว่าจ้างจึงมีแนวโน้มที่จะว่าจ้างผู้รับเหมาที่มีประสบการณ์และมีเงินทุนมากกว่าที่จะจ้างผู้รับเหมารายย่อย จึงเป็นอุปสรรคที่สำคัญสำหรับผู้รับเหมารายย่อยที่จะเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด ส่วนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กจะมีศักยภาพ ในการรับงานโครงการก่อสร้างที่มีมูลค่างานไม่สูงมาก ส่วนใหญ่จะเป็นงานภาคเอกชนหรือโครงการขนาดเล็กของภาครัฐที่ใช้เทคโนโลยีและเงินลงทุนไม่สูงมาก ในกลุ่มนี้จะมีผู้รับเหมาเป็นจำนวนมากและมีอัตราการแข่งขันทางด้านราคาที่ค่อนข้างสูง และได้รับผลกระทบจากการผันแปรในธุรกิจด้านนี้ค่อนข้างสูง

ทั้งนี้ การเข้าไปทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง (ที่อยู่อาศัยจากแนวโน้มการก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่ เริ่มให้ความสนใจกับโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น ทำให้เป็นโอกาสของผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างรายย่อย ที่จะเข้าไปรับเหมาช่วงต่อได้ อย่างไรก็ตาม อาจประสบปัญหาการแข่งขันเนื่องจากจำนวนผู้ประกอบการก่อสร้าง รายย่อยเพิ่มมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากช่างก่อสร้างได้ผันตัวเองมาเป็นผู้รับเหมาเอง โดยจะรับงานขนาดเล็กที่ไม่ต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนมาก ทำให้ในตลาดก่อสร้างรายย่อยมีการแข่งขันกันสูงขึ้น นอกจากนี้ แนวโน้มอุตสาหกรรมงานบำรุงรักษา ซ่อมแซม ปรับปรุง จะมีบทบาทสำคัญและอาจจะครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่าอุตสาหกรรมงานก่อสร้างใหม่ในอนาคต เนื่องจากความต้องการงานก่อสร้างใหม่เริ่มลดลง

ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเป็นธุรกิจที่ต้องการอาศัยปัจจัยการผลิตจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุดิบ และทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้การก่อสร้างนั้นดำเนินไปได้ด้วยดี สำหรับประเทศกัมพูชาธุรกิจรับเหมาก่อสร้างได้ก่อให้เกิดการจ้างแรงงานซึ่งเป็นการกระจายรายได้ให้แก่ชาวกัมพูชาเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่ลงทุนโดยนักลงทุนไทยและได้รับการส่งเสริมจาก Cambodian Investment Board (CIB) คือ บริษัทรับเหมาก่อสร้างนพวงศ์

ธุรกิจร้านค้าวัสดุก่อสร้าง

การเข้าไปตั้งศูนย์วัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่น Homepro, CementThai Homemart, Decormart เป็นต้น เป็นทางเลือกที่น่าสนใจเนื่องจากศูนย์จำหน่ายขนาดใหญ่เหล่านี้ มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย และมีบริการที่เป็นมืออาชีพ ทำให้ศูนย์จำหน่ายวัสดุก่อสร้างเหล่านี้ มีโอกาสแย่งส่วนแบ่งตลาดจากร้านค้าวัสดุก่อสร้างทั่วไปได้มาก สำหรับกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจร้านค้าวัสดุก่อสร้าง อาทิ ผู้รับเหมารายย่อย ผู้รับเหมารายใหญ่ และลูกค้ารายย่อย ซึ่งมีแนวโน้มว่าในอนาคตชาวกัมพูชาจะนิยมตกแต่งบ้านด้วยตนเองมากขึ้น ทำให้จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ ร้านค้าวัสดุก่อสร้างรายใหม่อาจจำเป็นต้องมีเงินทุนเพื่อซื้อสินค้าคงคลังค่อนข้างมาก หรืออาจจำเป็นต้องมีเครดิตในการซื้อสินค้าจากผู้ผลิต นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับการ ผันแปรตามวัฏจักรเศรษฐกิจ กล่าวคือเมื่อเศรษฐกิจดี ภาคอสังหาริมทรัพย์จะขยายตัวและมีความต้องการวัสดุก่อสร้างมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว และภาคอสังหาริมทรัพย์หดตัว ความต้องการวัสดุก่อสร้างจะลดลงบางส่วน เพราะมีความต้องการอีกส่วนหนึ่งจากการตกแต่ง และซ่อมแซมบ้าน อนึ่ง ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับเทคนิคในการบริหารด้วย เนื่องจากในปัจจุบันเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทั้งเรื่องของการบริหารสินค้าคงคลัง หรือเรื่องของเทคนิคการจัดวางสินค้า ซึ่งเทคนิคเหล่านี้แม้ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเท่าไรนัก แต่เป็นเทคนิคที่เพิ่งเริ่มนำเข้ามามีบทบาทในการขายวัสดุก่อสร้าง

ธุรกิจออกแบบและตกแต่งภายใน จัดสวน เพาะพันธุ์สัตว์น้ำ และอุปกรณ์ตกแต่งในบ้านและเครื่องใช้ในบ้าน

ธุรกิจเหล่านี้ถือเป็นโอกาสหนึ่งของผู้ประกอบการไทย เนื่องจากไทยและกัมพูชาเป็นประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิดกัน ทำให้ไทยได้เปรียบด้านการขนส่ง ทำให้ค่าขนส่งสินค้า อาทิ สินค้าหมวดเครื่องเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร เครื่องครัว และเครื่องประดับบ้าน รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้ามีราคาถูกกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการนำเข้าจากประเทศเกาหลี จีน หรือเวียดนาม นอกจากนี้ ความสามารถในการออกแบบของคนไทย ความสวยงาม คุณภาพ และมาตรฐานการออกแบบ/การผลิตที่เทียบเท่ากับสากล รวมถึงมีผู้ประกอบการไทยได้เข้าไปเปิดตลาดในกัมพูชา และได้นำเสนอสินค้าและบริการต่อชาวกัมพูชาให้เป็นที่ประจักษ์ อย่างไรก็ดี การขยายตลาดเข้าไปยังกัมพูชาถือเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ประกอบการไทย ซึ่งถือเป็นการเปิดตลาดใหม่ ๆ และประเทศกัมพูชาเองก็มีช่องทางและมีการเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากอยู่ระหว่างการพัฒนาสาธารณูปโภค ภาคอสังหาริมทรัพย์ และภาคการท่องเที่ยว


ตลาดสินค้ายานยนต์และบริการซ่อมบำรุงในกัมพูชา


กลุ่มสินค้าเกี่ยวกับยานยนต์ ชิ้นส่วนอะไหล่ และศูนย์บริการซ่อมบำรุง ได้แก่

(1) ส่วนประกอบรถยนต์และจักรยานยนต์

(2) อะไหล่รถยนต์และจักรยานยนต์

(3) เครื่องตกแต่งและประดับยนต์ และอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่น ๆ และ

(4) บริการที่เกี่ยวเนื่อง เช่น อู่ซ่อม บริการดูแลรักษาและบริการเคลือบสี

สืบเนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด รวมทั้งการเร่งปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในประเทศสมาชิกอาเซียนใหม่ ทำให้การคมนาคมติดต่อระหว่างพื้นที่ต่าง ๆ เป็นไปอย่างสะดวกยิ่งขึ้น ส่งผลให้ความต้องการยานพาหนะทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถจักรยานยนต์ รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ตลอดจนชิ้นส่วนยานยนต์ประเภทต่าง ๆ เพิ่มขึ้นตาม โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ

รถยนต์ที่เป็นที่นิยมของผู้ใช้ชาวกัมพูชาได้แก่ รถยนต์นั่งเก๋งบุคคล รถยนต์ประเภทขับเคลื่อนสี่ล้อ อเนกประสงค์ และรถยนต์บรรทุกสินค้าที่มีขนาดน้ำหนัก 1.5-2 เมตริกตันหรือรถกระบะ/รถปิคอัพ โดยรถยนต์นั่งที่เป็นที่นิยมสูงสุดคือ รถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น เช่น TOYOTA, HONDA และ MITSUBISHI เป็นต้น ส่วนประเภทรถยนต์อเนกประสงค์ขับเคลื่อนสี่ล้อและเป็นที่นิยม ซึ่งมีทั้งรถญี่ปุ่น เกาหลี และยุโรป ได้แก่ TOYOTA LAND CRUISER, PRADO, HONDA CRV, KIA SPORTAGE และ JEEP CHEROKEE โดยทั่วไปรถยุโรปทั่วไปนั้นไม่เป็นที่นิยมมากนักยกเว้นกลุ่มผู้มีรายได้สูงหรือนักการทูตรวมทั้งนักการเมืองระดับประเทศของกัมพูชา เนื่องจากขาดแคลนช่างผู้ชำนาญและอู่ซ่อมที่ได้มาตรฐานรวมทั้งราคาอะไหล่และซ่อมบำรุงค่อนข้างสูง

นอกจากนี้ กัมพูชามีการนำเข้ารถยนต์ใช้แล้วหรือรถยนต์มือสองจากประเทศสหรัฐอเมริกา เกาหลี และญี่ปุ่น เป็นหลัก ซึ่งส่วนหนึ่งหรือกว่าร้อยละ 30 ของรถยนต์ที่นำเข้านั้น เป็นรถยนต์ที่ประสบอุบัติเหตุและต้องนำมาซ่อมแซม เคาะ ปะผุ และพ่นสีใหม่ ก่อนนำออกจำหน่ายในประเทศ ประกอบกับกัมพูชาไม่มีกฎหมายหรือระเบียบกำหนดอายุการใช้งานและตรวจสอบสภาพรถยนต์แต่อย่างใด ดังนั้น นักธุรกิจค้ารถยนต์ชาวกัมพูชาจึงนิยมนำเข้ารถยนต์ใช้แล้ว/รถยนต์มือสอง ซึ่งเป็นที่ยอมรับของตลาดผู้บริโภคส่วนใหญ่

ทั้งนี้ จากสภาพการณ์ด้านการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการต่าง ๆ ของกัมพูชาที่ยังมีข้อจำกัดนั้น ประกอบกับสภาพรถยนต์ที่ใช้กันอยู่ในกัมพูชานั้นกว่าร้อยละ 85 เป็นการนำเข้ารถยนต์ใช้แล้วจากต่างประเทศ (พวงมาลัยขับซ้ายจึงทำให้ธุรกิจบริการซ่อมบำรุงรักษารถยนต์เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้รถและเจ้าของรถยนต์ชาวกัมพูชา อีกทั้งการฝึก ศึกษา และอบรมตลอดจนระบบการศึกษาของทั้งภาครัฐและเอกชนโดยเฉพาะเรื่องช่างเทคนิคและเครื่องยนต์ตลอดจนช่างฝีมือผู้ชำนาญนั้น ยังไม่สามารถกระทำได้อย่างเป็นระบบและทั่วถึง ดังนั้น การให้บริการอู่ซ่อมรถยนต์ส่วนใหญ่ จึงมีแต่ชาวเวียดนามซึ่งมีทักษะและความรู้ความชำนาญที่ดีกว่า ส่วนช่างเทคนิคและช่างฝีมือผู้ชำนาญชาวกัมพูชาที่มีอยู่ประจำตามศูนย์ให้บริการของบริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ของแต่ละยี่ห้อนั้น ล้วนแต่เป็นช่างที่ผ่านการฝึกฝนอบรมและเรียนรู้ทักษะจากประเทศไทยทั้งสิ้น


อุปสงค์ความต้องการกลุ่มสินค้ายานยนต์ ชิ้นส่วนอะไหล่ และบริการซ่อมบำรุง





ศูนย์บริการซ่อมบำรุง ธุรกิจอู่ซ่อมรถ

ในกัมพูชานั้นมีผู้ประกอบการอู่ซ่อมรถยนต์ทั่วไป ทั้งขนาดเล็กและขนาดกลางนับร้อยแห่ง ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่มีมาตรฐานในการซ่อมและยังขาดช่างฝีมือและช่างเทคนิคผู้ชำนาญ สำหรับอู่ซ่อมรถยนต์ที่ได้มาตรฐาน มีเครื่องมือที่ทันสมัยและช่างเทคนิคผู้ชำนาญการเป็นที่ยอมรับของกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ราคาแพงนั้น ส่วนใหญ่จะมีเฉพาะศูนย์บริการของตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อต่าง ๆ เช่น Toyota, Mitsubishi, Ford, Honda, Nissan, Izuzu, Mercedes Benz, Peugeot และ Jeep Cherokee เป็นต้น ทั้งนี้ อู่ซ่อมรถยนต์ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงพนมเปญ และกว่าร้อยละ 60 มีชาวกัมพูชาเป็นเจ้าของและบริหารจัดการ ส่วนอีกร้อยละ 30 เป็นของชาวเวียดนาม ที่เหลือกว่าร้อยละ 10 เป็นชาวต่างชาติอื่น ๆ ซึ่งมีชาวไทยเพียง รายที่ประกอบธุรกิจเปิดให้บริการอู่ซ่อมรถยนต์ในกรุงพนมเปญ และอีก รายประกอบธุรกิจอู่ซ่อมรถยนต์ในจังหวัดเสียมเรียบ โดยทั้ง ราย ได้ประกอบธุรกิจด้านอู่ซ่อมรถยนต์ในกัมพูชามากว่า 10 ปี และได้รับความเชื่อถือในผลงานและการบริหารจัดการธุรกิจดังกล่าว ซึ่งประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี

อู่ซ่อมรถยนต์ทั่วไปในกรุงพนมเปญนั้น จะให้บริการซ่อมเครื่องยนต์ เช่น การตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ ระบบไฟฟ้า และระบบช่วงล่าง ทั้งนี้ ผู้ใช้รถยนต์ในกัมพูชาสามารถจำแนกได้ กลุ่มหลัก ดังนี้

กลุ่มชาวต่างชาติ บริษัทต่างชาติ องค์กรระหว่างประเทศ และนักการทูต กลุ่มนี้มักนิยมส่งรถยนต์ทั้งของตนเองและของสำนักงานเข้าซ่อมบำรุงและตรวจเช็คในอู่ที่ได้มาตรฐานหรือศูนย์บริการของบริษัทผู้ค้ารถยนต์ ยี่ห้อต่าง ๆ เพราะต้องการคุณภาพและความมั่นใจของการให้บริการโดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณภาพของอะไหล่รถยนต์ที่เป็นของแท้ มากกว่าราคา/อัตราค่าบริการ
กลุ่มประชาชนทั่วไปทั้งระดับกลางและล่าง หรือกว่าร้อยละ 85 นั้นจะมีความคิดเห็นและความต้องการคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ จะนำรถยนต์เข้าอู่ซ่อมเมื่อมีอาการขัดข้องและเสียหายเท่านั้นและไม่มีความใส่ใจในการบำรุงรักษา หรือดูแลป้องกันก่อนเกิดความเสียหาย เช่น การไม่เปลี่ยนสายพานเครื่องยนต์ หรือเปลี่ยนถ่ายน้ำมันหล่อลื่นต่าง ๆ เมื่อครบกำหนดอายุการใช้งาน เป็นต้น และจะคำนึงถึงราคา/อัตราค่าบริการของอู่ซ่อมเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจนำรถยนต์ของตนเองเข้ารับบริการ ส่วนราคาและคุณภาพของอะไหล่จะเป็นปัจจัยรอง โดยคำนึงถึงเพียงทำการซ่อมเพื่อให้ใช้งานต่อไปได้ ก็เพียงพอแล้ว และไม่คำนึงถึงอายุการใช้งานภายหลังการซ่อมบำรุง
ดังนั้น จึงนับเป็นโอกาสที่ดีของการลงทุนประกอบกิจการให้บริการด้านอู่ซ่อมรถยนต์ในกัมพูชา โดยเฉพาะอู่ซ่อมรถยนต์ที่มีมาตรฐานที่ดีด้วยการให้บริการโดยช่างผู้ชำนาญงานด้านต่าง ๆ พร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์ซ่อมแซมที่ทันสมัยในอัตราค่าบริการที่เหมาะสม ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายหรืออัตราค่าบริการในการซ่อมแซมรถยนต์ตามศูนย์/บริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ทั่วไปของกัมพูชานั้น จะมีอัตราค่าบริการที่สูงกว่าประเทศไทยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 20 เมื่อเปรียบเทียบกับค่าแรงต่อการทำงานซ่อมแซมบำรุงรักษาของช่างผู้ชำนาญชาวเวียดนามและกัมพูชาประมาณ 10-30 เหรียญสหรัฐฯ ต่อครั้ง ทั้งนี้ ผู้ลงทุนหรือผู้ประกอบการสามารถยื่นขอจดทะเบียนและใบอนุญาตจากสำนักงานพาณิชย์กรุงพนมเปญ หรือจังหวัดอื่นใดก็ได้ โดยทางการกัมพูชาจะพิจารณาออกใบอนุญาตให้ครั้งละ ปี แต่หากผู้ลงทุนหรือผู้ประกอบการยื่นขอจดทะเบียนและใบอนุญาตที่กระทรวงพาณิชย์ ของกัมพูชา จะได้รับการพิจารณาและออกใบอนุญาตประกอบการที่มีอายุนานถึง 99 ปี

อะไหล่/ชิ้นส่วนยานยนต์

ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ เช่น TOYOTA หรือ MERCEDES BENZ นั้น จะมีการเก็บสต๊อก ของอะไหล่ไว้จำนวนหนึ่งเพื่อบริการลูกค้าโดยเป็นอะไหล่ที่มีการนำเข้าจากประเทศผู้ผลิตรถยนต์ยี่ห้อนั้น ๆ โดยตรง นอกจากนี้ ทั้งตัวแทนจำหน่าย ผู้ค้าอะไหล่ และอื่น ๆ ก็มีการนำเข้าอะไหล่และวัสดุสิ้นเปลือง เช่น น้ำมันหล่อลื่น และ สายพาน ฯลฯ จากประเทศไทย สิงคโปร์ และเวียดนาม ทั้งของแท้และของเลียนแบบมาจำหน่ายอีกด้วย ทั้งนี้ อู่ซ่อมรถยนต์ทั่วไปของชาวกัมพูชามักจะหาอะไหล่รถยนต์มาให้บริการลูกค้า โดยการถอดชิ้นส่วนอะไหล่ต่าง ๆ จากรถยนต์ เครื่องยนต์เก่าที่ไม่สามารถใช้งานได้แล้ว และนำมาดัดแปลงใช้กับรถยนต์ที่ต้องการซ่อมในราคาถูก ทั้งที่บางครั้งราคาของอะไหล่จากรถยนต์/เครื่องยนต์เก่านั้นจะมีราคาสูงกว่าชิ้นส่วนอะไหล่เลียนแบบซึ่งเป็นของใหม่ด้วยซ้ำไป แต่ด้วยความเชื่อในคุณภาพที่ดีกว่าของชิ้นส่วนอะไหล่เก่าที่ติดรถยนต์นั้นเมื่อเปรียบเทียบกับของเลียนแบบของผู้บริโภคหรือลูกค้า ดังนั้น อะไหล่สำหรับรถยนต์เก่าจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในกัมพูชา เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตได้มีการยกเลิกการผลิตและส่งเข้ามาจำหน่ายจึงไม่สามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป นอกจากการนำเข้ารถยนต์เก่า/ชำรุดหรือเครื่องยนต์เก่า/ชำรุดเหล่านั้นมาเพื่อแยกชิ้นส่วนอะไหล่และส่วนประกอบที่ยังคงใช้งานได้ดีและนำออกขายหรือเปลี่ยนซ่อมให้กับผู้ใช้รถยนต์ชาวกัมพูชา

การนำเข้าและการจัดการสินค้าชิ้นส่วนอะไหล่และอุปกรณ์ยานยนต์เพื่อให้บริการตามอู่บริการต่าง ๆ นั้น ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ใหม่ส่วนใหญ่จะนำเข้าชิ้นส่วนอะไหล่และอุปกรณ์โดยตรงจากบริษัทแม่หรือจากบริษัทตัวแทน และกว่าร้อยละ 70 เป็นการนำเข้าจากประเทศไทย เพื่อให้บริการแก่ลูกค้า ส่วนชิ้นส่วนอะไหล่และอุปกรณ์สำหรับรถยนต์เก่านั้นจะมีผู้นำเข้าหรือผู้ค้ารถยนต์เก่าเป็นผู้นำเข้ามาและจัดจำหน่ายต่อไปยังร้านค้าส่ง/ปลีกและอู่ซ่อมรถยนต์ ทั้งนี้ โดยทั่วไปแล้วอู่ซ่อมรถยนต์ส่วนใหญ่จะไม่มีการเก็บสต๊อก ชิ้นส่วนอะไหล่และอุปกรณ์ และจะใช้การติดต่อสอบถามตามร้านค้าส่งและปลีกตลอดจนผู้นำเข้ารถยนต์และเครื่องยนต์เก่า หรือหาอะไหล่ชิ้นส่วนอื่น ๆ ดัดแปลงทดแทนเพื่อให้รถยนต์สามารถใช้งานได้เท่านั้น

ในขณะที่คู่แข่งขันที่สำคัญของไทยทั้งเวียดนามและจีนได้พยายามเข้ามาขยายและแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดชิ้นส่วนอะไหล่และส่วนประกอบรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นด้วยการแข่งขันทางด้านราคาที่ถูกกว่า แต่ชาวกัมพูชาเองส่วนใหญ่ ยังคงให้การยอมรับและเชื่อถือในคุณภาพของสินค้าไทยแม้จะต้องจ่ายแพงกว่าก็ตาม

สำหรับรถจักรยายนต์ถือเป็นพาหนะยอดนิยมของชาวกัมพูชา โดยทั่วไปประชาชนในกัมพูชาจะมีรถจักรยานยนต์เฉลี่ยครอบครัวละ 1-2 คัน ทั้งนี้ เมื่อชาวกัมพูชามีรายได้จากการขยายผลิตผลทางการเกษตรส่วนใหญ่จะนำเงินมาซื้อรถจักรยานยนต์ กัมพูชานำเข้ารถจักรยานยนต์ในปีที่ผ่านมา ประเทศที่ส่งรถจักรยานยนต์ไปจำหน่ายกัมพูชามีมูลค่าสูงได้แก่ เกาหลี ซึ่ง ได้ส่งรถจักรยานยนต์ไปจำหน่ายในกัมพูชา มีส่วนแบ่งการตลาดกว่าร้อยละ 37.8 รองลงมาได้แก่ ญี่ปุ่น มีส่วนแบ่งการตลาดกว่าร้อยละ 28.9 และไทยส่งไปเป็นลำดับที่ มีส่วนแบ่งการตลาดกว่าร้อยละ 17.1 สำหรับไทยมีการส่งออกยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบไปจำหน่ายกัมพูชา ในช่วงปี พ.. 2550 มีมูลค่าประมาณ 75.83 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับปี พ.. 2549 ซึ่งส่งออกไปกัมพูชา มูลค่า 101.46 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 25.26

อนึ่ง ตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศกัมพูชามีการแข่งขันกันสูงมาก ผู้นำเข้าจึงต้องพยายามลดต้นทุนการนำเข้าเพื่อให้มีราคาจำหน่ายต่ำให้เป็นการจูงใจ ผู้ซื้อ การลดต้นทุนนำเข้าของผู้จำหน่ายในกัมพูชาที่ชัดเจน คือ การนำเข้านอกระบบโดยหลีกเลี่ยงภาษี อย่างไรก็ดี ตลาดสินค้ารถจักรยานยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบของไทยในกัมพูชาคาดว่า จะดำเนินต่อไปด้วยดีถึงแม้ว่าจะ มีการสร้างโรงงานประกอบรถจักรยานยนต์ในกัมพูชาขึ้นก็ตาม แต่ความต้องการอุปกรณ์และส่วนประกอบรถจักรยานยนต์จากไทยก็จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค (SWOT) ของสินค้าไทย


จุดแข็ง

จุดอ่อน

  • อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยมีผู้ประกอบการรายใหญ่ เช่น โตโยต้า อีซูซุ รวมถึงผู้ผลิตจากประเทศยุโรป เช่น กลุ่มเจเนอรัลมอเตอร์ (GM Group) ฟอร์ด บีเอ็มดับเบิลยู เป็นต้น มาสร้างฐานการผลิตในประเทศไทย เพื่อผลิตจำหน่ายในประเทศและเพื่อการส่งออก
  • ประเทศไทยมีกำลังการผลิตสูงกว่าปริมาณความต้องการภายในประเทศ จึงสามารถเพิ่มปริมาณการผลิตให้เพียงพอกับการส่งออกได้
  • รัฐบาลมีนโยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามา ลงทุนในอุตสาหกรรมสนับสนุนมากขึ้น ทำให้เกิดการรวมศูนย์ (Cluster System) ในอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ชัดเจนและเข้มแข็ง
  • ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ โดยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน อินโดจีน รวมถึงเชื่อมโยงกับเอเชียใต้ด้วย จึงเหมาะสมที่จะตั้งเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกของภูมิภาคนี้
  • ประเทศไทยยังไม่มีเทคโนโลยีในการผลิต และ/หรือการออกแบบรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ฯ เป็นของตนเอง อันเป็นผลมาจากขาดการถ่ายทอดเทคโนโลยีของนักลงทุนในต่างประเทศ
  • ประเทศไทยยังให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา(Research & Development) เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วไม่มากเพียงพอ ซึ่งไม่เพียงแต่ในอุตสาหกรรมรถยนต์เท่านั้น ยังรวมถึงอุตสาหกรรมอื่น ๆ ด้วย
  • ประเทศไทยขาดแคลนบุคลากรระดับสูงในด้านการผลิตและการออกแบบในอุตสาหกรรมรถยนต์ รวมถึงชิ้นส่วนฯ
  • มูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมรถยนต์ และชิ้นส่วนฯ ในประเทศไทยยังอยู่ในระดับต่ำ

โอกาส

อุปสรรค

  • ความร่วมมือในโครงการ AICO (Asean Industrial Cooperation) และ AFTA (Asean Free Trade Area) ทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนฯ มีตลาดกว้างขึ้นและมีโอกาสในการขยายตัวมากขึ้น
  • รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนฯ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับไปสู่ศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์ของอาเซียน
  • ผู้ประกอบรถยนต์และผู้ผลิตชิ้นส่วนฯ ประเภท First Tier เกือบทั้งหมดเป็นการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งถูกควบคุมนโยบายต่าง ๆ จากบริษัทแม่ในต่างประเทศ จึงมีความยืดหยุ่นต่ำ สามารถกำหนดอำนาจการต่อรองได้ โดยเฉพาะการหยิบยกประเด็นด้านการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้อย่างเพียงพอ
  • ประเทศไทยมีคู่แข่งสำคัญในภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน ที่ต่างต้องการเม็ดเงินการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อการลงทุนใน อุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนฯ



ภาพรวมของกัมพูชา (5)


การพัฒนาและการสร้างจุดขายด้านการท่องเที่ยวของกัมพูชา

http://122.155.9.68/talad/index.php/cambodia/sector/tourism
รัฐบาลกัมพูชาให้ความสำคัญกับภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเล็งเห็นศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยได้จัดทำแผนการพัฒนาการท่องเที่ยวตั้งแต่ปี 2544 ต่อมารัฐบาลได้กำหนดแผนปฏิบัติการด้านการท่องเที่ยว (Tourism Action Plan) โดยตั้งเป้าหมายว่าในปี 2553 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเป็น ล้านคน โดยการสนับสนุนให้นักลงทุนภาคเอกชนเข้าไปลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว อันได้แก่ การขนส่ง โรงแรม ร้านอาหาร การสื่อสารโทรคมนาคม พลังงาน และน้ำประปา รวมถึงการเจรจาระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลกับรัฐบาลจีนและรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อชักจูงให้เข้าไปลงทุนในภาคการท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังได้ทำบันทึกความตกลง (MOU) กับสายการบินต่าง ๆ ให้มีการเพิ่มเที่ยวบิน และเปิดเที่ยวบินตรง (Direct Flights) ไปยังประเทศกัมพูชา ภายใต้นโยบายเปิดน่านฟ้าเสรี (Open Sky Policy) แต่สิ่งที่อยู่ในแผนการพัฒนาอย่างเร่งด่วน ประกอบด้วย การปรับปรุงคุณภาพของการบริการ การฝึกอบรมบุคลากรที่ทำงานในภาคการท่องเที่ยว การพัฒนาโรงแรมให้ได้มาตรฐาน และการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของประเทศ
ทางด้านการพัฒนาจุดขายด้านการท่องเที่ยวนั้น ทางการกัมพูชาได้จำแนกลักษณะของการส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็น ด้านหลัก ดังนี้
  1. การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นตัวชูโรงของอุตสาหกรรม การท่องเที่ยวกัมพูชา โดยเฉพาะมรดกโลกด้านศิลปวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียง ได้แก่ นครวัด-นครธม ซึ่งนักท่องเที่ยวกว่าร้อยละ 50 ที่เดินทางเข้าไปในกัมพูชาต้องเดินทางไปเยี่ยมชมความอลังการของนครวัด-นครธม ทางการกัมพูชาได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ในพื้นที่จังหวัดเสียมเรียบเป็นหลัก ส่วนการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ เน้นประวัติศาสตร์การเมืองในสมัยสงครามกลางเมือง เน้นส่งเสริมในพื้นที่กรุงพนมเปญ และจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งมีสถานที่สำคัญอันแสดงถึงสัญลักษณ์แห่งความรุนแรงและสงครามการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในอดีต อาทิเช่น คุกโตนสเลง สถานที่คุมขังนักโทษการเมืองกว่า 15,000 คนก่อนจะส่งไปที่ทุ่งสังหาร
  2. การท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ เน้นส่งเสริมในพื้นที่ซึ่งแม่น้ำโขงไหลผ่าน รวมทั้งในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือบริเวณจังหวัดสตึงเตร็ง รัตนคีรี มนฑลคีรี และกระแจะ ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่ป่าขนาดใหญ่ของประเทศ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์นี้ยังรวมถึงการเยี่ยมชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ โดยเฉพาะการประกอบอาชีพการเกษตร ซึ่งสถานที่สำคัญที่ทางการกำหนดให้เป็นจุดขายคือจังหวัดพระตะบอง ซึ่งเป็นพื้นที่อู่ข้าวอู่น้ำของประเทศ
  3. การท่องเที่ยวชายทะเล เน้นส่งเสริมในพื้นที่ติดกับทะเล ซึ่งกัมพูชามีข้อได้เปรียบ ตรงที่สถานที่ชายฝั่งทะเลยังคงความเป็นธรรมชาติอยู่มาก โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดสีหนุวิลล์ จังหวัดแกป จังหวัดกัมปอต และจังหวัดเกาะกง ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่าหากสนามบินสีหนุวิลล์ ให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ นักท่องเที่ยวจำนวนมากจะหลั่งไหลเข้าไปท่องเที่ยวในแถบนั้นเช่นเดียวกัน

ช่องทางและโอกาสของสินค้า/บริการด้านการท่องเที่ยว


การหลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยวในกัมพูชาของนักท่องเที่ยวต่างชาติมีผลให้เกิดธุรกิจเกี่ยวเนื่องหรือบริการการท่องเที่ยว เพื่อให้ความสะดวกและความบันเทิงแก่นักท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นอุปทานของสินค้าและบริการในกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ประกอบไปด้วยสินค้าและบริการ กลุ่มหลัก ได้แก่
  1. กลุ่มธุรกิจที่พัก ได้แก่ โรงแรม รีสอร์ท เกสเฮาส์ และโฮมสเตย์ เป็นต้น
    โรงแรมและที่พักในกัมพูชามีหลายระดับ ตั้งแต่ห้องพักที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ นอกจากเตียงนอน ไปจนถึงโรงแรมระดับ ดาว ทั้งนี้ ในส่วนของที่พัก โรงแรม เกสท์เฮาส์ และโฮมส์สเตย์ นั้นนับว่าเป็นภาคธุรกิจดาวรุ่ง ตามการขยายตัวของนักท่องเที่ยว มีอัตราการเข้าพักโรงแรม (Hotel Occupancy) กว่าร้อยละ 62.68 แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือในอนาคตการแข่งขันทางธุรกิจจะค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากมีแนวโน้มการขยายตัวของจำนวนที่พักจำนวนมากในรอบ 2-3 ปีนี้
    (
    ตารางที่ 2.51 จำนวนโรงแรมและเกสท์เฮาส์ ระหว่างปี 2541-2550) (P2-122)ข้อแนะนำสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีความสนใจกลุ่มธุรกิจที่พัก ควรมุ่งเน้นในกลุ่มเกสท์เฮาส์ และโฮมส์สเตย์ เนื่องจากมีความเหมาะสมกับขนาดธุรกิจ และตลาดยังมีโอกาสของการขยายตัว แต่ข้อที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือ การประกอบธุรกิจดังกล่าวจะต้องขอใบอนุญาตจากกระทรวงการท่องเที่ยวของกัมพูชาเสียก่อน ซึ่งจะต้องมั่นใจว่ามีสายป่านที่ยาวพอสำหรับการดำเนินการในขั้นตอนและกระบวนการของทางราชการ และประเด็นที่สำคัญอีกประเด็นคือราคาที่ดินและค่าเช่าค่อนข้างสูง ซึ่งราคาที่ดินถือเป็นต้นทุนจมที่ผู้ประกอบการควรให้ความใส่ใจ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจคือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่มธุรกิจที่พักคือ สินค้าจำเป็นพื้นฐานที่ได้มาตรฐาน เช่น สบู่ ยาสีฟัน ยาสระผม ผลิตภัณฑ์ซักล้าง รวมถึงกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งสินค้าจากไทยมีความเชื่อถือในเรื่องคุณภาพของสินค้า และมีความต้องการสินค้าจากไทยค่อนข้างมาก ดังนั้น กลยุทธ์ทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ไทย คือการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ด้วยการรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) หรือจัดหาสินค้าป้อนให้กับผู้ประกอบการที่พักในประเทศกัมพูชา
  2. กลุ่มธุรกิจบริการการท่องเที่ยว ได้แก่ บริการทัวร์และนำเที่ยว รถเช่า เรือเช่า
    สำหรับธุรกิจในกลุ่มบริการการท่องเที่ยว ธุรกิจหลัก คือบริการทัวร์และนำเที่ยว ส่วนธุรกิจเสริมคือการให้บริการรถเช่า เรือเช่า ขายตั๋วเครื่องบิน ขอวีซ่า เป็นต้น โดยการดำเนินธุรกิจนำเที่ยว สามารถทำได้ แนวทาง โดยแนวทางแรกคือการ จดทะเบียนดำเนินธุรกิจนำเที่ยวกับกระทรวงการท่องเที่ยวของกัมพูชา เพื่อประกอบธุรกิจภายในประเทศกัมพูชา (Inbound) และแนวทางที่สอง จดทะเบียนดำเนินธุรกิจในประเทศไทยและจัดทำทัวร์ต่างประเทศ (Outbound) อย่างไรก็ดี เนื่องจากการแข่งขันของธุรกิจนำเที่ยวในประเทศกัมพูชาค่อนข้างเสรี มีบริษัทชั้นนำเกือบทุกมุมโลกเข้าไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในกัมพูชา โดยข้อมูลในปี 2550 พบว่า มีการจดทะเบียนในลักษณะสำนักงานใหญ่ (Head Offices) จำนวน 333 บริษัท และจดทะเบียนสำนักงานสาขา (Branch Offices) อีก 118 บริษัท รวมทั้งสิ้น 451 บริษัท ในจำนวนนี้มีบริษัทในประเทศต่าง ๆ ที่มีจำนวนมากที่สุด อันดับแรก ได้แก่ บริษัทสัญชาติกัมพูชา จำนวน 224 บริษัท บริษัทสัญชาติเกาหลีใต้ จำนวน 40 บริษัท บริษัทสัญชาติจีน จำนวน 13 บริษัท บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น จำนวน 12 บริษัท และบริษัทสัญชาติไทย จำนวน บริษัท
    (
    ตารางที่ 2.52 จำนวนบริษัททัวร์และบริษัทนำเที่ยว ระหว่างปี 2544-2550) (P2-124)การประกอบธุรกิจนำเที่ยวและบริษัททัวร์ในประเทศกัมพูชาถือเป็นการทำธุรกิจที่มีการแข่งขันที่รุนแรง จึงไม่เหมาะสมถ้าหากจะเข้าไปดำเนินธุรกิจนำเที่ยวในประเทศกัมพูชา ดังนั้นแนวทางที่แนะนำสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็นบริษัทนำเที่ยว คือการจัดทัวร์ต่างประเทศ (Outbound) โดยเปรียบประเทศกัมพูชาเป็นสถานที่ทางเลือกแห่งหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจเดินทางไปท่องเที่ยว อีกกลยุทธ์ที่น่าสนใจคือการหาพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งควรดำเนินการใน ลักษณะ คือ การสร้างพันธมิตรกับคู่ค้า เช่น โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิง หรือสายการบิน เพื่อให้ได้ส่วนลดในการจัดทัวร์ และอีกลักษณะหนึ่งคือการสร้างพันธมิตรกับบริษัทนำเที่ยวในประเทศกัมพูชา เพื่อตอบสนองต่อลูกค้าที่ต้องการท่องเที่ยวในหลากหลายประเทศ ทั้งในลักษณะการจัดทัวร์ไปต่างประเทศ (Outbound) และการจัดทัวร์เข้ามาในประเทศ (Inbound) ในกรณีที่นักท่องเที่ยวต้องการเดินทางเข้ามาเที่ยวต่อในประเทศไทย
  3. ธุรกิจบริการทั่วไป ได้แก่ บริการสุขภาพ สปา สถานบริการ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ
    เป็นธุรกิจต่อเนื่องและสนับสนุนการท่องเที่ยว ได้แก่ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ บริการสุขภาพ สปา สถานบริการ นวด และร้านจำหน่ายของที่ระลึก เป็นต้น
    (
    ตารางที่ 2.53 จำนวนร้านอาหาร บริการนวด สปอร์ตคลับ และร้านจำหน่ายของที่ระลึกในกัมพูชา) (P2-125)
    • ร้านอาหาร ธุรกิจร้านอาหารเป็นธุรกิจที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะร้านอาหารต่างชาติที่ตกแต่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เนื่องจากกัมพูชามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับชาวกัมพูชาเริ่มมีกำลังซื้อมากขึ้น ทำให้นิยมรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ ร้านกาแฟ ร้านเบเกอรี่ รวมทั้งอาหารประเภท Fast Food และ Food Court ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ การลงทุนทำธุรกิจร้านอาหารในกรุงพนมเปญ และจังหวัดเสียมเรียบทำได้หลายระดับเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยอาจเน้นร้านอาหารนานาชาติเพื่อให้สอดคล้องกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากทั่วทุกมุมโลก สำหรับการลงทุนทำธุรกิจร้านอาหารไทยนับว่ามีศักยภาพมาก เนื่องจากอาหารไทยขึ้นชื่อทั้งในด้านคุณภาพและความอร่อย รวมทั้งภาพลักษณ์ในด้านความพิถีพิถันในการปรุงแต่ง จึงได้รับการตอบรับจากชาวกัมพูชารวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติในกัมพูชาเป็นอย่างดี
    • บริการด้านสุขภาพและสปา ในกัมพูชาคาดว่าน่าจะเป็นอีกช่องทางของสินค้าไทยที่สามารถเข้าไปทำตลาดได้ สอดคล้องกับรูปแบบการใช้ชีวิต (Life style) ที่มีกำลังซื้อมากขึ้น และการเติบโตของธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว และคู่แข่งในธุรกิจยังมีไม่มากนัก อาจเป็นเพราะยังขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ นอกจากนี้ วัตถุดิบที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรท้องถิ่นแปรรูปของไทย อาทิเช่น ขมิ้น ชัน ข่า ตะไคร้ ฯลฯ ทำให้สามารถสร้างมูลค่าให้กับสมุนไพรไทยได้อีกด้วย
    • ร้านจัดจำหน่ายของที่ระลึก การเปิดร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก สามารถเลือกดำเนินการตั้งแต่ร้านขนาดเล็ก หรือลงทุนเปิดร้านขนาดใหญ่อย่างเต็มรูปแบบ หรืออาจจะรับจ้างผลิตสินค้าให้แก่ร้านขายของที่ระลึกอีกทอดหนึ่ง
  4. ธุรกิจสนับสนุน ได้แก่ โรงเรียนการท่องเที่ยว โรงเรียนฝึกอบรมมัคคุเทศก์
    ทางรัฐบาลได้เล็งเห็นถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จึงร่วมมือกับภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน สถานศึกษา ร่วมจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ดังจะเห็นได้จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในประเทศกัมพูชา ได้บรรจุหลักสูตรเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เลือกเรียน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้รัฐบาลจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ แต่ทว่าปัญหาหลักคือขาดมาตรฐานการเรียนการสอน แรงงานในภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่องในกัมพูชาก็ยังคงขาดทักษะเกี่ยวกับการให้บริการ จึงเป็นโอกาสในการทำธุรกิจโรงเรียนสอนวิชาชีพด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรม รวมถึงการสอนภาษา และช่างฝีมือแขนงต่าง ๆ ซึ่งผู้ประกอบการของไทยค่อนข้างถนัด เนื่องจากประเทศไทยมีความโดดเด่นทางด้านการให้บริการ

จุดแข็ง

จุดอ่อน

  • มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงาม เช่น หาดทรายชายทะเล น้ำตก ภูเขา เป็นต้น
  • ความมีอัธยาศัยไมตรีที่ดีของคนไทย ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “Land of Smile”
  • ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์
  • การกระจายตัวของนักท่องเที่ยว ยังคงกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ และเมืองหลัก
  • มาตรฐานสินค้าและบริการรวมถึงคุณภาพของสินค้าทางการท่องเที่ยวยังต่ำ
  • การขาดแคลนศูนย์บริการข้อมูลด้านการท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยว
  • การขาดการดูแลรักษาทรัพยากรด้านการท่องเที่ยว ส่งผลให้ไม่เกิดการเพิ่มมูลค่าสินค้าการท่องเที่ยว (Valued Added) ภายในประเทศ

โอกาส

อุปสรรค

  • จุดที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบ โดยเฉพาะการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอินโดจีน ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในภูมิภาค
  • การขยายตัวของตลาดนักท่องเที่ยวใหม่ ๆ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวของจีนที่มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นและต้องการเดินทางท่องเที่ยวนอกประเทศมากขึ้น รวมถึงตลาดตะวันออกกลางที่เริ่มสนใจการท่องเที่ยวในประเทศไทยที่มีบริการรูปแบบใหม่ ๆ ราคาไม่สูงมากนัก เช่น ทัวร์สุขภาพ ทัวร์เสริมความงาม เป็นต้น
  • อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีภาวะการแข่งขันสูงและคู่แข่งมี Brand ที่เข้มแข็ง
  • การท่องเที่ยวกำลังสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดในภูมิภาค ด้านจำนวน และรายได้
  • ต้นทุนผู้ประกอบการด้านอุสาหกรรมท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากราคาน้ำมันโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น
  • การระบาดของโรคไข้หวัดนก,โรคซาร์ และความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงสถานการณ์ทางการเมือง เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว

ภาพรวมของกัมพูชา (4)


อุปสงค์ความต้องการกลุ่มสินค้าเกษตรและเครื่องจักรกลการเกษตร

http://122.155.9.68/talad/index.php/cambodia/sector/agro-products
ภาพรวมของภาคการเกษตรในกัมพูชา

ภาคการเกษตรนับว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของกัมพูชา โดยเมื่อปี 2551 มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของภาคการเกษตร (ราคา ณ ปี ปัจจุบันเท่ากับ 13,593.32 พันล้านเรียล หรือมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 32.38 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพีซึ่งมีมูลค่าจีดีพีเท่ากับ 41,977.30 พันล้านเรียล ภาคการเกษตรเป็นภาคการผลิตที่มีความสำคัญเป็นอันดับที่ รองจากภาคบริการ ที่มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 38.83 ตามด้วยภาคอุตสาหกรรมเป็นอันดับที่ ที่มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 22.37 โดยเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกันเป็นปีต่อปีจะพบว่าภาคเกษตรและภาคบริการมีความสำคัญเพิ่มขึ้นในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมมีความสำคัญน้อยลง ดังแผนภาพที่ 2.14 (P2-106)
สำหรับมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในภาคการเกษตร หรือจีดีพีภาคการเกษตร มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วง ปี 2546-2551 โดยเมื่อปี 2546 มีมูลค่าจีดีพีภาคการเกษตร เท่ากับ 5,925.84 พันล้านเรียล และในปี 2551 มีมูลค่าจีดีพีภาคการเกษตร เท่ากับ 13,593.32 พันล้านเรียล นั่นคือในระหว่าง ปี 2546-2551 มีอัตราการขยายตัวของจีดีพีภาคการเกษตร เท่ากับร้อยละ 18.38
(แผนภาพที่ 2.15 การขยายตัวของจีดีพีภาคการเกษตร ระหว่าง ปี 2546-2551) (P2-107)
เมื่อพิจารณาเฉพาะองค์ประกอบของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในภาคการเกษตร ของปี 2551 พบว่า มีมูลค่าผลผลิตทางด้านพืชเกษตรมากที่สุดเป็นอันดับ โดยมีมูลค่าเท่ากับ 7,500.66 พันล้านเรียล หรือคิดเป็นร้อยละ 55 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในภาคการเกษตร รองลงมา ได้แก่ การประมง มีมูลค่าเท่ากับ 2,921.58 พันล้านเรียล หรือ คิดเป็นร้อยละ 22 ตามด้วยการทำฟาร์มปศุสัตว์ มีมูลค่าเท่ากับ 1,810.91 พันล้านเรียล หรือคิดเป็นร้อยละ 13 และองค์ประกอบสุดท้ายคือการทำป่าไม้ มีมูลค่าเท่ากับ 1,360.18 พันล้านเรียล หรือคิดเป็นร้อยละ 13 ตามลำดับ
(แผนภาพที่ 2.16 องค์ประกอบของจีดีพีภาคการเกษตร ปี 2551) (P2-108)
ทางด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานด้านการเกษตร พบว่า มีระบบการชลประทานครอบคลุมพื้นที่เพียงร้อยละ ของพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านคือประเทศไทยมีพื้นที่ชลประทานร้อยละ 31 และเวียดนามมีพื้นที่ชลประทาน ร้อยละ 45 ในขณะที่เกษตรกรทั่วไปที่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเองอยู่ร้อยละ 80 หรือเกษตรกรกว่าร้อยละ 20 ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง เมื่อพิจารณาถึงองค์ความรู้ด้านการเกษตร พบว่าอยู่ในระดับต่ำมาก โดยมีเจ้าหน้าที่ที่คอยถ่ายทอดความรู้ทางด้านการเกษตร ให้แก่เกษตรกรทั่วทั้งประเทศเพียง 500 คน ซึ่งมีภาระที่จะต้องดูแลเกษตรกรทั่วประเทศกว่า ล้านครัวเรือน นั่นคือเจ้าหน้าที่ คน ต้องคอยดูแลเกษตรกรถึง 4,000 ครัวเรือน เมื่อเป็นเช่นนี้เกษตรกรจึงต้องเผชิญกับปัญหาปุ๋ยปลอม การใช้สารเคมีทางการเกษตรแบบผิดวิธี รวมถึงการขาดการควบคุมราคาปัจจัยการผลิต ทำให้ต้นทุนในการทำการเกษตรค่อนข้างสูง เมื่อพิจารณาถึงการใช้เทคโนโลยีด้านการเกษตรก็จัดอยู่ในระดับที่ล้าสมัย มีรายงานจำนวนรถไถนาทั่วประเทศ ประมาณ 5,000 คัน นอกจากนี้ การให้สินเชื่อเพื่อการเกษตรก็ยังไม่ครอบคลุมเกษตรกรทั่วประเทศ ขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยก็อยู่ในระดับที่สูงมาก (Lim, 2006)
การทำการเกษตรในประเทศกัมพูชา
เมื่อพิจารณาขนาดพื้นที่การทำการเกษตรในกัมพูชา โดยจำแนกตามการจัดหมวดหมู่ประเภทมาตรฐานอุตสาหกรรมไทย ซึ่งแบ่งการจัดหมวดหมู่พืชเข้าเป็นหมวดหมู่ ได้แก่ พืชอาหาร พืชน้ำมัน พืชเส้นใย พืชผัก ไม้ผล และไม้ยืนต้น จะพบว่าพืชอาหารมีความสำคัญมากต่อการทำการเกษตรของกัมพูชา เนื่องจากมีพื้นที่ทำการเพาะปลูกพืชอาหารเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันพืชน้ำมัน ไม้ผล พืชผัก และไม้ยืนต้น ก็มีความสำคัญมากขึ้นเป็นลำดับ นอกจากนี้ในด้านการทำปศุสัตว์ก็มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ดังรายละเอียดต่อไปนี้
  1. พืชอาหารในหมวดของพืชอาหาร ข้าว ยังคงเป็นพืชที่มีความสำคัญเป็นอันดับ โดยมีพื้นที่เพาะปลูกมากกว่า 2.6 ล้านเฮกตาร์ รองลงมาคือ มันสำปะหลัง มีพื้นที่เพาะปลูก 1.7 แสนเฮกตาร์ ข้าวโพด มีพื้นที่เพาะปลูก 1.6 แสนเฮกตาร์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีพื้นที่เพาะปลูก 1.4 แสนเฮกตาร์ ถั่วเขียว มีพื้นที่เพาะปลูก 4.5 หมื่นเฮกตาร์ อ้อยโรงงาน มีพื้นที่เพาะปลูก 1.3 หมื่นเฮกตาร์ และมันเทศ มีพื้นที่เพาะปลูก พันเฮกตาร์ ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ข้าวโพดและ มันสำปะหลังอาจมีการเปลี่ยนแปลงลำดับของพื้นที่เพาะปลูก โดยมีปัจจัยสำคัญคือราคาผลผลิตในแต่ละฤดูกาลเพาะปลูก
    (
    ตารางที่ 2.43 พื้นที่เพาะปลูกพืชอาหาร ระหว่างปี 2549-2551) (P2-110)
  2. พืชน้ำมันในหมวดพืชน้ำมัน พืชที่มีการเพาะปลูกกันมากคือปาล์มน้ำมัน มีพื้นที่เพาะปลูกในปี 2549 กว่า ล้านเฮกตาร์ รองลงมาได้แก่ถั่วเหลือง มีพื้นที่เพาะปลูกในปี 2551จำนวน 7.4 หมื่นเฮกตาร์ ถั่วลิสง มีพื้นที่เพาะปลูก 1.8 หมื่นเฮกตาร์ มะพร้าว มีพื้นที่เพาะปลูกในปี 2549 จำนวน 2.9 หมื่นเฮกตาร์ และงามีพื้นที่เพาะปลูกในปี 2551 จำนวน 3.5หมื่นเฮกตาร์ เมื่อพิจารณาในหมวดพืชน้ำมัน จะพบว่า ถั่วเหลืองและงา มีแนวโน้มการเพาะปลูกน้อยลง ในขณะที่ปาล์มน้ำมัน และมะพร้าว เนื่องจากไม่มีรายงานตัวเลขจึงไม่สามารถวิเคราะห์ถึงแนวโน้มของการเพาะปลูกได้
    (
    ตารางที่ 2.44 พื้นที่เพาะปลูกพืชน้ำมัน ระหว่างปี 2549-2551) (P2-111)
  3. พืชเส้นใยในหมวดพืชเส้นใย พืชที่มีการรายงานพื้นที่การเพาะปลูกมีอยู่ชนิดเดียวคือปอแก้ว แต่มีขนาดพื้นที่เพาะปลูกน้อยมาก โดยในปี 2549 มีพื้นที่เพาะปลูก 449 เฮกตาร์ ปี 2550 มีพื้นที่เพาะปลูก 461 เฮกตาร์ และปี 2551 มีพื้นที่เพาะปลูกลดลงเป็น 397เฮกตาร์
    (
    ตารางที่ 2.45 พื้นที่เพาะปลูกพืชเส้นใย ระหว่างปี 2549-2551) (P2-111)
  4. พืชผักในหมวดพืชผัก มีการรายงานพื้นที่เพาะปลูกผักทุกชนิดในภาพรวม โดยมีพื้นที่เพาะปลูกประมาณ หมื่นเฮกตาร์ และมีแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของพื้นที่เพาะปลูก ส่วนหนึ่งของพืชผักใช้สำหรับการบริโภคภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้อนร้านอาหารและโรงแรม
    (
    ตารางที่ 2.46 พื้นที่เพาะปลูกพืชผัก ระหว่างปี 2549-2551) (P2-111)
  5. ไม้ผลในหมวดไม้ผล มีการรายงานพื้นที่เพาะปลูกเพียงปี 2549 เพียงปีเดียว โดยไม้ผลที่มีความสำคัญ อันดับแรก ได้แก่ มะม่วงหิมพานต์ มีพื้นที่เพาะปลูก หมื่นเฮกตาร์ รองลงมาคือกล้วยมีพื้นที่เพาะปลูก หมื่นเฮกตาร์ มะม่วง มีพื้นที่เพาะปลูก หมื่นเฮกตาร์ ขนุน มีพื้นที่เพาะปลูก พันเฮกตาร์ และน้อยหน่า มีพื้นที่เพาะปลูก พันเฮกตาร์ ดังรายละเอียดในตาราง
    (
    ตารางที่ 2.47 พื้นที่เพาะปลูกไม้ผล ระหว่างปี 2549-2551) (P2-112)
  6. ไม้ยืนต้นในหมวดไม้ยืนต้น เป็นอีกกลุ่มผลผลิตที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของกัมพูชา โดยพื้นที่ปลูกมากคือ ยางพารา มีพื้นที่เพาะปลูก ในปี 2549 จำนวน หมื่นเฮกตาร์ ปี 2550 มีพื้นที่เพาะปลูก เพิ่มเป็น หมื่นเฮกตาร์ การเปลี่ยนแปลงพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทางรัฐบาลกัมพูชา ได้ให้สัมปทานพื้นที่เพาะปลูกระยะยาวแก่นักลงทุนชาวต่างชาติ สำหรับพืชชนิดอื่นในหมวดเดียวกัน แต่ไม่มีความสำคัญมากนักคือพริกไทย และกาแฟ มีพื้นที่ประมาณ ร้อยเฮกตาร์และ ร้อยเฮกตาร์ ตามลำดับ
    (
    ตารางที่ 2.48 พื้นที่เพาะปลูกไม้ยืนต้น ระหว่างปี 2549-2551) (P2-113)
  7. การปศุสัตว์การทำฟาร์มปศุสัตว์ในประเทศกัมพูชายังเป็นลักษณะการทำฟาร์มแบบครัวเรือน ไม่ใช่ลักษณะฟาร์มขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง โดยตัวเลขในปี 2551 พบว่า มีการเลี้ยงกระบือจำนวน แสนตัว สัตว์ปีก 16 ล้านตัว โค จำนวน ล้านตัว และสุกร จำนวน ล้านตัว โดย มีแนวโน้มที่การเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเกือบทุกชนิด ยกเว้นสุกร ซึ่งปัญหาส่วนหนึ่งคือการนำเข้าเนื้อสุกรจากประเทศไทย เข้าไปแย่งตลาด
    (
    ตารางที่ 2.49 ปริมาณสัตว์เลี้ยงในช่วงระหว่างปี 2549-2551) (P2-113)


ช่องทางและโอกาสของสินค้าเกษตร


สินค้าและบริการในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร ประกอบไปด้วยสินค้าจำนวน กลุ่ม คือ

  1. จักรกลการเกษตร แบบเคลื่อนที่ เช่น รถไถนั่งขับ รถไถเดินตาม รถเก็บเกี่ยว รถตัดหญ้า เครื่องตัดหญ้า และหยอดเมล็ดพันธุ์ แบบไม่เคลื่อนที่ เช่น เครื่องสูบน้ำ เครื่องสีข้าว เครื่องอบ เครื่องคัดแยก และเครื่องปั๊มน้ำ
  2. เคมีเกษตร เช่น ปุ๋ยต่าง ๆ ฮอร์โมน ยาปราบศัตรูพืช สารป้องกันโรคพืช และสารกำจัดวัชพืช เป็นต้น และ
  3. เมล็ดพันธุ์ ได้แก่ เมล็ดพันธุ์พืชชนิดต่าง ๆ
อาชีพหลักของชาวกัมพูชา คือ การเกษตรกรรม ซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยละ 70 ซึ่งส่วนใหญ่จะเพาะปลูกอยู่รอบ ๆ ทะเลสาบกัมพูชา ทั้งนี้ รายได้หลักของประเทศกัมพูชามาจากภาคเกษตรกรรม ร้อยละ 32.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ได้แก่ การกสิกรรม การประมง ปศุสัตว์ และป่าไม้ ซึ่งสินค้าเกษตรที่ส่งออก ได้แก่ ข้าว ผลิตภัณฑ์ปลา และยางพารา รองลงมา ได้แก่ ข้าวโพด ถั่วลิสง สัตว์มีชีวิต ผลไม้ และปลา เป็นต้น
ปัจจุบัน ภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) จึงเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสนับสนุนการส่งออกสินค้าเกษตรของประเทศเพื่อนบ้าน โดยไทยได้ยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรหลายรายการจากกัมพูชา เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด มันฝรั่ง และไม้ยูคาลิปตัส ทำให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชเหล่านี้มากขึ้น นอกจากนี้ การทำ Contract Farming ระหว่างไทยกับกัมพูชา ยังช่วยส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรของกัมพูชา ทำให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรในการผลิตสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เนื่องจากประเทศกัมพูชามีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ทั้งนี้ การสนับสนุนให้ภาคเอกชนไทยเข้าไปร่วมส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรกับกัมพูชาและรับซื้อสินค้าเกษตรเหล่านั้น ในราคายุติธรรมภายใต้ระบบ Contract Farming และส่งออกสินค้ามาไทย ทำให้ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรจากไทย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายประเทศ อาทิ คูเวต ญี่ปุ่น เวียดนาม เข้ามาเช่าพื้นที่ในกัมพูชา เพื่อทำการเกษตร เพื่อส่งผลผลิตนั้นกลับประเทศตัวเอง
ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ในกัมพูชาจะมีลักษณะราบลุ่มเหมาะกับเกษตรกรรมคล้ายกับประเทศไทยและประชากรส่วนใหญ่ของกัมพูชาประกอบอาชีพเกษตรกรรม แต่ชาวกัมพูชามีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.919 ต่อปี ในขณะที่วิธีการเพาะปลูกยังคงเป็นแบบดั้งเดิมคือผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือนเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ผลผลิตไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ กัมพูชาจึงมีความจำเป็นต้องพึ่งพาสินค้าเกษตรและเทคโนโลยีการเกษตรจากต่างประเทศรวมถึงประเทศไทยด้วย
อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีการเกษตรที่เป็นที่ต้องการของกัมพูชาทั้งจักรกลแบบเคลื่อนที่และไม่เคลื่อนที่นั้น เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่รายได้น้อยและไม่ได้รับการศึกษามากนัก การพิจารณาสินค้าที่จะทำการส่งเสริมนั้น ควรเป็นสินค้าที่ราคาไม่แพงมากนัก และการใช้งานไม่ยุ่งยากซับซ้อน รวมถึงสามารถซ่อมบำรุงด้วยตัวเองได้ ขณะที่ในส่วนของปุ๋ยและเคมีภัณฑ์นั้น เนื่องจากการที่พื้นที่โดยรวมของกัมพูชาปลอดจากปุ๋ยเคมีและสารเคมีตกค้าง กัมพูชาจึงมีศักยภาพในการปลูกพืชเกษตรอินทรีย์ซึ่งเป็นสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าสูงและกำลังเป็นที่นิยมในตลาดยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา รัฐบาลกัมพูชาจึงส่งเสริมการปลูกพืชเกษตรอินทรีย์เพื่อการส่งออก ดังนั้น หากต้องการค้าปุ๋ย จึงควรเน้นปุ๋ยอินทรีย์มากกว่าปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์ที่มีราคาแพง ได้แก่ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสดและวัสดุเหลือใช้จากโรงงานอุตสาหกรรมบางชนิด เช่น โรงงานผงชูรส และโรงงานสุราฯ จึงเป็นการสร้างประโยชน์ด้วยการสร้างคุณค่าการตลาดของปุ๋ยให้สูงขึ้น

ตลาดด้านการท่องเที่ยวในกัมพูชา

รัฐบาลกัมพูชาให้ความสำคัญกับภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเล็งเห็นศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยได้จัดทำแผนการพัฒนาการท่องเที่ยวตั้งแต่ปี 2544 ต่อมารัฐบาลได้กำหนดแผนปฏิบัติการด้านการท่องเที่ยว (Tourism Action Plan) โดยตั้งเป้าหมายว่าในปี 2553 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเป็น ล้านคน โดยการสนับสนุนให้นักลงทุนภาคเอกชนเข้าไปลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว อันได้แก่ การขนส่ง โรงแรม ร้านอาหาร การสื่อสารโทรคมนาคม พลังงาน และน้ำประปา รวมถึงการเจรจาระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลกับรัฐบาลจีนและรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อชักจูงให้เข้าไปลงทุนในภาคการท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังได้ทำบันทึกความตกลง (MOU) กับสายการบินต่าง ๆ ให้มีการเพิ่มเที่ยวบิน และเปิดเที่ยวบินตรง (Direct Flights) ไปยังประเทศกัมพูชา ภายใต้นโยบายเปิดน่านฟ้าเสรี (Open Sky Policy) แต่สิ่งที่อยู่ในแผนการพัฒนาอย่างเร่งด่วน ประกอบด้วย การปรับปรุงคุณภาพของการบริการ การฝึกอบรมบุคลากรที่ทำงานในภาคการท่องเที่ยว การพัฒนาโรงแรมให้ได้มาตรฐาน และการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของประเทศ
การหลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยวในกัมพูชาของนักท่องเที่ยวต่างชาติมีผลให้เกิดธุรกิจเกี่ยวเนื่องหรือบริการการท่องเที่ยว เพื่อให้ความสะดวกและความบันเทิงแก่นักท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นอุปทานของสินค้าและบริการในกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ประกอบไปด้วยสินค้าและบริการ กลุ่มหลัก ได้แก่
(1) กลุ่มธุรกิจที่พัก ได้แก่ โรงแรม รีสอร์ท เกสเฮาส์ และโฮมสเตย์ เป็นต้น
(2) กลุ่มธุรกิจบริการการท่องเที่ยว ได้แก่ บริการทัวร์และนำเที่ยว รถเช่า เรือเช่า
(3) ธุรกิจบริการทั่วไป ได้แก่ บริการสุขภาพ สปา สถานบริการ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ
(4) ธุรกิจสนับสนุน ได้แก่ โรงเรียนการท่องเที่ยว โรงเรียนฝึกอบรมมัคคุเทศก์

อุปสงค์ความต้องการกลุ่มสินค้า บริการด้านการท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่อง

ภาพรวมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกัมพูชา
ในปี 2538 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในกัมพูชา จำนวน 219,680 คน ล่าสุดจากการรายงานเมื่อปี 2551 มีจำนวน 2,125,465 คน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของกัมพูชา มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีอัตราการขยายตัวในรอบ 14 ปีโดยเฉลี่ยประมาณ ร้อยละ 20.77 ต่อปี ทั้งนี้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้าสู่หลักล้านคนครั้งแรกในปี 2547 จากนั้นก็อยู่ในระดับเกินกว่า ล้านคนมาโดยตลอด เฉพาะปี 2551 ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสร้างรายได้ประมาณ 1,595 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ หมื่นล้านบาท ซึ่งรายได้จากการท่องเที่ยว คิดเป็นร้อยละ 16 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) นับว่าภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เป็น ใน ภาคธุรกิจ ที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของกัมพูชา และสามารถจ้างงานในประเทศมากกว่า 250,000 ตำแหน่ง
(แผนภาพที่ 2.17 จำนวนนักท่องเที่ยว ระหว่างปี 2538-2551) (P2-116)
ในปี 2551 กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในกัมพูชา 10 อันดับแรก ได้แก่ เกาหลีใต้ จำนวน 266,525 คน คิดเป็นร้อยละ 12.54 เวียดนาม จำนวน 209,516 คน คิดเป็นร้อยละ 9.86 ญี่ปุ่น จำนวน 163,806 คน คิดเป็นร้อยละ 7.71 สหรัฐอเมริกา จำนวน 145,079 คน คิดเป็นร้อยละ 6.83 จีน จำนวน 129,626 คน คิดเป็นร้อยละ 6.10 ไทย จำนวน 109,020 คน คิดเป็นร้อยละ 5.13 สหราชอาณาจักร จำนวน 98,093 คน คิดเป็นร้อยละ 4.62 ฝรั่งเศส จำนวน 97,517 คน คิดเป็นร้อยละ 4.59 ออสเตรเลีย จำนวน 84,957 คน คิดเป็นร้อยละ และไต้หวัน จำนวน 83,000 คน คิดเป็นร้อยละ 3.91
เป้าหมายหลักของการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติในประเทศกัมพูชา คือ จังหวัดเสียมเรียบ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสิ่งมหัศจรรย์ของโลก "ประสาทนครวัด (Angkor Wat)-นครธม (Angkor Thom)" โดยกว่าครึ่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวต่างชาติมีจุดมุ่งหมายที่จะเข้าไปเยี่ยมชม สิ่งมหัศจรรย์ของโลกแห่งนี้ และอีกกว่าครึ่งเดินทางไปยังกรุงพนมเปญและจังหวัดอื่น ๆ ดังสัดส่วนในแผนภาพที่ 2.18 (P2-118)
ข้อมูลฤดูกาลท่องเที่ยวในประเทศกัมพูชา จากสถิติการท่องเที่ยวระหว่างปี 2547-2551 ช่วงที่มีนักท่องเที่ยวคึกคักมาก (High Season) คือช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม และช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม และช่วงที่มีนักท่องเที่ยวเบาบาง (Low Season) คือช่วงเดือนพฤษภาคม-กันยายน โดยสถิติเมื่อปี 2551 พบว่า เดือนที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด เดือนแรก ได้แก่ เดือนธันวาคม มีจำนวนนักท่องเที่ยว 229,269 คน เดือนมกราคม มีจำนวนนักท่องเที่ยว 223,581 คน และเดือนกุมภาพันธ์ มีจำนวนนักท่องเที่ยว 214,902 คน ตามลำดับ ส่วนเดือนที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่ำสุด เดือนแรก ได้แก่ เดือนมิถุนายน มีจำนวนนักท่องเที่ยว 130,853 คน เดือนกันยายน มีจำนวนนักท่องเที่ยว 145,146 คน และเดือนกรกฎาคม มีจำนวนนักท่องเที่ยว 148,449 คน ตามลำดับ
เมื่อพิจารณาถึงพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในประเทศกัมพูชา พบว่า ในปี 2551 มีอัตราจำนวนวันที่พำนักโดยเฉลี่ย (Average Length of Stay) เท่ากับ 6.65 วัน และมีอัตราการเข้าพักโรงแรม (Hotel Occupancy) เท่ากับ ร้อยละ 62.68 เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการเข้าพักโรงแรมของประเทศไทยในปีเดียวกัน เท่ากับ ร้อยละ 51.3 โดยนักท่องเที่ยว คน ใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยวในประเทศกัมพูชาโดยเฉลี่ย เท่ากับ 750 เหรียญสหรัฐฯ โดยสามารถจัดประเภทของการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยว ดังแสดงในตารางที่ 2.50 (P2-119)