สงครามเศรษฐกิจ “Crelization”
สิทธิชัย ฝรั่งทอง วิทยาลัยเซาธ์อีสท์บางกอก กรุงเทพธุรกิจ Bizweek วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2548
หากย้อนไปเมื่อในอดีต การเกิดขึ้นของสงครามจะเป็นการแก่งแย่งชิงดินแดนและทรัพยากร เพราะสงครามในขณะนั้นจะเป็นการขยายอาณาเขตออกไป โดยมิได้มุ่งหวังเพียงดินแดนเท่านั้น แต่ยังมุ่งหวังทรัพยากรในดินแดนอีกด้วย
ภายหลังสงครามโลกสิ้นสุดลง ก็พบว่า สหประชาชาติสามารถยับยั้งการทำสงครามอาวุธได้ในระดับหนึ่ง แต่เมื่อสงครามอาวุธผ่านไปก็จะกลายเป็นสงครามเศรษฐกิจ
การทำสงครามเศรษฐกิจจะมีการใช้วัฒนธรรมเข้าไปแทรกแซงเป็นการกลืนชาติด้วย ที่เรียกว่า “Crelization” หมายความว่า เป็นความพยายามยัดเยียดวัฒนธรรมของตนให้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในชาตินั้นๆ โดยครอบงำทำให้คนมีวิถีชีวิตตามแบบฉบับวัฒนธรรมของตน หรือรู้สึกว่าเหมือนเป็นวัฒนธรรมของตน
คำถามก็คือ ทำไมต้องมีการทำสงครามวัฒนธรรม
คำตอบก็คือ เพราะว่าวิถีชีวิตจะมีตัวสินค้าเป็นองค์ประกอบ
เมื่อเรายอมรับวิถีชีวิตใดๆ ก็ตาม วิถีชีวิตเหล่านั้นย่อมจะต้องร้องขอสินค้าบางอย่างเพื่อที่จะทำให้การดำเนินชีวิตเหล่านั้นเดินต่อไปได้ เช่น เมื่อเรายอมรับวิถีชีวิตดิจิทัล (Digital) เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ และ PC ก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตเรา ญี่ปุ่นเป็นชาติหนึ่งที่ผลิตเครื่องเสียงได้ดี ซึ่งการร้องเพลงตามเนื้อร้องที่เรียกกันเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า “คาราโอเกะ” เมื่อเรายอมรับวิธีการร้องเพลงกันตามเนื้อเพลงที่เป็นคาราโอเกะ ในที่สุดสินค้าเกี่ยวกับการร้องเพลงคาราโอเกะแบบญี่ปุ่นก็จะขายดีไปด้วย
การรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดตามแบบฉบับวัฒนธรรมอเมริกัน เช่น ทานแฮมเบอร์เกอร์ที่แมคโดนัลด์ ทานไก่ที่ KFC ดื่มโค้ก หรือเป๊ปซี่ แก้กระหายน้ำ การแต่งกายจะให้ดูทันสมัยก็ต้องใส่กางเกงยีนส์เอวต่ำ สวมเสื้อเชิ้ตสั้นรัดรูปโชว์สะดือ สไตล์การแต่งตัวแบบร็อค ฮิพฮอพ พั้งค์ ตามแบบฉบับดารานักร้องต่างประเทศ
หรือการยอมรับว่า ภาษาที่ใช้ในสื่อสารทางธุรกิจต้องเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาสเปน ทำให้ต้องนำเข้าตำรา วัสดุอุปกรณ์ และอาจารย์ที่เป็นเจ้าของภาษาเข้ามาเป็นผู้สอนหลัก เป็นต้น
การเกิดขึ้นของกระแสวัฒนธรรมโลกจะทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกสามารถผลิตสินค้าด้วยต้นทุนที่ต่ำขายได้ทั่วโลก (Economy of Global Scales) ซึ่งเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ข้ามชาติจากประเทศด้อยพัฒนา หรือประเทศโลกที่สาม นอกจากจะใช้สินค้าแทรกเข้าไปในวิถีชีวิตแล้วยังมีการสอดแทรกวัฒนธรรมเข้าไปในธุรกิจบันเทิงและการนำเสนอข่าวอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น Walt Disney, CNN, Hollywood, Sony, รายการเรียลลิตี้ และลิขสิทธิ์เกมโชว์ต่างๆ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ คือ กระบวนการ “CREOLIZATION”
จะเห็นได้ว่าในยุคเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) มีการหลั่งไหลของวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาในสังคมไทยอย่างหนัก จนทำให้รู้สึกว่าวัฒนธรรม ค่านิยม รูปแบบวิถีการดำเนินชีวิตแบบไทยๆ กำลังถูกกลืนและทำลายรากเหง้าความเป็นไทยจนแทบจะหมดสิ้น
แต่ก็ต้องยอมรับอย่างปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันวัฒนธรรมรูปแบบวิถีชีวิตตะวันตก หรือของต่างชาติกำลังมีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตความเป็นอยู่ของคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น รวมทั้งผู้ประกอบการบางรายก็หาประโยชน์จากวัฒนธรรมดังกล่าวด้วยการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่สะท้อนให้วัฒนธรรมต่างๆ มีความผิดเพี้ยน เน้นแต่ด้านวัตถุนิยม ความเป็นปัจเจกชน เอารัดเอาเปรียบกัน จนขาดสติคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมอันดีงามของไทย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าระบบตลาดทุนนิยมนี้ จะมีการแข่งขันที่ส่งผลดีต่อผู้บริโภคในเรื่องคุณภาพผลิตภัณฑ์และรูปแบบของนวัตกรรม (Innovation) ก็ตาม แต่ก็ทำให้สังคมไทยยุคใหม่มีลักษณะเป็นบริโภคนิยม (Consumerism) และสังคมมีความเสี่ยงต่อการถูกกลืนทางวัฒนธรรม ซึ่งคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นฟันเฟืองกลไกทางสังคมต่อไปในอนาคตก็กำลังหลงใหลนิยมชมชอบกับความสุขจากสิ่งบันเทิงต่างๆ ที่มากับกระแสโลกาภิวัตน์และการเปิดเสรีทางการค้า
ดังนั้น ถ้าอยากจะชนะสงครามเศรษฐกิจ จะต้องมีชัยชนะในสงครามวัฒนธรรมก่อน
ณ เวลานี้จะเห็นได้ว่า ต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นชาวยุโรป หรืออเมริกัน ต่างมีนโยบายอย่างชัดเจนในเรื่องเน้นส่งออกวัฒนธรรม (Export) โดยไม่ยอมนำเข้า (Import) ก็หมายความว่า เขาพร้อมที่จะผลักดันวัฒนธรรมของเขาออกมาสู่โลกที่เป็นประเทศโลกที่สาม (Third world) แต่เขาจะพยายามกีดกันการนำเข้าวัฒนธรรมของเราเข้าไป
อย่างไรก็ดี โดยภาพรวมในยุคนี้ จะพบว่า ประเทศไทยไม่อยู่ในภาวะที่สามารถเป็นผู้ควบคุมโลก (Global Dominace) ได้ แต่เป็นได้ก็แค่ทำอย่างไรที่จะอยู่รอดในยุคโลกาภิวัตน์ (Global Survival) ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และการถูกคุกคามจากประเทศมหาอำนาจ ขณะเดียวกัน ก็ต้องเรียนรู้กลยุทธ์ระหว่างชาติว่าอาจจะมีช่องว่างของตลาด (Niche Market) เล็กๆ สำหรับไทยในการที่จะเข้าไปยึดครองบางส่วนหรือส่วนหนึ่งของตลาดได้บ้าง เช่น ครัวโลก สปา หรือสนามกอล์ฟ
การเข้าครอบงำทางวัฒนธรรมของต่างชาติมีกรณีศึกษาของประเทศจีนที่น่าจับตาดูว่า กระแสการไหลเข้าของวัฒนธรรมต่างชาติที่กำลังเข้าไปในประเทศจีนเริ่มจะมีมากขึ้น จนทำให้ประชาชนชาวจีนโดยเฉพาะคนหนุ่มสาววัยรุ่นมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงเหมือนในไทย ไม่ว่าจะเป็นการใช้บัตรเครดิต ทานอาหารฟาสต์ฟู้ด นิยมเพลงฝรั่ง ญี่ปุ่น แต่งกายสไตล์โฉบเฉี่ยว หรือค่านิยมฟรีเซ็กซ์เหมือนชาวตะวันตก
การรุกเข้าของวัฒนธรรมต่างชาติ ทำให้เมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงวัฒนธรรมของจีนมีความวิตกกังวลต่ออันตรายทางสังคมในประเทศ จึงต้องมีการออกมาตรการคุมเข้มสกัดการไหลบ่าของวัฒนธรรมป๊อป โดยเตรียมงดออกใบอนุญาตประกอบกิจการแก่บรรดาสถานีโทรทัศน์ของต่างชาติหน้าใหม่ๆ พร้อมทั้งเพิ่มมาตรการคุมเข้มการเซ็นเซอร์รายการโทรทัศน์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ
ทั้งยังจะคุมเข้มบรรดาบริษัทที่ทำหน้าที่แพร่ภาพกระจายเสียงผ่านดาวเทียมทางโทรทัศน์ของต่างชาติ 31 ราย ที่ได้รับใบอนุญาตให้บริการในจีนในช่วงก่อนหน้านี้อีกด้วย
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังเตรียมงดการออกใบอนุญาตแก่บรรดาบริษัทที่นำเข้าหนังสือพิมพ์และนิตยสาร สื่อสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับภาพและเสียง ตลอดจนการ์ตูนสำหรับเด็ก
กฎระเบียบคุมเข้มใหม่นี้จะมีผลต่อผลิตภัณฑ์ที่มีลิขสิทธิ์ของต่างชาติที่บรรดาบริษัทจีนได้รับอนุญาตให้ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวได้สร้างความผิดหวังให้กับบรรดาบริษัทบริการด้านแพร่ภาพ-กระจายเสียงในต่างประเทศ ที่หวังจะเจาะธุรกิจสื่อในประเทศจีน ขณะเดียวกัน บรรดาสถานีโทรทัศน์ และวิทยุของจีนต่างต้องการให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนและจัดทำรายการให้ โดยในจำนวนนี้ มีหลายบริษัทที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน และจะต้องแข่งขันกับคู่แข่งจำนวนมากในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม การแสวงหาความเป็นใหญ่ในยุคโลกาภิวัตน์นี้ จะเห็นได้ว่า ความเจริญก้าวหน้าที่กำลังแพร่กระจายเข้ามาในแต่ละประเทศ ย่อมมีสิ่งแอบแฝงซ่อนเร้นเข้ามาเสมอ
จะสามารถแข่งขันและอยู่รอดได้ในยุคนี้ จึงต้องรู้เท่าทันกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกและทำความเข้าใจบริบทแห่งการเปลี่ยนแปลง (The New Reality) ในแง่มุมต่างๆ ให้ได้ฟ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น