วิกฤติการณ์น้ำมันแพงครั้งอดีต
http://www.technologymedia.co.th/article/articleview.asp?id=214
วิกฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมัน เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 2 ครั้ง คือ
วิกฤติการณ์น้ำมันครั้งที่ 1 เกิดหลังสงครามระหว่างอาหรับกับอิสราเอล ที่ประเทศกลุ่มอาหรับต้องการให้บทเรียนกับประเทศตะวันตกที่ให้การสนับสนุนอิสราเอล ด้วยการลดกำลังการผลิตลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลก ที่เคยเป็นของถูกมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีราคาเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก
ผลจากการปรับเปลี่ยนราคาในครั้งนั้น นอกจากจะทำให้สังคมโลกตระหนักว่า “ น้ำมัน” มิใช่ของฟรีแล้ว ยังทำให้เหล่าประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งยุโรปและในอเมริกาเริ่มมีการปรับเปลี่ยนนโยบายด้านพลังงานของตนเองอย่างจริงจัง มีการสนับสนุนการศึกษาวิจัยด้านพลังงานทดแทน หรือเทคโนโลยีด้านพลังงานใหม่ ๆ มีการสนับสนุนระบบขนส่งมวลชน รวมถึงการเก็บภาษีน้ำมันในราคาแพงเพื่อนำเงินที่ได้มาพัฒนาระบบขนส่งมวลชน
วิกฤติการณ์น้ำมันครั้งที่ 2 เมื่อประมาณต้นทศวรรษที่ 80 เกิดจากกรณีสงครามอิรัก- อิหร่าน โดยนักวิเคราะห์มองว่าอิรักในช่วงนั้น ได้รับการสนับสนุนอย่างลับ ๆ จากอเมริกา ที่สูญเสียอำนาจในประเทศอิหร่านจากการปฏิวัติโค่นล้มราชวงศ์ของกษัตริย์ชาร์ ให้ต่อสู้กับประเทศอิหร่าน เพื่อล้มล้างอิทธิพลของอโยตลาโคไมนี่ผู้นำการปฏิบัติของอิหร่าน ระยะเวลาที่เกิดสงครามกินเวลานานหลายปีนั้น ได้ทำให้ปริมาณน้ำมันจากประเทศตะวันออกกลางหลายประเทศที่ต้องส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุส มีปริมาณลดลง ทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น
การขาดแคลนน้ำมันในช่วงวิกฤติครั้งที่ 2 นั้น ทำให้เกิดความพยายามหาแหล่งน้ำมันใหม่ ๆ และได้ค้นพบแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ 2 แหล่งคือ ที่อ่าวเม็กซิโก และที่ทะเลเหนือ ซึ่งปริมาณน้ำมันที่ค้นพบ นอกจากทำให้ช่วยลดวิกฤติการณ์น้ำมันครั้งที่ 2 แล้วยังส่งผลทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีราคาต่ำลงเป็นประวัติการณ์หลังสงครามอิรัก- อิหร่าน ทั้งนี้เพราะปริมาณน้ำมันจาก 2 แหล่งใหม่นี้ ได้ทำให้ปริมาณของน้ำมันดิบที่ผลิตได้เกินความต้องการของตลาดโลก ขณะที่ประเทศกลุ่มอาหรับก็ไม่อยากให้รายได้จากการขายน้ำมันลดลง เพราะยังมีความต้องการเม็ดเงินเข้าไปพัฒนาระบบสาธารณูปโภคภายในประเทศ ทำให้ประเทศกลุ่มอาหรับไม่สามารถลดกำลังการผลิตลงมาได้ จนเป็นเหตุให้ราคาน้ำมันในช่วงปี 1990 เป็นต้นมามีราคาตกลงมา จนราคาน้ำมันเริ่มเข้าสู่สมดุลย์อีกครั้งหนึ่ง
วิกฤติการณ์ครั้งที่ 3
ในวิกฤติการณ์ 2 ครั้งแรกนั้น สาเหตุสำคัญเกิดจาก “ สงคราม” ในปี 1990-91 แม้จะมีสงครามบริเวณตะวันออกกลางเกิดขึ้นอีก 1 ครั้งคือ การขับไล่อิรักออกจากคูเวตในสมัยบุชผู้พ่อ แต่ราคาน้ำมันก็จะพุ่งสูงขึ้นในช่วงสั้น ๆ และปรับตัวลงหลังจากสงครามไม่นานนัก
ราคาน้ำมันดิบ กลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2003 จนถึงปัจจุบัน แม้จะมีสงครามระหว่งสหรัฐ- อิรัคอีกหนึ่งครั้งในสมัยบุชผู้ลูก ในเดือนมีนาคม 2003 แต่ราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นแทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับสงครามในตะวันออกกลาง เลย ( หรือมีน้อยมาก) ซึ่งนักวิเคราะห์มองปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า มีสาเหตุมาจากปัจจัยหลัก 5 ประการคือ
- การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
- การปรับเปลี่ยนตะกร้าเงินในการซื้อขายน้ำมันของประเทศกลุ่มโอเปก
- การหยุดชะงักของอุตสาหกรรมกลั่นน้ำมันในช่วงปลายศตวรรษที่ 20
- ความต้องการใช้น้ำมันตามฤดูกาล
- สถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ
การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน
ในปี 2003 ทั่วโลกมีอัตราการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น 3 เปอร์เซ็นต์ จากปกติที่จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละเพียง 1.7 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งประเทศที่มีอัตราการเพิ่มของการใช้น้ำมันมากที่สุดคือประเทศจีนที่ใช้น้ำมันในปีที่แล้ว(2004) เพิ่มขึ้นถึง 18 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนอกจากประเทศจีนแล้ว การบริโภคน้ำมันในประเทศอินเดีย และสหรัฐอเมริกา ก็มีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นในปริมาณสูงเช่นกัน
การเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ (Demand) เช่นนี้ หากเป็นในสมัยก่อน คงจะไม่มีปัญหามากนัก เนื่องจากเรามีการขุดเจาะบ่อน้ำมันใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นทุกปี แต่ในปีล่าสุด (2003) นี้ เรามีการพบน้ำมันจากแหล่งขุดเจาะใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นเพียง 0.3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งนักพลังงานหลายท่านวิเคราะห์ว่า ขณะนี้ปริมาณน้ำมันที่ได้จากแหล่งต่าง ๆ ทั่วโลกได้มาถึงจุดสูงสุดของกำลังผลิต และไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้มากไปกว่านี้ และมีแต่จะลดลงในระยะยาว
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ อุปสงค์ เริ่มมีตัวเลขใกล้เคียงจนเกือบเท่ากับอุปทาน จนเป็นเหตุสำคัญของการเก็งกำไรน้ำมัน จนทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การปรับเปลี่ยนตะกร้าเงินในการซื้อขายน้ำมันของประเทศกลุ่มโอเปก
แต่เดิม การซื้อขายน้ำมันจะใช้เงินสกุลดอลลาร์เป็นตัวกลางในการซื้อขาย ซึ่งประเทศผู้ผลิตน้ำมันเริ่มรู้สึกว่า ราคาน้ำมันของตนเองนอกจากจะถูกดึงไปเป็นกลไกในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของสหรัฐที่เป็นเจ้าของสกุลเงินแล้ว ประเทศเหล่านี้ยังไม่สามารถควบคุมรายได้หลักของประเทศที่ไปอิงอยู่กับการอ่อนตัวหรือแข็งค่าของเงินเพียงสกุลเดียว
ดังนั้นในช่วงปี 2003 ประเทศกลุ่มตะวันออกกลาง จึงเริ่มมีการนำเงินยูโร มาเป็นสื่อกลางในการสำรองเงินตราของตนอีกหนึ่งสกุล ซึ่งการที่เงินสหรัฐมีค่าอ่อนกว่าเงินยูโร ได้ทำให้การซื้อขายน้ำมันเมื่อเทียบเป็นเงินสกุลดอลลาร์มีราคาเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
การหยุดชะงักของอุตสาหกรรมกลั่นน้ำมันในช่วงปลายศตวรรษที่ 20
ภายหลังวิกฤติการณ์น้ำมันครั้งที่ 2 เข้าสู่สมดุล และนำมาซึ่งสถานการณ์น้ำมันล้นตลาดเป็นเวลาหลายปีนั้น ได้ทำให้โรงกลั่นน้ำมันที่ก่อสร้างขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการขุดเจาะน้ำมัน อยู่ในภาวะ “ ล้นตลาด” และหลายแห่งประสบกับภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้แทบจะไม่มีการลงทุนเพื่อพัฒนาหรือสร้างโรงกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น
ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจโลก ( โดยเฉพาะประเทศจีน) เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่ความต้องการด้านพลังงานน้ำมันในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้หลายฝ่ายวิตกว่ากำลังการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันทั่วโลก อาจไม่สามารถรองรับความต้องการของประชาคมโลกได้ และเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้ราคาน้ำมันที่ซื้อขายกันมีราคาเพิ่มสูงขึ้น
ความต้องการน้ำมันตามฤดูกาล
ในช่วงฤดูหนาว ประเทศทางซีกโลกเหนือจะมีความต้องการน้ำมันมากขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันในช่วงเวลาดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้น และแม้ความต้องการดังกล่าวจะลดลงหลังจากหมดฤดูหนาว แต่ความต้องการใช้น้ำมันดีเซลในสหรัฐฯ ก็จะสูงขึ้นในหน้าร้อน ซึ่งนั่นเป็นแรงหนุนสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันไม่ลดลง
สถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ
ความไม่แน่นอนของสถานการ์ทางการเมืองโลก เช่น การที่สหรัฐยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ความรุนแรงในอิรักได้ ซึ่งทำให้ไม่สามารถเข้าไปจัดการในอุตสาหกรรมการผลิตและขายน้ำมันของอิรักได้เต็มที่ ซึ่งแม้ผลกระทบที่มีต่อกำลังการผลิตรวมของทั้งโลกจะไม่มากนัก แต่ในแง่จิตวิทยามีผลค่อนข้างรุนแรงต่อตลาดซื้อขาย และยิ่งผสมกับการเก็งกำไรของนักลงทุน ได้ทำให้สถานการณ์น้ำมันยิ่งทวีความผันผวนมากยิ่งขึ้น
ราคาน้ำมันจะมีราคา ณ สมดุลใหม่อยู่ที่ใด
การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มิใช่เกิดเหตุปัจจัยเช่นเดียวกับวิกฤติการณ์เมื่อ 2 ครั้งก่อน ที่เกิดจากความอ่อนไหวต่อปัจจัยทางการเมืองระหว่างประเทศ ( เช่น สงคราม) หากแต่เกิดจากสาเหตุของความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์กับอุปทาน รวมถึงสาเหตุอีกหลายประการ ที่มีแนวโน้มว่าคงจะเป็นแรงผลักดันให้ราคาน้ำมันทะยานขึ้นไปเรื่อย ๆ มากกว่าที่จะปรับราคาลงมาเช่นวิกฤติการณ์น้ำมันเมื่อ 2 ครั้งก่อนหน้า
หากจะคิดว่า เหตุการณ์ใดที่จะทำให้ราคาน้ำมันลดลงมาได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ ก็อาจจะมีความเป็นไปได้ 2 ประการคือ
- สภาวะเศรษฐกิจในประเทศจีน หรือสหรัฐ หรือเศรษฐกิจโลก เกิดการชะงักงันอย่างกระทันหัน และฉับพลัน ซึ่งแม้จะมีความเป็นไปได้แต่ก็ค่อนข้างน้อยมาก เช่น เกิดสงครามระหว่างจีนกับไต้หวัน
- การค้นพบแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ คล้าย ๆ กับการค้นพบน้ำมันในทะเลเหนือและอ่าวเม็กซิโก ที่ทำให้อุปทานมากกว่าอุปสงค์อย่างชัดเจน ซึ่งมีความเป็นไปได้น้อยและต้องอาศัยโชคพอสมควร
ดังนั้น หากสถานการณ์ยังดำเนินต่อไปเช่นปัจจุบัน ก็คาดได้ว่า “ สมดุลใหม่ของน้ำมัน” จะเป็นสมดุลที่ราคาน้ำมันมีราคาแพงมากจนทำให้ระบบเศรษฐกิจ ระบบการผลิต และการดำรงชีวิต ในแบบปัจจุบันไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ( ซึ่งนักวิชาการคาดกันว่าอยู่ที่ประมาณบาร์เรลละ 60 ดอลลาร์ขึ้นไป)
ไทยกับการรับมือ
- การแก้ไขปัญหาพลังงาน ปกติแล้วต้องใช้เวลายาวนาน ( มากกว่า 3 ปีขึ้นไป) จึงจะเห็นผล ไม่สามารถทำงานแบบไฟไหม้ฟางได้ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการลงทุนระยะยาว ทั้งในระดับครัวเรือนและระดับประเทศ
- 3 แนวทางการประหยัดพลังงาน
- การลงทุนและการจัดการเพื่อการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- การเปลี่ยนแปลงชนิดเชื้อเพลิงให้เป็นเชื้อเพลิงที่มีราคาถูกลง และการใช้พลังงานทดแทน
- การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานการผลิตและใช้พลังงานที่สำคัญของประเทศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น