สภาพเศรษฐกิจของกัมพูชา
http://122.155.9.68/talad/index.php/cambodia/overview-kh/economy
ภาพรวมด้านเศรษฐกิจ
ในปี
พ.ศ.
2552 กัมพูชามีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP
Growth) ร้อยละ -1.5 ซึ่งมีสาเหตุจากภัยแล้งและอุทกภัย
ส่งผลกระทบต่อผลผลิตด้านการเกษตร
ซึ่งเป็นรายได้หลักของประชากรร้อยละ 70 ของประเทศ
รวมถึงการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูป
สิ่งทอ รองเท้า ที่ลดลง
เพราะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป
ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของกัมพูชา
และการที่สหรัฐอเมริกายกเลิกการใช้มาตรการ Safeguard ต่อสินค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากจีน
นอกจากนี้ จากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินโลก
ส่งผลให้การพัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์ได้ชะลอตัวลง
และบางโครงการถอนการลงทุน
อนึ่ง
ราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซาส่งผลให้อำนาจซื้อของประชาชนลดลง
อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ.
2553 คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของกัมพูชาน่าจะอยู่ที่ร้อยละ 3.5 เนื่องจากมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกทำให้การส่งออกของกัมพูชามีแนวโน้มดีขึ้น
ที่สำคัญกัมพูชาก็เริ่มให้การสนับสนุนกับการลงทุนภาคสาธารณะมากขึ้นเพื่อรองรับเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวภายในอนาคต
อาทิ การสร้างถนน
โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
โรงไฟฟ้าถ่านหิน สร้างท่าอากาศยาน
การบริหารจัดการระบบรถไฟ
เป็นต้น
ทั้งนี้
กัมพูชามีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
11.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีประมาณ 635 เหรียญสหรัฐฯ
โดยรายได้หลักของกัมพูชามาจากภาคเกษตรกรรม
ร้อยละ 32.5 ได้แก่
การกสิกรรม การประมง ปศุสัตว์
และป่าไม้ ซึ่งสินค้าเกษตรที่ส่งออก
ได้แก่ ข้าว ผลิตภัณฑ์ปลา
และยางพารา รองลงมา ได้แก่
ข้าวโพด ถั่วเหลือง สัตว์มีชีวิต
ผลไม้ และปลา เป็นต้น
ภาคอุตสาหกรรม
ร้อยละ 22.4 ซึ่งสินค้าอุตสาหกรรมส่งออก
ได้แก่ เสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม
รองเท้า
และภาคบริการร้อยละ 45.1 รายได้ที่สำคัญของภาคบริการ
ได้แก่ รายได้จากนักท่องเที่ยว
และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ
สกุลเงินของกัมพูชา
คือ
เงินเรียล (Riel) การแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ
หมุนเวียนในตลาดมากกว่าเงินเรียลซึ่งเป็นเงินพื้นเมือง
การแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศค่อนข้างเสรี
โดยสามารถดำเนินการได้อย่างอิสระผ่านระบบธนาคารและตัวแทนการแลกเปลี่ยนที่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้
อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินเรียลกัมพูชาและเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
มีอัตราค่อนข้างคงที่
กล่าวคืออยู่ในระดับประมาณ 4,000 เรียล
ต่อ 1 เหรียญสหรัฐฯ
โครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน
ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 ประเทศกัมพูชาเริ่มเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด (market-oriented
economy) มีการเปิดตลาดการค้าการลงทุนในประเทศและระหว่างประเทศ
โดยมีสิ่งบ่งชี้ที่สำคัญคือการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียน (ASEAN) ในปี 1999
(พ.ศ.
2542) และเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ในปี 2004
(พ.ศ.
2547) ทำให้กัมพูชาต้องปฏิรูปประเทศในหลาย
ๆ ด้าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการค้าการลงทุน
สำหรับภาคการเงินการธนาคารในกัมพูชา
เริ่มเปิดดำเนินการในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1990 ส่วนการพัฒนาตลาดทุน
เดิมรัฐบาลกัมพูชาวางแผนเปิดทำการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์
ประมาณปี 2008
(พ.ศ.
2551) แต่ก็ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
เนื่องจากมีความเสี่ยงเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในช่วงปลายปี 2008 เป็นต้นมา
การดำเนินกิจการธนาคารในประเทศกัมพูชา
อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารกลางของประเทศ
คือ ธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (National
Bank of Cambodia:
NBC) ข้อมูลจากการรายงานผ่านเว็บไซต์ของธนาคารแห่งชาติกัมพูชา[1] พบว่า
มีธนาคารพาณิชย์ (Commercial
Banks) จำนวน 27 แห่ง, ธนาคารเฉพาะด้าน (Specialized
Banks) จำนวน 6 แห่ง, สถาบันการเงินรายย่อย (Micro-finances
Institutions) จำนวน 19 แห่ง
และสำนักงานตัวแทน (Representative
Offices) จำนวน 3 แห่ง
ดังนี้
ธนาคารพาณิชย์ (Commercial
Banks) จำนวน 27 แห่ง
ได้แก่
1)
Advanced Bank of Asia Ltd.,
2)
Cambodia Asia Bank Ltd.,
3)
Canadia Bank PLC.,
4)
Cambodian Commercial Bank Ltd.,
5)
Cambodia Mekong Bank Public Ltd.,
6)
Cambodian Public Bank Ltd.,
7)
First Commercial Bank Phnom Penh Branch.,
8)
Foreign Trade Bank of Cambodia.,
9)
Krung Thai Bank Public Co.Ltd.P.Penh Branch.,
10)
May Bank Phnom Penh Branch.,
11)
Singapore Banking Corporation.,
12)
Union Commercial Bank Plc.,
13)
Vattanac Bank.,
14)
Acleda Bank Plc.,
15)
ANZ Royal Bank Cambodia.,
16)
CamKo Bank Limited.,
17)
Shinhan Khmer Bank Limited.,
18)
India Bank Phnom Penh Branch.,
19)
Bank for Investment and Development of Cambodia.,
20)
MARUHAN Japan Bank Plc.,
21)
KOOKMIN BANK CAMBODIA PLC.,
22)
BOOYOUNG KHMER BANK.,
23)
PHNOM PENH COMMERCIAL BANK.,
24)
ANGKOR CAPITAL BANK.,
25)
OSK Indichina Limited.,
26)
Sacom Bank Phnom Penh Branch.,
27)
Hwang DBS Commercial Bank.
ธนาคารเฉพาะด้าน (Specialized
Banks) จำนวน 6 แห่ง
ได้แก่
1)
Rural Development Bank.,
2)
PHSME Specialized Bank Ltd.,
3)
Cambodia Development Specialized Bank.,
4)
First Investment Specialized Bank.,
5)
BEST SPECIALIZED BANK.,
6)
ANCO Specialized Bank.,
สถาบันการเงินรายย่อย (Micro-finances
Institutions) จำนวน 19 แห่ง
ได้แก่
1)
MICROFINANCE AMRET.,
2)
MICROFINANCE HATTHAKAKSEKAR.,
3)
TONG FANG Micro-Finance Ltd.,
4)
THANEAKEA PHUM CAMBODIA.,
5)
MICROFINANCE SATHAPANA.,
6)
ANGKOR Microheranhvatho Kampuchea.,
7)
MICROFINANCE VISON FUND.,
8)
MICROFINANCE CREDIT.,
9)
PRASAC MICRIFINANCE Institution Ltd.,
10)
FARMER UNION DEVELOPMENT FUND.,
11)
Cambodian Business Integrate In Rural Development.,
12)
Maxima Mikroheranhvatho.,
13)
INTEAN POALROATH RONGROEURNG.,
14)
MICROFINANCE CHC.,
15)
Entean Akpevath Pracheachun.,
16)
FARMER FINANCE.,
17)
Green Central Microfinance.,
18)
YCP Microfinance.,
19)
PISETH Akphiwat Sethakech.
สำนักงานตัวแทน (Representative
Offices) จำนวน 3 แห่ง
ได้แก่
1)
Standard Chartered Bank Phnom Penh.,
2)
Vietnam Bank for Agriculture and Rural Development.
3)
Bank for Investment and Development of Vietnam, Cambodia.
สำหรับสาขาของธนาคารของประเทศไทยในกัมพูชานั้น
มี
1) ธนาคาร Cambodia
Commercial Bank ซึ่งเป็นธนาคารลูกของธนาคารไทยพาณิชย์
จำกัด (มหาชน) ตั้งสำนักงานใหญ่ในพนมเปญ
และมีสาขาอีก 2 แห่งในจังหวัดเสียมเรียบ
และพระตะบอง
2) ธนาคารกรุงไทย
จำกัด ( มหาชน ) สาขาพนมเปญ
และสาขาย่อยเสียมเรียบ
ทั้งนี้
ธนาคารทั้งสองแห่งมีบทบาทค่อนข้างมากในการให้บริการทางการเงินแก่การประกอบธุรกิจของคนไทยในกัมพูชา
อย่างไรก็ดี
แม้ว่าในปัจจุบันการให้บริการทางการเงินของธนาคารต่าง
ๆ จะมีการให้บริการทางการเงินรูปแบบใหม่
ๆ อาทิเช่น
ตู้ ATM, บัตรเครดิต, และการทำธุรกรรมทางอินเทอร์เน็ต
แต่ว่าสัดส่วนการใช้บริการทางการเงินต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเบื้องต้น (GDP) อยู่ในสัดส่วนที่ค่อนข้างต่ำ
โดยในปี พ.ศ.
2550 สัดส่วนการให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน
เท่ากับร้อยละ 18.3 ต่อ GDP และสัดส่วนเงินฝากในระบบสถาบันการเงิน
เท่ากับร้อยละ 26.8 ต่อ GDP
โดยนับตั้งแต่ปี
พ.ศ.
2546-2550 จำนวนผู้ฝากเงินเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยกว่าร้อยละ 215 ขณะที่ผู้ขอสินเชื่อธนาคารเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 60 โดยอัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ฝากเงินเติบโตมากกว่า
ผู้ขอสินเชื่อประมาณ 3.5 เท่า
ในแง่ของความมั่นคงของระบบธนาคารถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี
พิจารณาจากอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ
กล่าวคือ มีอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ทั้งหมด (Return
on Asset :
ROA) โดยเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 2 และมีอัตราส่วนผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Returns
on Equity: ROE) เท่ากับร้อยละ 11
โครงสร้างพื้นฐานของกัมพูชา
เส้นทางโลจิสติกส์
กัมพูชามีเส้นทางการขนส่งและลำเลียงสินค้าเพื่อส่งออกทั้งทางบกและทางน้ำที่รัฐบาลกำลังเร่งปรับปรุง
รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านอื่น
ๆ ด้วย โดยเส้นทางการขนส่งสินค้าเพื่อส่งออกและนำเข้าวัตถุดิบ
ได้แก่
- เส้นทางขนส่งทางบก กัมพูชามีถนนสายหลัก 7 สาย ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากนานาชาติในการปรับปรุงเส้นทาง เช่น ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) สหประชาชาติ(UN) ประเทศญี่ปุ่น และประเทศจีน เป็นต้น สำหรับประเทศไทยได้ให้ความช่วยเหลือปรับปรุงเส้นทางสายรองแก่กัมพูชา 2 สาย คือ เส้นทางสาย 48 และสาย 67 ดังแสดงในแผนภาพที่ 2.4 ในส่วนของทางรถไฟ คือ เส้นทางสายพนมเปญ-บันเตียเมียนเจย บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และเส้นทางสายพนมเปญ-สีหนุวิลล์ นอกจากนี้รัฐบาลกัมพูชายังมีโครงการที่จะสร้างเส้นทางรถไฟสายใหม่จากจังหวัดกำปงสปือ พนมเปญไปยังชายแดนเวียดนาม โดยได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากจีน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางรถไฟที่เชื่อมระหว่างสิงคโปร์-คุณหมิงของจีน เส้นทางรถไฟสายนี้จะเป็นเส้นทางส่งออกสินค้าไปยังประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งได้ ดังแสดงในแผนภาพที่ 2.5
นอกจากนี้ประเทศไทยก็ได้มีการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ร่วมกับกัมพูชาตามกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจต่างๆ
ได้แก่ ACMECS
GMS และ MGC เป็นต้น
เส้นทางการขนส่งที่สำคัญในอนาคต
คือ
1) เส้นทาง R1 โครงการถนนสายกรุงเทพฯ-พนมเปญ-โฮจิมินต์ซิตี้-วังเตา
2) เส้นทาง R10 โครงการถนนเลียบชายฝั่งทะเล
ไทย-กัมพูชา-เวียดนาม
3) เส้นทางสาย 48 เป็นเส้นทางเศรษฐกิจหลักเชื่อมโยงไทย-กัมพูชา-เวียดนาม
สายเลียบชายฝั่งทะเล (Southern
Economic Corridor) ภายใต้กรอบ GMS
4) เส้นทางถนนสาย 318
(ตราด-คลองใหญ่-หาดเล็ก) เป็นถนนสายสำคัญในการขนส่งสินค้าจากกรุงเทพฯ
จังหวัดในภาคตะวันออก
ไปยังท่าเรือคลองใหญ่
เพื่อนำขึ้นที่ท่าเรือสีหนุวิลล์
และขนส่งต่อไปยังเวียดนามตอนใต้
ซึ่งจะส่งผลให้การขนส่งสินค้าทางบกจากจังหวัดตราดสู่พนมเปญเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 30 และลดระยะเวลาขนส่งเร็วกว่าทางน้ำ 3 เท่าตัว
ทำให้ขนส่งสินค้าสะดวก
และรวดเร็วขึ้น
สามารถลดต้นทุนการขนส่งได้มากขึ้น
5) เส้นทางสาย 67
(สะงำ-อันลองเวง-เสียมเรียบ) เส้นทางนี้จะสนับสนุนการเชื่อมโยงการท่องเที่ยว
และกิจกรรมทางเศรษฐกิจบริเวณเมืองคู่แฝด
ศรีสะเกษ-เสียมเรียบ
การพัฒนาความร่วมมือทางโลจิสติกส์ระหว่างไทย-กัมพูชานี้มีข้อดี
คือ การคมนาคมไปมาสะดวก
การขนส่งสินค้า และการท่องเที่ยวจะง่ายขึ้น
เมื่อการขนส่งสินค้าโดยเฉพาะทางบกสามารถติดต่อค้าขายได้สะดวก
ก็จะส่งผลดีต่อการส่งออกและนำเข้าสินค้าระหว่างไทย-กัมพูชา
- เส้นทางขนส่งทางน้ำ กัมพูชามีท่าเรือหลักที่ใช้ขนส่งสินค้า 3 แห่ง คือท่าเรือกำปงโสมหรือสีหนุวิลล์ เป็นท่าเรือที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุด สามารถรองรับเรือบรรทุกสินค้าขนาด10,000 ตัน ได้พร้อมกัน 4 ลำ และยังมีท่าเทียบเรือขนาดเล็กสำหรับเรือลำเลียงที่มีขนาดใหญ่ ท่าเรือพนมเปญ และท่าเรือเกาะกง ตั้งอยู่ใกล้จังหวัดตราด เป็นท่าเรือขนส่งสินค้าจากไทยและมาเลเซีย ดังแสดงในแผนภาพที่ 2.6
- เส้นทางคมนาคมทางอากาศ
- สนามบินนานาชาติ
ได้แก่
สนามบินนานาชาติพนมเปญหรือสนามบินโปเชนตง (Pochentong) ที่กรุงพนมเปญ
และสนามบินนานาชาติเสียมเรียบ
ที่จังหวัดเสียมเรียบ
อย่างไรก็ตาม สนามบินนานานชาติทั้ง 2 แห่งนี้
ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่เพียงพอที่จะรองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ
- สนามบินภายในประเทศ
ได้แก่ สนามบินกางแก็ง (Kang
Keng) จังหวัดสีหนุวิลล์
ซึ่งจะยกขึ้นเป็นสนามบินนานาชาติในปี
พ.ศ.
2554 สนามบินจังหวัดพระตะบอง
ท่าอากาศยานขนาดเล็กที่จังหวัดสีหนุวิลล์
และท่าอากาศยานสำรองเพื่อการขนส่งสินค้าที่จังหวัดกัมปงชนัง
เป็นต้น
โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน
การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับพลังงาน
โดยเฉพาะการใช้ไฟฟ้าของประเทศกัมพูชา
เป็นไปตามยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน (Cambodia's
Power Sector Strategy 2001-2005) ของรัฐบาล
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนชาวกัมพูชามีไฟฟ้าใช้มากขึ้น
ภายใต้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวรัฐบาลได้ดำเนินการให้มีการสร้างโรงไฟฟ้า
และเดินสายไฟฟ้าให้ระหว่างกรุงพนมเปญและจังหวัดต่าง
ๆ รวมทั้งติดตั้งเสาไฟฟ้าเชื่อมโยงกับโรงไฟฟ้าในเวียดนาม
และจากชายแดนไทย
รวมถึงการก่อสร้างไฟฟ้าพลังน้ำ
ซึ่งประเทศกัมพูชามีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำสูงมาก
ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากจีน
ทำให้คาดว่ากระแสไฟฟ้าจะสามารถเข้าถึงท้องถิ่นต่าง
ๆ ของกัมพูชาได้มากขึ้น
โดยภาครัฐตั้งเป้าหมายว่าภายในปี
พ.ศ.
2563 ทุกหมู่บ้านในประเทศกัมพูชาต้องมีไฟฟ้าใช้และจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการลงทุนในหลายภูมิภาคของประเทศ
ระบบการจัดจำหน่ายหน่ายไฟฟ้าของกัมพูชา
แบ่งเป็น 2 เขต
ได้แก่ เขตภาคใต้ ประกอบด้วย
กรุงพนมเปญ จังหวัดกันดาล
จังหวัดกัมปงสปือ จังหวัดตาแก้ว
จังหวัดกัมปอต และจังหวัดสีหนุวิลล์
และเขตภาคตะวันตก ประกอบด้วย
จังหวัดบันเตียเมียนเจย
จังหวัดพระตะบอง และจังหวัดเสียมเรียบ
มีหน่วยงานรับผิดชอบ
หลักคือ Electricite
Du Cambodge (EDC) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาล
มีโครงสร้างการทำงานทั้งการกำกับดูแล (Regulator) เช่น
การให้ใบอนุญาตการขายไฟฟ้าให้แก่เอกชน
หรือการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า
ขณะเดียวกัน EDC ยังประกอบกิจการในเชิงพาณิชย์ด้วยการจัดจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ประชาชนทั่วไปด้วย
ข้อมูลจากการรายงานในปี
พ.ศ.
2551 พบว่าการจัดจำหน่ายกระแสไฟฟ้าดำเนินการโดยรัฐบาลและภาคเอกชน
ในส่วนของรัฐบาลดำเนินการโดย Electricite
Du Cambodge (EDC) มีส่วนแบ่งยอดจำหน่ายร้อยละ 26.5 ในส่วนภาคเอกชน
คือ Independent
Power Producers (IPPs) มียอดจำหน่าย
ร้อยละ 86.68 และผู้ได้รับสัมปทานรายย่อย
เช่น Rural
Electricity Enterprises (REE) และรายเล็กอีกประมาณ 100 ราย
มียอดจำหน่าย ร้อยละ 2.54
สำหรับราคาค่าไฟฟ้าในประเทศกัมพูชามีโครงสร้างราคาที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่บริการ
นั่นหมายความอัตราค่าไฟฟ้าในแต่ละจังหวัดจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ได้สัมปทานในการจัดจำหน่าย
ขณะเดียวกันราคาค่าไฟฟ้ายังแตกต่างกันไปตามลักษณะของการใช้งาน
แต่การปรับอัตราค่าไฟฟ้าจะถูกควบคุมโดยรัฐบาล
ดังตัวอย่างอัตราค่าไฟฟ้าในตารางที่ 2.17 และ 2.18
การเข้าถึงบริการไฟฟ้าของประชาชนชาวกัมพูชาอยู่ในอัตราที่ค่อนข้างต่ำ
เนื่องจากประชากรกว่าร้อยละ 80.5 อาศัยอยู่ในเขตชนบท
ในปี พ.ศ.
2551 ข้อมูลจากรายงานประจำปีของการไฟฟ้ากัมพูชา (Electricity
Authority of Cambodia) พบว่า
มีผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งสิ้น 487,426 ครัวเรือน
คิดเป็นร้อยละ 17.21 ในจำนวนนี้ผู้ใช้ไฟฟ้าในเขตเมืองสามารถเข้าถึงการบริการไฟฟ้าประมาณร้อยละ 82.53 ในขณะที่เขตชนบทเข้าถึงเพียงร้อยละ 9.31 เท่านั้น
ในทางตรงกันข้าม
ครัวเรือนที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้มีกว่า 2,345,265 ครัวเรือน
หรือคิดเป็นร้อยละ 82.79 ซึ่งผู้ไม่มีไฟฟ้าใช้จะอาศัยแหล่งกำเนิดพลังงานที่ให้แสงสว่าง (Main
source of light) จากแหล่งอื่น
ๆ อาทิเช่น
น้ำมันก๊าด (Kerosene) แบ็ตเตอรี่ (Battery) เครื่องปั่นไฟ (Generator) และเทียนไข (Candle) เป็นต้น (แผนภาพที่ 2.8)
การสื่อสารโทรคมนาคม
การสื่อสารโทรคมนาคม (Telecommunications) ในประเทศกัมพูชา
สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทการบริการ
ประกอบด้วย โทรศัพท์บ้าน (Fixed
Phone) โทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile
Phone) และอินเทอร์เน็ต (Internet) ในปี
พ.ศ.
2551 มีจำนวนผู้ให้บริการโทรศัพท์บ้าน 3 ราย
ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่
จำนวน 6 ราย
และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต
จำนวน 9 ราย
ในภาพรวม
ภาคอุตสาหกรรมการสื่อสารโทรคมนาคมกัมพูชา
นับจากปี พ.ศ.
2548 เป็นต้นมา
ประเภทการให้บริการที่มีอัตราการเติบโตทางธุรกิจอย่างรวดเร็ว
คือ การให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile
Phone) ซึ่งมีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 33 ต่อปี
ในขณะที่การให้บริการโทรศัพท์บ้าน (Fixed
Phone) และการให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet) มีอัตราการเติบโตที่ช้ามาก
โดยการให้บริการโทรศัพท์บ้าน (Fixed
Phone) มีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยประมาณ
ร้อยละ 2 ต่อปีและการให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet) มีการเติบโตโดยเฉลี่ยประมาณ
ร้อยละ 5 ต่อปี
เท่านั้น
โทรศัพท์บ้าน (Fixed
Phone)
พัฒนาการของการให้บริการโทรศัพท์บ้าน (Fixed
line service) ในประเทศกัมพูชา
มีจุดเริ่มต้นในปี พ.ศ.
2536 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่องค์การสหประชาชาติ (United
Nation) เข้าไปช่วยจัดการเลือกตั้งในกัมพูชา
จุดเปลี่ยนที่สำคัญเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม
ปี พ.ศ.
2540 เมื่อทางรัฐบาลญี่ปุ่นสนับสนุนเงินทุน
เพื่อการพัฒนาเครือข่ายโทรศัพท์บ้าน
ส่งผลให้ในกรุงพนมเปญมีเครือข่ายโทรศัพท์บ้าน
จำนวน 6,800 คู่สาย
ในช่วงปี พ.ศ.
2543 มีรายงานว่าในกรุงพนมเปญมีเครือข่ายโทรศัพท์บ้านจำนวน 16,800 คู่สาย
โดยในปี พ.ศ.
2551 มีผู้ให้บริการโทรศัพท์บ้านในประเทศกัมพูชา
จำนวน 3 ราย
ได้แก่ บริษัทTelecom
Cambodia ซึ่งรัฐบาลถือหุ้นร้อยละ 100 บริษัท Camintel ซึ่งมีรัฐบาลถือหุ้นร้อยละ 51 และบริษัทเอกชนถือหุ้นร้อยละ 49 และบริษัท Camshin ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Shin
Corporation ของไทย
ซึ่งบริษัทที่เป็นผู้นำของตลาดคือ
บริษัท Telecom
Cambodia มีส่วนแบ่งการตลาดกว่าร้อยละ 54
อย่างไรก็ตาม
ดังที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่าอัตราการเติบโตทางธุรกิจของการให้บริการโทรศัพท์บ้าน (Fixed
Phone) มีอัตราค่อนข้างต่ำ
เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะขาดการลงทุนพัฒนาโครงข่าย
อีกทั้งประชาชนทั่วไปยังนิยมใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่มากกว่า
โทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile
Phone)
ในปี
พ.ศ.
2535 รัฐบาลกัมพูชาเปิดให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่
โดยในช่วงต้นของปี พ.ศ.
2543 มีผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวน 3 ราย
ประกอบด้วย CamGSM,
Telekom Malaysia และ Camshin ในปี
พ.ศ.
2550 มีคู่แข่งขันในตลาดเพิ่มขึ้นอีก 2 รายคือ Applifone และ CADCOMMS ต่อมาในปี
พ.ศ.
2551 มีคู่แข่งขันเข้าสู่ตลาดเพิ่มอีก 1 ราย
คือ Viettel การแข่งขันอย่างรุนแรงของผู้ประกอบการในตลาดทำให้มีการพัฒนาคุณภาพเพิ่มขึ้น
ในขณะที่ราคาค่าบริการก็ลดลงไปจากเดิมเมื่อเริ่มให้บริการค่อนข้างมาก
ในปี
พ.ศ.
2551 มีจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่
จำนวน 2,885,669 ราย
โดยผู้นำของตลาดคือกลุ่ม CamGSM มีส่วนแบ่งการตลาด
กว่าร้อยละ 69 อย่างไรก็ตาม
ปัญหาหลักคือคุณภาพของการให้บริการที่อยู่ในระดับที่ไม่น่าพอใจนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงชั่วโมงที่มีการใช้งานหนาแน่น
ทำให้เกิดปัญหาสายหลุด
และที่มีปัญหามากคือการเชื่อมโยงกับเครือข่ายผู้ให้บริการต่างค่ายกัน
อินเทอร์เน็ต (Internet)
การให้บริการอินเทอร์เน็ตเริ่มดำเนินกิจการในเชิงพาณิชย์ครั้งแรกในปี
พ.ศ.
2540 โดยมีผู้ประกอบการในตลาด 3 ราย
ได้แก่ Bigpond
(Online), Camnet และ Telesurf ซึ่งในช่วงนั้นอัตราค่าบริการค่อนข้างสูง
ราคาค่าบริการชั่วโมงละ 8.50 เหรียญสหรัฐฯ
กระนั้นก็ตามระบบเครือข่ายก็ยังด้อยประสิทธิภาพมีปัญหาเรื่องการเชื่อมต่อค่อนข้างมาก
พอถึงปี พ.ศ.
2541 รัฐบาลเยอรมันได้สนับสนุนเงินทุนจำนวนมาก
เพื่อพัฒนาเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ด้วยการวางสายไฟเบอร์ออพติก (optical
fiber) จากปอยเปต (ติดชายแดนไทย) ไปจนถึงบาเวต (ติดชายแดนเวียดนาม) นอกจากนี้ในตอนหลังยังได้รับเงินสนับสนุนในการวางโครงข่ายจาก JBIC อีกด้วย
ภายใต้โครงการ "information
superhighway" จึงทำให้ปัจจุบันโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างดี
แต่การใช้งานของประชาชนทั่วไปก็ยังอยู่ในวงจำกัด
เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะอัตราค่าบริการยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ของประชาชนในประเทศ
โดยข้อมูลในปี พ.ศ.
2551 พบว่ามีผู้ใช้งานที่อยู่ในระบบ (subscribers) ทั่วประเทศประมาณ 15,950 ราย
ในจำนวนนี้แบ่งเป็นผู้ใช้บริการในระบบ dial-up จำนวน 7,500 ราย
และใช้งานในระบบ broadband จำนวน 8,450 ราย
นอกจากนั้นส่วนใหญ่จะเป็นผู้ใช้งานขาจรที่อาจจะใช้งานในร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่
มีรายงานว่ามีร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่
ประมาณ 266 ร้านทั่วประเทศ
ซึ่งมีอัตราค่าบริการโดยเฉลี่ยประมาณ 0.36 เหรียญสหรัฐฯ
ต่อชั่วโมง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น