
http://122.155.9.68/talad/index.php/laos/overview-la/economy
สกุลเงิน
กีบ แต่การชำระค่าสินค้านิยมใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ.และเงินบาท
อัตราแลกเปลี่ยน 8,482 Kip = 1 US$ / 254 Kip = 1 THB (28 ตุลาคม 2552 )
GDP
5,280 ดอลลาร์สหรัฐฯ
GDP Growth
7.8% (2551) / 7.6% (est. 2552)
รายได้ของประเทศมาจาก
ภาคเกษตรกรรม 30.1%
ภาคอุตสาหกรรม 25.9 %
ภาคบริการ 37.4% และ
ภาษีนำเข้า 6.6%
การกระจายรายได้ยังไม่ดีเท่าที่ควร ประชากรที่มีฐานะมีประมาณ ร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด นอกนั้นยังยากจน การประกอบอาชีพของคนลาว ร้อยละ 80 อยู่ในภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก คือ ทำนา (ปลูกข้าว) ยาสูบ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กาแฟ พืชผัก และหาของป่า
รายได้ต่อหัว
765 ดอลลาร์สหรัฐ (2552)
สถาบันการเงิน
ในสปป.ลาวมีสถาบันการเงินในลาวจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ Bank of The Lao P.D.R. ซึ่งแบ่งเป็น 7 ประเภท ดังนี้
ธนาคารพาณิชย์ของรัฐ
1) ธนาคารพัฒนาลาว
2) ธนาคารส่งเสริมกสิกรรม
3) ธนาคารการค้าต่างประเทศลาว
ธนาคารพาณิชย์ของรัฐ
1) ธนาคารนโยบาย
ธนาคารร่วมทุน
1) ธนาคารร่วมพัฒนา
2) ธนาคารร่วมธุรกิจลาว-เวียด
ธนาคารร่วมทุนกับเอกชน
1) ธนาคาร ANZ เวียงจันทน์พาณิชย์
2) ธนาคารเอซิลิด้าลาวจำกัด
3) ธนาคารการค้าสากล
4) ธนาคารบูหยง
ธนาคารเอกชน
1) ธนาคารพงสะหวัน
2) ธนาคารอินโดไชน่า
3) ธนาคาร ST
ธนาคารต่างประเทศ
1) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขานครหลวงเวียงจันทน์
2) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขานครหลวงเวียงจันทน์
3) ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขานครหลวงเวียงจันทน์
4) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มี 2 สาขา ได้แก่ สาขานครหลวงเวียงจันทน์ และสาขาหลวงพระบาง
5) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มี 2 สาขา ได้แก่ สาขานครหลวงเวียงจันทน์ และสาขาสะหวันนะเขต
6) ธนาคารพับบลิค มี 3 สาขาได้แก่ สาขานครหลวงเวียงจันทน์ สาขาสีไค สาขาสะหวันนะเขต
7) ธนาคารซาคอม
สำนักงานตัวแทน
1) ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์
ปัจจุบัน สปป.ลาว ยังไม่มีตลาดหลักทรัพย์ แต่มีโครงการที่จะก่อตั้งในปี 2553 โดยได้รับความช่วยเหลือจากตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้ (Korea Exchange Inc) ในการศึกษาความเป็นไปได้
ระบบสนับสนุนของธนาคารไทยใน สปป.ลาว ที่มีต่อ SMEs ไทย
ระบบสนับสนุน ของธนาคารไทยใน สปป.ลาว ที่มีต่อ SMEs ไทย มีอยู่น้อยมาก ทำให้การเข้าถึงแหล่งเงินทุน สถาบันการเงินไทยใน สปป.ลาวยังค่อนข้างยาก จากการสัมภาษณ์ธนาคารของไทยใน สปป.ลาวพบว่าส่วนใหญ่จะอนุมัติสินเชื่อให้กับธุรกิจรายใหญ่ ในขณะที่ธุรกิจรายย่อยจะไม่สามารถเข้าถึงได้มากนัก เนื่องจากปัญหาในเรื่องของเงื่อนไขอาทิการหาหลักทรัพย์มาค้ำประกันและเอกสารประกอบการขอสินเชื่อได้ รวมทั้งข้อจำกัดด้านบุคลากรของธนาคารที่มีจำนวนน้อยทำให้ต้องเน้นการให้บริการแก่ธุรกิจขนาดใหญ่มากกว่า
อย่างไรก็ตามธนาคารได้กำหนดวงเงินที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อไว้เพียงร้อยละ 60 ของมูลค่าสินทรัพย์ ซึ่งอาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการ ดังนั้นนักธุรกิจจึงมักให้ความสำคัญกับแหล่งทุนในไทยมากกว่าใน สปป.ลาว โดยเฉพาะบางธุรกิจที่อยู่ในโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอาทิโครงการครัวไทยสู่ครัวโลก ก็จะได้รับความสะดวกในการขออนุมัติสินเชื่อ
อัตราภาษีของประเทศลาว
ระบบภาษีอากรของ สปป.ลาว มี 2 ประเภทคือ
ภาษีทางตรง ได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภาษีกำไร) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีรายได้ และค่าธรรมเนียม ค่าบริการต่าง ๆ
ภาษีทางอ้อม ได้แก่ ภาษีการค้า หรืออากรตัวเลขธุรกิจ และอากรชมใช้ (ภาษีสรรพสามิต)
อัตราภาษีจากข้อตกลง
ข้อตกลง ASEAN Free Trade Area (AFTA)
ข้อตกลง AFTA ได้กำหนดให้ประเทศกลุ่ม ASEAN รวมทั้งประเทศลาวมีการลดภาษีสินค้านำเข้าระหว่างกัน โดยอัตราภาษีดังกล่าวอยู่ภายใต้ Common Effective Preferential Tariff (CEPT) Scheme ซึ่งกำหนดให้สินค้าที่มีการค้าขายในกลุ่มมีภาษีลดลงเหลือเหลือร้อยละ 0 ภายในปี 2553 สำหรับ 6 ประเทศสมาชิกเดิม และภายในปี 2558 สำหรับ 4 ประเทศสมาชิกใหม่ ซึ่งรวมถึงประเทศลาว โดยภายใต้หลัก CEPT
ข้อตกลง เอเชีย แปซิฟิก (เดิมชื่อ Bangkok Agreement)
ข้อตกลงระบุว่าประเทศสมาชิกทุกประเทศจะต้องมีการลดภาษีนำเข้า - ส่งออก ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการนำเข้าส่งออก และการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี แต่เนื่องจากประเทศลาวเป็นประเทศที่มีการพัฒนาน้อยที่สุด (Least Developed Country) ดังนั้นประเทศลาวจึงได้รับสิทธิในการไม่ต้องปฎิบัติตามข้อตกลงข้างต้นสำหรับสินค้าบางชนิด ตามแต่ที่ประเทศสมาชิกอื่นจะยกเว้นให้
นอกจากนี้ สปป.ลาวยังมีการทำ FTA กับอีกหลายประเทศและกลุ่มประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน และสหภาพยุโรป เป็นต้น
อัตราภาษี MFN
จากข้อมูลขององค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2549 พบว่า ค่าเฉลี่ยของ Applied MFN Tariffs ของลาวอยู่ที่ร้อยละ 9.7 ซึ่งเรียกได้ว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม อัตราภาษี MFN ของลาวนั้น ใช้จัดเก็บจากสินค้านำเข้าจากนอกภูมิภาคอาเซียน จึงไม่มีนัยสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยแต่อย่างใด
ภาวะเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจลาวไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตทางการเงินของโลก ในปี 2551 มากนัก เพราะได้รับอานิสงส์ จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงกว่าราคาที่คาดการณ์ไว้ และการขยายตัวของรายจ่ายภาครัฐอย่างมาก ซึ่งเป็นปัจจัยในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ผลกระทบของวิกฤตทางการเงินต่อเศรษฐกิจลาวเป็นไปในรูปของรายได้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลง เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ลดลง และรายได้จากการส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่โภคภัณฑ์ลดลง โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่แท้จริง คาดว่าจะมีอัตราเพิ่มลดลงเหลือร้อยละ 7.6 ในปี 2552 อันเป็นผลจากวิกฤตการเงินโลก อัตราเติบโตที่โดดเด่นนี้ (นับว่าสูงเป็นอันดับสองในภูมิภาคเอเชียตะวันออก รองจากจีน) เป็นจริงได้ด้วยสาเหตุ ดังนี้
ประการแรก เศรษฐกิจลาว ค่อนข้างปิด การเปิดรับผลกระทบจากการค้าต่างประเทศอยู่ในวงจำกัด จึงได้รับความเสียหายจากวิกฤตการเงินในครั้งนี้น้อย
ประการที่สอง เศรษฐกิจลาวได้รับประโยชน์จากความต้องการสินค้าส่งออกอย่างต่อเนื่อง (ความต้องการสินแร่จากจีน เสื้อผ้าจากยุโรป และพลังงานไฟฟ้าจากไทย) ความต้องการบริการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และราคาพลังงานน้ำมันนำเข้าที่ลดลง
ประการที่สาม รัฐบาลได้เพิ่มการใช้จ่ายก้อนใหญ่เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจคงอยู่ในระดับสูง โดยค่าใช้จ่ายภาครัฐได้ไปทดแทนการลงทุนของต่างชาติที่ลดลง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังนี้ มีทั้งที่เป็นเงินงบประมาณ (ค่าจ้างและการลงทุนภายในประเทศ) และการใช้จ่ายนอกงบประมาณ โดยอ้อมในโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในระดับท้องถิ่นที่ให้การจัดหาเงินกู้โดยธนาคารแห่งชาติลาว
อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เกิดจากการขยายตัวในหมวดทรัพยากรอย่างสำคัญ ผลผลิตภาคเหมืองแร่ (ส่วนใหญ่จากทองแดงและทองคำ) มีส่วนทำให้ผลผลิตรวม เติบโตในอัตราร้อยละ 2.5 ในปีนี้ (2552) ภาคอุตสาหกรรมการผลิต และภาคการเกษตร แต่ละภาคมีส่วนทำให้อัตราการเติบโตของผลผลิตรวมเพิ่มขึ้นในปริมาณร้อยละ 1 ภาคบริการมีส่วนในอัตราการเติบโตส่วนที่เหลือ
จากการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัว อัตราการเติบโตของผลผลิตมวลรวมในประเทศ (GDP) ของ สปป.ลาว จะดีขึ้นในระยะปานกลาง แม้ว่าการฟื้นตัวจะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก (โดยเฉพาะราคาโลหะ และสินค้าเกษตร) เป็นที่คาดว่าเศรษฐกิจลาวจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การดำเนินโครงการพลังน้ำขนาดใหญ่ที่กำลังก่อสร้าง และที่วางแผนไว้ รวมถึงอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นของประเทศเพื่อนบ้าน (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทย จีน และเวียดนาม) และสหภาพยุโรป
ราคาสินค้าโดยรวมเริ่มขยับตัวสูงขึ้น หลังจากที่ลดลงพอสมควรในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาในปีนี้ (2552) อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ ร้อยละ 1.5 ในเดือนพฤศจิกายน 2552 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน หลังจากที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 0 เล็กน้อยมาหลายเดือน เป็นผลเนื่องมาจากราคาอาหารและพลังงานที่ฟื้นตัว ขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ไม่รวมอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้นทีละน้อย จาก ร้อยละ 0.4 ในเดือนมิถุนายน เป็นร้อยละ 1.1 ในเดือนกันยายน และร้อยละ 2.4 ในเดือนพฤศจิกายน อัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยคาดว่าจะลดลงจาก ร้อยละ 7.6 ในปี 2551 เหลือต่ำกว่าร้อยละ 1 ในปี 2552 โดยอัตรานี้จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นในระยะปานกลาง เมื่อราคาน้ำมันและอาหารเพิ่มขึ้น
แรงกดดันจากภาวะวิกฤตทางการเงินโลก ร่วมกับพันธะการเป็นเจ้าภาพกิจกรรมนานาชาติหลายครั้งทำให้ภาครัฐต้องเพิ่มการใช้จ่ายอย่างมากในปี 2552 ดังนี้ คาดว่าการขาดดุลงบประมาณจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก ร้อยละ 1.8 ในปี 2551 เป็นร้อยละ 6.8 ในปี 2552 รายจ่ายของรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างมากทั้งในส่วนของสินค้าทุนและค่าจ้างแรงงาน (การขึ้นเงินเดือนข้าราชการและค่าตอบแทนได้ผ่านสภาแห่งชาติลาวก่อนเกิดวิกฤต) นอกจากเงินงบประมาณ มีการเพิ่มของการใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณที่เป็นภาครัฐ โดยได้รับสินเชื่อจากธนาคารแห่งชาติลาว เพื่อก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในระดับท้องถิ่นและกิจกรรมสำคัญสองรายการคือ การจัดการแข่งกีฬาซีเกมส์ และการฉลองครบรอบ 450 ปี นครเวียงจันทร์ อย่างไรก็ดี ธนาคารแห่งชาติลาวได้ประกาศการทยอยยุติการให้กู้โดยตรงแก่โครงการสาธารณะภายในสิ้นปี 2552 ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญต่อความกังวลว่าหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นในอนาคต รายได้ของรัฐคาดว่าจะต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ ร้อยละ 8 และจะลดลงเล็กน้อย ไปอยู่ที่ร้อยละ 13.8 ของผลผลิตมวลรวมในประเทศ (GDP) ในปี 2552 ทั้งนี้เป็นเพราะการลดลงของรายได้จากทรัพยากร และรายได้อื่นที่ไม่ใช่ภาษี (โดยเฉพาะเงินปันผล จากรัฐวิสาหกิจ)
แม้ว่า สปป.ลาว จะประสบความสำเร็จในการลดหนี้ต่างประเทศ และหนี้สาธารณะ แต่ก็ยังเผชิญกับความเสี่ยงต่อการชำระหนี้ เนื่องจากมูลค่าหนี้อยู่ในระดับสูง กระนั้นก็ตาม การชำระหนี้สาธารณะยังอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ เนื่องจากหนี้ส่วนใหญ่เสียดอกเบี้ยในอัตราลดหย่อน แต่ก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในระยะปานกลางเนื่องจากความจำเป็นต้องหาเงินทุนเพื่อเข้าถือหุ้นในโครงการลงทุนขนาดใหญ่หลายโครงการ
มูลค่าการค้าต่างประเทศของลาว ลดลงพอสมควร อันเป็นผลจากวิกฤตการเงินโลก ที่ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และอุปสงค์โดยรวมลดลง มูลค่าการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ลดลงร้อยละ 7.2 เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่มูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 9.6 ในช่วงเดียวกัน เนื่องจากราคาสินค้าทุนและพลังงานลดลง ดังนั้นการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจึงลดลงเหลือร้อยละ 7.9 ของจีดีพี ในปี 2552 จากร้อยละ 12.5 ในปี 2551 การเกินดุลทุนเคลื่อนย้าย ลดลงเกือบครื่งหนึ่งในปี 2552 เนื่องจากการลดลงอย่างเห็นได้ชัดของเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
การที่เงินทุนต่างประเทศไหลเข้าลดลง พร้อมกับการใช้นโยบายการเงินขยายตัว ได้ทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศลดลง การที่ธนาคารแห่งชาติลาวให้กู้โดยตรง การแทรกแซงตลาดเพื่อกำหนดค่าเงินกีบ และเงินลงทุนจากต่างประเทศที่ลดลง ทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงเกือบร้อยละ 16 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 583 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนมิถุนายน 2552 ทุนสำรองระดับนี้สามารถสนับสนุนการนำเข้าได้ 4.9 เดือน แม้ว่าระดับทุนสำรองจะลดลง แต่ก็อยู่ในสภาพที่ค่อนข้างมั่นคงตลอดช่วงสามปีที่ผ่านมา เนื่องจากมูลค่าการนำเข้าได้ลดลงตามไปด้วย ค่าเงินกีบเพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่อ่อนค่าลงร้อยละ 3.1 เมื่อเทียบกันเงินบาทในช่วงหกเดือน (มิ.ย.-พ.ย. 2552)
สินเชื่อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สินเชื่อเพิ่มขึ้นร้อยละ 98 ต่อปี ซึ่ง ร้อยละ 30 มาจากการให้กู้โดยตรงของธนาคารแห่งชาติลาว ให้กับรัฐบาลท้องถิ่นในโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน การเพิ่มอย่างรวดเร็วของสินเชื่อเช่นนี้ นับเป็นความพยายามของภาครัฐที่ต้องการจะกระตุ้นเศรษฐกิจ ในสภาวะวิกฤติทางการเงินโลก ซึ่งไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในระยะปานกลาง แม้ว่าความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค จะลดลงไปบ้าง จากการที่ฐานของการเพิ่มยังอยู่ในระดับต่ำ (คืออยู่ที่ร้อยละ 12 ของจีดีพี ณ สิ้นปี 2551) รัฐบาลตระหนักดีในความเสี่ยงนี้และมุ่งมั่นที่จะควบคุมระดับสินเชื่อให้ขยายตัวในระดับที่เหมาะสมในระยะยาว
การปฏิรูปกฎระเบียบก้าวหน้าพอสมควร รัฐบาลได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะยึดแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจมหภาคแบบยั่งยืน และการทยอยยุติโครงการภาครัฐนอกงบประมาณ การปฏิรูปการคลังของประเทศจะครอบคลุมถึงการรวมศูนย์ การจัดระเบียบการคลัง ศุลกากร และภาษีในระดับท้องถิ่น การรวมบัญชีงบประมาณของท้องถิ่นเข้ากับของส่วนกลาง ก็อยู่ในระหว่างการดำเนินการ พร้อมไปกับการปรับปรุงและประกาศใช้กฎหมาย กฤษฎีกา ต่าง ๆ รวมถึงกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่ม กฎหมายภาษีเงินได้ และประกาศฝ่ายบริหารเรื่องสินแร่และค่าภาคหลวง ตลอดจนการบริหารราชการพลเรือน รัฐบาลได้ดำเนินการยกเลิกการยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับนำเข้ายานยนต์ ให้ความเห็นชอบในประกาศฉบับใหม่ว่าด้วยการให้ใบอนุญาตนำเข้าและส่งออก ในกฎหมายว่าด้วยสินแร่ และกฎหมายใหม่ว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน อย่างไรก็ตาม การประกาศใช้และการบังคับใช้กฎหมาย ระเบียบเหล่านี้ยังค้างอยู่
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของ สปป.ลาว
ปัจจุบันรัฐบาลแห่งชาติ สปป.ลาว อยู่ระหว่างการใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ 6 (National Socio-Economic Development Plan 2549-53) โดยให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยึดถือปฏิบัติ ตามนโยบายและเป้าหมายการพัฒนาประเทศที่กำหนดดังนี้
กำหนดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในอัตราเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 7.2 % ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนและการส่งออกของประเทศแก้ปัญหาความยากจนให้หมดสิ้นไป กำหนดให้ประชาชนภายในประเทศมีรายได้เพิ่มขึ้นจากประมาณ 380 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อปี ใน พ.ศ. 2547 เป็น 720 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อปี ภายในพ.ศ. 2553 ทั้งนี้ยังต้องเตรียมพัฒนาบุคลากรรองรับการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรม
มูลค่าการส่งออกขยายตัว 10 % ต่อปี ภายในช่วงพ.ศ. 2549-2553 เพื่อผลักดันให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งคาดว่าการส่งออกรวมของประเทศจะมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2.92 พันดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเป็นตัวจักรสำคัญในการเพิ่มรายได้ในการส่งออกให้กับลาว ได้แก่ พลังงานไฟฟ้า ไม้และเฟอร์นิเจอร์ไม้ สิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป และเหมืองแร่
การเมืองการปกครองของสปป. ลาวต้องมีเสถียรภาพ
ยุติการตัดไม้ทำลายป่า เพื่อทำไร่เลื่อนลอย เพราะรัฐบาลเล็งเห็นถึงความสำคัญของทรัพยากรทางธรรมชาติ
พัฒนาประเทศผ่านการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนจากทั้งในประเทศและต่างประเทศด้านการลงทุนจากต่างประเทศและการส่งออกซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ต่างจากเดิมที่การพัฒนาประเทศต้องพึ่งพาภาครัฐ และการช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศเป็นสำคัญ ทั้งนี้การขอการสนับสนุนและความช่วยเหลือในการพัฒนาเศรษฐกิจ จะต้องอยู่ภายใต้การสร้างเสริมความสัมพันธ์อย่างรอบด้านกับนานาประเทศอย่างสมดุล เพื่อลดการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นหลัก โดยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านเป็นอันดับแรก ได้แก่ เวียดนาม จีน พม่า กัมพูชา และไทย รองลงมาเป็นประเทศร่วมอุดมการณ์ทางการเมือง ได้แก่ รัสเซีย เกาหลีเหนือ และคิวบา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น