อุปสงค์ความต้องการกลุ่มสินค้าเกษตรและเครื่องจักรกลการเกษตร
http://122.155.9.68/talad/index.php/cambodia/sector/agro-products
ภาพรวมของภาคการเกษตรในกัมพูชา
ภาคการเกษตรนับว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของกัมพูชา
โดยเมื่อปี 2551 มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของภาคการเกษตร (ราคา
ณ ปี ปัจจุบัน) เท่ากับ 13,593.32 พันล้านเรียล
หรือมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 32.38 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งมีมูลค่าจีดีพีเท่ากับ 41,977.30 พันล้านเรียล
ภาคการเกษตรเป็นภาคการผลิตที่มีความสำคัญเป็นอันดับที่ 2 รองจากภาคบริการ
ที่มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 38.83 ตามด้วยภาคอุตสาหกรรมเป็นอันดับที่ 3 ที่มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 22.37 โดยเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกันเป็นปีต่อปีจะพบว่าภาคเกษตรและภาคบริการมีความสำคัญเพิ่มขึ้นในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมมีความสำคัญน้อยลง
ดังแผนภาพที่ 2.14
(P2-106)
สำหรับมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในภาคการเกษตร
หรือจีดีพีภาคการเกษตร
มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วง
ปี 2546-2551 โดยเมื่อปี 2546 มีมูลค่าจีดีพีภาคการเกษตร
เท่ากับ 5,925.84 พันล้านเรียล
และในปี 2551 มีมูลค่าจีดีพีภาคการเกษตร
เท่ากับ 13,593.32 พันล้านเรียล
นั่นคือในระหว่าง
ปี 2546-2551 มีอัตราการขยายตัวของจีดีพีภาคการเกษตร
เท่ากับร้อยละ 18.38
(แผนภาพที่ 2.15 การขยายตัวของจีดีพีภาคการเกษตร
ระหว่าง ปี 2546-2551)
(P2-107)
เมื่อพิจารณาเฉพาะองค์ประกอบของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในภาคการเกษตร
ของปี 2551 พบว่า
มีมูลค่าผลผลิตทางด้านพืชเกษตรมากที่สุดเป็นอันดับ 1 โดยมีมูลค่าเท่ากับ 7,500.66 พันล้านเรียล
หรือคิดเป็นร้อยละ 55 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในภาคการเกษตร
รองลงมา ได้แก่ การประมง
มีมูลค่าเท่ากับ 2,921.58 พันล้านเรียล
หรือ คิดเป็นร้อยละ 22 ตามด้วยการทำฟาร์มปศุสัตว์
มีมูลค่าเท่ากับ 1,810.91 พันล้านเรียล
หรือคิดเป็นร้อยละ 13 และองค์ประกอบสุดท้ายคือการทำป่าไม้
มีมูลค่าเท่ากับ 1,360.18 พันล้านเรียล
หรือคิดเป็นร้อยละ 13 ตามลำดับ
(แผนภาพที่ 2.16 องค์ประกอบของจีดีพีภาคการเกษตร
ปี 2551)
(P2-108)
ทางด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานด้านการเกษตร
พบว่า
มีระบบการชลประทานครอบคลุมพื้นที่เพียงร้อยละ 7 ของพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านคือประเทศไทยมีพื้นที่ชลประทานร้อยละ 31 และเวียดนามมีพื้นที่ชลประทาน
ร้อยละ 45 ในขณะที่เกษตรกรทั่วไปที่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเองอยู่ร้อยละ 80 หรือเกษตรกรกว่าร้อยละ 20 ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง
เมื่อพิจารณาถึงองค์ความรู้ด้านการเกษตร
พบว่าอยู่ในระดับต่ำมาก
โดยมีเจ้าหน้าที่ที่คอยถ่ายทอดความรู้ทางด้านการเกษตร
ให้แก่เกษตรกรทั่วทั้งประเทศเพียง 500 คน
ซึ่งมีภาระที่จะต้องดูแลเกษตรกรทั่วประเทศกว่า 2 ล้านครัวเรือน
นั่นคือเจ้าหน้าที่ 1 คน
ต้องคอยดูแลเกษตรกรถึง 4,000 ครัวเรือน
เมื่อเป็นเช่นนี้เกษตรกรจึงต้องเผชิญกับปัญหาปุ๋ยปลอม
การใช้สารเคมีทางการเกษตรแบบผิดวิธี
รวมถึงการขาดการควบคุมราคาปัจจัยการผลิต
ทำให้ต้นทุนในการทำการเกษตรค่อนข้างสูง
เมื่อพิจารณาถึงการใช้เทคโนโลยีด้านการเกษตรก็จัดอยู่ในระดับที่ล้าสมัย
มีรายงานจำนวนรถไถนาทั่วประเทศ
ประมาณ 5,000 คัน
นอกจากนี้
การให้สินเชื่อเพื่อการเกษตรก็ยังไม่ครอบคลุมเกษตรกรทั่วประเทศ
ขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยก็อยู่ในระดับที่สูงมาก (Lim,
2006)
การทำการเกษตรในประเทศกัมพูชา
เมื่อพิจารณาขนาดพื้นที่การทำการเกษตรในกัมพูชา
โดยจำแนกตามการจัดหมวดหมู่ประเภทมาตรฐานอุตสาหกรรมไทย
ซึ่งแบ่งการจัดหมวดหมู่พืชเข้าเป็นหมวดหมู่
ได้แก่ พืชอาหาร พืชน้ำมัน
พืชเส้นใย พืชผัก ไม้ผล
และไม้ยืนต้น
จะพบว่าพืชอาหารมีความสำคัญมากต่อการทำการเกษตรของกัมพูชา
เนื่องจากมีพื้นที่ทำการเพาะปลูกพืชอาหารเป็นจำนวนมาก
ในขณะเดียวกันพืชน้ำมัน
ไม้ผล พืชผัก และไม้ยืนต้น
ก็มีความสำคัญมากขึ้นเป็นลำดับ
นอกจากนี้ในด้านการทำปศุสัตว์ก็มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ดังรายละเอียดต่อไปนี้
- พืชอาหาร: ในหมวดของพืชอาหาร ข้าว ยังคงเป็นพืชที่มีความสำคัญเป็นอันดับ 1 โดยมีพื้นที่เพาะปลูกมากกว่า 2.6 ล้านเฮกตาร์ รองลงมาคือ มันสำปะหลัง มีพื้นที่เพาะปลูก 1.7 แสนเฮกตาร์ ข้าวโพด มีพื้นที่เพาะปลูก 1.6 แสนเฮกตาร์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีพื้นที่เพาะปลูก 1.4 แสนเฮกตาร์ ถั่วเขียว มีพื้นที่เพาะปลูก 4.5 หมื่นเฮกตาร์ อ้อยโรงงาน มีพื้นที่เพาะปลูก 1.3 หมื่นเฮกตาร์ และมันเทศ มีพื้นที่เพาะปลูก 8 พันเฮกตาร์ ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ข้าวโพดและ มันสำปะหลังอาจมีการเปลี่ยนแปลงลำดับของพื้นที่เพาะปลูก โดยมีปัจจัยสำคัญคือราคาผลผลิตในแต่ละฤดูกาลเพาะปลูก
(ตารางที่ 2.43 พื้นที่เพาะปลูกพืชอาหาร ระหว่างปี 2549-2551) (P2-110) - พืชน้ำมัน: ในหมวดพืชน้ำมัน พืชที่มีการเพาะปลูกกันมากคือปาล์มน้ำมัน มีพื้นที่เพาะปลูกในปี 2549 กว่า 3 ล้านเฮกตาร์ รองลงมาได้แก่ถั่วเหลือง มีพื้นที่เพาะปลูกในปี 2551จำนวน 7.4 หมื่นเฮกตาร์ ถั่วลิสง มีพื้นที่เพาะปลูก 1.8 หมื่นเฮกตาร์ มะพร้าว มีพื้นที่เพาะปลูกในปี 2549 จำนวน 2.9 หมื่นเฮกตาร์ และงามีพื้นที่เพาะปลูกในปี 2551 จำนวน 3.5หมื่นเฮกตาร์ เมื่อพิจารณาในหมวดพืชน้ำมัน จะพบว่า ถั่วเหลืองและงา มีแนวโน้มการเพาะปลูกน้อยลง ในขณะที่ปาล์มน้ำมัน และมะพร้าว เนื่องจากไม่มีรายงานตัวเลขจึงไม่สามารถวิเคราะห์ถึงแนวโน้มของการเพาะปลูกได้
(ตารางที่ 2.44 พื้นที่เพาะปลูกพืชน้ำมัน ระหว่างปี 2549-2551) (P2-111) - พืชเส้นใย: ในหมวดพืชเส้นใย พืชที่มีการรายงานพื้นที่การเพาะปลูกมีอยู่ชนิดเดียวคือปอแก้ว แต่มีขนาดพื้นที่เพาะปลูกน้อยมาก โดยในปี 2549 มีพื้นที่เพาะปลูก 449 เฮกตาร์ ปี 2550 มีพื้นที่เพาะปลูก 461 เฮกตาร์ และปี 2551 มีพื้นที่เพาะปลูกลดลงเป็น 397เฮกตาร์
(ตารางที่ 2.45 พื้นที่เพาะปลูกพืชเส้นใย ระหว่างปี 2549-2551) (P2-111) - พืชผัก: ในหมวดพืชผัก มีการรายงานพื้นที่เพาะปลูกผักทุกชนิดในภาพรวม โดยมีพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 4 หมื่นเฮกตาร์ และมีแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของพื้นที่เพาะปลูก ส่วนหนึ่งของพืชผักใช้สำหรับการบริโภคภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้อนร้านอาหารและโรงแรม
(ตารางที่ 2.46 พื้นที่เพาะปลูกพืชผัก ระหว่างปี 2549-2551) (P2-111) - ไม้ผล: ในหมวดไม้ผล มีการรายงานพื้นที่เพาะปลูกเพียงปี 2549 เพียงปีเดียว โดยไม้ผลที่มีความสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ มะม่วงหิมพานต์ มีพื้นที่เพาะปลูก 6 หมื่นเฮกตาร์ รองลงมาคือกล้วยมีพื้นที่เพาะปลูก 3 หมื่นเฮกตาร์ มะม่วง มีพื้นที่เพาะปลูก 1 หมื่นเฮกตาร์ ขนุน มีพื้นที่เพาะปลูก 4 พันเฮกตาร์ และน้อยหน่า มีพื้นที่เพาะปลูก 3 พันเฮกตาร์ ดังรายละเอียดในตาราง
(ตารางที่ 2.47 พื้นที่เพาะปลูกไม้ผล ระหว่างปี 2549-2551) (P2-112) - ไม้ยืนต้น: ในหมวดไม้ยืนต้น เป็นอีกกลุ่มผลผลิตที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของกัมพูชา โดยพื้นที่ปลูกมากคือ ยางพารา มีพื้นที่เพาะปลูก ในปี 2549 จำนวน 2 หมื่นเฮกตาร์ ปี 2550 มีพื้นที่เพาะปลูก เพิ่มเป็น 3 หมื่นเฮกตาร์ การเปลี่ยนแปลงพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทางรัฐบาลกัมพูชา ได้ให้สัมปทานพื้นที่เพาะปลูกระยะยาวแก่นักลงทุนชาวต่างชาติ สำหรับพืชชนิดอื่นในหมวดเดียวกัน แต่ไม่มีความสำคัญมากนักคือพริกไทย และกาแฟ มีพื้นที่ประมาณ 5 ร้อยเฮกตาร์และ 4 ร้อยเฮกตาร์ ตามลำดับ
(ตารางที่ 2.48 พื้นที่เพาะปลูกไม้ยืนต้น ระหว่างปี 2549-2551) (P2-113) - การปศุสัตว์: การทำฟาร์มปศุสัตว์ในประเทศกัมพูชายังเป็นลักษณะการทำฟาร์มแบบครัวเรือน ไม่ใช่ลักษณะฟาร์มขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง โดยตัวเลขในปี 2551 พบว่า มีการเลี้ยงกระบือจำนวน 7 แสนตัว สัตว์ปีก 16 ล้านตัว โค จำนวน 3 ล้านตัว และสุกร จำนวน 2 ล้านตัว โดย มีแนวโน้มที่การเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเกือบทุกชนิด ยกเว้นสุกร ซึ่งปัญหาส่วนหนึ่งคือการนำเข้าเนื้อสุกรจากประเทศไทย เข้าไปแย่งตลาด
(ตารางที่ 2.49 ปริมาณสัตว์เลี้ยงในช่วงระหว่างปี 2549-2551) (P2-113)
ช่องทางและโอกาสของสินค้าเกษตร
สินค้าและบริการในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร
ประกอบไปด้วยสินค้าจำนวน 3 กลุ่ม
คือ
- จักรกลการเกษตร แบบเคลื่อนที่ เช่น รถไถนั่งขับ รถไถเดินตาม รถเก็บเกี่ยว รถตัดหญ้า เครื่องตัดหญ้า และหยอดเมล็ดพันธุ์ แบบไม่เคลื่อนที่ เช่น เครื่องสูบน้ำ เครื่องสีข้าว เครื่องอบ เครื่องคัดแยก และเครื่องปั๊มน้ำ
- เคมีเกษตร เช่น ปุ๋ยต่าง ๆ ฮอร์โมน ยาปราบศัตรูพืช สารป้องกันโรคพืช และสารกำจัดวัชพืช เป็นต้น และ
- เมล็ดพันธุ์ ได้แก่ เมล็ดพันธุ์พืชชนิดต่าง ๆ
อาชีพหลักของชาวกัมพูชา
คือ การเกษตรกรรม
ซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยละ 70 ซึ่งส่วนใหญ่จะเพาะปลูกอยู่รอบ
ๆ ทะเลสาบกัมพูชา ทั้งนี้
รายได้หลักของประเทศกัมพูชามาจากภาคเกษตรกรรม
ร้อยละ 32.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
ได้แก่ การกสิกรรม การประมง
ปศุสัตว์ และป่าไม้
ซึ่งสินค้าเกษตรที่ส่งออก
ได้แก่ ข้าว ผลิตภัณฑ์ปลา
และยางพารา รองลงมา ได้แก่
ข้าวโพด ถั่วลิสง สัตว์มีชีวิต
ผลไม้ และปลา เป็นต้น
ปัจจุบัน
ภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) จึงเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสนับสนุนการส่งออกสินค้าเกษตรของประเทศเพื่อนบ้าน
โดยไทยได้ยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรหลายรายการจากกัมพูชา
เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด
มันฝรั่ง และไม้ยูคาลิปตัส
ทำให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชเหล่านี้มากขึ้น
นอกจากนี้ การทำ Contract
Farming ระหว่างไทยกับกัมพูชา
ยังช่วยส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรของกัมพูชา
ทำให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรในการผลิตสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เนื่องจากประเทศกัมพูชามีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
ทั้งนี้
การสนับสนุนให้ภาคเอกชนไทยเข้าไปร่วมส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรกับกัมพูชาและรับซื้อสินค้าเกษตรเหล่านั้น
ในราคายุติธรรมภายใต้ระบบ Contract
Farming และส่งออกสินค้ามาไทย
ทำให้ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรจากไทย
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายประเทศ
อาทิ คูเวต ญี่ปุ่น เวียดนาม
เข้ามาเช่าพื้นที่ในกัมพูชา
เพื่อทำการเกษตร
เพื่อส่งผลผลิตนั้นกลับประเทศตัวเอง
ทั้งนี้
ถึงแม้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ในกัมพูชาจะมีลักษณะราบลุ่มเหมาะกับเกษตรกรรมคล้ายกับประเทศไทยและประชากรส่วนใหญ่ของกัมพูชาประกอบอาชีพเกษตรกรรม
แต่ชาวกัมพูชามีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.919 ต่อปี
ในขณะที่วิธีการเพาะปลูกยังคงเป็นแบบดั้งเดิมคือผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือนเป็นส่วนใหญ่
ทำให้ผลผลิตไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ
กัมพูชาจึงมีความจำเป็นต้องพึ่งพาสินค้าเกษตรและเทคโนโลยีการเกษตรจากต่างประเทศรวมถึงประเทศไทยด้วย
อย่างไรก็ดี
เทคโนโลยีการเกษตรที่เป็นที่ต้องการของกัมพูชาทั้งจักรกลแบบเคลื่อนที่และไม่เคลื่อนที่นั้น
เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่รายได้น้อยและไม่ได้รับการศึกษามากนัก
การพิจารณาสินค้าที่จะทำการส่งเสริมนั้น
ควรเป็นสินค้าที่ราคาไม่แพงมากนัก
และการใช้งานไม่ยุ่งยากซับซ้อน
รวมถึงสามารถซ่อมบำรุงด้วยตัวเองได้
ขณะที่ในส่วนของปุ๋ยและเคมีภัณฑ์นั้น
เนื่องจากการที่พื้นที่โดยรวมของกัมพูชาปลอดจากปุ๋ยเคมีและสารเคมีตกค้าง
กัมพูชาจึงมีศักยภาพในการปลูกพืชเกษตรอินทรีย์ซึ่งเป็นสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าสูงและกำลังเป็นที่นิยมในตลาดยุโรป
ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา
รัฐบาลกัมพูชาจึงส่งเสริมการปลูกพืชเกษตรอินทรีย์เพื่อการส่งออก
ดังนั้น หากต้องการค้าปุ๋ย
จึงควรเน้นปุ๋ยอินทรีย์มากกว่าปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์ที่มีราคาแพง
ได้แก่ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก
ปุ๋ยพืชสดและวัสดุเหลือใช้จากโรงงานอุตสาหกรรมบางชนิด
เช่น โรงงานผงชูรส และโรงงานสุราฯ
จึงเป็นการสร้างประโยชน์ด้วยการสร้างคุณค่าการตลาดของปุ๋ยให้สูงขึ้น
ตลาดด้านการท่องเที่ยวในกัมพูชา
รัฐบาลกัมพูชาให้ความสำคัญกับภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง
เนื่องจากเล็งเห็นศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวภายในประเทศ
โดยได้จัดทำแผนการพัฒนาการท่องเที่ยวตั้งแต่ปี 2544 ต่อมารัฐบาลได้กำหนดแผนปฏิบัติการด้านการท่องเที่ยว (Tourism
Action
Plan) โดยตั้งเป้าหมายว่าในปี 2553 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านคน
โดยการสนับสนุนให้นักลงทุนภาคเอกชนเข้าไปลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว
อันได้แก่ การขนส่ง โรงแรม
ร้านอาหาร การสื่อสารโทรคมนาคม
พลังงาน และน้ำประปา
รวมถึงการเจรจาระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลกับรัฐบาลจีนและรัฐบาลญี่ปุ่น
เพื่อชักจูงให้เข้าไปลงทุนในภาคการท่องเที่ยว
นอกจากนี้ยังได้ทำบันทึกความตกลง (MOU) กับสายการบินต่าง
ๆ ให้มีการเพิ่มเที่ยวบิน
และเปิดเที่ยวบินตรง (Direct
Flights) ไปยังประเทศกัมพูชา
ภายใต้นโยบายเปิดน่านฟ้าเสรี (Open
Sky Policy) แต่สิ่งที่อยู่ในแผนการพัฒนาอย่างเร่งด่วน
ประกอบด้วย การปรับปรุงคุณภาพของการบริการ
การฝึกอบรมบุคลากรที่ทำงานในภาคการท่องเที่ยว
การพัฒนาโรงแรมให้ได้มาตรฐาน
และการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของประเทศ
การหลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยวในกัมพูชาของนักท่องเที่ยวต่างชาติมีผลให้เกิดธุรกิจเกี่ยวเนื่องหรือบริการการท่องเที่ยว
เพื่อให้ความสะดวกและความบันเทิงแก่นักท่องเที่ยว
ซึ่งถือเป็นอุปทานของสินค้าและบริการในกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
ประกอบไปด้วยสินค้าและบริการ 4 กลุ่มหลัก
ได้แก่
(1) กลุ่มธุรกิจที่พัก ได้แก่
โรงแรม รีสอร์ท เกสเฮาส์
และโฮมสเตย์ เป็นต้น
(2) กลุ่มธุรกิจบริการการท่องเที่ยว ได้แก่
บริการทัวร์และนำเที่ยว
รถเช่า เรือเช่า
(3) ธุรกิจบริการทั่วไป ได้แก่
บริการสุขภาพ สปา สถานบริการ
ร้านอาหาร ร้านกาแฟ
(4) ธุรกิจสนับสนุน ได้แก่
โรงเรียนการท่องเที่ยว
โรงเรียนฝึกอบรมมัคคุเทศก์
อุปสงค์ความต้องการกลุ่มสินค้า / บริการด้านการท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่อง
ภาพรวมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกัมพูชา
ในปี 2538 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในกัมพูชา
จำนวน 219,680 คน
ล่าสุดจากการรายงานเมื่อปี 2551 มีจำนวน 2,125,465 คน
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของกัมพูชา
มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
โดยมีอัตราการขยายตัวในรอบ 14 ปีโดยเฉลี่ยประมาณ
ร้อยละ 20.77 ต่อปี
ทั้งนี้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้าสู่หลักล้านคนครั้งแรกในปี 2547 จากนั้นก็อยู่ในระดับเกินกว่า 1 ล้านคนมาโดยตลอด
เฉพาะปี 2551 ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสร้างรายได้ประมาณ 1,595 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
หรือประมาณ 5 หมื่นล้านบาท
ซึ่งรายได้จากการท่องเที่ยว
คิดเป็นร้อยละ 16 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) นับว่าภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
เป็น 1 ใน 6 ภาคธุรกิจ
ที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของกัมพูชา
และสามารถจ้างงานในประเทศมากกว่า 250,000 ตำแหน่ง
(แผนภาพที่ 2.17 จำนวนนักท่องเที่ยว
ระหว่างปี 2538-2551)
(P2-116)
ในปี 2551 กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในกัมพูชา 10 อันดับแรก
ได้แก่ เกาหลีใต้ จำนวน 266,525 คน
คิดเป็นร้อยละ 12.54 เวียดนาม
จำนวน 209,516 คน
คิดเป็นร้อยละ 9.86 ญี่ปุ่น
จำนวน 163,806 คน
คิดเป็นร้อยละ 7.71 สหรัฐอเมริกา
จำนวน 145,079 คน
คิดเป็นร้อยละ 6.83 จีน
จำนวน 129,626 คน
คิดเป็นร้อยละ 6.10 ไทย
จำนวน 109,020 คน
คิดเป็นร้อยละ 5.13 สหราชอาณาจักร
จำนวน 98,093 คน
คิดเป็นร้อยละ 4.62 ฝรั่งเศส
จำนวน 97,517 คน
คิดเป็นร้อยละ 4.59 ออสเตรเลีย
จำนวน 84,957 คน
คิดเป็นร้อยละ 4 และไต้หวัน
จำนวน 83,000 คน
คิดเป็นร้อยละ 3.91
เป้าหมายหลักของการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติในประเทศกัมพูชา
คือ จังหวัดเสียมเรียบ
ซึ่งเป็นที่ตั้งของสิ่งมหัศจรรย์ของโลก "ประสาทนครวัด (Angkor
Wat)-นครธม (Angkor
Thom)" โดยกว่าครึ่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวต่างชาติมีจุดมุ่งหมายที่จะเข้าไปเยี่ยมชม
สิ่งมหัศจรรย์ของโลกแห่งนี้
และอีกกว่าครึ่งเดินทางไปยังกรุงพนมเปญและจังหวัดอื่น
ๆ ดังสัดส่วนในแผนภาพที่ 2.18
(P2-118)
ข้อมูลฤดูกาลท่องเที่ยวในประเทศกัมพูชา
จากสถิติการท่องเที่ยวระหว่างปี 2547-2551 ช่วงที่มีนักท่องเที่ยวคึกคักมาก (High
Season) คือช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม
และช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม
และช่วงที่มีนักท่องเที่ยวเบาบาง (Low
Season) คือช่วงเดือนพฤษภาคม-กันยายน
โดยสถิติเมื่อปี 2551 พบว่า
เดือนที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 3 เดือนแรก
ได้แก่ เดือนธันวาคม
มีจำนวนนักท่องเที่ยว 229,269 คน
เดือนมกราคม มีจำนวนนักท่องเที่ยว 223,581 คน
และเดือนกุมภาพันธ์
มีจำนวนนักท่องเที่ยว 214,902 คน
ตามลำดับ
ส่วนเดือนที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่ำสุด 3 เดือนแรก
ได้แก่ เดือนมิถุนายน
มีจำนวนนักท่องเที่ยว 130,853 คน
เดือนกันยายน มีจำนวนนักท่องเที่ยว 145,146 คน
และเดือนกรกฎาคม
มีจำนวนนักท่องเที่ยว 148,449 คน
ตามลำดับ
เมื่อพิจารณาถึงพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ในประเทศกัมพูชา พบว่า
ในปี 2551 มีอัตราจำนวนวันที่พำนักโดยเฉลี่ย (Average
Length of Stay) เท่ากับ 6.65 วัน
และมีอัตราการเข้าพักโรงแรม (Hotel
Occupancy) เท่ากับ
ร้อยละ 62.68 เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการเข้าพักโรงแรมของประเทศไทยในปีเดียวกัน
เท่ากับ ร้อยละ 51.3 โดยนักท่องเที่ยว 1 คน
ใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยวในประเทศกัมพูชาโดยเฉลี่ย
เท่ากับ 750 เหรียญสหรัฐฯ
โดยสามารถจัดประเภทของการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยว
ดังแสดงในตารางที่ 2.50
(P2-119)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น