สภาพทางภูมิศาสตร์ของกัมพูชา
http://122.155.9.68/talad/index.php/cambodia/overview-kh/geography
ทรัพยากรธรรมชาติ
กัมพูชามีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
มีสินแร่ชนิดต่าง ๆ อยู่ทั่วไป
เช่น ทอง ทองแดง แร่เหล็ก
แมงกานิส ถ่านหิน วุลแฟรม
ฟอสฟอรัส พลอย เงิน ดีบุก
ตะกั่ว สังกะสี หินอ่อน ฯลฯ
แร่เหล็กพบมากตามเทือกเขาพนมดงรัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดพระวิหาร
สตึงเตรง อุดรมีชัย และพระตะบอง
แมงกานิสมีมากที่จังหวัดพระวิหาร
ถ่านหินส่วนมากอยู่ที่จังหวัดสตึงเตรง
พลอย (ทับทิมและไพลิน) ส่วนมากอยู่ที่จังหวัดพระตะบอง
พระวิหาร เกาะกง รัตนคีรี
และกรุงไพลิน
ทอง ค้นพบที่บ่อซ็อมตร็อบ
จังหวัดเสียมเรียบ พนมกำโบร์
จังหวัดอุดรมีชัย พนมแดก
จังหวัดพระวิหาร
บอกไซท์ ค้นพบในจังหวัดพระตะบอง
และมณฑลคีรี
แร่เงิน มีที่บ่อซ็อมตร็อบ
และพนมกำโบร์ จังหวัดอุดรมีชัย
และสำโรง จังหวัดกัมปงสะปือ
ทั้งนี้
สินแร่ต่าง ๆ ของกัมพูชามีค่อนข้างอุดมสมบูรณ์
อาณาบริเวณที่มีสินแร่หลากหลายชนิดกระจุกตัวอยู่
คือ ภาคเหนือของจังหวัดสตึงเตรง
และเขาพระวิหาร จังหวัดไพลิน
จังหวัดพระตะบอง และจังหวัดโพธิสัต
มีพลอย เงิน และทองกระจายอยู่เป็นหย่อม
ๆ โดยเฉพาะที่จังหวัดไพลินมีพลอยไพลินกระจุกอยู่หนาแน่น
นอกจากนี้
กัมพูชายังมีน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ โดยกัมพูชามีแหล่งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติหลายแห่ง
โดยเฉพาะบริเวณนอกชายฝั่งด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ
ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกัมพูชาได้เปิดประมูลให้มีการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั้งบนชายฝั่งและนอกชายฝั่งแล้วหลายแห่ง
และบางแหล่งอยู่ระหว่างการสำรวจ
อีกทั้งยังคาดว่าจะพบแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจำนวนหนึ่งบริเวณโตนเลสาบ
ส่วนทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์
และยังไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
อาทิ
ป่าไม้ (ครอบคลุมพื้นที่ราวร้อยละ 35-62 ของพื้นที่ทั้งประเทศ) บริเวณที่ป่าไม้หนาแน่น
คือ เทือกเขาบรรทัดทางตอนใต้และตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ
ส่วนใหญ่เป็นไม้ประดู่
ไม้ตะเคียน ไม้ชิงชัน ไม้มะค่า
ไม้พะยูน ไม้เต็ง ไม้แดง
และไม้ยาง
ทั้งนี้กัมพูชามีแนวชายฝั่งทะเลอ่าวไทยเป็นระยะทาง 443 กิโลเมตร
จึงเป็นแหล่งที่มีสัตว์น้ำชุกชุม
นอกจากนี้บริเวณโตนเลสาบ (Tone
Sap) หรือทะเลสาบเขมร
เป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางค่อนไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของกัมพูชา
ซึ่งมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์จนกลายเป็นรากฐานสำคัญทางเศรษฐกิจและสังคมของกัมพูชา
และเป็นเส้นทางคมนาคมทางน้ำที่สำคัญซึ่งเชื่อมโยงระหว่างกรุงพนมเปญไปยังจังหวัดเสียมเรียบ
จังหวัดพระตะบอง จังหวัดโพธิสัตว์
จังหวัดกำปงชนัง และจังหวัดกำปงธม
ซึ่งเป็นจังหวัดที่ตั้งโดยรอบโตนเลสาบ
ประกอบกับความโดดเด่นของโตนเลสาบในด้านความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศน์ที่อุดมสมบูรณ์
อีกทั้งยังมีพันธุ์ไม้และสัตว์บางชนิดที่พบเห็นได้เฉพาะบริเวณโตนเลสาบเท่านั้น
สภาพทางสังคมของกัมพูชา
ประชากร
กัมพูชามีประชากร 14.8 ล้านคน
มีอัตราการเพิ่มของประชากรเฉลี่ยร้อยละ 2 ต่อปี
โดยแบ่งเป็น ประชากรที่มีอายุ 0-14 ปี
ร้อยละ 35.8 ประชากรที่มีอายุ 15-64 ปี
ร้อยละ 60.9 และประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป
ร้อยละ 3.3 โดยประชากรราวร้อยละ 85 อาศัยอยู่ในเขตชนบท
กัมพูชามีจำนวนแรงงานราว 7 ล้านคน
โดยเป็นแรงงานในภาคเกษตรกรรมราวร้อยละ 80 ของแรงงานทั้งหมด
นอกจากนี้กว่าร้อยละ 50 ของประชากร
มีอายุน้อยกว่า 21 ปี
ทั้งนี้ ประชากรร้อยละ 96 เป็นชาวกัมพูชา
และอื่น ๆ ได้แก่
มุสลิมร้อยละ 2.2 เวียดนามร้อยละ 0.4 จีนร้อยละ 0.2 และที่เหลือเป็นชนกลุ่มน้อยหรือชาวเขารวม 17 เผ่า
ใช้ภาษาเขมรเป็นภาษาราชการ
ส่วนภาษาที่ใช้โดยทั่วไป
ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส
เวียดนาม ไทย และจีน
ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ
ร้อยละ 95 และศาสนาอื่น
ๆ ร้อยละ 5
โครงสร้างอาชีพหลักของชาวกัมพูชา
คือ ภาคเกษตรกรรม
ประมาณร้อยละ 70 ภาคบริการประมาณ
ร้อยละ 17 ภาคอุตสาหกรรมโรงงานประมาณ
ร้อยละ 8 และภาคการก่อสร้างประมาณร้อยละ 5 ทั้งนี้
ชาวกัมพูชาประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลัก
พืชที่ปลูกส่วนใหญ่ ได้แก่
ข้าวเจ้า ยางพารา พริกไทย
ซึ่งส่วนใหญ่จะปลูกบริเวณที่ราบภาคกลางรอบทะเลสาบกัมพูชา
รองลงมาคือ ประมง
โดยบริเวณรอบทะเลสาบกัมพูชาเป็นแหล่งประมงน้ำจืดที่สำคัญที่สุดในภูมิภาค
มีการทำป่าไม้บริเวณเขตภูเขาทางภาคเหนือโดยล่องมาตามแม่น้ำโขง
อุตสาหกรรมในประเทศเป็นอุตสาหกรรมขนาดย่อม
ส่วนใหญ่เป็นโรงสีข้าว
และรองเท้า
การศึกษา
ประเทศกัมพูชาจัดระบบการศึกษารูปแบบเดียวกับประเทศไทย
เริ่มต้นจากระดับปฐมวัย (อายุ 3-5 ปี) ระดับประถมศึกษา (อายุ 6-11 ปี) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (อายุ 12-14 ปี) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (อายุ 15-17 ปี) และการศึกษาขั้นสูง (อายุ 18 ปีขึ้นไป) โดยทั่วไปแล้วอย่างต่ำเด็กชาวกัมพูชาที่มีอายุ 6 ปี
จะต้องเริ่มเข้ารับการศึกษา
แต่ก็มีเป็นจำนวนมากเช่นกันที่อายุล่วงเลยไปมากกว่านั้นกว่าจะเริ่มเข้าโรงเรียน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบชนบท
สำหรับอัตราการอ่านออกเขียนได้ข้อมูลจากการสำรวจเมื่อปี
พ.ศ.
2550 พบว่า
ประชากรอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป
ในภาพรวมของประเทศ
มีอัตราการอ่านออกเขียนได้ประมาณร้อยละ 75 โดยเพศชาย
มีอัตราการอ่านออกเขียนได้ร้อยละ 85 เพศหญิง
ร้อยละ 66 หากพิจารณาตามพื้นที่พบว่ากรุงพนมเปญ
มีอัตราการอ่านออกเขียนได้สูงสุด
คือ
ร้อยละ 93 ขณะที่ในเขตเมืองมีอัตราการอ่านออกเขียนได้ร้อยละ 77 ส่วนในเขตชนบทมีอัตราการอ่านออกเขียนได้ร้อยละ 72
สำหรับการเข้ารับการศึกษาของชาวกัมพูชาอายุระหว่าง 5-24 ปี
พบว่าในภาพรวมของประเทศมีประชากรเข้ารับการศึกษาร้อยละ 66 แบ่งเป็นเพศชายเข้ารับการศึกษา
ร้อยละ 68 และเพศหญิงเข้ารับการศึกษาร้อยละ 63 ดังข้อมูลในตารางที่ 2.27
เมื่อพิจารณาการเข้ารับการศึกษาในรายละเอียดพบว่าชาวกัมพูชาเข้าศึกษาในระดับต่าง
ๆ โดยพบว่า มีการเข้ารับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ประมาณ 3.5 ล้านคน
หรือ คิดเป็นร้อยละ 66 ของประชากรที่มีอายุระหว่าง 5-24 ปี
เป็นเพศชาย 1.8 ล้านคน
และเป็นเพศหญิง 1.7 ล้านคน
ในจำนวนนี้เป็นการศึกษาในระดับประถมศึกษา
ประมาณ 2.4 ล้านคน
ดังข้อมูลในตารางที่ 2.28
โดยในแต่ละระดับการศึกษามีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันออกไป
ซึ่งค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาประกอบด้วย
ค่าธรรมเนียมของสถานศึกษา
ค่าหน่วยกิต ค่าตำรา
ค่ายานพาหนะ(สำหรับเด็กที่อยู่ห่างจากสถานศึกษา) อื่น
ๆ เช่น ค่าบริจาคเข้ากองทุนก่อสร้างอาคาร
ซึ่งโดยรวมแล้วมีค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยประมาณ 170,000 เรียลต่อปี
ระบบสาธารณสุข
ประเทศกัมพูชาเริ่มต้นปฏิรูประบบสาธารณะสุขในปี
พ.ศ.
2534 ภายใต้โครงการ "Strengthening
Health Systems Project" โดยมีองค์การอนามัยโลก (WHO) เป็นแม่งานหลัก
โดยเริ่มต้นโครงการระยะแรกในปี
พ.ศ.
2534-2537 ระยะที่สองในช่วงปี
พ.ศ.
2538-2540 และระยะที่สาม
ในช่วงปี 2541-2543 ภายใต้โครงการดังกล่าวได้วางแผนการให้มีสถานบริการทางการแพทย์ (Clinic) ประจำทุกตำบล
และจะต้องมีโรงพยาบาลประจำตัวอำเภอ
แต่ปัญหาของการดำเนินโครงการในช่วงแรก
ๆ คือ บุคลากรทางการแพทย์ขาดทักษะทางวิชาชีพ
ขณะที่อุปกรณ์ทางการแพทย์
ยารักษาโรค
และเครื่องมือในการผ่าตัดฉุกเฉินก็มีการขาดแคลน
สถานบริการทางการแพทย์ในกัมพูชา
แบ่งออกเป็น 4 ประเภท
ได้แก่
- Operational District (OD) เป็นสถานบริการทางการแพทย์ที่ให้บริการประชาชนในระดับตำบล มีจำนวนทั้งสิ้น 77 แห่งทั่วประเทศ
- โรงพยาบาลศูนย์ของจังหวัด (Referral hospital) มีขอบเขตความรับผิดชอบครอบคลุมประชากร ประมาณ 100,000-200,000 คน มีจำนวนทั้งสิ้น 74 แห่งทั่วประเทศ
- ศูนย์อนามัย (Health center) มีขอบเขตความรับผิดชอบครอบคลุมประมาณ 8,000-12,000 คน มีจำนวนทั้งสิ้น 957 แห่งทั่วประเทศ
- Health Post มีจำนวน 95 แห่งทั่วประเทศ
ในช่วงระหว่างปี
พ.ศ.
2545-2550 มีผู้ป่วยเข้ารับบริการของสถานพยาบาลของภาครัฐ
ดังรายละเอียดในตารางที่ 2.30
ทางด้านค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล
ข้อมูลจากการสำรวจในปี พ.ศ.
2548 พบว่า
ประชากรชาวกัมพูชามีค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาพยาบาลต่อหัวในราว 37 เหรียญสหรัฐฯ
ต่อปี
ในจำนวนนี้ค่าใช้จ่ายในราว 25 เหรียญสหรัฐฯ
หรือร้อยละ 68 ของค่ารักษาพยาบาล
เป็นค่าใช้จ่ายที่ได้รับการอุดหนุนจากภาครัฐและเงินบริจาคขององค์กรระหว่างประเทศ
ทั้งนี้
เนื่องจากประชาชนชาวกัมพูชายังมีระดับรายได้ที่ค่อนข้างต่ำ
โดยมีรายได้ต่อหัวเพียง 430 เหรียญสหรัฐฯ
ต่อปี จึงไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้
สำหรับสถานการณ์ด้านสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศกัมพูชา
ได้แก่ อายุขัยโดยเฉลี่ย 62.1 ปี
เพศชายมีอายุขัยโดยเฉลี่ย 60.03 ปี
เพศหญิง มีอายุขัยโดยเฉลี่ย 64.27 ปี
ข้อมูลจากการประมาณการในปี
พ.ศ.
2550 พบว่า
มีผู้ติดเชื้อ HIV ที่ยังมีชีวิต
ประมาณ 75,000 ราย
และที่เสียชีวิตแล้วประมาณ 6,900 ราย
สถานการณ์ด้านสาธารสุขในภาพรวม
มีระดับความเสี่ยงอยู่ในระดับสูง
โดยเฉพาะโรคภัยที่เกี่ยวกับการขาดสุขอนามัยทางอาหารและน้ำดื่มที่มีการปนเปื้อน
เชื้อแบคทีเรีย
และยังมีความเสี่ยงจากการติดเชื้อไข้หวัดนก (H5N1) ซึ่งควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ปีกทุกชนิด
รสนิยม ความต้องการสินค้า พฤติกรรมผู้บริโภคทั่วไป
สามารถแยกพฤติกรรมผู้บริโภคของกลุ่มบุคคลในสังคมตามกำลังการซื้อออกเป็น 3 กลุ่ม
คือ
1.กลุ่มผู้มีกำลังการซื้อสูง
ประมาณร้อยละ 5 ของประชากร
บุคคลในกลุ่มนี้ ได้แก่
- - นักธุรกิจที่เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้านำเข้า เช่น บุหรี่ เบียร์ สุรา ไวน์ วัสดุก่อสร้าง น้ำมันเชื้อเพลิง และยานยนต์ เป็นต้น รวมถึงนักธุรกิจที่มีรายได้จากการซื้อขายที่ดินและการจัดการด้านอสังหาริมทรัพย์
- - นักธุรกิจเจ้าของบ่อนกาสิโน
- - นักการเมืองและข้าราชการระดับบริหาร (โดยผู้ดำรงตำแหน่งข้าราชการระดับสูงทุกส่วนทั้งภูมิภาคและส่วนกลางล้วนมาจากการแต่งตั้งของพรรคการเมือง โดยมีวาระคงอยู่ตามการตัดสินใจของผู้บริหารพรรคการเมืองซึ่งเป็นผู้บริหารประเทศในขณะนั้น) กลุ่มนี้มีรายได้มาจากการให้เช่าบ้าน ที่ดิน ซึ่งได้รับการจัดสรรขณะดำรงตำแหน่งผู้บริหาร ขณะใกล้เปิดประเทศ หรือประมาณปี พ.ศ. 2533 และรายรับที่ได้จากการอำนวยความสะดวกในเรื่องกฎระเบียบของรัฐ รวมถึงเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศในโครงการพัฒนาต่าง ๆ
2.กลุ่มผู้มีกำลังซื้อปานกลาง
ประมาณร้อยละ 10 ของประชากร
บุคคลในกลุ่มนี้ ได้แก่
- - กลุ่มนักธุรกิจที่เป็นผู้นำเข้าสินค้า หรือค้าส่งสินค้า รวมถึงผู้ที่รวมหุ้นกับนักธุรกิจต่างชาติ
- - กลุ่มลูกจ้างที่ทำงานกับองค์กรระหว่างประเทศ สถานทูต และบริษัทต่างชาติ รวมถึงบุคคลสาธารณะ เช่น นักร้อง และนักแสดง เป็นต้น
- - กลุ่มประชาชนที่ประกอบอาชีพค้าขาย
3.กลุ่มผู้มีกำลังซื้อต่ำ
ประมาณร้อยละ 85 ของประชากร
บุคคลในกลุ่มนี้ ได้แก่
- - บุคคลที่ไม่อยู่ในกลุ่มที่ 1 และ 2
- - ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม
- - ลูกจ้างโรงงาน
- - ผู้ได้รับช่วยเหลือจากญาติซึ่งอาศัยอยู่ในต่างประเทศ
อุปนิสัยในการอุปโภคบริโภคของคนกัมพูชา
คือ พร้อมที่จะจ่ายเงินเท่าใดก็ตามเท่าที่มี
เพื่อบ่งบอกถึงสถานะทางสังคม
ทั้งนี้ คนกัมพูชามีรายได้จากการค้าขาย
การทำการเกษตร การเข้ามารับจ้างทำงานในโรงงาน
โรงแรม ร้านอาหาร และรายได้ที่สำคัญคือ
การขายที่ดินให้กับชาวต่างชาติ
ทำให้คนกัมพูชามีฐานะขึ้น
เมื่อขายที่ดินได้อันดับแรกก็ซื้อมอเตอร์ไซค์
รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ
เครื่องใช้ไฟฟ้า และแม้แต่การซื้อเพชร
ซื้อทอง เพื่อเก็บสะสมแทนเงินสด
และใช้เป็นเครื่องประดับ
นอกจากนี้ ในงานสังคม เช่น
งานแต่งงาน งานหมั้น งานวันเกิด
หญิงสาวหรือหญิงสูงวัยจะแต่งตัวสวยงามด้วยผ้าไหมตัดเป็นชุดราตรีหรูหรา
ทำผมแต่งหน้าที่ร้านเสริมสวย
ซึ่งร้านไหนที่มาจากเมืองไทยหรือจบหลักสูตรจากประเทศไทย
จะได้รับความนิยมเป็นพิเศษ
โดยสังเกตได้ว่าร้านเสริมสวยส่วนใหญ่จะติดรูปดาราไทยไว้ที่หน้าร้าน
อนึ่ง
ยังมีชาวกัมพูชาโพ้นทะเลที่ไปตั้งหลักแหล่งในต่างประเทศประมาณ 250,000 คน
โดยอยู่ในสหรัฐอเมริกา 175,000 คน
ฝรั่งเศส 40,000 คน
แคนาดา 13,000 คน
ออสเตรเลีย 13,000 คน
นิวซีแลนด์ 3,000 คน
สวิสเซอร์แลนด์ 1,300 คน
และประเทศอื่น ๆ อีกประมาณ 4,700 คน
ซึ่งในปัจจุบันมีชาวกัมพูชาโพ้นทะเลอยู่ประมาณ 2 ล้านคน
โดยส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในฝรั่งเศส
และสหรัฐอเมริกา
คนเหล่านี้ได้นิยมเข้ามาสร้างที่อยู่อาศัยบริเวณชานเมืองที่สำคัญ
ๆ ทั้งนี้
เมื่อชาวกัมพูชาโพ้นทะเลเหล่านี้เข้ามาอยู่อาศัย
ก็นิยมที่จะซื้อยานพาหนะเพื่อใช้ในประเทศกัมพูชาทุกครัวเรือน
นอกจากนี้
กระแสหนึ่งที่สำคัญของกัมพูชาก็คือกระแสของการขายที่ดิน
ทำให้ในปัจจุบันกัมพูชามีกลุ่มคนที่เรียกว่าเศรษฐีที่ดินเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก
ซึ่งกลุ่มเศรษฐีที่ดินเหล่านี้ก็มีฐานคติที่สำคัญก็คือความต้องการอุปโภคสินค้า
ยานยนต์ ฯลฯ เป็นลำดับต้น
ๆ
อย่างไรก็ดี
คนกัมพูชามีทัศนคติต่อสินค้าไทยว่ามีคุณภาพดี
และราคาเหมาะสม
ถ้าให้เลือกระหว่างสินค้าของไทยและเวียดนามในราคาที่เท่ากันหรือแตกต่างกันไม่มาก
คนกัมพูชาจะเลือกสินค้าไทยโดยไม่ลังเล
ส่วนสินค้าจากจีน
และเกาหลีใต้ได้เข้ามามีส่วนแบ่งตลาดเช่นกัน
2.ความสัมพันธ์และความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา
ในที่นี้จะกล่าวถึงประเด็นทั้งความสัมพันธ์และความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา
เนื่องจากมีความเกี่ยวเนื่องกัน
ซึ่งจะทำให้เห็นภาพของความขัดแย้งได้อย่างชัดเจน
และแม้ว่าทั้งไทยและกัมพูชาจะมีความขัดแย้งกัน
แต่ก็สามารถจัดการกับความขัดแย้งได้โดยอาศัยกรอบความร่วมมือต่าง
ๆ เป็นพลังขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างกัน
การวิเคราะห์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา
1. ความสัมพันธ์และความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาบนพื้นฐานทางประวัติศาสตร์และลัทธิชาตินิยม
ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาในปัจจุบันนั้นมีรากฐานเกิดมาจากความเป็นมาทางประวัติศาสตร์และลัทธิชาตินิยมเป็นหลัก
ปัญหาประการแรกของประเทศทั้งสองนั้นเกิดจากการขีดแบ่งเส้นแดนโดยจักรวรรดินิยม
ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมระหว่างไทยอีสานใต้และกัมพูชาแล้ว
จะเห็นได้ว่าดินแดนทั้งสองต่างก็เป็นดินแดนที่มีวัฒนธรรมแบบเดียวกัน
มีลักษณะทางชาติพันธุ์เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน
แต่ดินแดนทั้งสองส่วนต้องแยกจากกันเพราะวิธีคิดการแบ่งเขตแดนแบบรัฐชาติ (Nation
State) สมัยใหม่ตามแบบที่จักรวรรดินิยมตะวันตกพึงปรารถนาให้เป็น
หรือกล่าวได้ว่าเป็นการแบ่งเขตแดนเพื่อการจัดการผลประโยชน์เหนือดินแดนของจักรวรรดินิยมตะวันตกนั่นเอง
ทั้งนี้
เมื่อมองย้อนไปในอดีตก็จะเห็นถึงความสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างไทยอีสานใต้และกัมพูชาบนพื้นที่ความขัดแย้งในปัจจุบัน
คือ พื้นที่บริเวณปราสาทเขาพระวิหาร
ปราสาทเขาพระวิหารซึ่งพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 แห่งอาณาจักรขอมได้สร้างเทวสถานบนเทือกเขาพนมดงรัก (เพี๊ยะนมดงเร็ก) เพื่อให้ชาวเขมรสูง (อีสานใต้) และชาวเขมรต่ำ (กัมพูชา) ได้สักการะเทวสถานแห่งนี้ร่วมกัน
อันแสดงให้เห็นถึงความเป็นกลุ่มชนเดียวกัน
และความผูกพันทั้งในอดีตและปัจจุบันของดินแดนทั้งสอง
ซึ่งในปัจจุบันดินแดนดังกล่าวกลับเป็นกรณีพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ต่างฝ่ายต่างยึดถือเขตแดนและกฎเกณฑ์ที่ตะวันตกได้กำหนดเอาไว้
มิได้มองถึงวัตถุประสงค์ของผู้สร้างปราสาทเขาพระวิหารที่มีเจตนาให้ดินแดนเขมรทั้งสองฝั่งได้ใช้ประโยชน์ (การสักการบูชาร่วมกัน) อีกทั้งรัฐไทยและรัฐกัมพูชาสมัยใหม่ยังมองข้ามบริบททางวัฒนธรรมที่เป็นวัฒนธรรมชุดเดียวกันของดินแดนทั้งสอง
ทำให้ทั้งสองฝ่ายยึดถือแต่ผลประโยชน์แห่งชาติ(National
Interest) บนเส้นแบ่งเขตแดนตามแบบชุมชนในจินตนาการ (Imagine
Community) ส่งผลให้ความขัดแย้งระหว่างกันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ปัญหาอีกประการ
คือ การศึกษาประวัติศาสตร์ของไทยได้ถูกหล่อหลอมจากกระบวนการ
ตำรา
และแบบเรียนภายใต้อุดมการณ์แบบชาตินิยมที่ประกอบสร้างให้เราเกลียดพม่า
กลัวญวน
และดูหมิ่นเขมรซึ่งหากหันไปมองประวัติศาสตร์ก็จะเห็นได้ว่าสยามในอดีตนั้นก็เป็นเพียงดินแดนของคนเถื่อนเท่านั้นในขณะที่ขอมเป็นดินแดนอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ดังจะเห็นได้จากภาพแกะสลักนูนต่ำ "เสียมกุก" หรือ
นี่เหล่าคนสยาม (กองทัพสยาม) บริเวณระเบียงรายรอบปราสาทนครวัด
ซึ่งเป็นภาพที่บรรยายถึงในรัชสมัยของพระเจ้า
สุริยวรมันที่ 2 ได้เกณฑ์ไพร่พลในดินแดนรัฐบรรณาการของพระองค์ที่หนึ่งในนั้น
คือ เสียม สยำ หรือ สยาม นั่นเอง
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ข้างต้นแสดงให้เห็นว่าแบบเรียนที่เน้นศักดิ์ศรีและยิ่งใหญ่ของชาติเกินความเป็นจริงโดยไม่ย้อนไปมองบริบททางประวัติศาสตร์
ย่อมจะเกิดผลเชิงลบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในปัจจุบัน
ต้องไม่ลืมนึกถึงกฎเกณฑ์วัฏจักรทางประวัติศาสตร์ที่อาณาจักรใดก็ตามมีจุดสูงสุดก็ย่อมจะต้องตกต่ำลงเป็นธรรมดา
ปัจจุบันเราอาจจะเหนือกว่าเขาแต่ในอดีตเขาก็เคยเหนือกว่าเราเช่นกัน
ปัญหาอีกส่วนหนึ่งของความเป็นชาตินิยมแบบคลั่งชาติภายใต้กระบวนการสร้างแบบคู่ตรงข้าม (Binary
Opposition) ทำให้ชาติของเราดูดีงาม
และเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมแต่ในขณะเดียวกันก็สร้างภาพให้ชาติอื่นกลายเป็นศัตรูถาวรที่มีแต่ความเลวร้ายหรือต่ำต้อยกว่าเรา
ดังจะเห็นได้จากรัฐไทยนั้นติดอยู่กับบ่วงวาทะกรรมว่าอยุธยานั้นถูกหงสาวดีเป็นศัตรูถาวรที่รุกรานเผาบ้านเมืองและปล้นสะดมนานหลายร้อยปี
แต่หากมองดูที่ประวัติศาสตร์ระหว่างไทยกับกัมพูชา
จะเห็นได้ว่าช่วงความรุ่งเรืองของอยุธยานั้นเป็นช่วงที่กัมพูชาหรือกัมโพชเสื่อมถอยลง
เมื่ออยุธยามีอำนาจที่เข้มแข็งก็ได้มีการขยายอำนาจรุกรานดินแดนที่อ่อนแอกว่าเช่นกัน
ดังเห็นจากการขยายอำนาจครั้งสำคัญในรัชสมัยของพระบรมราชาที่ 2 หรือเจ้าสามพระยา
แห่งอาณาจักรอยุธยา
ซึ่งการขยายขอบขัณฑสีมารุกรานกัมพูชาในครั้งนั้นอยุธยาได้ทำการเผาและปล้นสะดมอาณาจักรกัมพูชา
เช่นเดียวกับที่อยุธยาถูกหงสาวดีกระทำในกาลต่อมา
หรือจะเป็นเมื่อครั้งพระนเรศวร
ที่พระองค์ทรงพักจากศึกหงสาวดีแล้วไปทำสงครามสั่งสอนกัมพูชา
โดยในสงครามครั้งนั้นอยุธยาได้ทำการเทครัวและกวาดต้อนชาวเขมรเพื่อไปเป็นแรงงานให้แก่อยุธยาเป็นจำนวนมาก
หรือจะเป็นในรัชสมัยของพระเจ้าตากสินหลังจากการปราบดาภิเษกเถลิงราชสมบัติเป็นการสำเร็จ
พระองค์ก็มีพระราชประสงค์ที่จะเผยแพร่บุญโพธิสมภารไปสู่ราชอาณาจักรกัมพูชา
ขณะเดียวกันก็ทรงหาหนทางที่จะต้องการนำตัวกษัตริย์กัมพูชามาลงโทษ
เนื่องมาจากการปฏิเสธที่จะส่งบรรณาการสู่ธนบุรี
ทำให้พระเจ้าตากสินได้ยกทัพเข้าตีกัมพูชาหลายต่อหลายครั้ง
จนในปี พ.ศ.
2315 กองทัพสยามได้เผากรุงพนมเปญ
และได้สถาปนานักองค์เองให้เป็นกษัตริย์หุ่นเชิดของธนบุรีหลังจากนั้นอีกเจ็ดปี
ในขณะที่ไทยมองกัมพูชาในฐานะที่ต่ำต้อยกว่าและตกเป็นเบี้ยล่างมาโดยตลอด
กัมพูชาเองก็ประกอบสร้างให้ไทยเป็นศัตรูถาวรของกัมพูชาเช่นกัน
อันเป็นผลมาจากเมื่อสยามในอดีตมีความเข้มแข็งเป็นปึกแผ่นขึ้นมาคราใด
สยามก็จะต้องรุกรานกัมพูชาทุกครั้งเช่นกัน
เห็นได้ว่าการรุกรานขยายอาณาดินแดนของรัฐจารีต
ในอดีตนั้นเป็นกฎของสัจนิยม (Realism) ที่ว่าสถานะของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐนั้นเป็นสภาวะอนาธิปไตย (Anarchy) ที่ไม่มีกฎเกณฑ์อันใดมาควบคุมพฤติการณ์ระหว่างรัฐ
นอกจากนี้
สงครามยังคงเป็นความชอบธรรมที่แต่ละรัฐสามารถนำมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองโดยไม่ขัดกับหลักประเพณีระหว่างประเทศในอดีต
หากไทยและกัมพูชาเข้าใจถึงเกณฑ์ความสัมพันธ์ของรัฐจารีตดั้งเดิมและไม่ใช้ประวัติศาสตร์มาเป็นเครื่องมือสร้างกระแสชาตินิยมของประเทศทั้งสองความขัดแย้งของทั้งสองประเทศ
คงจะไม่ทวีความรุนแรงอย่างในปัจจุบัน
ถึงแม้ว่าข้อดีของการใช้ความเป็นชาตินิยมสร้างชาติอื่นให้เป็นศัตรูถาวรจะมีอยู่ที่เป็นการสร้างอุดมการณ์ต่อต้านศัตรูเพื่อสร้างความสามัคคีในชาติได้
แต่หากพิจารณาถึงบริบทของการเมืองระหว่างประเทศในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า
สงครามที่เป็นการรบมิใช่สงครามหลักในเวทีระหว่างประเทศอีกต่อไป
สงครามเศรษฐกิจกลับเข้ามามีบทบาทหลักที่ผลักให้เกิดนโยบายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศขึ้น
ประกอบกับเขตแดนของรัฐแบบเวสต์ฟาเลีย (Westfalia) ที่ชาติตะวันตกเคยแบ่งเขตแดนให้กับทั่วโลก
เริ่มจะมีผลสะเทือนจากโลกาภิวัตน์ (Globalization) ที่ตะวันตกสร้างนี้ได้ลดทอนคุณค่าทางเขตแดนแบบรัฐชาติลง
นอกจากนี้
ตะวันตกก็ยังผลักกระแสการบูรณาการ (Integration) ระหว่างประเทศที่มีต้นแบบจากสหภาพยุโรป (European
Union:
EU) กลายมาเป็นสงครามในการรวมกลุ่มประเทศที่เป้าหมายในการรวมกลุ่มประเทศให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งเชิงลึกและเชิงกว้าง
ทั้งนี้
เพื่อเป้าหมายการต่อสู้ในสงครามทางเศรษฐกิจระหว่างแต่ละกลุ่มประเทศ
ซึ่งลักษณะของการบูรณาการในภูมิภาคนั้นจะมีลักษณะที่สร้างความเป็นหนึ่งเดียวในภูมิภาคโดยมีการเคลื่อนย้ายสินค้า
บริการ การลงทุน และแรงงานอย่างเสรี
จะเห็นได้ว่าสหภาพยุโรปนั้นมีลักษณะเป็นองค์กรเหนือรัฐ (Supranational
Organization) ที่มีความเข้มแข็งมีทั้งสภาแห่งยุโรป (European
Parliament) ศาลแห่งยุโรป (European
Court) สกุลเงินยุโรป (EURO) และธนาคารกลางแห่งยุโรป (Central
Bank of European) โดยมีนโยบายเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปที่เป็นเอกภาพ
และในอนาคตสหภาพยุโรปก็กำลังดำเนินการสร้างความเป็นเอกภาพทางการเมืองเช่นกัน
กล่าวได้ว่าแนวทางการบูรณาการภายในกลุ่มระหว่างประเทศนั้นเป็นการลดทอนอธิปไตย
เขตแดน และความเป็นรัฐชาติลงนั่นเอง
ในกรณีของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชานั้นทั้งสองประเทศต่างก็เป็นสมาชิกของอาเซียน (ASEAN) ที่กำลังเดินหน้าตามตัวแบบอย่างสหภาพยุโรปโดยที่ในปี
พ.ศ.
2558 อาเซียนต้องก้าวเข้าสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน (ASEAN
Community) ซึ่งก็หมายความว่าไทย
กัมพูชา
และอาเซียนก็กำลังตามกระแสของสงครามทางเศรษฐกิจและการบูรณาการระหว่างประเทศ
ดังนั้น เป้าหมายของอาเซียนในอนาคต
คือ ไปสู่การสร้างความเป็นเอกภาพของประชาคมอย่างแท้จริง
ที่อธิปไตยเขตแดน
และความเป็นชาติย่อมจะถูกลดทอนลง
เมื่อสถานการณ์ของการเมืองระหว่างประเทศเริ่มเปลี่ยนไป
อัตลักษณ์ภายในภาคีของอาเซียนเองก็จะต้องตรียมพร้อมเพื่อไปสู่ความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น
ด้วยการลดข้อจำกัดในการสร้างความเป็นศัตรูถาวรภายใต้กระแสชาตินิยม
เมื่อใดก็ตามที่ต่างฝ่ายต่างเดินหน้าใช้ประโยชน์จากประวัติศาสตร์
และความล้าหลังคลั่งชาติก็ย่อมจะสร้างความขัดแย้งระหว่างกันและกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อความเป็นหนึ่งเดียวแบบประชาคมกำลังจะเกิดขึ้นในอาเซียน
คำถามก็คือ
การสร้างกระแสชาตินิยมบนพื้นฐานความแค้นในเชิงประวัติศาสตร์มีความจำเป็นอยู่ไหม
ทั้งนี้
ไทยและกัมพูชาต้องทบทวนว่าทั้งสองประเทศจะยินยอมติดอยู่กับกับดักของลัทธิชาตินิยมและประวัติศาสตร์อยู่หรือไม่
หรือจะเลือกเดินไปสู่หนทางของความร่วมมือที่จะเกื้อกูลกันเพื่อต่อสู้ในสงครามทางเศรษฐกิจบนเวทีระหว่างประเทศที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน
ความสัมพันธ์และความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาภายใต้ผลประโยชน์แห่งชาติและการเมืองระหว่างประเทศ
สำหรับการเมืองในประเทศไทยนั้น
หลายปีที่ผ่านมามีความปั่นป่วนและขาดเสถียรภาพอยู่พอสมควรอันมาจาก Colors
Politics หากมองถึงปมแห่งปัญหาของการเมืองของไทยนั้นเกิดจากที่ประชาธิปไตยแบบตะวันออกของไทยยังให้ความสำคัญตลอดมาว่าการเลือกตั้ง
คือ หัวใจสำคัญของประชาธิปไตย
แต่แท้จริงแล้วการเลือกตั้งนั้นเป็นเพียงกระบวนการสรรหาตัวแทนในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น
ประกอบกับการเลือกตั้งในไทยยังยึดโยงอยู่กับทุน
และระบบอุปถัมภ์
ซึ่งโดยแท้จริงแล้วเราต้อง
มีความเข้าใจว่าประชาธิปไตยต้องไม่ใช่แค่เพียงการเลือกตั้ง
แต่ต้องเป็นประชาธิปไตยโดยวิถีชีวิตที่ต้องยอมรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น
และรับฟังเสียงจากคนส่วนน้อย
ซึ่งสังคมประชาธิปไตยที่พึงปรารถนาต้องเป็นสังคมประชาธิปไตยแบบถกแถลง (Deliberate
Democracy) ที่อยู่บนพื้นฐานของเหตุผลและการแลกเปลี่ยนความคิดกันกันอย่างสร้างสรรค์
กล่าวได้ว่าประชาธิปไตยไทยในปัจจุบันจึงเป็นประชาธิปไตยแบบอัตตาธิปไตยผสานกับธนาธิปไตยที่ขับเคลื่อนไปด้วยอวิชชาและมิจฉาทิฐิ
แม้ว่าเสถียรภาพทางการเมืองของกัมพูชาจะมีอยู่สูง
เนื่องมาจากรัฐบาลพรรคประชาชนกัมพูชาที่นำโดยนายกรัฐมนตรีฮุนเซนสามารถกุมเสียงส่วนใหญ่ในการเลือกตั้งของกัมพูชาได้อย่างต่อเนื่อง
ส่งผลให้พรรคประชาชนกัมพูชาได้เข้าสู่การเป็นพรรคการเมืองที่มีลักษณะโดดเด่นเพียงพรรคเดียว (One
Dominant Party
System) โดยมีพรรคฟุนซินเปคและพรรคสมรังสีเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ได้รับการเลือกตั้งเพียงไม่กี่ที่นั่ง
กล่าวได้ว่านายกรัฐมนตรีฮุนเซนสามารถใช้อำนาจและกลไกของรัฐผสานกับการใช้กุศโลบายทางเศรษฐกิจ
ในการควบคุมฐานเสียงและการลงคะแนนเลือกตั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพเสมอมา
หากมองลักษณะทางการเมืองของกัมพูชาถึงแม้ว่ากัมพูชานั้นจะมีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยก็ตาม
แต่จากการควบคุมจากรัฐบาลทุกองคาพยพ
ไม่ว่าจะเป็น พรรคการเมือง
กลุ่มผลประโยชน์ NGO และสื่อมวลชน
ย่อมสะท้อนให้เห็นถึง
ความเป็นประชาธิปไตยแบบอำนาจนิยม (Authoritarian
Democracy) ของกัมพูชา
จากลักษณะของการเมืองภายในของประเทศทั้งสองเห็นได้ว่า
ทั้งไทยและกัมพูชาต่างก็เป็นประเทศประชาธิปไตย (แบบเอเชีย) เคยมีคำกล่าวของฝ่ายเสรีนิยม (Liberalism) ว่าประเทศในระบอบประชาธิปไตยจะไม่ทำสงครามกัน
แต่ในกรณีของความสัมพันธ์ไทยและกัมพูชานั้นทั้งสองต่างก็ตั้งผลประโยชน์หลักแห่งชาติ (National
Interest) ไว้ที่เป้าหมายเดียวกัน
การนิยามถึงผลประโยชน์หลักแห่งชาติหรือผลประโยชน์ที่จะสูญเสียไปไม่ได้ไว้ที่ตำแหน่งเดียวกัน
อาจส่งผลต่อความขัดแย้งหากการเจรจาประนีประนอมนั้นดำเนินการมิได้
ย่อมอาจนำไปสู่ความรุนแรงและสงครามในที่สุด
ซึ่งผลประโยชน์หลักของทั้งไทยและกัมพูชาก็คือ
ปัญหาปราสาทพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อนกับปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล
แต่ปัญหาที่ทำให้ความขัดแย้งระหว่างประเทศทั้งสองลุกลามจนไม่มีทีท่าว่าความขัดแย้งดังกล่าวจะยุติลงได้
ก็คือปัญหาปราสาทเขาพระวิหาร
ที่รัฐบาลทั้งสองฝ่ายให้คุณค่าว่าเป็นผลประโยชน์หลักที่จะสูญเสียไปไม่ได้
หากมองไปที่คำตัดสินศาลโลก (International
Court of
Justice) ที่ทั้งไทยและกัมพูชาต่างก็มีความยินยอม (Consent) เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศ
ดังนั้น คำพิพากษาที่มีความชัดเจนอยู่ว่า
ตัวปราสาทพระวิหารตกเป็นดินแดนอธิปไตยของกัมพูชาแน่นอน
และพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรบนเขาพระวิหารก็เป็นดินแดนของไทยอย่างแน่นอนเช่นกัน
ซึ่งประเด็นปัญหา
เขาพระวิหารจะไม่สามารถสร้างความขัดแย้งอย่างในปัจจุบันได้หากทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชา
ไม่นำการเมืองภายในประเทศไปเกี่ยวโยงกับการเมืองระหว่างประเทศ
โดยทั้งสองฝ่ายได้ใช้ประเด็นปราสาทเขาพระวิหารมาสร้างผลประโยชน์แก่การเมืองภายในประเทศ
ซึ่งฝ่ายไทยนั้นเห็นได้จากกรณีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ใช้กรณีเขาพระวิหารมาปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อปลุกระดมมวลชนในการเข้าร่วมต่อต้านรัฐบาลพรรคพลังประชาชนในขณะนั้น
โดยพันธมิตรได้ใช้การรณรงค์ที่ว่า "ทวงคืนปราสาทเขาพระวิหาร" แทนที่จะเป็น "รักษาดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรบริเวณเขาพระวิหาร" อาจเป็นไปได้ว่าคำว่าทวงคืนปราสาทเขาพระวิหารนั้นง่ายกว่าการสื่อสารกับมวลชนในที่ชุมนุม
แต่ก็เป็นการมิควรเป็นอย่างยิ่งที่จะยัดเยียดข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแก่ประชาชน
เพราะการให้ข้อมูลในลักษณะดังกล่าวนอกจากจะมีปัญหาด้านข้อเท็จจริงแล้ว
ปัญหาที่สำคัญที่สุดก็คือการสร้างความชิงชังให้แก่ประชาชนชาวไทยที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา
ซ้ำเติมความชิงชังแบบคลั่งชาติให้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
สำหรับในกรณีของกัมพูชาภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีฮุนเซนนั้น
มีความใกล้ชิดกับเวียดนามเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 ได้รับเลือกจากเวียดนามเพื่อเป็นผู้นำกองทัพปฏิวัติต่อต้านเขมรแดง
จนสามารถยึดกรุงพนมเปญได้ในปี
พ.ศ.
2522 และสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาขึ้น
โดยมีเวียดนามหนุนหลัง
ซึ่งในตอนนั้นฮุนเซนได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ประกอบกับภรรยาของฮุนเซนมีเชื้อสายเวียดนาม
ยิ่งทำให้ฮุนเซนมีความแนบแน่นกับเวียดนามยิ่งขึ้น
ดั้งนั้น จะเห็นได้ว่า
ครั้งใดที่ฮุนเซนต้องการใช้กระแสชาตินิยมเพื่อสร้างความนิยมทางการเมือง
เขาจะใช้ประเด็นชาตินิยมสร้างไทยให้เป็นศัตรูถาวรขึ้นมาทุกครั้ง
ทั้งที่จากประวัติศาสตร์นั้นกัมพูชาก็ถูกเวียดนามรุกรานไม่น้อยไปกว่าไทยหรือสยามในอดีต
เห็นได้จากกรณีของกบ สุวนันท์
ที่ทั้งรัฐบาลกัมพูชาและสื่อมวลชนที่ถูกควบคุมโดยรัฐ
ได้โหมกระพือกระแสชาตินิยมว่า
นักแสดงไทยกล่าวคำ
ดูถูกชาวกัมพูชาจนเกิดความเกลียดชังชาวไทยจนเกิดการเผาสถานเอกอัครทูตไทยในกรุงพนมเปญ
ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องมาจากฮุนเซนและพรรคประชาชนกัมพูชากำลังลงสู่สนามเลือกตั้งทั่วไปของกัมพูชา
จึงต้องใช้กระแสชาตินิยมสร้างไทยในภาพของศัตรูถาวรเพื่อต้องการเสียงสนับสนุนฮุนเซนและพรรคประชาชนกัมพูชา
ในประเด็นของเขาพระวิหารที่กลายมาเป็นประเด็นความขัดแย้งอย่างรุนแรงในปัจจุบัน
ก็มีเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนการพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา
กล่าวคือ บริเวณชายแดนกัมพูชา-เวียดนาม
แถบจังหวัดสวายเรียงของกัมพูชา
เวียดนามได้ปักหลักเขตแดนล้ำเข้ามาในเขตแดนของกัมพูชาโดยนายสม
รังสี ผู้นำพรรคฝ่ายค้านกัมพูชาได้เปิดโปงกรณีดังกล่าว
จนนายกรัฐมนตรีฮุนเซนต้องเบี่ยงเบนประเด็นความขัดแย้งกับเวียดนามมาสู่ความต้องการรักษาอธิปไตยเหนือเขตแดนเขาพระวิหารจากไทย
พร้อมกับเคลื่อนกองทัพสู่ชายแดน
ส่งผลให้กองทัพไทยต้องเพิ่มกำลังพลตรึงชายแดนบริเวณเขาพระวิหารเช่นกัน
ทำให้เกิดสภาวะล่อแหลม (Dilemma) ระหว่างไทยและกัมพูชา
จนความขัดแย้งบนพื้นฐานความคลั่งชาติของประเทศทั้งสองได้ขยายตัวไปสู่ประชาชนทุกระดับ
กรณีเขาพระวิหารนั้นหากทั้งสองประเทศไม่นำประเด็นการเมืองภายใน
ประเทศเชื่อมโยงกับการเมืองระหว่างประเทศที่ขับเคลื่อนไปด้วยความเป็นชาตินิยม
แล้วหันมามองถึงผลประโยชน์ของชาติร่วมกันบนพื้นฐานของความร่วมมือของประเทศทั้งสอง
ก็จะทำให้ปัญหาเขาพระวิหารจะแปรสภาพจากวิกฤตกลายเป็นโอกาสของทั้งสองฝ่าย
เพราะทั้งสองฝ่ายจะได้ผลประโยชน์ร่วมกันจากการจัดสรรผลประโยชน์ร่วมกันในบริเวณเขาพระวิหาร
ต้องไม่ลืมว่าทางกัมพูชานั้นได้ครอบครองเพียงแค่ตัวปราสาท
แต่บริเวณโดยรอบที่ประกอบไปด้วย
เทวสถาน ปรางค์คู่ บันไดนาค
และสระตราวนั้น อยู่ภายใต้การครอบครองไทย
เหมือนกับที่ศาสตราจารย์ศรีศักร
วัลลิโภดม
ได้กล่าวว่า "ปราสาทพระวิหารที่ไร้องค์ประกอบโดยรอบ
ก็เหมือนกับโครงกระดูกที่ไร้เนื้อหนัง"[1] นอกจากนี้หากมองไปที่ทรัพยากรทางประวัติศาสตร์และสังคมวัฒนธรรมที่ทั้งสองประเทศมีร่วมกัน
ไทยมีปราสาทหินพิมาย
ปราสาทหินพนมรุ้ง ฯลฯ
กัมพูชามีพระนคร นครวัด ฯลฯ
โดยทั้งสองประเทศได้มีส่วนร่วมในการการจัดการมรดกโลกเขา
พระวิหารร่วมกัน
หากทั้งสองฝ่ายผลักดันความร่วมมือดังกล่าวให้เกิดขึ้นได้
ทั้งไทยและกัมพูชาจะมี Package การท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมขอมโบราณที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง
กลายเป็นผลประโยชน์บนความร่วมมือระหว่างกันที่ประเมินค่ามิได้
ทั้งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและผลประโยชน์จากการขจัดความขัดแย้งระหว่างกัน
เมื่อมองไปที่ความขัดแย้งของไทยและกัมพูชานั้น
ส่วนหนึ่งต้องมองไปที่บทบาทและท่าทีของเวียดนามที่พยามช่วงชิงความเป็นเจ้าในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีป (Mainland
Southeast
Asia) จากไทยโดยการดำเนินนโยบายต่างประเทศของเวียดนามในระดับภูมิภาค
ถึงแม้ว่าบทบาทในองค์การภูมิภาค
อาทิเช่น อาเซียน
ของเวียดนามจะมีบทบาทที่โดดเด่นไม่เท่ากับไทย
แต่หากมองแยกไปเฉพาะส่วนย่อยในภูมิภาคอย่างอินโดจีน
ก็จะเห็นถึงบทบาทความเป็นผู้นำที่ชัดเจนของเวียดนามที่มีเหนือลาวและกัมพูชา
ซึ่งตรงจุดนี้ก็ต้องยอมรับว่าบทบาทการนำของเวียดนามคือผู้นำของอินโดจีนอย่างแท้จริง
ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะสายสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับลาวและกัมพูชาอันมีมาตั้งแต่สมัยสงครามเย็น
กล่าวได้ว่าเวียดนามได้ดำเนินนโยบายสร้างตนให้เป็น
แกนล้อ (Hub) และสร้างให้กัมพูชากับลาวเป็นซี่ล้อ (Spokes) ได้อย่างต่อเนื่องและยาวนาน
ประกอบด้วยความใกล้ชิดและสายสัมพันธ์อันดีของฮุนเซนกับเวียดนามยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและเวียดนามนับวันก็ยิ่งจะมีความแนบแน่นยิ่งขึ้น
ซึ่งหมายถึงว่าในทางกลับกันความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและไทยก็ย่อมจะถดถอยลงจากยุทธศาสตร์การครองความเป็นเจ้าในอินโดจีนของเวียดนาม
ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา
ปัจจุบัน
ไทย-กัมพูชาแม้จะมีความขัดแย้งกัน
แต่ความสัมพันธ์ยังคงดำเนินไปบนพื้นฐานของความเข้าอก
เข้าใจกัน โดยมีกรอบความร่วมมือต่าง
ๆ เป็นพลังขับเคลื่อนความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน
ทั้งนี้ ไทยและกัมพูชามีความสัมพันธ์ทวิภาคีหลายฉบับ
ได้แก่
- คณะกรรมการว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-กัมพูชา (Joint Commission: JC) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของทั้งสองประเทศเป็นประธานร่วมทำหน้าที่ดูแลความสัมพันธ์ ทวิภาคีในภาพรวม มีการประชุมประจำปี
- คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศเป็นประธานร่วม ทำหน้าที่ดูแลส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนของทั้งสองประเทศ
- คณะกรรมการรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน (Border Keeping Committee: BPKC) มีผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทั้งสองฝ่ายเป็นประธานร่วม ทำหน้าที่กำกับการปฏิบัติให้เป็นตามนโยบายของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป
- คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee: JBC) ที่ปรึกษาว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธานฝ่ายไทย และทำหน้าที่ระดับสูง ตัวแทนนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเป็นประธานฝ่ายกัมพูชา ทำหน้าที่กำกับดูแลภารกิจ การสำรวจ ปักปัน และแก้ปัญหาเขตแดนทางบก
- คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) มีแม่ทัพภาคในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ของทั้งสองประเทศเป็นประธานร่วม เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและแก้ปัญหาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน และความร่วมมือระดับท้องถิ่นทั้งสองฝ่าย มีการประชุมปกติปีละ 2 ครั้ง
- คณะกรรมการการค้าร่วม (Joint Trade Committee: JCT) มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของทั้งสองประเทศเป็นประธานร่วม ทำหน้าที่ส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือทางการค้าระหว่างกัน
นอกจากนี้
ไทยกับกัมพูชามีการตกลงร่วมภายใต้กรอบความร่วมมือทางการค้าและการลงทุน
คือ กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี
–
เจ้าพระยา - แม่โขง (ACMECS) โดยได้มีการดำเนินโครงการทวิภาคีที่มีโครงการร่วมในสาขาการอำนวยความสะดวกทางด้านการค้าและการลงทุนจำนวนทั้งสิ้น 18 โครงการ
เช่น การศึกษาการจัดตั้งตลาดกลางเพื่อค้าส่งและส่งออกในกัมพูชา
การจัดงานแสดงสินค้า
ความตกลงการอำนวยความสะดวกทางการค้าโดยให้บริการเบ็ดเสร็จที่ด่านชายแดนไทย-กัมพูชา
เป็นต้น นอกจากนี้
จากยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ACMECS ยังมีแผนปฏิบัติการอื่น
ๆ อาทิ โครงการ Contract
Farming โดยจังหวัดนำร่องในการจัดทำ Contract
Farming ได้แก่
จันทบุรี-พระตะบอง/ไพลิน
และยังมีโครงการเมืองคู่แฝด (Sister
Cities) ซึ่งเป็นการดำเนินงานเพื่อพัฒนาพื้นที่ระหว่างไทยกับเพื่อนบ้านให้เป็นเมืองเชื่อมโยงระหว่างกัน
เป็นรากฐานการผลิตด้านอุตสาหกรรม
การค้า การท่องเที่ยว
สนับสนุนการย้ายฐานการผลิตด้านอุตสาหกรรมจากไทยไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
สำหรับกรอบความร่วมมือ GMS
(Greater Mekong Subregion) ไทยกับกัมพูชาได้ดำเนินโครงการร่วมกัน
ได้แก่ การพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจตอนใต้ (Southern
Economic Corridor) เชื่อมโยงไทย
กัมพูชาและเวียดนาม
การอำนวยความสะดวกการผ่านแดนของคนและสินค้าระหว่างไทย-กัมพูชา
ส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูป Package
Tour โดยจะเน้นตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจ
ตลอดจนดำเนินการ GMS
Single Visa เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว
ทั้งนี้
จะเห็นได้ว่ามูลค่าการค้าของการส่งออกสินค้าจากไทยไปยังกัมพูชามีมูลค่าสูงกว่ามูลค่าการนำสินค้าเข้าของไทย
ซึ่งการส่งออกสินค้าจากไทยไปยังกัมพูชาส่วนใหญ่จะใช้การขนส่งทางถนนเป็นหลัก
ทำให้ภาครัฐทั้งไทย-กัมพูชาได้ให้การสนับสนุนการขนส่งทางถนนเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับการพัฒนาการขนส่งรูปแบบอื่น
โดยมีแนวคิดที่ว่าระบบถนนเป็นบริการขนส่งพื้นฐานที่ให้ความสะดวกรวดเร็วและเป็นการขนส่งให้ถึงจุดหมายปลายทางโดยตรง
อีกทั้งการขนส่งทางถนนเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการขนส่งในช่วงสั้น
ๆ อย่างไรก็ดี
จากกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามแดน (ASEAN
Frame work Agreement for the facilitation of Inter-State
Transport) และความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Great
Mekong Subregion Cross-Border Transport
Agreement) ทำให้ภาครัฐทั้งไทยและกัมพูชาได้ประสานงานและร่วมมือกันในการลดอุปสรรคต่างๆ
และลดค่าใช้จ่าย
ในการขนส่งสินค้าผ่านเส้นทางผ่านแดน
และให้ความสำคัญอย่างจริงจังในการทำงานร่วมกับสมาคมที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางถนน
แก้ไขปัญหาเรื่องรถวิ่งเที่ยวเปล่าเพื่อลดต้นทุนการขนส่งของสินค้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น