head ads

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภาพรวมของกัมพูชา (6)


ตลาดวัสดุก่อสร้างและธุรกิจก่อสร้างในกัมพูชา

http://122.155.9.68/talad/index.php/cambodia/sector/construction
ปัจจุบันประเทศกัมพูชาอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า จึงมีความต้องการวัสดุก่อสร้างเพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างและปรับปรุงสาธารณูปโภคต่าง ๆ อาทิ ถนน สะพาน ทางรถไฟ ท่าเรือ นิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ที่พักอาศัย และโรงแรม เป็นต้น

อุตสาหกรรมก่อสร้างของกัมพูชาได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลาไม่นานมานี้ ซึ่งเกิดจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของกัมพูชาร่วมกับการได้รับความช่วยเหลือจากต่างชาติเพื่อพัฒนาประเทศในเรื่องของสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานประกอบกับที่การท่องเที่ยวของกัมพูชายังได้รับความนิยมจากต่างชาติ ซึ่งในปี พ.. 2551 ภาคบริการมีการเจริญเติบโตถึงร้อยละ 46.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ดังนั้น จึงส่งผลให้นักธุรกิจเร่งพัฒนาที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อสนองความต้องการ ทำให้เกิดการก่อสร้างโรงแรม เกสเฮ้าส์ และที่พักใหม่ในเมืองสำคัญ เช่น จังหวัดเสียมเรียบ และกรุงพนมเปญ เพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ ประเภทของสินค้าวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง และอุตสาหกรรมการก่อสร้าง สามารถแบ่งเป็น กลุ่มหลัก ตามลักษณะการใช้งาน ดังนี้

1) สินค้าวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง แบ่งตามลักษณะการใช้งานได้ดังนี้

ประเภทสินค้าวัตถุดิบ ได้แก่ วัสดุก่อสร้างประเภท หิน กรวด ทราย ซีเมนต์ หินปูน แร่ยิบซั่ม เป็นต้น

ประเภทวัสดุกึ่งสำเร็จรูป ได้แก่ คอนกรีต ยางมะตอย เหล็ก อิฐบล็อก สีสำหรับทาทั้งภายนอกและภายใน สารเคมีสำหรับยึดเกาะ วัสดุยาแนว แผ่นกระเบื้อง หลังคา ผนัง

ประเภทผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ได้แก่ ระบบกรอบอาคาร ประตู หน้าต่าง แผ่นฟิล์มกันแสง เครื่องสุขภัณฑ์ อุปกรณ์ไฟฟ้า และอิเลคทรอนิคส์ เป็นต้น

2) ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

3) ธุรกิจร้านค้าวัสดุก่อสร้าง

4) ธุรกิจออกแบบและตกแต่งภายใน จัดสวน เพาะพันธุ์สัตว์น้ำ และอุปกรณ์ตกแต่งในบ้านและเครื่องใช้ในบ้าน


อุปสงค์ความต้องการกลุ่มสินค้าก่อสร้าง/วัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง





สินค้าวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง

การนำเข้าสินค้าวัสดุก่อสร้างของประเทศกัมพูชามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี พ.. 2547–2550 มีมูลค่าการนำเข้า 345, 212.10; 960,303.60; 1,200,317.90 และ 1,242,160.10 ล้านเรียล ตามลำดับ หรือคิดเป็นร้อยละ 5.26 ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมดในปี พ.. 2550 ดังแสดงในตารางที่ 2.54 (P2-130) ส่วนการนำเข้าสินค้าวัสดุก่อสร้างของกัมพูชาจากประเทศไทยนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วจะขนส่งผ่านด่านศุลกากรอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ซึ่งในปี พ.. 2549–2551 มีมูลค่าการส่งออกปูนซีเมนต์ 1,269,254,662; 1,069,549,715.39 และ 939,946,580.48 ล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้ ยังไม่รวมวัสดุก่อสร้างที่ไม่ผ่านพิธีการศุลกากรซึ่งนำเข้าบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา นอกจากการนำเข้าปูนซีเมนต์จากไทยแล้ว กัมพูชายังนำเข้าวัสดุก่อสร้างจากประเทศอื่น ๆ เช่น เหล็กนำเข้าจากประเทศจีน

เนื่องจากไทยมีความได้เปรียบเรื่องสถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ทำให้ค่าขนส่งสินค้าวัสดุก่อสร้าง เมื่อเปรียบเทียบกับการนำเข้าจากประเทศเกาหลี จีน หรือเวียดนาม สินค้าไทยจึงมีราคาถูกกว่า หากไม่นับสินค้าวัสดุก่อสร้าง เช่น ปูนซีเมนต์ หลังคา เครื่องสุขภัณฑ์ ฯลฯ แล้ว ไทยควรคิดที่จะขายอื่น ๆ เข้าสู่กัมพูชา ได้แก่ สินค้าหมวดเครื่องเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร เครื่องครัว และเครื่องประดับบ้าน รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งนี้ สินค้าวัสดุก่อสร้างผู้นำเข้าจะเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าเอง โดยจะกระจายสินค้าต่อไปยังตัวแทนขายและร้านค้าปลีกรวมทั้งการขายโดยตรงให้ผู้บริโภคทั้งในกรุงพนมเปญและจังหวัดต่าง ๆ

สำหรับแนวโน้มของตลาดกัมพูชามองว่า ปัจจุบันมีวัตถุดิบชนิดใหม่ ๆ ที่มีคุณสมบัติเทียบเท่าหรือเหนือกว่ามาทดแทนวัตถุดิบไม้ที่เหลือน้อยและมีราคาแพง เช่น เหล็ก อลูมิเนียมพีวีซี กระจก เซรามิก เป็นต้น รวมทั้งวัตถุดิบที่มีคุณสมบัติอื่น ๆ อาทิ ประหยัดพลังงาน เน้นความเป็นธรรมชาติมากที่สุดและเพื่อสุขภาพของผู้บริโภค นอกจากนี้ มีการวิจัยพัฒนาวัสดุก่อสร้างชนิดใหม่ ๆ เช่น วัสดุประเภท Continuous Fiber, Anchorage, หรือน้ำยาปรับปรุงคุณภาพ คอนกรีตแบบต่าง ๆ และวัสดุ อื่น ๆ เข้าสู่ตลาดมากขึ้น

ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาธุรกิจรับสร้างที่อยู่อาศัยมีการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากกัมพูชาอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน อาทิ ถนน สะพาน ทางรถไฟ ท่าเรือ นิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ที่พักอาศัย และโรงแรม เป็นต้น ประกอบกับการพัฒนาที่ดินในปะเทศกัมพูชาในหลาย ๆ โครงการ อาทิ การพัฒนาพื้นที่ในกรุงพนมเปญ การสร้างเมืองใหม่ การพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลจังหวัดสีหนุวิลล์ เป็นต้น ทำให้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเป็นที่ต้องการในตลาดกัมพูชามากขึ้น

สำหรับโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่จะเข้าไปในตลาดธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของกัมพูชานี้ โดยผู้ประกอบการไทยหลายรายถือว่ามีศักยภาพในระดับที่แข่งขันกับผู้รับเหมาในกัมพูชาได้ เนื่องจากฝีมือและมาตรฐานในการทำงานเป็นที่ยอมรับ แต่การออกไปรับงานในต่างประเทศจะต้องอาศัยประสบการณ์ และผู้ประกอบการต้องมีแนวทางรองรับความเสี่ยงในด้านต่างๆ ที่มีมากกว่าตลาดภายในประเทศ เช่น อัตราแลกเปลี่ยน สถานะทางการเงินของผู้ว่าจ้าง ความรู้ความเข้าใจถึงวิถีการดำเนินธุรกิจในประเทศนั้นๆ รวมทั้งประเด็นด้านข้อกฎหมาย เป็นต้น

อย่างไรก็ดี จากข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) นั้นกล่าวว่า การเข้าไปทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง (ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีทักษะและมีเทคโนโลยีในการสนับสนุนการก่อสร้าง นอกจากนั้นงานก่อสร้างภาคอุตสาหกรรมและภาคพาณิชยกรรมส่วนใหญ่ มักเป็นงานก่อสร้างขนาดใหญ่ ดังนั้น ผู้ว่าจ้างจึงมีแนวโน้มที่จะว่าจ้างผู้รับเหมาที่มีประสบการณ์และมีเงินทุนมากกว่าที่จะจ้างผู้รับเหมารายย่อย จึงเป็นอุปสรรคที่สำคัญสำหรับผู้รับเหมารายย่อยที่จะเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด ส่วนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กจะมีศักยภาพ ในการรับงานโครงการก่อสร้างที่มีมูลค่างานไม่สูงมาก ส่วนใหญ่จะเป็นงานภาคเอกชนหรือโครงการขนาดเล็กของภาครัฐที่ใช้เทคโนโลยีและเงินลงทุนไม่สูงมาก ในกลุ่มนี้จะมีผู้รับเหมาเป็นจำนวนมากและมีอัตราการแข่งขันทางด้านราคาที่ค่อนข้างสูง และได้รับผลกระทบจากการผันแปรในธุรกิจด้านนี้ค่อนข้างสูง

ทั้งนี้ การเข้าไปทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง (ที่อยู่อาศัยจากแนวโน้มการก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่ เริ่มให้ความสนใจกับโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น ทำให้เป็นโอกาสของผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างรายย่อย ที่จะเข้าไปรับเหมาช่วงต่อได้ อย่างไรก็ตาม อาจประสบปัญหาการแข่งขันเนื่องจากจำนวนผู้ประกอบการก่อสร้าง รายย่อยเพิ่มมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากช่างก่อสร้างได้ผันตัวเองมาเป็นผู้รับเหมาเอง โดยจะรับงานขนาดเล็กที่ไม่ต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนมาก ทำให้ในตลาดก่อสร้างรายย่อยมีการแข่งขันกันสูงขึ้น นอกจากนี้ แนวโน้มอุตสาหกรรมงานบำรุงรักษา ซ่อมแซม ปรับปรุง จะมีบทบาทสำคัญและอาจจะครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่าอุตสาหกรรมงานก่อสร้างใหม่ในอนาคต เนื่องจากความต้องการงานก่อสร้างใหม่เริ่มลดลง

ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเป็นธุรกิจที่ต้องการอาศัยปัจจัยการผลิตจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุดิบ และทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้การก่อสร้างนั้นดำเนินไปได้ด้วยดี สำหรับประเทศกัมพูชาธุรกิจรับเหมาก่อสร้างได้ก่อให้เกิดการจ้างแรงงานซึ่งเป็นการกระจายรายได้ให้แก่ชาวกัมพูชาเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่ลงทุนโดยนักลงทุนไทยและได้รับการส่งเสริมจาก Cambodian Investment Board (CIB) คือ บริษัทรับเหมาก่อสร้างนพวงศ์

ธุรกิจร้านค้าวัสดุก่อสร้าง

การเข้าไปตั้งศูนย์วัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่น Homepro, CementThai Homemart, Decormart เป็นต้น เป็นทางเลือกที่น่าสนใจเนื่องจากศูนย์จำหน่ายขนาดใหญ่เหล่านี้ มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย และมีบริการที่เป็นมืออาชีพ ทำให้ศูนย์จำหน่ายวัสดุก่อสร้างเหล่านี้ มีโอกาสแย่งส่วนแบ่งตลาดจากร้านค้าวัสดุก่อสร้างทั่วไปได้มาก สำหรับกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจร้านค้าวัสดุก่อสร้าง อาทิ ผู้รับเหมารายย่อย ผู้รับเหมารายใหญ่ และลูกค้ารายย่อย ซึ่งมีแนวโน้มว่าในอนาคตชาวกัมพูชาจะนิยมตกแต่งบ้านด้วยตนเองมากขึ้น ทำให้จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ ร้านค้าวัสดุก่อสร้างรายใหม่อาจจำเป็นต้องมีเงินทุนเพื่อซื้อสินค้าคงคลังค่อนข้างมาก หรืออาจจำเป็นต้องมีเครดิตในการซื้อสินค้าจากผู้ผลิต นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับการ ผันแปรตามวัฏจักรเศรษฐกิจ กล่าวคือเมื่อเศรษฐกิจดี ภาคอสังหาริมทรัพย์จะขยายตัวและมีความต้องการวัสดุก่อสร้างมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว และภาคอสังหาริมทรัพย์หดตัว ความต้องการวัสดุก่อสร้างจะลดลงบางส่วน เพราะมีความต้องการอีกส่วนหนึ่งจากการตกแต่ง และซ่อมแซมบ้าน อนึ่ง ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับเทคนิคในการบริหารด้วย เนื่องจากในปัจจุบันเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทั้งเรื่องของการบริหารสินค้าคงคลัง หรือเรื่องของเทคนิคการจัดวางสินค้า ซึ่งเทคนิคเหล่านี้แม้ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเท่าไรนัก แต่เป็นเทคนิคที่เพิ่งเริ่มนำเข้ามามีบทบาทในการขายวัสดุก่อสร้าง

ธุรกิจออกแบบและตกแต่งภายใน จัดสวน เพาะพันธุ์สัตว์น้ำ และอุปกรณ์ตกแต่งในบ้านและเครื่องใช้ในบ้าน

ธุรกิจเหล่านี้ถือเป็นโอกาสหนึ่งของผู้ประกอบการไทย เนื่องจากไทยและกัมพูชาเป็นประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิดกัน ทำให้ไทยได้เปรียบด้านการขนส่ง ทำให้ค่าขนส่งสินค้า อาทิ สินค้าหมวดเครื่องเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร เครื่องครัว และเครื่องประดับบ้าน รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้ามีราคาถูกกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการนำเข้าจากประเทศเกาหลี จีน หรือเวียดนาม นอกจากนี้ ความสามารถในการออกแบบของคนไทย ความสวยงาม คุณภาพ และมาตรฐานการออกแบบ/การผลิตที่เทียบเท่ากับสากล รวมถึงมีผู้ประกอบการไทยได้เข้าไปเปิดตลาดในกัมพูชา และได้นำเสนอสินค้าและบริการต่อชาวกัมพูชาให้เป็นที่ประจักษ์ อย่างไรก็ดี การขยายตลาดเข้าไปยังกัมพูชาถือเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ประกอบการไทย ซึ่งถือเป็นการเปิดตลาดใหม่ ๆ และประเทศกัมพูชาเองก็มีช่องทางและมีการเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากอยู่ระหว่างการพัฒนาสาธารณูปโภค ภาคอสังหาริมทรัพย์ และภาคการท่องเที่ยว


ตลาดสินค้ายานยนต์และบริการซ่อมบำรุงในกัมพูชา


กลุ่มสินค้าเกี่ยวกับยานยนต์ ชิ้นส่วนอะไหล่ และศูนย์บริการซ่อมบำรุง ได้แก่

(1) ส่วนประกอบรถยนต์และจักรยานยนต์

(2) อะไหล่รถยนต์และจักรยานยนต์

(3) เครื่องตกแต่งและประดับยนต์ และอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่น ๆ และ

(4) บริการที่เกี่ยวเนื่อง เช่น อู่ซ่อม บริการดูแลรักษาและบริการเคลือบสี

สืบเนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด รวมทั้งการเร่งปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในประเทศสมาชิกอาเซียนใหม่ ทำให้การคมนาคมติดต่อระหว่างพื้นที่ต่าง ๆ เป็นไปอย่างสะดวกยิ่งขึ้น ส่งผลให้ความต้องการยานพาหนะทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถจักรยานยนต์ รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ตลอดจนชิ้นส่วนยานยนต์ประเภทต่าง ๆ เพิ่มขึ้นตาม โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ

รถยนต์ที่เป็นที่นิยมของผู้ใช้ชาวกัมพูชาได้แก่ รถยนต์นั่งเก๋งบุคคล รถยนต์ประเภทขับเคลื่อนสี่ล้อ อเนกประสงค์ และรถยนต์บรรทุกสินค้าที่มีขนาดน้ำหนัก 1.5-2 เมตริกตันหรือรถกระบะ/รถปิคอัพ โดยรถยนต์นั่งที่เป็นที่นิยมสูงสุดคือ รถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น เช่น TOYOTA, HONDA และ MITSUBISHI เป็นต้น ส่วนประเภทรถยนต์อเนกประสงค์ขับเคลื่อนสี่ล้อและเป็นที่นิยม ซึ่งมีทั้งรถญี่ปุ่น เกาหลี และยุโรป ได้แก่ TOYOTA LAND CRUISER, PRADO, HONDA CRV, KIA SPORTAGE และ JEEP CHEROKEE โดยทั่วไปรถยุโรปทั่วไปนั้นไม่เป็นที่นิยมมากนักยกเว้นกลุ่มผู้มีรายได้สูงหรือนักการทูตรวมทั้งนักการเมืองระดับประเทศของกัมพูชา เนื่องจากขาดแคลนช่างผู้ชำนาญและอู่ซ่อมที่ได้มาตรฐานรวมทั้งราคาอะไหล่และซ่อมบำรุงค่อนข้างสูง

นอกจากนี้ กัมพูชามีการนำเข้ารถยนต์ใช้แล้วหรือรถยนต์มือสองจากประเทศสหรัฐอเมริกา เกาหลี และญี่ปุ่น เป็นหลัก ซึ่งส่วนหนึ่งหรือกว่าร้อยละ 30 ของรถยนต์ที่นำเข้านั้น เป็นรถยนต์ที่ประสบอุบัติเหตุและต้องนำมาซ่อมแซม เคาะ ปะผุ และพ่นสีใหม่ ก่อนนำออกจำหน่ายในประเทศ ประกอบกับกัมพูชาไม่มีกฎหมายหรือระเบียบกำหนดอายุการใช้งานและตรวจสอบสภาพรถยนต์แต่อย่างใด ดังนั้น นักธุรกิจค้ารถยนต์ชาวกัมพูชาจึงนิยมนำเข้ารถยนต์ใช้แล้ว/รถยนต์มือสอง ซึ่งเป็นที่ยอมรับของตลาดผู้บริโภคส่วนใหญ่

ทั้งนี้ จากสภาพการณ์ด้านการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการต่าง ๆ ของกัมพูชาที่ยังมีข้อจำกัดนั้น ประกอบกับสภาพรถยนต์ที่ใช้กันอยู่ในกัมพูชานั้นกว่าร้อยละ 85 เป็นการนำเข้ารถยนต์ใช้แล้วจากต่างประเทศ (พวงมาลัยขับซ้ายจึงทำให้ธุรกิจบริการซ่อมบำรุงรักษารถยนต์เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้รถและเจ้าของรถยนต์ชาวกัมพูชา อีกทั้งการฝึก ศึกษา และอบรมตลอดจนระบบการศึกษาของทั้งภาครัฐและเอกชนโดยเฉพาะเรื่องช่างเทคนิคและเครื่องยนต์ตลอดจนช่างฝีมือผู้ชำนาญนั้น ยังไม่สามารถกระทำได้อย่างเป็นระบบและทั่วถึง ดังนั้น การให้บริการอู่ซ่อมรถยนต์ส่วนใหญ่ จึงมีแต่ชาวเวียดนามซึ่งมีทักษะและความรู้ความชำนาญที่ดีกว่า ส่วนช่างเทคนิคและช่างฝีมือผู้ชำนาญชาวกัมพูชาที่มีอยู่ประจำตามศูนย์ให้บริการของบริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ของแต่ละยี่ห้อนั้น ล้วนแต่เป็นช่างที่ผ่านการฝึกฝนอบรมและเรียนรู้ทักษะจากประเทศไทยทั้งสิ้น


อุปสงค์ความต้องการกลุ่มสินค้ายานยนต์ ชิ้นส่วนอะไหล่ และบริการซ่อมบำรุง





ศูนย์บริการซ่อมบำรุง ธุรกิจอู่ซ่อมรถ

ในกัมพูชานั้นมีผู้ประกอบการอู่ซ่อมรถยนต์ทั่วไป ทั้งขนาดเล็กและขนาดกลางนับร้อยแห่ง ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่มีมาตรฐานในการซ่อมและยังขาดช่างฝีมือและช่างเทคนิคผู้ชำนาญ สำหรับอู่ซ่อมรถยนต์ที่ได้มาตรฐาน มีเครื่องมือที่ทันสมัยและช่างเทคนิคผู้ชำนาญการเป็นที่ยอมรับของกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ราคาแพงนั้น ส่วนใหญ่จะมีเฉพาะศูนย์บริการของตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อต่าง ๆ เช่น Toyota, Mitsubishi, Ford, Honda, Nissan, Izuzu, Mercedes Benz, Peugeot และ Jeep Cherokee เป็นต้น ทั้งนี้ อู่ซ่อมรถยนต์ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงพนมเปญ และกว่าร้อยละ 60 มีชาวกัมพูชาเป็นเจ้าของและบริหารจัดการ ส่วนอีกร้อยละ 30 เป็นของชาวเวียดนาม ที่เหลือกว่าร้อยละ 10 เป็นชาวต่างชาติอื่น ๆ ซึ่งมีชาวไทยเพียง รายที่ประกอบธุรกิจเปิดให้บริการอู่ซ่อมรถยนต์ในกรุงพนมเปญ และอีก รายประกอบธุรกิจอู่ซ่อมรถยนต์ในจังหวัดเสียมเรียบ โดยทั้ง ราย ได้ประกอบธุรกิจด้านอู่ซ่อมรถยนต์ในกัมพูชามากว่า 10 ปี และได้รับความเชื่อถือในผลงานและการบริหารจัดการธุรกิจดังกล่าว ซึ่งประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี

อู่ซ่อมรถยนต์ทั่วไปในกรุงพนมเปญนั้น จะให้บริการซ่อมเครื่องยนต์ เช่น การตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ ระบบไฟฟ้า และระบบช่วงล่าง ทั้งนี้ ผู้ใช้รถยนต์ในกัมพูชาสามารถจำแนกได้ กลุ่มหลัก ดังนี้

กลุ่มชาวต่างชาติ บริษัทต่างชาติ องค์กรระหว่างประเทศ และนักการทูต กลุ่มนี้มักนิยมส่งรถยนต์ทั้งของตนเองและของสำนักงานเข้าซ่อมบำรุงและตรวจเช็คในอู่ที่ได้มาตรฐานหรือศูนย์บริการของบริษัทผู้ค้ารถยนต์ ยี่ห้อต่าง ๆ เพราะต้องการคุณภาพและความมั่นใจของการให้บริการโดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณภาพของอะไหล่รถยนต์ที่เป็นของแท้ มากกว่าราคา/อัตราค่าบริการ
กลุ่มประชาชนทั่วไปทั้งระดับกลางและล่าง หรือกว่าร้อยละ 85 นั้นจะมีความคิดเห็นและความต้องการคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ จะนำรถยนต์เข้าอู่ซ่อมเมื่อมีอาการขัดข้องและเสียหายเท่านั้นและไม่มีความใส่ใจในการบำรุงรักษา หรือดูแลป้องกันก่อนเกิดความเสียหาย เช่น การไม่เปลี่ยนสายพานเครื่องยนต์ หรือเปลี่ยนถ่ายน้ำมันหล่อลื่นต่าง ๆ เมื่อครบกำหนดอายุการใช้งาน เป็นต้น และจะคำนึงถึงราคา/อัตราค่าบริการของอู่ซ่อมเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจนำรถยนต์ของตนเองเข้ารับบริการ ส่วนราคาและคุณภาพของอะไหล่จะเป็นปัจจัยรอง โดยคำนึงถึงเพียงทำการซ่อมเพื่อให้ใช้งานต่อไปได้ ก็เพียงพอแล้ว และไม่คำนึงถึงอายุการใช้งานภายหลังการซ่อมบำรุง
ดังนั้น จึงนับเป็นโอกาสที่ดีของการลงทุนประกอบกิจการให้บริการด้านอู่ซ่อมรถยนต์ในกัมพูชา โดยเฉพาะอู่ซ่อมรถยนต์ที่มีมาตรฐานที่ดีด้วยการให้บริการโดยช่างผู้ชำนาญงานด้านต่าง ๆ พร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์ซ่อมแซมที่ทันสมัยในอัตราค่าบริการที่เหมาะสม ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายหรืออัตราค่าบริการในการซ่อมแซมรถยนต์ตามศูนย์/บริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ทั่วไปของกัมพูชานั้น จะมีอัตราค่าบริการที่สูงกว่าประเทศไทยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 20 เมื่อเปรียบเทียบกับค่าแรงต่อการทำงานซ่อมแซมบำรุงรักษาของช่างผู้ชำนาญชาวเวียดนามและกัมพูชาประมาณ 10-30 เหรียญสหรัฐฯ ต่อครั้ง ทั้งนี้ ผู้ลงทุนหรือผู้ประกอบการสามารถยื่นขอจดทะเบียนและใบอนุญาตจากสำนักงานพาณิชย์กรุงพนมเปญ หรือจังหวัดอื่นใดก็ได้ โดยทางการกัมพูชาจะพิจารณาออกใบอนุญาตให้ครั้งละ ปี แต่หากผู้ลงทุนหรือผู้ประกอบการยื่นขอจดทะเบียนและใบอนุญาตที่กระทรวงพาณิชย์ ของกัมพูชา จะได้รับการพิจารณาและออกใบอนุญาตประกอบการที่มีอายุนานถึง 99 ปี

อะไหล่/ชิ้นส่วนยานยนต์

ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ เช่น TOYOTA หรือ MERCEDES BENZ นั้น จะมีการเก็บสต๊อก ของอะไหล่ไว้จำนวนหนึ่งเพื่อบริการลูกค้าโดยเป็นอะไหล่ที่มีการนำเข้าจากประเทศผู้ผลิตรถยนต์ยี่ห้อนั้น ๆ โดยตรง นอกจากนี้ ทั้งตัวแทนจำหน่าย ผู้ค้าอะไหล่ และอื่น ๆ ก็มีการนำเข้าอะไหล่และวัสดุสิ้นเปลือง เช่น น้ำมันหล่อลื่น และ สายพาน ฯลฯ จากประเทศไทย สิงคโปร์ และเวียดนาม ทั้งของแท้และของเลียนแบบมาจำหน่ายอีกด้วย ทั้งนี้ อู่ซ่อมรถยนต์ทั่วไปของชาวกัมพูชามักจะหาอะไหล่รถยนต์มาให้บริการลูกค้า โดยการถอดชิ้นส่วนอะไหล่ต่าง ๆ จากรถยนต์ เครื่องยนต์เก่าที่ไม่สามารถใช้งานได้แล้ว และนำมาดัดแปลงใช้กับรถยนต์ที่ต้องการซ่อมในราคาถูก ทั้งที่บางครั้งราคาของอะไหล่จากรถยนต์/เครื่องยนต์เก่านั้นจะมีราคาสูงกว่าชิ้นส่วนอะไหล่เลียนแบบซึ่งเป็นของใหม่ด้วยซ้ำไป แต่ด้วยความเชื่อในคุณภาพที่ดีกว่าของชิ้นส่วนอะไหล่เก่าที่ติดรถยนต์นั้นเมื่อเปรียบเทียบกับของเลียนแบบของผู้บริโภคหรือลูกค้า ดังนั้น อะไหล่สำหรับรถยนต์เก่าจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในกัมพูชา เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตได้มีการยกเลิกการผลิตและส่งเข้ามาจำหน่ายจึงไม่สามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป นอกจากการนำเข้ารถยนต์เก่า/ชำรุดหรือเครื่องยนต์เก่า/ชำรุดเหล่านั้นมาเพื่อแยกชิ้นส่วนอะไหล่และส่วนประกอบที่ยังคงใช้งานได้ดีและนำออกขายหรือเปลี่ยนซ่อมให้กับผู้ใช้รถยนต์ชาวกัมพูชา

การนำเข้าและการจัดการสินค้าชิ้นส่วนอะไหล่และอุปกรณ์ยานยนต์เพื่อให้บริการตามอู่บริการต่าง ๆ นั้น ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ใหม่ส่วนใหญ่จะนำเข้าชิ้นส่วนอะไหล่และอุปกรณ์โดยตรงจากบริษัทแม่หรือจากบริษัทตัวแทน และกว่าร้อยละ 70 เป็นการนำเข้าจากประเทศไทย เพื่อให้บริการแก่ลูกค้า ส่วนชิ้นส่วนอะไหล่และอุปกรณ์สำหรับรถยนต์เก่านั้นจะมีผู้นำเข้าหรือผู้ค้ารถยนต์เก่าเป็นผู้นำเข้ามาและจัดจำหน่ายต่อไปยังร้านค้าส่ง/ปลีกและอู่ซ่อมรถยนต์ ทั้งนี้ โดยทั่วไปแล้วอู่ซ่อมรถยนต์ส่วนใหญ่จะไม่มีการเก็บสต๊อก ชิ้นส่วนอะไหล่และอุปกรณ์ และจะใช้การติดต่อสอบถามตามร้านค้าส่งและปลีกตลอดจนผู้นำเข้ารถยนต์และเครื่องยนต์เก่า หรือหาอะไหล่ชิ้นส่วนอื่น ๆ ดัดแปลงทดแทนเพื่อให้รถยนต์สามารถใช้งานได้เท่านั้น

ในขณะที่คู่แข่งขันที่สำคัญของไทยทั้งเวียดนามและจีนได้พยายามเข้ามาขยายและแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดชิ้นส่วนอะไหล่และส่วนประกอบรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นด้วยการแข่งขันทางด้านราคาที่ถูกกว่า แต่ชาวกัมพูชาเองส่วนใหญ่ ยังคงให้การยอมรับและเชื่อถือในคุณภาพของสินค้าไทยแม้จะต้องจ่ายแพงกว่าก็ตาม

สำหรับรถจักรยายนต์ถือเป็นพาหนะยอดนิยมของชาวกัมพูชา โดยทั่วไปประชาชนในกัมพูชาจะมีรถจักรยานยนต์เฉลี่ยครอบครัวละ 1-2 คัน ทั้งนี้ เมื่อชาวกัมพูชามีรายได้จากการขยายผลิตผลทางการเกษตรส่วนใหญ่จะนำเงินมาซื้อรถจักรยานยนต์ กัมพูชานำเข้ารถจักรยานยนต์ในปีที่ผ่านมา ประเทศที่ส่งรถจักรยานยนต์ไปจำหน่ายกัมพูชามีมูลค่าสูงได้แก่ เกาหลี ซึ่ง ได้ส่งรถจักรยานยนต์ไปจำหน่ายในกัมพูชา มีส่วนแบ่งการตลาดกว่าร้อยละ 37.8 รองลงมาได้แก่ ญี่ปุ่น มีส่วนแบ่งการตลาดกว่าร้อยละ 28.9 และไทยส่งไปเป็นลำดับที่ มีส่วนแบ่งการตลาดกว่าร้อยละ 17.1 สำหรับไทยมีการส่งออกยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบไปจำหน่ายกัมพูชา ในช่วงปี พ.. 2550 มีมูลค่าประมาณ 75.83 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับปี พ.. 2549 ซึ่งส่งออกไปกัมพูชา มูลค่า 101.46 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 25.26

อนึ่ง ตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศกัมพูชามีการแข่งขันกันสูงมาก ผู้นำเข้าจึงต้องพยายามลดต้นทุนการนำเข้าเพื่อให้มีราคาจำหน่ายต่ำให้เป็นการจูงใจ ผู้ซื้อ การลดต้นทุนนำเข้าของผู้จำหน่ายในกัมพูชาที่ชัดเจน คือ การนำเข้านอกระบบโดยหลีกเลี่ยงภาษี อย่างไรก็ดี ตลาดสินค้ารถจักรยานยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบของไทยในกัมพูชาคาดว่า จะดำเนินต่อไปด้วยดีถึงแม้ว่าจะ มีการสร้างโรงงานประกอบรถจักรยานยนต์ในกัมพูชาขึ้นก็ตาม แต่ความต้องการอุปกรณ์และส่วนประกอบรถจักรยานยนต์จากไทยก็จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค (SWOT) ของสินค้าไทย


จุดแข็ง

จุดอ่อน

  • อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยมีผู้ประกอบการรายใหญ่ เช่น โตโยต้า อีซูซุ รวมถึงผู้ผลิตจากประเทศยุโรป เช่น กลุ่มเจเนอรัลมอเตอร์ (GM Group) ฟอร์ด บีเอ็มดับเบิลยู เป็นต้น มาสร้างฐานการผลิตในประเทศไทย เพื่อผลิตจำหน่ายในประเทศและเพื่อการส่งออก
  • ประเทศไทยมีกำลังการผลิตสูงกว่าปริมาณความต้องการภายในประเทศ จึงสามารถเพิ่มปริมาณการผลิตให้เพียงพอกับการส่งออกได้
  • รัฐบาลมีนโยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามา ลงทุนในอุตสาหกรรมสนับสนุนมากขึ้น ทำให้เกิดการรวมศูนย์ (Cluster System) ในอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ชัดเจนและเข้มแข็ง
  • ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ โดยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน อินโดจีน รวมถึงเชื่อมโยงกับเอเชียใต้ด้วย จึงเหมาะสมที่จะตั้งเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกของภูมิภาคนี้
  • ประเทศไทยยังไม่มีเทคโนโลยีในการผลิต และ/หรือการออกแบบรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ฯ เป็นของตนเอง อันเป็นผลมาจากขาดการถ่ายทอดเทคโนโลยีของนักลงทุนในต่างประเทศ
  • ประเทศไทยยังให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา(Research & Development) เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วไม่มากเพียงพอ ซึ่งไม่เพียงแต่ในอุตสาหกรรมรถยนต์เท่านั้น ยังรวมถึงอุตสาหกรรมอื่น ๆ ด้วย
  • ประเทศไทยขาดแคลนบุคลากรระดับสูงในด้านการผลิตและการออกแบบในอุตสาหกรรมรถยนต์ รวมถึงชิ้นส่วนฯ
  • มูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมรถยนต์ และชิ้นส่วนฯ ในประเทศไทยยังอยู่ในระดับต่ำ

โอกาส

อุปสรรค

  • ความร่วมมือในโครงการ AICO (Asean Industrial Cooperation) และ AFTA (Asean Free Trade Area) ทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนฯ มีตลาดกว้างขึ้นและมีโอกาสในการขยายตัวมากขึ้น
  • รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนฯ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับไปสู่ศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์ของอาเซียน
  • ผู้ประกอบรถยนต์และผู้ผลิตชิ้นส่วนฯ ประเภท First Tier เกือบทั้งหมดเป็นการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งถูกควบคุมนโยบายต่าง ๆ จากบริษัทแม่ในต่างประเทศ จึงมีความยืดหยุ่นต่ำ สามารถกำหนดอำนาจการต่อรองได้ โดยเฉพาะการหยิบยกประเด็นด้านการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้อย่างเพียงพอ
  • ประเทศไทยมีคู่แข่งสำคัญในภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน ที่ต่างต้องการเม็ดเงินการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อการลงทุนใน อุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนฯ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น