head ads

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภาพรวมของกัมพูชา (3)


ศักยภาพด้านการค้าของกัมพูชา


การค้าชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา
  http://122.155.9.68/talad/index.php/cambodia/overview-kh/trade

รูปแบบการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา

ไทยมีพรมแดนติดต่อกับกัมพูชาเป็นระยะทาง 803 กิโลเมตร (ติดกับลาว 541 .เวียดนาม 1,228 .โดยมีชายฝั่งทะเลยาว 443 ..) มีด่านถาวรที่สามารถส่งออกและนำเข้าสินค้าได้จำนวน แห่ง ทำให้การค้าชายแดนมีบทบาทสูง โดยมีสัดส่วนเฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 70 ของมูลค่าการค้ารวมระหว่างประเทศทั้งสอง และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทั่วไปการค้าชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามีอยู่ ลักษณะ คือ

มีลักษณะทั้งในรูปแบบการค้าชายแดนที่แท้จริงคือ เป็นการซื้อขายระหว่างคนในพื้นที่ที่อาศัยอยู่บริเวณจังหวัดชายแดน
มีรูปแบบคล้ายกับการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งไม่ได้มีการทำการค้าขายเฉพาะกลุ่มผู้ค้าภายในพื้นที่บริเวณจังหวัดชายแดนเท่านั้น แต่ประกอบด้วยผู้ค้าจากส่วนกลาง และที่อื่นๆ เข้ามาดำเนินการค้าขายผ่านชายแดน
จุดการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา

กัมพูชาเป็นประเทศเพื่อนบ้านของไทยที่มีพรมแดนติดต่อกันหลายด้าน โดยทิศเหนือ ติดกับไทย จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ทิศตะวันตกติดกับไทย จังหวัด ได้แก่ สระแก้ว จันทบุรี และตราด และทิศใต้ติดกับอ่าวไทย และมีจุดการค้าชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา คือ จุดผ่านแดนถาวรและจุดผ่อนปรนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัด และในภาคตะวันออก จังหวัด โดยจุดการค้าผ่านแดนทั้งหมดนี้มีจุดการค้าที่สำคัญ คือ ตลาดโรงเกลือ ที่ตั้งอยู่ที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ซึ่งมีมูลค่าการค้า สูงที่สุด สำหรับจุดการค้าชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาทั้งหมดดังแสดงในตารางที่ 3.1 (P3-2)

การค้าชายแดนกับการค้าระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา

ภาพรวมการค้าชายแดนของไทยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปีนับตั้งแต่ปี พ.. 2542 เป็นต้นมา และเมื่อพิจารณาถึงการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาเปรียบเทียบกับการค้าระหว่างประเทศจะเห็นได้ว่าการค้าชายแดนมีสัดส่วนเฉลี่ยร้อยละ 83 ของการค้าระหว่างประเทศ ดังรายละเอียดในตารางที่ 3.2 (P3-3)

มูลค่าการค้าชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา

มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา นับตั้งแต่ปี พ.. 2542 เป็นต้นมา ประเทศไทยเกินดุลการค้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้ เนื่องจากมูลค่าการส่งออกชายแดนของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นมากกว่ามูลค่าการนำเข้าชายแดนกัมพูชา โดยสินค้าส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ น้ำตาล น้ำมันเชื้อเพลิง สุกรมีชีวิต ปูนซีเมนต์ ยางรถยนต์และรถจักรยานยนต์ อาหารสัตว์ น้ำอัดลม เครื่องยนต์เบนซิน/ดีเซล อะไหล่รถจักรยานยนต์ ผ้าผืน และสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป ขณะที่ไทยนำเข้าสินค้าผัก/ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก/ผลไม้ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เยื่อกระดาษและเศษกระดาษ ไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป แร่และผลิตภัณฑ์จากแร่ เนื้อสัตว์สำหรับบริโภค กาแฟ ชา และเครื่องเทศ

สำหรับมูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ปี พ.. 2552 ที่ครอบคลุมพื้นที่ จังหวัด คือ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ จันทบุรี ตราด และสระแก้ว มีมูลค่า 45,374 ล้านบาท ลดลงจากปี พ.. 2551 ที่มีมูลค่า 50,308 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.81 แยกเป็นไทยส่งออก 42,879 ล้านบาท และนำเข้า 2,495 ล้านบาท ไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้า มูลค่า 40,384 ล้านบาท (ตารางที่ 3.3) (P3-4)

(ตารางที่ 3.4 สินค้าส่งออก-นำเข้าที่สำคัญของจุดการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา) (P3-5)

(แผนภาพที่ 3.1 มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ปี พ.. 2548-2552) (P3-6)

แม้กัมพูชาจะมีนโยบายเปิดเสรีทางการค้า แต่การขาดเงินตราต่างประเทศ ขาดกำลังซื้อ ตลอดจนขาดสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานต่าง ๆ อาทิ การคมนาคม การสื่อสาร และความไม่พร้อมในการเปิดจุดผ่านแดนถาวรยังคงเป็นอุปสรรคทางการค้าที่สำคัญ

ลักษณะพิเศษของการค้าชายแดนไทยกับกัมพูชา

จุดการค้าบริเวณชายแดนไทยกับกัมพูชา นอกจากจะเป็นตลาดซื้อขายสินค้าหรือเส้นทางขนส่งสินค้าระหว่างประเทศแล้ว ในฝั่งกัมพูชายังมีบ่อนกาสิโนที่เปิดอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการอยู่มากมายหลายแห่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งนี้ เนื่องมาจากกัมพูชามีนโยบายการค้าเสรี ซึ่งจะมีภาคเอกชนคอยให้บริการรับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศกระจายอยู่ทั่วไปตามแนวชายแดนไทยกับกัมพูชา เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการ ทำการค้าตามแนวชายแดนไทยกับกัมพูชา และการเล่นพนันในบ่อนกาสิโนบริเวณชายแดนด้วย

บทวิเคราะห์ความสำคัญของการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา

กล่าวโดยสรุป มูลค่าการค้าชายแดนไทยกับกัมพูชาที่ผ่านด่านศุลกากร ด่าน คือ ช่องจอม อรัญประเทศ คลองใหญ่ และจันทบุรี ในปีงบประมาณ 2552 มีมูลค่าการค้ารวมจำนวน 44,086 ล้านบาท อัตราการขยายตัวลดลง ร้อยละ 10.4 เปรียบเทียบกับปีก่อน โดยการนำเข้ามีมูลค่า 2,468 ล้านบาท ลดลง 725 ล้านบาทหรือร้อยละ 22.7 การส่งออกมีมูลค่า 41,617 ล้านบาท ลดลง 4,366 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.5 การค้าชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามีสัดส่วนราวร้อยละ 5.6 ของมูลค่าการค้าชายแดน ทั้งนี้ สินค้านำเข้าจากกัมพูชา ที่มีมูลค่าสูงสุด อันดับแรก ได้แก่ ธัญพืช ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าวโพด มูลค่านำเข้า 647 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26 รองลงมา ได้แก่ มันสำปะหลัง มูลค่านำเข้า 525 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21 และ เมล็ดและผลไม้มีน้ำมัน ซึ่ง ส่วนใหญ่เป็นถั่วเหลือง มีมูลค่านำเข้า 292 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12 อนึ่ง การนำเข้าสินค้าจากกัมพูชา มีการนำเข้าทางด่านอรัญประเทศ ร้อยละ 57 ทางด่านจันทบุรี ร้อยละ 30 ด่านช่องจอม ร้อยละ 8.7 และด่านคลองใหญ่ ร้อยละ ในขณะที่การส่งออกสินค้าที่สำคัญ ได้แก่ น้ำตาล น้ำมันปิโตรเลียม สุกรมีชีวิต ปูนซีเมนต์ อาหารสัตว์ และยางนอกชนิดอัดลม ด่านที่มีมูลค่าการส่งออกสูงได้แก่ ด่านอรัญประเทศ มูลค่าการส่งออก จำนวน 21,549 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 52 ของมูลค่าการส่งออกรวม และอีกร้อยละ 40 เป็นการส่งออกทางด่านคลองใหญ่

ทั้งนี้ การค้าชายแดนในปี พ.. 2552 มีมูลค่าลดลง อาจเนื่องเพราะกัมพูชาได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก ขณะที่ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่เกิดขึ้นได้ส่งผลให้นักธุรกิจไม่เชื่อมั่นในสถานการณ์จึงได้ชะลอการสั่งซื้อสินค้าออกไปก่อน หรือไม่ก็สั่งเป็นล็อตเล็กๆ มากกว่า อนึ่ง ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ปรากฏว่ามีกำลังซื้อสินค้าจำนวนเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากเป็นช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่ที่ประชาชนชาวกัมพูชา จะซื้อสินค้าไปจำหน่ายในช่วงปีใหม่ ทำให้สินค้าอุปโภคและบริโภคถูกสั่งซื้อมากขึ้นกว่า เท่าตัว อย่างไรก็ดี เรื่องมูลค่าการค้าที่เติบโตลดลงเป็นแค่ชั่วคราว ในอนาคตมีแนวโน้มที่จะกลับมาเติบโตเช่นเดิม นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้มูลค่าการค้าลดลง โดย ภาครัฐควรเร่งสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาลกัมพูชาให้กลับมามีความสัมพันธ์เช่นเดิมจะทำให้การค้าขายกลับเป็นปกติ

อนึ่ง แนวโน้มการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของสัดส่วนการค้าชายแดนต่อมูลค่าการค้ารวมสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คาดว่าเนื่องจากการพัฒนาอย่างรวดเร็วของระบบโลจิสติกส์ ทำให้มีความสะดวกรวดเร็วในการขนส่งสินค้าตามเส้นทางรถยนต์ รวมทั้งการอำนวยความสะดวกด้านพิธีการศุลกากรด้วยระบบ e- Customs ทำให้การนำเข้า-ส่งออกมีความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

ด่านศุลกากรอรัญประเทศ
ด่านศุลกากรอรัญประเทศมีพื้นที่รับผิดชอบด้านการให้บริการและปฏิบัติงานป้องกันและปราบปรามในเขตพื้นที่รับผิดชอบจำนวน จังหวัด คือ จังหวัดสระแก้ว และปราจีนบุรี มีแนวพรมแดนติดกับประเทศกัมพูชาเป็นเขตแดนทางบกมีความยาวทั้งสิ้น 165 กิโลเมตร ที่ทำการด่านศุลกากรอรัญประเทศมีหน้าที่และความรับผิดชอบในบริการด้านงานธุรการรับ-ส่งหนังสือ และเอกสาร การผ่านพิธีใบขนส่งสินค้า การประเมินราคาค่าภาษีอากรและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ การดำเนินการด้านคดีและของกลาง การเก็บรักษาและจำหน่ายของกลาง และของตกค้าง รวมทั้งการติดต่อประสานงานต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีสถานที่ปฏิบัติงานอื่นอีก ดังนี้

ด่านพรมแดนบ้านคลองลึก (จุดผ่านแดนถาวร/ทางอนุมัติ)
จุดผ่อนปรนการค้า จุด ได้แก่
จุดผ่อนปรนการค้าบ้านตาพระยา อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว ห่างจากศุลกากรอรัญประเทศประมาณ 75 กิโลเมตร ตรงข้ามบ้านบึงตากวน อำเภอทมอพวก จังหวัดบันเตียเมียนเจย ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของด่านศุลกากรบึงตากวนของกัมพูชา
จุดผ่อนปรนการค้าบ้านหนองเสือ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ห่างจากศุลกากรอรัญประเทศประมาณ 36 กิโลเมตร อยู่ตรงข้ามตำบลมาลัย จังหวัดบันเตียเมียนเจย ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของด่านศุลกากรพนมมาลัย กัมพูชา และ
จุดผ่อนปรนการค้าบ้านเขาดิน อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว ห่างจากด่านศุลกากรอรัญประเทศประมาณ 58 กิโลเมตร อยู่ตรงข้ามบ้านกิโล 13 อำเภอสำเภาลูน จังหวัดพระตะบอง ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของด่านศุลกากรพนมได กัมพูชา
ทางอนุมัติเฉพาะคราว แห่ง ซึ่งมีหน้าที่ตรวจและควบคุมสินค้าที่ส่งออกหรือนำเข้า ณ ช่องทางอนุมัติเฉพาะคราวตามที่ผู้ส่งออกหรือผู้นำเข้าร้องขอ ได้แก่ ทางอนุมัติเฉพาะทางบ้านโคกสะแบง อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ตรงข้ามกับด่านศุลกากรปอยเปต กัมพูชา ทางอนุมัติชั่วคราวบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ตรงข้ามกับด่านศุลกากร บึงตากวน กัมพูชา และทางอนุมัติเฉพาะคราวบ้านโนนหมากมุ่น อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ตรงข้ามกับด่านศุลกากรบึงตากวน กัมพูชา
ที่ตั้งด่านศุลกากรอรัญประเทศ ถนนสุวรรณศร อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว 27120 โทรศัพท์ 0-3723-1214, 0-3723-0186 โทรสาร 0-3723-1028

สถิติการค้าชายแดนผ่านด่านอรัญประเทศ


ไทยได้ดุลการค้าจากการค้าขายกับกัมพูชาปีละมากกว่าหมื่นล้านบาท โดยในปี พ.. 2552 การค้าชายแดนผ่านด่านศุลกากรอรัญประเทศมีมูลค่า 23,094.6 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 18 แยกเป็นสินค้าส่งออกที่ส่งไปยังกัมพูชามีมูลค่า 21,576 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17.4 ส่วนสินค้าที่ไทยนำเข้าจากกัมพูชามีมูลค่า 1,518.6 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 29 โดยที่ไทยเกินดุลการค้ามูลค่า 20,057.5 ล้านบาท สินค้าที่กัมพูชานำเข้าจากไทย ได้แก่ ปูนซีเมนต์ อาหารสัตว์ ปุ๋ยเคมี สุกร ยางรถยนต์ เป็นต้น โดยสินค้าที่กัมพูชาส่งออกมายังไทย คือ มันสำปะหลัง ข้าวโพดใช้เลี้ยงสัตว์ เศษกระดาษ เศษเหล็ก และเมล็ดถั่วเหลือง เป็นต้น (ตารางที่ 3.5 และ 3.6) (P3-8)

ด่านศุลกากรคลองใหญ่  

ด่านศุลกากรคลองใหญ่ได้เปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านหาดเล็ก ตำบลหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 21 กันยายน ปี พ.. 2540 ซึ่งพื้นที่ตรงข้ามด้านกัมพูชา คือ บ้านจามเยี่ยม อำเภอมณฑลสีมา จังหวัดเกาะกง สำหรับการเดินทางเข้า-ออก บริเวณจุดผ่านแดนถาวรยังใช้แนวทางการปฏิบัติแบบเดิม โดยมีเส้นทางการขนส่งสินค้าทั้งทางบก (เข้าสู่จังหวัดเกาะกง กัมพูชา ส่วนมากเป็นรถบรรทุกสิบล้อ และทางทะเลโดยใช้เรือประมงดัดแปลงที่มีระวางน้ำหนักเรือไม่เกิน ตัน ซึ่งสามารถขนส่งสินค้าไปยังท่าเรือขนาดเล็กใกล้จังหวัดสีหนุวิลล์ (กัมปงโสมได้ ในปัจจุบันมีท่าเทียบเรือเอกชน ท่า คือ ท่าเทียบเรือเกษมศิริ ท่าเทียบเรือประมงคลองใหญ่ ท่าเทียบเรือกัลปังหา ท่าเทียบเรือ ป.เกษมศิริ ท่าเทียบเรือบ้านคลองสน และท่าเทียบเรือชลาลัย ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ท่าเทียบเรือกัลปังหา และท่าเทียบเรือชลาลัยเป็นหลักในการขนส่งสินค้าไปกัมพูชา

ที่ตั้งด่านศุลกากรคลองใหญ่ อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด 23110 โทรศัพท์ 0-3958-1018โทรสาร 0-3958-1361

สถิติการค้าชายแดนผ่านด่านคลองใหญ่

การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ผ่านด่านคลองใหญ่ได้ดุลการค้าเพิ่มขึ้นซึ่งแปรผันตรงกับมูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้น โดยในปี 2552 ไทยส่งออกสินค้าผ่านด่านคลองใหญ่ได้สูงถึง 17,997.19 ล้านบาท และนำเข้าสินค้า 49.67 ล้านบาท (ตารางที่ 3.7) (P3-10) สินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ไม้แปรรูป เครื่องขยายกำลังส่งของเครื่องวิทยุ อุปกรณ์เครื่องวิทยุคมนาคม โดยสินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ น้ำตาลทราย นมและอาหารเสริม ขนมต่าง ๆ เครื่องโทรศัพท์มือถือพร้อมอุปกรณ์ครบชุด ผงชูรส ผงปรุงรส เป็นต้น (ตารางที่ 3.8) (P3-11)

ด่านศุลกากรจันทบุรี  

ด่านศุลกากรจันทบุรีเป็นด่านศุลกากรทางทะเลด้านอ่าวไทย ในอดีตขนส่งสินค้าทางทะเลแต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนมาใช้การขนส่งทางบกแทน ซึ่งมีช่องทางการขนถ่ายสินค้าโดยแยกเป็นจุดผ่านแดนถาวร จุด และจุดผ่อนปรน จุด ดังนี้

จุดผ่านแดนถาวร

บ้านผักกาด อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี ตรงข้ามกับบ้านพรม จังหวัดไพลินเปิดให้ผ่านแดนระหว่างเวลา 07.00-20.00 .
บ้านแหลม อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี ตรงข้ามกับ อำเภอกุมเรียง จังหวัดพระตะบอง เปิดให้ผ่านแดนระหว่างเวลา 07.00-20.00 ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ พฤศจิกายน 2546
จุดผ่อนปรน

บ้านซับตารี อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี ตรงข้ามกับบ้านโอลำดวน อำเภอพนมปึก จังหวัดพระตะบอง โดยจังหวัดจันทบุรีประกาศเปิดให้ผ่านแดนระหว่างเวลา 07.00-16.00 .
บ้านสวนส้ม อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี ตรงข้ามกับบ้านสังกะสี อำเภอกุมเรียง จังหวัดพระตะบอง โดยจังหวัดจันทบุรีประกาศเปิดให้ผ่านแดนระหว่างเวลา 07.00-16.00 .
บ้านบึงชนังล่าง อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี ตรงข้ามกับบ้านสวายเรียง อำเภอกุมเรียง จังหวัดพระตะบอง โดยจังหวัดจันทบุรีประกาศเปิดให้ผ่านแดนระหว่างเวลา 07.00-16.00 .
สถิติการค้าชายแดนด่านจันทบุรี

การค้าชายแดนด่านจันทบุรีถึงแม้จะมีมูลค่าการส่งออก-นำเข้าสินค้าไม่สูงเท่าด่านคลองใหญ่และด่านอรัญประเทศที่มีมูลค่ารวมถึงหมื่นล้านบาท แต่การค้าชายแดนจันทบุรีก็ทำให้ไทยได้ดุลการค้ามาโดยตลอด โดยสินค้าส่งออกของไทย อันดับแรก ได้แก่ เครื่องดื่มประเภทเบียร์ กระดาษถ่ายเอกสาร ปูนซีเมนต์ น้ำมันเบนซินพิเศษออกเทน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ทั้งนี้ จังหวัดจันทบุรียังเป็นจังหวัดนำร่องในโครงการลงทุนเกษตรแบบมีพันธะสัญญา (Contract Farming) กับกัมพูชาเนื่องจากมีการเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรมาก (ตารางที่ 3.9 และ 3.10) (P3-14)

โอกาสการค้าในกัมพูชา  

ส่วนใหญ่สินค้าอุปโภค บริโภคกัมพูชายังไม่มีความสามารถที่จะผลิตได้เองภายในประเทศ อีกทั้งสินค้าที่ผลิตได้เองก็ยังไม่เพียงต่อความต้องการของคนภายในประเทศ ขณะที่ชาวกัมพูชาเองกลับมีความต้องการสินค้าและบริการต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จึงต้องอาศัยการนำเข้าสินค้าจากทั่วโลก ซึ่งสินค้าที่กัมพูชามีความต้องการสูง อาทิ อาหารและเครื่องดื่ม รถยนต์ วัสดุก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์ยาง ผ้าผืน และเชื้อเพลิง อนึ่ง สินค้าไทยถือว่ามีคุณภาพดีเมื่อเทียบกับสินค้าจีนและเวียดนาม รูปแบบสวยงาม เป็นที่พอใจของตลาดกัมพูชาเพราะชาวกัมพูชานิยมสินค้าไทยตามการโฆษณาทางสื่อโทรทัศน์ไทย ทำให้สินค้าไทย เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากกว่าสินค้าจากประเทศอื่น ๆ นอกจากนี้ การส่งมอบสินค้าของไทยมีความสะดวกและรวดเร็ว เนื่องจากไทยและกัมพูชามีอาณาเขตติดต่อกันเป็นแนวยาว การชำระค่าสินค้าของไทยกับกัมพูชาสามารถกระทำได้โดยวิธีง่าย ๆ โดยชำระค่าสินค้าเป็นเงินบาท เงินดอลลาร์สหรัฐฯ และทองคำ ทำให้การซื้อขายสินค้าของไทย มีความคล่องตัวสูง อย่างไรก็ดี กัมพูชามีอาณาเขตติดกับทั้งไทย เวียดนาม และลาว ทำให้กัมพูชาได้ประโยชน์จากการค้าขายชายแดนซึ่งใช้เส้นทางถนนเชื่อมโยงไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทำให้ไทยสามารถใช้กัมพูชาเป็นช่องทางส่งสินค้าต่อไปยังลาว และเวียดนามได้

นอกจากนี้ จากผลการศึกษาทัศนะของชาวกัมพูชาในกรุงพนมเปญที่มีต่อภาพลักษณ์ของนักธุรกิจไทยในกัมพูชา ก็พบว่า นักธุรกิจไทยมีภาพลักษณ์ด้านความรู้ความสามารถอยู่ในระดับดี คุณภาพสินค้าที่ให้บริการในกัมพูชาของนักธุรกิจไทยอยู่ในระดับดี และปัจจัยที่มีผลต่อความพึงพอใจของชาวกัมพูชาต่อนักธุรกิจไทย ได้แก่ บุคลิกลักษณะและความน่าเชื่อถือของนักธุรกิจไทย การให้ความยุติธรรมต่อชาวกัมพูชาในการปฏิบัติงานในหน่วยงานของธุรกิจไทย ความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมาของนักธุรกิจไทย คุณภาพของสินค้าที่ให้บริการ ความรับผิดชอบต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และ การแสดงออกเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของนักธุรกิจไทยต่อชาวกัมพูชา สิ่งเหล่านี้จะเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยรายอื่นๆ ที่จะเข้าสู่ตลาดกัมพูชาได้สะดวกมากขึ้น รวมทั้งการที่นักธุรกิจไทยได้รวมตัวกันจัดตั้งสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา เพื่อคอยช่วยเหลือให้คำแนะนำผู้ประกอบการไทยที่อยู่ในกัมพูชาและผู้ประกอบการไทยที่สนใจไปทำตลาดในกัมพูชาด้วย

นโยบายของรัฐบาลกัมพูชาต่อการค้าการลงทุน  

ปัจจุบัน รัฐบาลกัมพูชาอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนพัฒนายุทธศาสตร์แห่งชาติ (National Strategic Development Plan: NSDP) ซึ่งอยู่ในช่วงระหว่างปี พ.. 2549 – 2553 ยุทธศาสตร์ลดความยากจนแห่งชาติ (National Poverty Reduction Strategy: NPRS) รวมทั้งเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษของสหประชาชาติ (Cambodian's Millennium Development Goals: CMDGs) ซึ่งล้วนเป็นยุทธศาสตร์หลักที่รัฐบาลกัมพูชาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายให้กัมพูชาเดินหน้าไปสู่การพัฒนาและความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน และใช้เป็นพื้นฐานในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของประเทศที่มุ่งเน้นส่งเสริมความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน ความเสมอภาคและความเป็นธรรมในสังคม อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงนโยบายทางการเมืองของรัฐบาลชุดปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

หลังจากสงครามภายในประเทศเริ่มสงบลง กัมพูชาได้หันมาพัฒนาและฟื้นฟูประเทศอย่างจริงจัง โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ซึ่งกัมพูชามีการพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีการทำการค้ากับต่างประเทศมากขึ้น รวมทั้งมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจเพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว จนสามารถสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนต่างชาติได้ในระดับหนึ่ง สำหรับในระยะต่อไปคาดว่าการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของกัมพูชาจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและมีทิศทางชัดเจนขึ้น ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการดำเนินนโยบายและยุทธศาสตร์ต่างๆ ของรัฐบาลกัมพูชา โดยให้ความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศใน สาขาหลัก ได้แก่

ด้านการเกษตร
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
การพัฒนาภาคเอกชนและสนับสนุนการสร้างงาน
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะด้านการศึกษาและสาธารณสุข
อย่างไรก็ดี รัฐบาลกัมพูชาประกาศดำเนินนโยบายการค้าตามแบบเสรีโดยอาศัยกลไกตลาด โดยมุ่งเน้นบทบาทที่จะไม่แทรกแซงราคาสินค้าหรือบริการ แต่จะช่วยชี้แนะแนวนโยบายด้านการค้าให้นักธุรกิจภายในและชาวต่างชาติให้ประกอบธุรกิจสอดคล้องกับทิศทางนโยบายและกฎหมายของประเทศ สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและสาธารณูปโภคให้เพียงพอและเอื้อต่อการค้า เช่น ปรับปรุงบูรณะถนนที่มีอยู่ สนับสนุนให้มีการผลิตสินค้าในประเทศกัมพูชาให้มีปริมาณและคุณภาพดีมากยิ่งขึ้น เสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านการค้าระหว่างประเทศ เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างตลาดภายในกับตลาดต่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน

อนึ่ง รัฐบาลกัมพูชามีการเปลี่ยนแปลงการบังคับใช้กฎหมายธุรกิจการค้า กฎหมายตราสารหนี้และการชำระเงิน กฎหมายหลักทรัพย์ กฎหมายความปลอดภัยด้านธุรกรรมการเงิน ปรับปรุงและแก้ไขขั้นตอนศุลกากรการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา อาทิ กฎหมายสิทธิบัตร กฎหมายเครื่องหมายการค้า และกฎหมายลิขสิทธิ์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และส่งเสริมบรรยากาศการค้าการลงทุน

นอกจากนี้ รัฐบาลกัมพูชาเปิดรับการลงทุนในทุกด้าน ทำให้รัฐบาลมีนโยบายให้การส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศมาโดยตลอด และได้ปรับปรุงระเบียบ กฎหมาย องค์กรของรัฐ เพื่อปฏิบัติต่อนักลงทุนต่างชาติเช่นเดียวกับนักลงทุนท้องถิ่นโดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกและการให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ แก่โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ตลอดจนการอนุญาตให้โอนเงินตราต่างประเทศได้อย่างเสรี ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนและถือหุ้นร้อยละ 100 ในกิจการต่าง ๆ ทั้งสามารถถือครองทรัพย์สินต่าง ๆ ได้โดยเสรี ยกเว้นที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ซึ่งสงวนไว้สำหรับบุคคลในชาติ และมีอาชีพหรือธุรกิจที่สงวนสำหรับบุคคลในชาติหรือต้องร่วมลงทุนกับคนในชาติเพียงไม่กี่รายการ เช่น มัคคุเทศก์นำเที่ยว โรงสีข้าว และโรงอิฐ เป็นต้น นอกจากนี้ สิทธิประโยชน์ที่ระบุไว้จะต้องได้รับการอนุมัติจาก CDC (The Council for the Development of Cambodia) ซึ่งแต่ละโครงการจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่อาจแตกต่างกันเพื่อจูงใจในการลงทุน

มูลค่าการค้า  

ในปี พ.. 2551 กัมพูชามีมูลค่าการค้ารวม 7.78 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ แยกเป็น การนำเข้า 4.42 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และส่งออก 3.36 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ขาดดุลการค้า 1.06 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ตารางที่ 2.9)

ทั้งนี้ ในปี พ.. 2551 กัมพูชาขาดดุลการค้ากับต่างประเทศ 1,065.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่ปี พ.. 2550 กัมพูชาขาดดุลการค้ากับต่างประเทศ 601.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และในปี พ.. 2549 กัมพูชาขาดดุลกับต่างประเทศ 910.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจะเห็นว่าในปี พ.. 2551 กัมพูชาขาดดุลการค้ากับต่างประเทศเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาวะการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูป สิ่งทอ รองเท้า ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกัมพูชาได้มุ่งเน้นนโยบายการส่งเสริมให้ลงทุนผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าและส่งเสริมการผลิตเพื่อส่งออกมากขึ้น

สินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ สินค้าเกษตรกรรม อาทิ ยางพารา ข้าว ผลิตภัณฑ์ปลา ข้าวโพด ถั่วเหลือง ใบยาสูบและ ผลิตภัณฑ์ไม้ และสินค้าอุตสาหกรรม อาทิ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า และ สิ่งทอ (แผนภาพที่ 2.3)

ตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา กลุ่มสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ฮ่องกง แคนาดา และ สิงคโปร์ ส่วนตลาดนำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ เวียดนาม จีน ไทย ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ อังกฤษ มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย (ตารางที่ 2.10) สำหรับสินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูป อาหารและเครื่องดื่ม ผ้าผืน รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ปูนซีเมนต์ เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว น้ำตาลทราย และผลิตภัณฑ์ยาง (ตารางที่ 2.11)

มูลค่าการลงทุน  

การลงทุนจากต่างประเทศนับแต่ปี พ.. 2537 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2552 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกัมพูชา (Cambodian Investment Board: CIB) ได้อนุมัติโครงการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 1,728 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 8,297.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ตารางที่ 2.12)

ทั้งนี้ ในปี พ.. 2552 CIB อนุมัติโครงการลงทุนทั้งสิ้น 100 โครงการ เงินลงทุน 149.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับปี พ.. 2551 พบว่า การอนุมัติลดลง โครงการ หรือลดร้อยละ 0.99 ขณะที่เงินลงทุนลดลง 110.90 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือลดร้อยละ 42.67 อนึ่ง การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติในกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.. 2537 เป็นต้นมา โดยจีนเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่สุด ส่วนไทยลงทุน 81 โครงการ เงินลงทุน 226.59 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ขณะที่พบว่ามีการดำเนินจริง 48 โครงการส่วนเวียดนามลงทุน 32 โครงการ เงินลงทุน 92.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ในปี พ.. 2552 จีนลงทุนในกัมพูชามากที่สุด จำนวน 28 โครงการ (ร้อยละ 28 ของโครงการที่ได้รับอนุมัติรองลงมา คือ เวียดนาม 13 โครงการ เกาหลีใต้ 11 โครงการ สิงคโปร์ โครงการ และไต้หวัน โครงการ สำหรับไทยลงทุนในกัมพูชาอยู่ในลำดับที่ ของจำนวนโครงการ และอยู่ในลำดับที่ ด้วยยอดเงินลงทุน 15.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (รองจากจีน ซึ่งเงินลงทุน 42.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเวียดนาม 24.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯโดยเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร ปลูกอ้อยและผลิตน้ำตาล การผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป และรองเท้า (ตารางที่ 2.13 และ 2.14)

มูลค่าการท่องเที่ยว  

จากปี พ.. 2547-2551 พบว่า มีจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยือนกัมพูชาเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปี พ.. 2551 มีนักท่องเที่ยวจำนวน 2,125,465 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.48 และมีรายได้จากการท่องเที่ยว 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ตารางที่ 2.15 และ 2.16)

ในส่วนของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในกัมพูชานั้น พบว่าเป็นนักท่องเที่ยวจากชาติต่าง ๆ ที่หลากหลาย ทั้งเอเชีย อเมริกา และยุโรป โดยนักท่องเที่ยวที่เดินทาง เข้ากัมพูชามากที่สุดในปี พ.. 2551 คือ ชาวเกาหลี รองลงมา ได้แก่ เวียดนาม และญี่ปุ่น ตามลำดับ นักท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่นิยมมาท่องเที่ยวในกัมพูชา ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน ไทย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และรวมถึงไต้หวันด้วย รายละเอียดนักท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่นิยมมาท่องเที่ยวในกัมพูชา 10 อันดับแรก ปี พ.. 2551 ดังแสดงในแผนภาพที่ 2.3

มูลค่าการค้าไทย-กัมพูชา


ในปี พ.. 2552 มีมูลค่าการค้าไทย-กัมพูชารวม 1,658.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 22.16 เมื่อเทียบกับปี พ.. 2551 ซึ่งมีมูลค่ารวม 2,130.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แยกเป็นการส่งออกจากไทยไปกัมพูชา มูลค่า 1,580.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และไทยนำเข้าจากกัมพูชา มูลค่า 77.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 22.52 และร้อยละ 13.86 โดยไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้า 1,502.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ตารางที่ 2.32)

ลำดับมูลค่าสินค้าส่งออกของไทยไปยังกัมพูชา โดยสินค้าส่งออกของไทยไปกัมพูชาดังแสดงในตารางที่ 2.33

จากตารางจะพบว่าสินค้าปศุสัตว์ที่มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 16,750 ในปี พ.. 2551 นั้น เนื่องจากสินค้าปศุสัตว์ทั้งเนื้อไก่ สุกร โคเนื้อและโคนม รวมถึงอาหารสัตว์ เป็นที่ต้องการของตลาดกัมพูชา ประกอบกับสินค้าปศุสัตว์ในกัมพูชายังมีไม่เพียงพอกับความต้องการ ทั้งนี้ กัมพูชานิยมบริโภคสินค้าปศุสัตว์ของไทย เพราะคุณภาพได้มาตรฐานกว่าสินค้าปศุสัตว์ของจีน และเวียดนาม ซึ่งจะมีปัญหาเรื่องสารปนเปื้อนและสารปลอมปน ดังนั้น จึงเป็นโอกาสให้สินค้าปศุสัตว์ไทยได้เข้าไปขยายตลาดในกัมพูชามากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าอัตราการขยายตัวของสินค้าปศุสัตว์ที่มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.. 2551-2552

ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในกัมพูชา

สำหรับสินค้าอุปโภคและบริโภค สามารถแบ่งออกเป็น กลุ่มหลัก คือ
(1) อาหาร หมายถึง อาหารสำเร็จรูปและอาหารที่ประกอบเองที่บ้าน โดยแบ่งออกเป็น 12 ชนิด ได้แก่ ข้าว (รวมถึงธัญพืชต่างๆ), ปลาและอาหารทะเลเนื้อสัตว์ไข่และนมผักผลไม้เครื่องปรุง (รวมทั้งเกลือ น้ำตาล), น้ำมันและไขมันเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เครื่องดื่มที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์การรับประทานอาหารนอกบ้านและการซื้ออาหารเข้าบ้าน
(2) สินค้าที่ไม่ใช่อาหาร ได้แก่ ค่าที่พักสินค้าคงทนต่าง ๆ (durable goods), เฟอร์นิเจอร์ และสินค้าตกแต่งบ้านค่าเดินทางและสื่อสารค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดบันเทิงและวัฒนธรรมสุขภาพเสื้อผ้าและรองเท้าบุหรี่การศึกษาและ Personal Care
กัมพูชามีความต้องการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศสูงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกัมพูชายัง ขาดแคลนเทคโนโลยีและเงินลงทุนในการผลิตและแปรรูปสินค้า การผลิตส่วนใหญ่เป็นแบบบริโภคภายในครัวเรือนไม่ใช่เพื่อค้าขาย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค ทั้งนี้ในปี พ.. 2551 ได้มีการนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยกว่าร้อยละ 30 ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด โดยสินค้าส่งออกที่ไทยส่งไปยังกัมพูชาที่มีมูลค่าสูงอันดับต้น ๆ นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าอุปโภคและบริโภค อาทิ น้ำตาลทราย เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว สินค้าปศุสัตว์ เป็นต้น
การเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ก่อให้เกิดความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากลมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวปีละประมาณ ล้านคน ในขณะที่การผลิตในภาคเกษตรและอุตสาหกรรมยังประสบกับข้อจำกัดทางเทคโนโลยี จึงทำให้กัมพูชาต้องอาศัยการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพื่อการบริโภคอย่างต่อเนื่อง อนึ่ง อิทธิพลจากวัฒนธรรม และสื่อต่าง ๆ ของไทย ทำให้เกิดกระแสความนิยมสินค้าอุปโภคบริโภคของไทย เนื่องจากประชาชนเชื่อมั่นในภาพลักษณ์และคุณภาพสินค้าไทย จึงเป็นโอกาสดีที่ผู้ประกอบการไทยจะเข้าไปขยายตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค อาทิ อาหารกึ่งสำเร็จรูป เครื่องสำอาง สบู่ แชมพู เสื้อผ้า เป็นต้น

อุปสงค์ความต้องการกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค


จากการสำรวจข้อมูลความยากจนของประชากรชาวกัมพูชา ประจำปี พ.. 2547 โดยกระทรวงวางแผน (Ministry of Planning) ของรัฐบาลกัมพูชา พบว่า ประชาชนชาวกัมพูชามีค่าใช้จ่ายสำหรับการบริโภคสินค้าอุปโภคบริโภคประมาณ ล้านล้านเรียลต่อวัน โดยมีรายละเอียดค่าใช้จ่ายต่อวัน ดังนี้
(ตารางที่ 2.41 ค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคสินค้าอุปโภคบริโภคประเภทต่าง ๆ ของประชาชนในประเทศกัมพูชา) (P2-100)
จากข้อมูลสถิติในรายงานการทบทวนแผนพัฒนายุทธศาสตร์แห่งชาติเมื่อปี พ.. 2551 ระบุว่า กัมพูชามีความต้องการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศสูงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกัมพูชายัง ขาดแคลนเทคโนโลยีและเงินลงทุนในการผลิตและแปรรูปสินค้า การผลิตส่วนใหญ่เป็นแบบบริโภคภายในครัวเรือนไม่ใช่เพื่อค้าขาย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค ทั้งนี้ในปี พ.. 2551 ได้มีการนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยกว่าร้อยละ 30 ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด โดยสินค้าส่งออกที่ไทยส่งไปยังกัมพูชาที่มีมูลค่าสูงอันดับต้น ๆ นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าอุปโภคและบริโภค อาทิ น้ำตาลทราย เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว สินค้าปศุสัตว์ เป็นต้น
(ตารางที่ 2.42 สินค้าส่งออกจากไทยไปกัมพูชา) (P2-102)
ทั้งนี้ การสำรวจข้อมูลประชากรชาวกัมพูชา ประจำปี พ.. 2551 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้ระบุการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรที่ระดับร้อยละ 1.54 ต่อปีโดยเฉลี่ย ซึ่งสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มอาเซียน คาดว่าเป็นผลมาจากการพัฒนาทางสาธารณสุขที่ช่วยให้อัตราการตายเมื่อแรกเกิดของเด็กทารกลดลง มีการกระจุกตัวของประชากรอยู่ตามเมืองใหญ่ เช่น จังหวัดกำปงจาม โดยมีความหนาแน่นของประชากรของประเทศอยู่ที่ระดับ 64-75 คนต่อตารางกิโลเมตร หรือประมาณร้อยละ 50 ของประเทศไทย ในขณะที่อัตราส่วนประชากรเพศชายต่อเพศหญิงเพิ่มขึ้นเป็น 94.2 ต่อ 100 ดังแสดงในแผนภาพที่ 2.11 (P2-103)
การเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ก่อให้เกิดความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากลมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวปีละประมาณ ล้านคน ในขณะที่การผลิตในภาคเกษตรและอุตสาหกรรมยังประสบกับข้อจำกัดทางเทคโนโลยี จึงทำให้กัมพูชาต้องอาศัยการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพื่อการบริโภคอย่างต่อเนื่อง อนึ่ง อิทธิพลจากวัฒนธรรม และสื่อต่าง ๆ ของไทย ทำให้เกิดกระแสความนิยมสินค้าอุปโภคบริโภคของไทย เนื่องจากประชาชนเชื่อมั่นในภาพลักษณ์และคุณภาพสินค้าไทย จึงเป็นโอกาสดีที่ผู้ประกอบการไทยจะเข้าไปขยายตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค อาทิ อาหารกึ่งสำเร็จรูป เครื่องสำอาง สบู่ แชมพู เสื้อผ้า เป็นต้น
นอกจากนี้ ช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคยังค่อนข้างสะดวก เนื่องจากมีพรมแดนติดต่อกับประเทศไทย สามารถกระจายสินค้าผ่านทางชายแดนได้ ทำให้ต้นทุนค่าขนส่งไม่สูงมากนัก จึงไม่เป็นภาระกับการตั้งราคาของผู้ประกอบการรายย่อย เพิ่มความสามารถแข่งขันกับคู่แข่งอื่น ๆ จากต่างประเทศได้ สำหรับสินค้าที่มีการเสื่อมสภาพก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยเวลามากในการขนส่ง จึงไม่สิ้นเปลืองต้นทุนในการเก็บรักษาอีกด้วย

ตลาดสินค้าเกษตรและจักรกลการเกษตรในกัมพูชา

อาชีพหลักของชาวกัมพูชา คือ การเกษตรกรรม ซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยละ 70 ซึ่งส่วนใหญ่จะเพาะปลูกอยู่รอบ ๆ ทะเลสาบกัมพูชา ทั้งนี้ รายได้หลักของประเทศกัมพูชามาจากภาคเกษตรกรรม ร้อยละ 32.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ได้แก่ การกสิกรรม การประมง ปศุสัตว์ และป่าไม้ ซึ่งสินค้าเกษตรที่ส่งออก ได้แก่ ข้าว ผลิตภัณฑ์ปลา และยางพารา รองลงมา ได้แก่ ข้าวโพด ถั่วลิสง สัตว์มีชีวิต ผลไม้ และปลา เป็นต้น
ปัจจุบัน ภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) จึงเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสนับสนุนการส่งออกสินค้าเกษตรของประเทศเพื่อนบ้าน โดยไทยได้ยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรหลายรายการจากกัมพูชา เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด มันฝรั่ง และไม้ยูคาลิปตัส ทำให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชเหล่านี้มากขึ้น นอกจากนี้ การทำ Contract Farming ระหว่างไทยกับกัมพูชา ยังช่วยส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรของกัมพูชา ทำให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรในการผลิตสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เนื่องจากประเทศกัมพูชามีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ทั้งนี้ การสนับสนุนให้ภาคเอกชนไทยเข้าไปร่วมส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรกับกัมพูชาและรับซื้อสินค้าเกษตรเหล่านั้น ในราคายุติธรรมภายใต้ระบบ Contract Farming และส่งออกสินค้ามาไทย ทำให้ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรจากไทย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายประเทศ อาทิ คูเวต ญี่ปุ่น เวียดนาม เข้ามาเช่าพื้นที่ในกัมพูชา เพื่อทำการเกษตร เพื่อส่งผลผลิตนั้นกลับประเทศตัวเอง
ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ในกัมพูชาจะมีลักษณะราบลุ่มเหมาะกับเกษตรกรรมคล้ายกับประเทศไทยและประชากรส่วนใหญ่ของกัมพูชาประกอบอาชีพเกษตรกรรม แต่ชาวกัมพูชามีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.919 ต่อปี ในขณะที่วิธีการเพาะปลูกยังคงเป็นแบบดั้งเดิมคือผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือนเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ผลผลิตไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ กัมพูชาจึงมีความจำเป็นต้องพึ่งพาสินค้าเกษตรและเทคโนโลยีการเกษตรจากต่างประเทศรวมถึงประเทศไทยด้วย
อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีการเกษตรที่เป็นที่ต้องการของกัมพูชาทั้งจักรกลแบบเคลื่อนที่และไม่เคลื่อนที่นั้น เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่รายได้น้อยและไม่ได้รับการศึกษามากนัก การพิจารณาสินค้าที่จะทำการส่งเสริมนั้น ควรเป็นสินค้าที่ราคาไม่แพงมากนัก และการใช้งานไม่ยุ่งยากซับซ้อน รวมถึงสามารถซ่อมบำรุงด้วยตัวเองได้ ขณะที่ในส่วนของปุ๋ยและเคมีภัณฑ์นั้น เนื่องจากการที่พื้นที่โดยรวมของกัมพูชาปลอดจากปุ๋ยเคมีและสารเคมีตกค้าง กัมพูชาจึงมีศักยภาพในการปลูกพืชเกษตรอินทรีย์ซึ่งเป็นสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าสูงและกำลังเป็นที่นิยมในตลาดยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา รัฐบาลกัมพูชาจึงส่งเสริมการปลูกพืชเกษตรอินทรีย์เพื่อการส่งออก ดังนั้น หากต้องการค้าปุ๋ย จึงควรเน้นปุ๋ยอินทรีย์มากกว่าปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์ที่มีราคาแพง ได้แก่ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสดและวัสดุเหลือใช้จากโรงงานอุตสาหกรรมบางชนิด เช่น โรงงานผงชูรส และโรงงานสุราฯ จึงเป็นการสร้างประโยชน์ด้วยการสร้างคุณค่าการตลาดของปุ๋ยให้สูงขึ้น


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น