head ads

วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556

เม็กซิโก การกลับมาของเศรษฐีจังโก้


หมวด : รายงานพิเศษ
โพสต์โดย : ไทยแลนด์อินดัสตรี้ดอทคอม วันเวลา : 2009-12-11 09:41:22
ที่มา http://www.thailandindustry.com/news/view.php?id=10015&section=29&rcount=Y

วิธีร์ พานิชวงศ์, สุทธิ สุนทรานุรักษ์, วิเชียร แก้วสมบัติ
.
.
ปัญหาความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองไทยตลอดช่วงเวลาสามสี่ปีที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมเศรษฐกิจไทยที่มีผลพวงมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจที่เน้นการเจริญเติบโตของภาคเมืองใหญ่เพียงอย่างเดียว อีกทั้งยังละเลยปัญหาเรื่อง “ความยากจน” และ “การกระจายรายได้ที่เป็นธรรม” 
.
ขณะเดียวกันการจะฝากความหวังในการเปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูปเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมไทยไว้กับภาคการเมืองก็ดูจะเป็นความหวังที่เลือนรางยิ่งนัก ด้วยเหตุที่นักการเมืองและพรรคการเมืองไทยมักเกิดขึ้นโดย “เฉพาะกาล” มากกว่ามาจาก “อุดมการณ์” ที่ต้องการจะพัฒนาประเทศอย่างจริงใจ
.
ขออนุญาต “บ่น” ก่อนนะครับ เพราะช่วงนี้ผู้เขียนรู้สึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยอันเป็นที่รักของพวกเรา ทั้งนี้หากหันมองดูประเทศรอบข้างในภูมิภาคอาเซียนนั้น เราจะพบว่าประเทศเหล่านี้กำลังพัฒนาตัวเองกันอย่างขะมักเขม้นโดยไม่ต้องมานั่งสนใจปัญหาความขัดแย้งส่วนตัวของใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ตัวอย่างประเทศที่กำลังสปีดตัวเองในช่วงห้าหกปีที่ผ่านมา คือ “เวียดนาม” ไงล่ะครับ
.
ทุกวันนี้เวียดนามกำลังจะกลายเป็นสวรรค์ของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งนี้รัฐบาลคอมมิวนิสต์เวียดนามใช้แผนการ “โด๋เหม่ย” (Doi Moi) ในการปฏิรูปเศรษฐกิจจนทุกวันนี้เวียดนามกำลังจะมีรถไฟความเร็วสูงโดยอิมพอร์ตเทคโนโลยีมาจากญี่ปุ่น   
.
ซึ่งหากเวียดนามสามารถพัฒนาสาธารณูปโภคได้ทันสมัยมากขึ้นสิ่งเหล่านี้จะกลายเป็น “ผลกระทบเชิงบวก” หรือ Positive Externality ทางเศรษฐกิจของเวียดนามในการที่จะเชื่อมโยงภาคเศรษฐกิจทุกภาคส่วนเข้าด้วยกันภายใต้การประหยัดทรัพยากรของประเทศ
.
อย่างที่ทราบกันดีนะครับว่าโลกเราทุกวันนี้แข่งกันที่ประเทศใดอยู่ดีกินดีกว่ากัน คำว่า “อยู่ดีกินดีกว่ากัน” นั้นหมายรวมถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนภายในประเทศด้วยครับ จริง ๆ แล้วการพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้จริงนั้นไม่ใช่แค่มาอวดอ้างตัวเลขอัตราการจำเริญเติบโตทางเศรษฐกิจกันหรอกครับเพราะตัวเลขเหล่านี้วัดเพียงแค่ “ปริมาณ” ของการเจริญเติบโตแต่ไม่ได้วัด “คุณภาพ” ของการเจริญเติบโต
.
การพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้จริง คือ การที่รัฐบาลสามารถสร้าง “โอกาส” ให้คนในสังคมนั้นเข้าถึงบริการต่าง ๆ ของรัฐตลอดจนทรัพยากรต่าง ๆ ได้อย่างเท่าเทียมกัน
.
ทั้งหมดที่กล่าวมาดูเหมือนจะเป็นโลกของ “อุดมคติ”นะครับ เพราะจริง ๆ แล้วทุกประเทศล้วนมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้นแต่มันขึ้นอยู่กับว่าใครจะสามารถเรียงลำดับปัญหาและจัดการกับปัญหาที่ว่านั้นได้ดีกว่ากัน
.
สำหรับซีรีส์ “ริมหน้าต่างเศรษฐกิจ” ฉบับนี้ ผู้เขียนขอพาท่านผู้อ่านไปเกาะริมหน้าต่างดูเศรษฐกิจของประเทศหนึ่งที่อยู่ในทวีปอเมริกาซึ่งประเทศที่ว่านี้คือ “เม็กซิโก” ครับ ว่ากันว่าเม็กซิโกได้รับการจัดอันดับจากนักลงทุนทั่วโลกว่ามีบรรยากาศน่าลงทุนเป็นอันดับสองของโลกครับ
.
เม็กซิโก: การกลับมาของเศรษฐีจังโก้
เม็กซิโกเป็นประเทศที่อยู่ทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ในอดีตนั้นเม็กซิโกเคยเป็นอาณานิคมของสเปนครับ อย่างไรก็ดีเม็กซิโกมีความผูกพันกับสหรัฐอเมริกามากทั้งในด้านภูมิศาสตร์ที่มีพรมแดนอยู่ติดกัน รวมไปถึงการเป็นคู่ค้าสำคัญและเป็นแหล่งลงทุนของนักลงทุนชาวอเมริกัน
.
ในช่วงต้นศตวรรษที่ยี่สิบนั้น “เม็กซิโก” เคยได้รับการจับตามองในแง่ของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วคล้าย ๆ กับอาร์เจนติน่าและอุรุกวัย ทั้งนี้เหตุผลสำคัญมาจากทรัพยากรของประเทศแถบนี้ยังค่อนข้างสมบูรณ์อยู่ประกอบกับการอพยพเข้ามาตั้งรกรากของชาวยุโรปทำให้ดินแดนทางตอนใต้นี้กลายเป็นแหล่งที่น่าลงทุนอย่างยิ่ง
.
อย่างไรก็ตามปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นในดินแดนอาณานิคมแถบทวีปอเมริกา คือ ปัญหาการกระจายที่ดินทำกินซึ่งต่อมาได้กลายเป็นชนวนในการต่อสู้เรียกร้องเอกราชและนำไปสู่การปลดปล่อยและการปฏิวัติในที่สุดครับ
.
ในอดีตนั้นเหล่าพ่อค้านักลงทุนจากประเทศเจ้าอาณานิคมมักจะกว้านซื้อที่ดินจากเกษตรกรชาวไร่ชาวนาในราคาถูกแล้วก็จ้างชาวนาเหล่านี้ทำนาในลักษณะ “เช่า” ในราคาแพงซึ่งชาวเม็กซิกันเรียกระบบนี้ว่า Latifundios ครับ และนี่เองที่ทำให้ชาวเม็กซิกันลุกขึ้นมาปฏิวัติจนเกิดสงครามกลางเมืองในช่วงระหว่างปี ค.ศ.1910-1917 ซึ่งได้สร้างความเสียหายกับเม็กซิโกเป็นอย่างมาก
.
อย่างไรก็ตามเม็กซิโกเริ่มกลับมาฟื้นตัวในช่วงทศวรรษที่ 30 ครับโดยเม็กซิโกเริ่มพัฒนาประเทศด้วยการพึ่งพาตนเองก่อนด้วยการใช้กลยุทธ์การผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าหรือ Import Substitution Industrialization (ISI) มีการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ นอกจากนี้เม็กซิโกยังทำการปฏิรูปที่ดินโดยกระจายที่ดินไปให้ชาวไร่ชาวนาที่ยากจนภายใต้นโยบายที่เรียกว่า Ejido ครับ
.
ช่วงทศวรรษที่ 30-70 นับเป็นยุคทองของเม็กซิโกก็ว่าได้ครับ เพราะเศรษฐกิจของเม็กซิโกเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วมีการลงทุนพัฒนาในภาคอุตสาหกรรมหนักตลอดจนขยายสาธารณูปโภคต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังพัฒนาบางเมืองให้เป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกอย่าง “อคาพูโค” (Acapulco) จนเรียกช่วงเวลาดังกล่าวว่าเป็น “Mexican Miracle” ครับ 
.
การพัฒนาเศรษฐกิจของเม็กซิโกนั้นเน้นบทบาทภาครัฐเป็นตัวนำในการพัฒนาครับโดยช่วงปลายทศวรรษที่ 70 ในสมัยของรัฐบาลนายโจเซ่ โลเปซ พอร์ตติลโล่ (José López Portillo) นั้นได้ลงทุนขุดเจาะน้ำมันในบริเวณรัฐเวราครูซ (Veracruz) ภายใต้ความรับผิดชอบของบริษัทน้ำมันแห่งชาติหรือ Petróleos Mexicanos (PEMEX)
.
ซึ่งปัจจุบัน PEMEX ติดอันดับหนึ่งในสิบของบริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจเม็กซิโกอย่างมาก นอกจากนี้เม็กซิโกได้กลายเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดอันดับหกของโลกด้วยครับ
.
Petróleos Mexicanos (PEMEX)บริษัทน้ำมันแห่งชาติของเม็กซิโกที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจของเม็กซิโกในปัจจุบัน
.
แม้ว่าเม็กซิโกจะพัฒนาประเทศภายใต้กลยุทธ์การผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าแต่รัฐบาลเม็กซิโกต้องใช้วิธีการ “อุ้ม” อุตสาหกรรมภายในประเทศตลอดจนกีดกันผู้ผลิตจากต่างประเทศไม่ให้เข้ามาแข่งขันกับธุรกิจหรืออุตสาหกรรมของเม็กซิโกได้ ซึ่งท้ายที่สุดกลยุทธ์นี้กลับส่งผลเสียต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศเม็กซิโกเอง  
.
เนื่องจากนโยบายปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศส่งผลให้ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมที่รัฐอุ้มนั้นกลายเป็น “อุตสาหกรรมเฒ่าทารก” ที่ไม่รู้จักปรับตัวให้ทันกับการแข่งขันเพราะรอการช่วยเหลือจากรัฐอยู่เพียงอย่างเดียว
.
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 80 เม็กซิโกเริ่มเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจหลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกตกต่ำลงรวมทั้งปัญหา “หนี้สาธารณะ” ที่กลายมาเป็นปัญหาหนักอกจนทำให้เม็กซิโกต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี ค.ศ.1982 ครับ
.
หลังวิกฤตเศรษฐกิจ เม็กซิโกเริ่มอยู่ในสภาพเปรียบเหมือนคนป่วยที่เพิ่งฟื้นไข้ และยังต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่รุมเร้าอีกมากมายโดยเฉพาะปัญหาเงินเฟ้อที่พุ่งสูงถึง 160% เมื่อปี ค.ศ. 1987 
.
ด้วยเหตุนี้เองเม็กซิโกจึงเริ่มปรับกลยุทธ์การพัฒนาประเทศใหม่ด้วยการยึดแนวทางการปฏิรูปแบบ “เสรีนิยม” (Neoliberal Reform) โดยเริ่มลดบทบาททางเศรษฐกิจของรัฐลงเรื่อย ๆ เช่นมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ไม่ทำกำไร               
.
ขณะเดียวกันรัฐบาลเม็กซิโกได้ลงนามในการเปิดเสรีการค้าตามข้อตกลง GATT ในปี ค.ศ.1986 และในเวลาต่อมาเม็กซิโกได้ลงนามในการเปิดเสรีการค้าตามข้อตกลงของ NAFTA ซึ่งเป็นการเจรจาร่วมกันของคู่ค้าอีกสองประเทศในทวีปอเมริกา คือ สหรัฐอเมริกาและแคนาดา
.
อย่างไรก็ตามเม็กซิโกต้องกลับมาเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจอีกครั้งในปี ค.ศ.1994 ครับ สาเหตุสำคัญมาจากการไม่สามารถจัดการกับปัญหาการอ่อนค่าของเงินเปโซ (Mexican Peso) ได้โดยช่วงเวลาดังกล่าวเม็กซิโกใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ (Fixed Exchange Rate) ซึ่งไม่ได้สะท้อนค่าเงินเปโซที่แท้จริงได้      
.
การประกาศลดค่าเงินของเม็กซิโกอย่างฉับพลันทำให้เกิดเศรษฐกิจเม็กซิโกช็อคอย่างกะทันหันประกอบกับปัญหาอื่น ๆ ที่รุมเร้า เช่น ปัญหาหนี้สาธารณะของรัฐบาลอีกทั้งเกิดปัญหาความไม่เสถียรภาพทางการเมืองมีการลอบสังหารผู้นำอยู่หลายครั้งทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวเศรษฐกิจเม็กซิโกเหมือนยืนอยู่บนปากเหว
.
ความวุ่นวายต่าง ๆ เหล่านี้เปรียบเสมือนสัญญาณที่ส่งออกไปยังนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มไม่มั่นใจจะลงทุนในเม็กซิโก ทำให้นักลงทุนเริ่มถอนการลงทุนและเงินทุนเริ่มไหลออก (Capital Flight) จากเม็กซิโกทั้งหมดนี้ยิ่งซ้ำเติมปัญหาค่าเงินเปโซที่อ่อนอยู่แล้วยิ่งอ่อนลงไปอีก ท้ายที่สุดส่งผลต่อปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงในเม็กซิโกอีกครั้งหนึ่ง
.
วิกฤตการณ์เศรษฐกิจของเม็กซิโกทำให้รัฐบาลของนายเออร์เนสโต เซลลิโด (Ernesto Zellido) ต้องประกาศยกเลิกการใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ แต่อย่างไรก็ตามสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของรัฐบาลนายบิล คลินตัน (Bill Clinton) พร้อมกับไอเอ็มเอฟได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเม็กซิโกให้พ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจโดยให้เงินกู้กว่าห้าหมื่นล้านเหรียญสหรัฐเพื่อฟื้นฟูวิกฤตทางการเงินของเม็กซิโก
.
ทุกวันนี้รัฐบาลเม็กซิโกเน้นนโยบายเปิดการค้าเสรี (Trade Liberalization) ครับโดยปัจจุบันเม็กซิโกเซ็นสัญญาการเปิดเสรีทางการค้าหรือ FTA กับหลายประเทศในลาตินอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และอิสราเอล กล่าวกันว่าเม็กซิโกเป็นหนึ่งในประเทศที่เปิดเสรีทางการค้ามากที่สุดในโลกประเทศหนึ่งครับ
.
ผู้เขียนมีข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจเกี่ยวกับเม็กซิโก นอกจากจะเป็นประเทศที่ได้รับการจัดอันดับว่าน่าลงทุนเป็นอันดับสองแล้ว เม็กซิโกยังเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศ OECD ด้วยครับนอกจากนี้เม็กซิโกมีผลผลิตมวลรวมภายในประเทศรายหัวหรือ GDP per capita กว่า 15,000 ดอลลาร์สหรัฐซึ่งนับว่าไม่น้อยทีเดียว
.
ประธานาธิบดีฟิลิเป้ กัลเดลล่อน (Felipe Calderón)ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของเม็กซิโกผู้พยายามนำเม็กซิโกกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง
.
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเม็กซิโกครับ ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่าทุกประเทศล้วนแล้วแต่เคยผ่านวิกฤตมาด้วยกันทั้งนั้นซึ่งมันก็เป็นธรรมดาของโลกแหละครับที่มี “รุ่งเรือง” ก็ย่อมมี “ร่วงโรย” สำหรับประเทศของเรานั้นการจะก้าวพ้นผ่านวิกฤตทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ได้นั้นเราคงต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจและความสามัคคีของคนในชาตินะครับ…พบกันใหม่ฉบับหน้าครับ

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

การปฏิวัติอุตสาหกรรม


การปฏิวัติอุตสาหกรรม
Industrial Revolution (C.18)

ที่มา http://writer.dek-d.com/kunsawat-at-rwb/story
หลังจากที่มีการปฏิวัติการเกษตรไปแล้วนั้น(อาหาร) มนุษย์ก็ต้องการปัจจัย 4 ขั้นต่อไปนั่นคือเครื่องนุ่งห่ม จึงเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นมา


1. เป็นการเปลี่ยนแปลง วิธีระบบการผลิตในครัวเรือน เพื่อการยังชีพ (การใช้แรงงานคน) ไปเป็นการผลิตโดยใช้เครื่องจักร เพื่อการค้าขาย2. สาเหตุของการปฏิวัติอุตสาหกรรม

- การเพิ่มขึ้นของประชากร   
- การขยายตัวทางการค้า เนื่องจากลัทธิพาณิชยนิยม- ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 
- ระบบธนาคารที่มั่นคง และการค้าที่เพิ่มมากขึ้น


3. จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรม (เริ่มต้นขึ้นก่อนในประเทศอังกฤษ เกิดในอุตสาหกรรมการทอผ้าก่อนเป็นอันดับแรก)


- มีเสถียรภาพทางการเมือง เนื่องจากอังกฤษปฏิวัติก่อนเพื่อนบ้าน มีความมั่นคง 

อังกฤษมีรัฐสภา และคณะรัฐบาลแล้ว ในขณะที่ประเทศอื่นยังโค่นล้มกษัตริย์อยู่

- มีทรัพยากรที่สำคัญคือ เหล็ก กับถ่านหิน

- มีดินแดนอาณานิคมมีจำนวนมาก จำนวนตลาดทางการค้าจึงมากตาม

- รัฐบาลส่งเสริมการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ จึงทำให้พวกนักวิทยาศาสตร์มีทุนในการศึกษา และค้นคว้าสิ่งใหม่ๆออกมา


4. สมัยของการปฏิวัติอุตสาหกรรม

- ระยะที่ 1 ยุคเหล็ก และพลังงานไอน้ำ ต้มน้ำให้เดือด การใช้เหล็ก



- ระยะที่ 2 ยุคเหล็กกล้า (ไม่เป็นสนิม) และพลังงานใหม่ (น้ำมันปิโตเลียม และก๊าซธรรมชาติ)

                  เซอร์ เฮนรี เบสเซเมอร์

เซอร์ เฮนรี เบสเซเมอร์ (Sir Henry Bessemer, ค.ศ. 1813 -1893,วิศวกรชาวอังกฤษ) พบวิธีทำเหล็กถลุงให้มีคุณ-สมบัติดีขึ้นเรียกว่า เหล็กกล้า (steel) ซึ่งสามารถชุบเพิ่มความแข็งได้  และมีคุณสมบัติอื่นๆ ดีมากการค้นพบของเซอร์ เฮนรี เบสเซเมอร์ ทำให้สามารถผลิตเหล็กกล้าได้อย่างรวดเร็ว ครั้งละมากๆและประหยัด ถือได้ว่าเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมผลิตเหล็ก

- ระยะที่ 3 อิเล็กทรอนิกส์ โลกาภิวัฒน์ นาโน เทคโนโลยีใหม่




5. ผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม

- ด้านสังคม

ประชากรเพิ่มขึ้น

- การขยายตัวของสังคมเมือง (สลัมของผู้ใช้แรงงานนั้นมีจำนวนมาก ทางรัฐบาลจึงสร้างเฟลชให้พวกสลัมอยู่ เพื่อที่จะจัดระเบียบทางสังคมให้ดูเป็นระเบียบยิ่งขึ้น)
- วิถีชีวิตของมนุษย์สะดวกสบายขึ้น เพราะมีเครื่องจักรมาทุ่นแรง

- เกิดชนชั้นนายทุน (รวย) และกรรมชีพ (จน) 



- ด้านเศรษฐกิจ

- เกิดการผลิตในระบบโรงงาน


- การผลิตสินค้ารวดเร็ว และมีคุณภาพมาตรฐานเดียวกัน
- เกิดการพึ่งพาทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
- เกิดความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ

สินค้าเกษตร กำหนดผลผลิตไม่ได้ ในขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมกำหนดได้



- ด้านการเมือง

- คนชั้นกลาง(ประชาชน)เริ่มมีเงินมากขึ้น และส่งผลให้พวกนี้มีบทบาททางการเมือง

- การต่อสู้ของชนชั้นกรรมชีพ เพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมในสังคม

- การขยายตัวของลัทธิจักรวรรดินิยม


ยิ่งผลิตมากยิ่งต้องการทั้งแรงงาน ทรัพยากรมากขึ้น เพื่อใช้ในการผลิต จึงมีการล่าอาณานิคมเกิดขึ้น เพื่อขยายอาณาเขต แรงงาน และทรัพยากรให้มากขึ้น


- ด้านภูมิปัญญา


                                  อดัม สมิธ

- ลัทธิเสรีนิยม ของ อดัม สมิธ


                              คาร์ล มาร์กซ์

- ลัทธิสังคมนิยม ของ คาร์ล มาร์กซ์

วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556

Gen S ผู้บริโภครุ่นใหม่มาแล้ว

กองบรรณาธิการ Positioning Magazine 14 กุมภาพันธ์ 2556
Added on: 14/2/2556
ที่มาhttp://www.positioningmag.com/magazine/details.aspx?id=95689
เด็กที่เกิดในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา ได้ชื่อว่าเป็น Gen s หรือ Generation Screen เพราะเกิดมาในยุคดิจิตอลที่มีการปฏิวัติเทคโนโลยี และอยู่ท่ามกลาง “จอ” รอบตัว

รายงานของ Adam Shlachter ผู้บริหารของ MEC เครือกรุ๊ปเอ็ม ได้วิเคราะห์ว่า Gen S เติบโตในโลกของจอทั้งสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และทีวีอินเทอร์เน็ต ทั้งเพื่อความบันเทิง สื่อสาร การศึกษา ช้อปปิ้ง โลกของเขาเล็กลงเพราะเข้าถึงกันได้ทุกที่ ทุกเวลา แบบเสมือนจริง อุปกรณ์สำหรับพวกเขาคือสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ทีวี แล็ปท็อปที่เป็นทัชสกรีน

แล้วนักการตลาด แบรนด์ ร้านค้า จะเข้าถึงกลุ่ม Gen S ที่จะเป็นผู้บริโภคในอนาคตนี้ได้อย่างไร?

คำตอบ คือ แบรนด์ต้องอยู่ในที่ที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้อยู่ ต้องพยายามทำให้ข้อมูลของแบรนด์สินค้าปรากฏกับสายตาพวกเขาให้ได้ เช่น ต้องสร้างสรรค์และออกแบบเว็บไซต์ให้เหมาะกับจอประเภท และแพลตฟอร์มต่างๆ เป็นการอำนวยความสะดวกให้เข้าถึงได้อย่างไม่มีข้อจำกัด

ทั้งนี้ที่อเมริกาพบว่าแบรนด์จำนวนมากยังตามไม่ทันเทรนด์นี้ โดยผลการวิจัยของ Interactive Advertising Bureau พบว่าปัจจุบัน 45% ของบริษัทฟอร์จูน 500 ยังไม่ได้ทำเว็บสำหรับการดูผ่านมือถือ ส่วนแบรนด์ที่ทำแล้วก็มีการสร้างสรรค์เป็นแอปพลิเคชั่น มุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายทั้งแม่และเด็ก อย่างเช่น แอปฯ Magic Vision ของสินค้าพลาสเตอร์ยา ที่หาลูกเล่นให้เด็กๆ สนใจสินค้า โดยให้เล่นกับแอปฯ บนไอแพด สแกนแล้วสนุกกับการคุมหุ่นบนจอ




หรืออย่าง Crayola Color Studio ที่ให้เด็กได้วาด หรือลงสีบนแท็บเล็ต หรืออย่างแอปฯ ของพิพิธภัณฑ์อเมริกันที่นำนิทรรศการไดโนเสาร์มาให้เด็กๆ ได้ดู

นี่คือ Gen S ที่จะเป็นผู้มีกำลังซื้อในอนาคต ที่นักการตลาดต้องจับให้อยู่ เพื่อค้นหารูปแบบที่เหมาะสม ทดลองและเรียนรู้ ใครได้คำตอบที่ใช่ก่อน คือผู้ชนะใจลูกค้าในอนาคตอย่างแน่นอน



In&Out ของ Gen S

 In

- เอ็นพีดีพบว่า 27% ของยอดขายทีวีในไตรมาสแรกของปี 2012 หรือเกือบ 14 ล้านเครื่องเป็นอินเทอร์เน็ตทีวี

- การ์ทเนอร์คาดว่าในปี 2012 จะมียอดขายแท็บเล็ต 60 ล้านเครื่องซึ่งมากกว่าปีที่แล้วเท่าตัว

- โกลด์แมน แซคส์ ประเมินว่าปี 2012 สมาร์ทโฟนทั่วโลกจะมีถึง 2,000 ล้านเครื่อง ทำให้พฤติกรรมของเด็กจะทำอะไรต้องมีจอ ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ต้องทัช ต้องมีกล้อง ต้องเชื่อมต่อกัน เพื่อแชร์

Out

คีย์บอร์ดและเมาส์เป็นอุปกรณ์ที่พวกเขาไม่คุ้นเคย และในไม่ช้ารีโมตก็จะเป็นอุปกรณ์ที่แปลกสำหรับกลุ่มนี้ รวมไปถึงกระเป๋าเงิน เครดิตการ์ด หรือแม้แต่เงินสดก็เอาต์สำหรับพวกเขาในเวลา 2-3 ปีนับจากนี้

วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2556

วิกฤติเศรษฐกิจ – วิกฤติสิ่งแวดล้อม


ที่มา http://www.oknation.net/blog/print.php?id=496064

                ปี พ.ศ.2551 เป็นปีที่ทั่วโลก โดยเฉพาะองค์การสหประชาชาติได้พูดถึงสภาวะโลกร้อนหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  มีการรณรงค์ทั่วโลกเพื่อต่อสู้กับการเกิดวิกฤติสิ่งแวดล้อม  แต่พอปลายปี 2551 ก็เกิดภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ  โดยเฉพาะการล่มสลายทางการเงินที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วก็ลามไปทั้งโลก บทความนี้จะพูดถึงวิกฤติเศรษฐกิจ ที่มีผลต่อวิกฤติสิ่งแวดล้อมและโอกาสที่จะทำให้เกิดสิ่งดีๆ ไ ด้อย่างไร

                ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เรียกได้ว่าเป็นวิกฤติสิ่งแวดล้อม(environmental crisis) ก็คือสภาวะโลกร้อน (global warming) จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ตัวการสำคัญก็คือก๊าซเรือนกระจก  โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ได้มาจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล ไม้และถ่าน  ภาวะเรือนกระจกทำให้โลกร้อนขึ้น  เป็นผลทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย  ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น  หลายเมืองมีโอกาสจมอยู่ใต้น้ำ ทำให้เกิดลมพายุที่แรง ฝนตกหนัก นอกจากนี้การตัดไม้ทำลายป่าเพื่อการทำเกษตร  ขยายเขตที่อยู่อาศัย  ทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) ของพืชและสัตว์หายไปรวมทั้งหลายชนิดสูญพันธุ์ไป
                ระบบนิเวศวิทยาบางอันถูกทำลายจนไม่สามารถย้อนกลับได้ มีการผลาญทรัพยากรของโลก  ไม่ว่าทะเลสาบ  แม่น้ำ  ทะเล  จากการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืนและจากปัญหาภาวะมลพิษของอากาศในเมือง  ของแม่น้ำลำธาร  ของดินที่ใช้ในการเพาะปลูก  สาเหตุหลักของภาวะมลพิษก็มาจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล  โรงงานอุตสาหกรรมปล่อยสารพิษออกมา  ทั้งในรูปของอากาศ  น้ำ  และของแข็ง
                องค์การสหประชาชาติได้มีความพยายามที่จะแก้ปัญหาโลกร้อนเพราะ เป็นปัญหาเร่งด่วนและถือว่าเป็นปัญหาที่มนุษย์ชาติกำลังเผชิญร่วมกัน ต้องทำอะไรที่เป็นกอบเป็นกำเพื่อยับยั้งการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ลดลง 60%  ของปริมาณที่ทั่วโลกปล่อยออกมา  หากต้องการอยู่รอด ไม่ว่าจะเป็นการปลูกป่า  ปลูกต้นไม้ ลดการใช้พลังงาน ที่เป็นต้นตอของปัญหา หันไปใช้พลังงานที่สะอาด (green energy) นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ถือว่าการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดที่โลกเผชิญทุกวันนี้
                ช่วงกลางปี 2551  ราคาน้ำมันดิบในโลกได้พุ่งสูงขึ้นจนราคาเกือบ 150 เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อบาเรล  ทำให้ผู้คนตกอกตกใจกันทั่วโลกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ  แล้วราคาน้ำมันดิบก็เริ่มตก จนปัจจุบันนี้ราคาต่ำกว่า 50 เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อบาเรล ผู้คนก็โล่งอกเพราะภาวะเงินเฟ้อจะได้ลดลง แต่แล้วพอปลายปีก็เกิดวิกฤติการเงินในประเทศสหรัฐอเมริกา จนก่อให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจลามไปทั่วทั้งโลก
                วิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา  ทุกวันนี้ในประเทศสหรัฐอเมริกาพูดแต่ปัญหาเศรษฐกิจ(economics) ไม่มีใครพูดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม (environment) ว่าไปแล้วการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ (economic crisis) ครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นโอกาสและขณะเดียวกันก็มีทั้งผลดีและผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ
                ข้อดี ประการแรกจะมีการลดการใช้พลังงาน  โดยเฉพาะการเดินทางโดยรถยนต์  โดยเครื่องบิน  เพื่อธุระและเพื่อการท่องเที่ยว  มีการลดการผลิตสินค้าต่างๆลง เพราะว่าผู้คนมีกำลังซื้อน้อยลง  เครื่องจักรต่างๆ ก็ใช้น้อยลง  นั่นคือปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่จะถูกปล่อยออกมาก็ลดลง
                ประการต่อมาการก่อสร้างบ้านอาคาร ถนนก็ต้องลดลงเพราะว่าขาดเงินทุน  โดยเฉพาะการตัดถนนเข้าไปในเขตป่าในประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย   ผลดีก็คือการตัดไม้ทำลายป่าจะน้อยลงเพราะว่าเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าถนนไปถึงไหน  ป่าไม้ในแถบนั้นก็จะหายไป พืชและสัตว์ก็มีโอกาสรอดมากขึ้น จากการที่อยู่อาศัยของมันไม่ถูกทำลาย  ปริมาณของคาร์บอนไดออกไซด์ก็จะไม่เพิ่มมากมาย
                ข้อดีอีกประการหนึ่งก็คือ  มีผู้คนหลายคนพูดว่าการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจนี้ ก็เพราะว่าเราพูดถึง  คำนึงถึง  ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมน้อยเกินไป เราเปลี่ยนทรัพยากรของโลกไปเป็นเงิน  โดยเฉพาะน้ำมันดิบ ป่าไม้ แร่ธาตุ จนทำให้เงินล้นธนาคาร  แล้วธนาคารก็เอาเงินไปปล่อยกู้  โดยผู้กู้ไม่มีกำลังความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและต้นทุน  เป็นเหตุให้เกิดการล่มสลายของธนาคาร  ตลาดหุ้น  เพราะว่าการพัฒนาเศรษฐกิจที่ผ่านมานั้น ขาดความสมดุลกับสิ่งแวดล้อม

                ข้อเสียของการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจต่อวิกฤติสิ่งแวดล้อม ประการแรกทุกคนจะละเลยปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา  ปัญหาปากท้องเป็นปัญหามากกว่าปัญหาสิ่งแวดล้อม  โรงงานชุมชนก็จะไม่ให้ความสนใจและดูแลสิ่งแวดล้อม  ดังนั้นปัญหาอากาศเสีย  น้ำเสีย  ดินเสีย จะเพิ่มมากขึ้น เพราะมองว่าสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย

                ประการที่สองเงินทุนในการรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมจะขาดแคลนทั้งในภาครัฐ  องค์กรเอกชน  และภาคประชาชนในชุมชน  ในหมู่บ้าน  ประการที่สามจะขาดแคลนงบประมาณ

                ในโครงการพลังงานสะอาด (clean energy project) เช่นพลังงานแสงอาทิตย์  พลังงานลม  พลังงานคลื่น พลังงานความร้อนใต้พิภพ   ยิ่งราคาน้ำมันดิบลดลงก็จะยิ่งทำให้โครงการแบบนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและเอกชนน้อยลง

                ข้อเสียอีกข้อ ก็คือ จะมีการบุกรุกป่าบริเวณใกล้ๆ ที่ชุมชนมากขึ้น  โดยเฉพาะในประเทศด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนา อันเกิดจากคนตกงานที่โรงงานในเมืองเลิกจ้าง ก็ต้องกลับไปบ้านในชนบท คนที่ไม่มีที่ดินของตัวเองหรือแม้แต่ที่ดินที่จะเช่าก็ต้องบุกรุกที่ป่าเพื่อความอยู่รอดของชีวิต

                วิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ เป็นโอกาสที่รัฐบาลจะได้จัดทำโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว (green intrastructure) เช่นสร้างรถไฟที่มีความเร็วสูง  เพื่อการเดินทางแทนรถประจำทาง  เครื่องบินในระยะทางที่ไม่ไกลจนเกินไป  ทำรถไฟฟ้าที่เป็นระบบขนส่งมวลชน ไม่ว่าบนดินและใต้ดิน เพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว
                ควรมีการลดหย่อนภาษี หรือให้เงินสนับสนุนในการที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อผลิตไฟฟ้าและน้ำร้อน หรือเอาไปทำการอบพืชผลทางการเกษตร ควรจะมีการเพิ่มงบประมาณในการศึกษาพลังงานที่นำกลับมาใช้ใหม่ (renewable energy) เช่นพลังงานที่ได้จากก๊าซไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงโดยตรง หรือเซลล์เชื้อเพลิง (fuel cell) เอทิลแอลกอฮอลล์และเชื้อเพลิงชีวภาพ (biofuel) เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ที่ราคาไม่แน่นอนและไม่สามารถนำกลับมาได้

                ควรจะถือโอกาสให้ความรู้ประชาชนทั่วไปว่า เศรษฐกิจและก๊าซเรือนกระจกคือเรื่องเดียวกัน  เศรษฐกิจที่ยั่งยืนต้องมีสิ่งแวดล้อมเป็นพื้นฐานและต้องให้โลกนี้สมดุล  การป้องกันและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นจุดแข่งขันกันในศตวรรษที่ 21 นี้

                รวมทั้งปลุกประชาชนให้หันมาใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก รีไซเคิลกระป๋อง ขวด โลหะฯลฯ ลดปริมาณขยะ ประหยัดน้ำประหยัดไฟ  ลดการบริโภคที่ไม่จำเป็นแก่การดำรงชีวิต

                ได้เวลาแล้วที่จะต้องจัดอันดับความสำคัญ  และเผชิญกับความจริงที่ว่า การทำลายสิ่งแวดล้อม สามารถคุกคามเราได้ เช่นเดียวกันกับการล่มสลายทางเศรษฐกิจ

                คงเห็นแล้วว่าวิกฤติเศรษฐกิจและวิกฤติสิ่งแวดล้อมนั้นมีความสัมพันธ์กัน การเกิดวิกฤติในครั้งนี้เป็นการสอนเราให้เคารพธรรมชาติโดยเฉพาะสมดุลของธรรมชาติ มนุษย์เราเป็นส่วนหนึ่งของโลกไม่ใช่เจ้าของโลก  และควรจะใช้วิกฤตินี้เป็นโอกาสในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม  หากปราศจากการป้องกันธรรมชาติและทำให้ธรรมชาติยั่งยืน เราและสัตว์อื่นๆ ก็ไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้

                จริงอยู่เงินทำให้โลกเดินต่อไปได้  แต่หากไม่มีโลกแล้วจะเดินต่อไปอย่างไร

   
 ผู้เขียน ประศักดิ์  ถาวรยุติการต์
ที่มา  วารสารเชียงใหม่ปริทัศน์  ปีที่ 10 ฉบับที่  108 มีนาคม 2552



พลิกวิกฤตเป็นโอกาส มองพญามังกรเป็นคู่ค้ามิใช่คู่แข่ง


เรื่อง : ชัชรพล เพ็ญโฉม
เรากำลังก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่สอง นับตั้งแต่การประกาศลอยตัวค่าเงินบาท พวกเราคนไทยคงยังไม่ลืมเลือนความเจ็บปวดเมื่อสมัยสิบกว่าปีที่แล้ว หลังจากที่รัฐบาลไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาทอันเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชีย (วิกฤตต้มยำกุ้ง) จวบจนถึงวันนี้ ทั้งบรรดาผู้ประกอบการและลูกจ้างต่างก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากบทเรียนมีค่าครั้งนั้น จากวันนั้นจนถึงวันนี้ มีวลีหนึ่งที่คนไทยทั้งประเทศพูดกันจนติดปาก นั่นก็คือ "การพลิกวิกฤตเป็นโอกาส" ในช่วงที่เศรษฐกิจฝืดเคืองแบบไม่มีน้ำมันมาช่วยหล่อลื่น (เพราะราคาน้ำมันแพงชนิดทำ New High แทบจะทุกวัน) การพลิกวิกฤตเป็นโอกาสน่าจะเป็นแนวคิดที่นำกลับมาใช้กันได้อีกครั้ง โดยเฉพาะในเวลาที่ประเทศชาติกำลังสูญเสียศักยภาพในการแข่งขันให้กับพี่เบิ้มทางเศรษฐกิจอย่าง "เมืองจีน"

ประเทศจีนนั้นมีปัจจัยต่างๆ มากมายที่เอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ อาทิ ต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าขนาดของพื้นที่จำนวนประชากรและความต้องการในการบริโภคที่มากกว่า(มาก) ทำให้ตัวเลขจีดีพีของจีน พุ่งทะยานสู่ระดับเลขสองตัวมาโดยตลอด นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา (แม้ในปี 2005 จะอยู่ที่ 9.9%) ในมหานครต่างๆของจีนมีตึกระฟ้าที่ผุดขึ้นตลอดเวลาราวกับดอกเห็ด คำพูดที่ว่า "All Roads Lead to China" หรือถนนทุกสายมุ่งสู่เมืองจีนในวันนี้ไม่ใช่คำพูดที่น่าตื่นเต้นอีกต่อไป 

ข้อเท็จจริงดังกล่าว ทำให้เมืองไทยเราต้องทบทวนนโยบายทางเศรษฐกิจกันใหม่ เพราะในวันนี้หากเรามัวแต่หวังจะเป็นเพียงฐานการผลิต เฝ้ารอการลงทุนจากต่างชาติ ก็คงเหมือนกับการรอวันตายเท่านั้นเอง

เมื่อพญามังกรตื่นจากหลับไหลแล้วช้างน้อยอย่างไทยจะเอาอะไรไปสู้กับเขา?

ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องงัดกลยุทธ์เด็ด "พลิกวิกฤตเป็นโอกาส" จากยุคยากเข็ญกลับมาใช้กันอีกรอบ และเมื่อผสานกับวัฒนธรรมการคิดเชิงบวก (Positive Thinking) เราก็อาจจะมีหนทางนำความรุ่งเรืองคืนสู่ระบบเศรษฐกิจไทยได้อีกครั้ง การแปลงสภาพคู่แข่งให้กลายเป็นคู่ค้า (คือ ทัศนคติเดียวกับแปลงหนี้ให้เป็นทุน) อาจเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยอยู่รอดปลอดภัยไปกับความแข็งแกร่งของพญามังกรอย่างจีนได้

ประเทศจีนในวันนี้มีจำนวนประชากรกว่า 1,300 ล้านคน มีอัตราการรู้หนังสือร้อยละ 91 มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ต 220 ล้านคน ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ 432 ล้านเครื่อง[1] ดูแล้วน่าจะเป็นตลาดขนาดยักษ์ที่เต็มไปด้วย "ความต้องการ" ในการบริโภค (ไม่แปลกที่ประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลายจ ะจ้องมองเมืองจีนกันตาเป็นมัน) แต่เมื่อเทียบกับศักยภาพการผลิตมหาศาลในประเทศ (จีนผลิตร่มร้อยละ 70 ของร่มทั้งหมดในโลก กระดุมร้อยละ 60 ของกระดุมทั้งหมดในโลกรองเท้า ร้อยละ 72 ของรองเท้าในสหรัฐฯ และของเล่นร้อยละ 80 ของของเล่นทั้งหมดในสหรัฐฯ) ไม่ว่าใครหน้าไหนรวมทั้งไทยเราก็ดูจะกลายเป็นผู้ผลิตฝุ่นผงไปในทันตา

การขายของให้กับประเทศที่มีทั้งความต้องการบริโภคและขีดความสามารถในการผลิตสูง คงไม่ใช่เรื่องง่ายในทางกลับกันจีนกำลังตีตลาดโลกด้วยสินค้าราคาถูกสะบั้น พ่อค้าหัวหมอทุกชนชาติ (รวมทั้งไทย) ต่างก็ไปเหมาซื้อสินค้าที่ผลิตในจีนมาขายต่อกันในประเทศอย่างสนุกสนาน เพราะมันถูกมากและเยอะมากถึงขั้นมีชื่อเล่นสากลในสหรัฐว่า สินค้า "China Price"[2]

ด้วยเหตุนี้ หนทางการเปลี่ยนเมืองจีนจากคู่แข่งมาเป็นคู่ค้าจึงต้องอาศัยกลยุทธ์ที่แยบยลเหนือระดับ อาทิ มองตลาดกลุ่มคนรวยใหม่ (​New Rich) โดยเน้นขายสินค้าที่เพิ่มคุณค่าเชิงรสนิยมและค่านิยม ยุทธวิธีนี้ อาจเป็นกุญแจที่ผู้ประกอบการ SME ไทยจะสามารถขยายตลาดส่งออกสู่ประเทศจีนในลักษณะของ "คู่ค้า" ได้

รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง
ยุทธศาสตร์การรบอันหลักแหลมจากตำราพิชัยสงคราม 13 บทของซุนวูยังคงใช้ได้ผลเสมอ ถ้าคิดจะขายของให้เศรษฐีจีนเราก็ต้องวิเคราะห์โครงสร้างสังคมของจีนที่กำลังเปลี่ยนไปให้ได้แตกฉาน

จากยุวชนแดงจนถึงจักพรรดิน้อย
นโยบายที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างทางสังคมของจีนมากที่สุด (โดยเฉพาะด้านประชากร) นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979 เป็นต้นมาก็คือ "นโยบาย One-Child Policy" ที่จำกัดให้แต่ละครอบครัวมีลูกได้คนเดียว(ยกเว้นในบางพื้นที่ของประเทศ) นโยบายดังกล่าว สามารถลดจำนวนทารกเกิดใหม่ได้มากถึง 400 ล้านคน ซึ่งทำให้สังคมจีน (โดยเฉพาะในเมืองใหญ่) มีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยว (ที่มีเพียงพ่อ-แม่-ลูก) ผลที่ตามมาก็คือ ลูกหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวนั้นได้กลายเป็นความหวังทั้งหมดของครอบครัว เงินจำนวนมากถึงร้อยละ 30 ของรายได้ครอบครัว ถูกทุ่มไปที่การศึกษาของเด็กทุกวันนี้ เด็กจีนมีตารางเรียนแน่นเอี้ยด 7 วันต่อสัปดาห์ ต้องเรียนวิชาที่คนรุ่นอาก๋งอาม่าไม่เคยรู้จัก เช่นวิชาสนทนาภาษาอังกฤษ (ที่ต้องแบ่งเป็นสองภาคอีก คือ 1. ภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษ และ 2. ภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน) เปียโน บัลเล่ต์ และคอมพิวเตอร์ กลายเป็นวิชาพื้นฐานของเด็กจากครอบครัว ชนชั้นกลาง

สามสิบปีก่อนวัยรุ่นจีนเคยเป็นยุวชนแดงนั่งเปิดคัมภีร์ท่านเหมา แต่มาบัดนี้พวกเขาได้เลื่อนสถานภาพมาเป็น "จักรพรรดิน้อย"หรือ Little Emperor ที่นั่งหน้าคอมพิวเตอร์ โดยเฉลี่ยคนละ 17.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นผ่านบล็อกกว่า 120 ล้านบล็อก ด้วยความที่เด็กคนเดียวเป็นความหวังเดียวของครอบครัว บวกกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนไป ทุกครอบครัวจีนเห็นพ้องต้องกันว่า การศึกษาระดับสูงเท่านั้น คือ บันไดไต่เต้าสู่ความสำเร็จและความมั่งคั่ง การศึกษาเท่านั้นที่เลื่อนระดับชั้นทางสังคมให้กับลูกหลานได้

คนเปลี่ยน เมืองเปลี่ยน
เมื่อครอบครัวส่วนใหญ่กลายเป็นครอบครัวเดี่ยวรูปแบบการอุปโภคบริโภคจึงเปลี่ยนไป จากวิถีเกษตรกรรมแบบครอบครัวขยาย กลายมาเป็นวิถีคนเมืองแบบตะวันตก สภาพบ้านเรือนก็เปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะของครอบครัว บ้านจีนแบบเดิมที่มีลานบ้านกว้างใหญ่กำลังถูกรื้อทิ้งโดยมีตึกอพาร์ทเมนท์สูงๆ เข้ามาแทนที่ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยย้ายไปอยู่บ้านพักคนชราด้วยความเต็มใจ เพื่อช่วยลดภาระค่าเลี้ยงดูของลูกหลานและจะได้มีโอกาสเข้าสังคมกับคนรุ่นราวคราวเดียวกันด้วย ในอดีตนั้นการอยู่บ้านพักคนชราถือเป็นเรื่อง น่าอับอายอย่างสูงสุด ทั้งต่อตัวผู้สูงอายุที่ไม่มีลูกหลานดูแลและต่อตัวลูกหลานที่ถูกมองเป็นคนอกตัญญู ในวันนี้ ค่านิยมหลายอย่างมันได้กลับตาลปัตรไปหมดแล้ว นอกจากนี้ ประชากรราว 200 ล้านคนที่เกิดจากนโยบาย one child policy ก็กำลังทยอยเข้าสู่วัยมีครอบครัว โดย 90 ล้านคนในนั้นเป็นคนกลุ่มแรกๆ ของรอยต่อด้านโครง สร้างประชากรนี้ คนกลุ่มนี้ไม่มีพี่น้อง และมีสัดส่วนเป็นเพศชายสูงกว่าเพศหญิงในอัตราส่วน 119 ต่อ 100

นั่นทำให้เราคาดการณ์ได้ว่าในปี ค.ศ. 2020 จะมีจำนวนชายโสดในจีนสูงถึง 30 ล้านคน[3] ซึ่งตัวเลขต่างๆ ทางด้านโครงสร้างประชากรนี้ ล้วนมีนัยสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจทั้งสิ้น เพราะนั่นหมายถึงการขาดแคลนแรงงานในอนาคต การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นต่อระบบโครงสร้างธุรกิจแบบครอบครัว จำนวนผู้สูงอายุที่มากขึ้นและการที่ลูกคนเดียวต้องดูแลผู้ใหญ่อีก 6 คนคือ ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ( หรือระบบที่เรียกว่า 4-2-1) การเปลี่ยนแปลงในแง่สังคมวัฒนธรรมที่คาดการณ์ได้ดังกล่าวข้างต้น ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดยุทธศาสตร์และวิธีการดำเนินธุรกิจของเรากับประเทศจีนได้ทั้งสิ้นจะเปลี่ยนคู่แข่งเป็นคู่ค้า ต้องเติมคุณค่าให้ผลิตภัณฑ์
คนรวยต้องมีรสนิยม : รสนิยมที่ดีต้องมาจากตะวันตก สัจธรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ก็คือ เรามีความต้องการไม่สิ้นสุด ถ้าจะว่ากันตามทฤษฎีลำดับชั้นของความต้องการ (หรือ Hierarchy of Needs)[4] โดยมาสโลว์แล้ว สิ่งที่ชนชั้นกลางรวมถึงกลุ่มเศรษฐีใหม่กำลัง เสาะแสวงหานั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องการทำมาหากินเลี้ยงปากท้อง แต่พวกเขากำลังต้องการหน้าตาในสังคมต้องการจะอยู่รอดในภาวะที่ชีวิตกดดันด้วยการแข่งขัน ตลอดจนต้องการชดเชยสิ่งที่ตัวเองไม่มีในวัยเด็ก (ในช่วงปีค.ศ. 1958-1962 เศรษฐกิจในประเทศจีนและการเก็บเกี่ยวผลผลิตการเกษตรได้หยุดชะงัก จากแผน

เศรษฐกิจแบบก้าวกระโดดของประธานเหมา คนจีนเผชิญภาวะอดอยากและมีผู้คนล้มตายกว่า 30 ล้านคน)
ทางออกของคนเหล่านี้จึงหนีไม่พ้นการถ่ายโอนความรู้สึกดังกล่าวมาสู่การแสดงออกทางวัตถุ ผ่านทางสินค้าฟุ่มเฟือย ตั้งแต่เครื่องแต่งกายแบรนด์เนม เรื่อยไปจนถึงการตกแต่งบ้าน การขับขี่รถยนต์หรู ซึ่งทุกอย่างที่ว่าต้องการตราสัญลักษณ์ของทางยุโรปมาประดับบารมีทั้งสิ้น แสดงให้เห็นถึงการโอบรับวัฒนธรรม ใหม่ที่ไหล่บ่าเข้ามาอย่างเต็มใจ สินค้าขายดีในจีนจึงหนีไม่พ้น สินค้าแฟชั่น เครื่องประดับ งานศิลปะตะวันตก และสินค้าที่บ่งชี้ถึงรสนิยมแห่งความมั่งมี นอกจากนี้ จีนยังมีค่านิยมการให้ของกำนัลราคาแพงแด่ผู้อาวุโส โดยแนบใบเสร็จไปพร้อมกับของขวัญด้วย[5] ซึ่งก็เป็นข้อวัฒนธรรมอีกประการที่น่าจะเอื้อให้เรากำหนดกลยุทธ์การตลาดกับเศรษฐีใหม่ของจีนได้ง่ายขึ้น 
เพิ่มคุณค่า ขายคุณค่า ร่ำรวยด้วยคุณค่า
แน่นอนว่าสินค้าและบริการที่จะค้าขายกับเศรษฐีใหม่แดนมังกรนั้น (เน้นว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นคนรวยใหม่ซึ่งอาศัยอยู่ในเมือง) ต้องไม่ใช่ของที่ผลิตเป็นจำนวนมาก (Mass Production) แต่ต้องเป็นสินค้าและบริการที่ใส่มูลค่าเพิ่มพิเศษลงไป (value-added) จริงอยู่ที่เมืองจีนเป็นดินแดนแห่งการลอกเลียนแบบ แต่คนจีนผู้มีฐานะรุ่นใหม่ไม่นิยมใช้สินค้าปลอม พวกเขารักที่จะมีรสนิยมและเอกลักษณ์เฉพาะตัว (นับเป็นการปฏิวัติทางการบริโภค เพราะในยุคประธานเหมา การแสดงออกถึงความมั่งมีและความเป็นตัวของตัวเองถือเป็นอาชญากรรม) ผู้อำนวยการหลักสูตร CEO MBA/SME มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยให้ความเห็นว่า คุณภาพของสินค้าไทยในสายตาของจีนถือเป็นที่ยอมรับ ธุรกิจที่ไทยสมควรลงทุนกับตลาดคนจีน ได้แก่ การบริการชั้นสูงต่างๆ อาทิ สปา และร้านอาหาร[6] ถ้าเราอยากค้าขายกับคนจีนจริงๆ ก็ยังมีปัจจัยด้านวัฒนธรรมอื่นๆ ที่ต้องคำนึงถึงอีก ยกอย่างเช่น คนจีนทั่วไปไม่ค่อยชอบติดต่อธุรกิจกับคนแปลกหน้า ดังนั้น ถ้าจะให้ดีผู้ซื้อกับผู้ขายต้องเจอกันแบบซึ่งๆหน้า (การติดต่อผ่าน Direct Mail มักไม่ได้รับการตอบรับใดๆทั้งสิ้น) โดยทั้งนี้นักลงทุนไทยอาจต้องขอความร่วมมือ จากหน่วยงานราชการในจีนให้ช่วยนัดหมายให้ หรือช่วยออกหนังสือรับรองความน่าเชื่อถือ ซึ่งก็ต้องเตรียมตัวล่วงหน้าก่อน เช่น จัดเตรียมแบบร่างโครงการพร้อมใบเสนอราคา ข้อมูลบริษัทรายนามสมาชิก สมาคม หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นามบัตร และข้อมูลประกอบอื่นๆ[7] ไว้ให้พร้อม

มองไปข้างหน้า ได้เวลาของ Creative Thailand สร้างเศรษฐกิจไทยด้วยความคิดสร้างสรรค์
เมื่อการแข่งขันด้วย Mass Production โดยมีจีนเป็นคูู่แข่งนั้น กลายเป็นเรื่องตลกที่ทุกคนส่ายหัว การเปลี่ยนมาขาย "ความคิด" จึงเติบโตขึ้นกลายเป็นรากฐานของระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจแม้กระทั่งรัฐบาลจีนเองก็กำลังศึกษาและลงทุนในโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจบนพื้นฐานความคิดสร้างสรรค์นี้ รัฐบาลจีนทุ่มทุนมหาศาลเพื่อวางรากฐาน พัฒนา และพยายามเปลี่ยนโฉมหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศจาก Made in China ไปสู่ Created in China[8] ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั้งคนไทยและทั่วโลกต่างกำลังจับตามองต่อไปในอนาคต "กึ๋น" ที่แต่ละประเทศนำมาใช้แข่งขันกันทางธุรกิจนั้น จะไม่ใช่เรื่องขีดความสามารถในการผลิตอีกต่อไป แต่จะขับเคี่ยวกันที่"ความคิด" ล้วนๆ

ณ วินาทีนี้ ทางออกที่ดีที่สุดของไทยที่จะเชื่อมการค้าขายของเราเข้ากับตลาดบริโภคจีนนั้น ก็น่าจะต้องเดินไปในทิศทางเดียวกันกับสิ่งที่รัฐบาลจีนให้ความสนใจอยู่ อันดับแรกก็คงหนีไม่พ้นการเติม "คุณค่า" อันมี " ที่มาที่ไป" ลงในสินค้าและบริการที่เราคิดจะส่งออก กลวิธีนี้ดูจะมีอนาคตสดใสที่สุด สำหรับการเผชิญความเปลี่ยนแปลงของ"พญามังกร" ที่กำลังโบยบินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจบนพื้นฐาน ความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มตัว


[1] ข้อมูลจากนิตยสาร National Geographic ฉบับภาษาไทย ประจำเดือน พฤษภาคม 2551
[2] ข้อมูลจากนิตยสาร National Geographic ฉบับภาษาไทย ประจำเดือน พฤษภาคม 2551
[3] เล่มเดียวกัน
[4] อ่านเพิ่มเติมได้ที่ 
http://en.wikipedia.org/wiki/Hierarchy_of_needs
[5] จาก "พลังกรรมาชนจีน เมื่อเหล่าสหายกลายเป็นนักช็อป Workers (with money) Unite!,
China Shopping Revolution " โดย TCDC
[6] จาก 
http://www.siaminfobiz.com/mambo/index.php/content/view/1722/40/
[7] ข้อมูลจาก http://www.ismed.or.th/SME2/
[8] อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.tcdc.or.th/ct/article005.html

วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2556

เด็กกับอำนาจซื้อที่คาดไม่ถึง!

ที่มา http://www.learners.in.th/blogs/posts/139097?locale=en
http://www.positioningmag.com/magazine/details.aspx?id=59614
เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมบริษัทต่างๆจึงมีการทำการตลาดกับเด็กทั้งๆที่เด็กทั้งหลายก็ไม่มีเงินที่จะจับจ่ายใช้สอยได้เท่าไรนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วเด็กกลับมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของพ่อแม่อย่างมาก

ซึ่งในแต่ละปี เด็กอเมริกันสามารถทำให้เกิดการใช้สอยกว่า 500,000 ล้านดอลล่าร์ ซึ่งนับเป็นมูลค่ามหาศาล จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมบริษัทต่างๆได้สร้างโฆษณาเพื่อจูงใจเด็กโดยเฉพาะ เช่นแมคโดนัลด์ ทำชุดแฮปปี้มีลที่มีของเล่นแถมมากับอาหาร หรือ การสร้างสนามเด็กเล่นในร้านแมคโดนัลด์ ที่แมคโดนัลด์เน้นการทำการตลาดกับเด็กเพราะเห็นว่า หากเด็กๆต้องการเข้ามาทานอาหารที่ร้านแมคโดนัลด์ เด็กๆก็ต้องให้คุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ปกครองพามานั่นก็หมายความว่าเราได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกสองคน

ความสำเร็จของแมคโดนัลด์ทำให้เกิดกระแสการโฆษณาสินค้าที่พุ่งเป้าไปที่เด็กโดยตรง  ซึ่งทุกวันนี้บริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่ก็มีแผนกเด็กโดยเฉพาะ และบริษัทการตลาดบางแห่งก็ตั้งขึ้นมาเพื่อเจาะตลาดเด็กอย่างเดียว ไม่น่าเชื่อว่าอันที่จริงแล้ว นักวิจัยได้ค้นพบว่าเด็กสามารถจำโลโก้เส้นโค้งสีทองของแมคโดนัลด์ได้ก่อนชื่อตัวเองซะอีก                การโฆษณาที่พุ่งเป้าไปที่เด็กนั้น จะเปลี่ยนให้เด็กเป็นเซลล์แมนตัวน้อยๆที่ประสิทธิภาพสูงมาก เพราะพวกเขาเป็นผู้ที่รู้จักพ่อแม่ของเขาดีที่สุด รู้จุดอ่อนของพ่อแม่ว่าจะต้องทำอย่างไร ถึงจะซื้อสินค้าที่ต้องการให้



ข้อสรุป ทำไมตลาดเด็กจึงทรงพลัง 
1.เด็กถือเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สามารถปลูกฝังแบรนด์ได้ดี ซึมซับได้ผลเร็ว มีผลต่อการสร้างแบรนด์ในระยะยาว
2.พลังของเด็กสามารถเชื่อมต่อ หรือกระตุ้นยังกลุ่มพ่อแม่หรือผู้บริโภคอื่นๆ ทำให้เกิดพลังการจับจ่ายมากขึ้น
3.กลุ่มเด็กทำให้แบรนด์ดูสดใส กระฉับกระเฉง และทันสมัยมากขึ้น
4.เด็กสามารถสะท้อนไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ เพื่อเป็นโจทย์ให้ผู้ผลิตสินค้านำมาปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดใหม่ๆ
5.กลุ่มเด็กมีความต้องการที่หลากหลาย ทำให้สามารถสร้างโปรดักส์ใหม่ๆ หรือกระตุ้นการใช้จ่ายได้มากขึ้น


ข้อควรระวังต่อการทำตลาดเด็ก 
1.การสื่อสารด้านการตลาดของเด็ก จำเป็นต้องเลือกใช้วิธีง่ายๆ ไม่ซับซ้อน หรือข้อความการโฆษณาที่เข้าใจง่ายๆ หรือสนุกๆ เช่น มีตัวการ์ตูนในการสื่อสาร เพราะเด็กมักจะเลือกรับการสื่อสารที่เข้าใจง่ายๆ และมีการตัดสินใจบริโภคจากการรับข้อมูลที่ซ้ำไปซ้ำมา
2.สินค้าบริโภคสำหรับเด็ก เช่น ขนมขบเคี้ยว ไอศกรีม ฟาสต์ฟู้ดส์ ปัจจุบันมีผลต่อปัญหาสุขภาพของเด็ก ทำให้เกิดโรคอ้วน จึงมักเป็นสินค้าที่พ่อแม่ผู้ปกครองมักต่อต้านการบริโภค ดังนั้นผู้ผลิตจึงต้องหนทางในการปรับปรุงสินค้าเพื่อสุขภาพของเด็ก
3.การตลาดเด็ก จำเป็นต้องคำนึงถึงพ่อแม่ผู้ปกครองด้วย หากทำแคมเปญใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็กต้องมีแผนรองรับผู้ปกครองเด็กด้วย หรือผู้ผลิตสินค้า อย่างเช่นเกมเครื่องเล่น ควรจะมีวิธีเล่นที่พ่อแม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้ด้วย


พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงของเด็ก 
1. ข้อมูลทางด้านพฤติกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ พบว่า เด็กร้อยละ 50 ของประชากรในประเทศไทย หรือในอเมริกา ยุโรป อายุเฉลี่ย 8 ขวบ เปลี่ยนจากการวิ่งเล่นกลางแจ้งมาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ การทำตลาดกับเด็กยุคใหม่จึงควรมีช่องทางผ่านเว็บไซต์ เพื่อเกิดการรับรู้ของโลก

2. การบริโภคเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม ยังเป็นพฤติกรรมการบริโภคที่เติบโตสูงสุด ปัจจุบันกลุ่มที่เป็นเด็กในจำนวนเด็กทั่วโลกมีสัดส่วนถึง 40% สูงกว่าการบริโภคโดยเฉลี่ยของประชากรทุกกลุ่ม สินค้าน้ำอัดลมจึงยังเป็นสินค้าที่สามารถสร้างมูลค่ากับเด็กได้อย่างมาก

มูลค่าตลาด
ปัจจุบันมูลค่าตลาดเด็กยังมีการวิจัยถึงมูลค่ารวมที่ชัดเจน มักจะวิจัยหรือประมาณการเป็นเซ็กเมนต์สินค้า เช่น ตลาดนมผงเด็ก ตลาดผ้าอ้อม ตลาดเสื้อผ้าเด็ก ซึ่งแต่ละประเภทสินค้าจะมีมูลค่าประมาณพันกว่าล้านบาท ดังนั้นถ้าวิเคราะห์โดยภาพรวมมูลค่าตลาดเด็ก จึงถูกประมาณไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาท

ตลาดผูกขาดที่คุณอาจจะไม่เห็น


ที่มา http://www.learners.in.th/blogs/posts/281077
   สวัสดีครับ วันนี้ผมอยากจะมาเล่าเรื่อง “ตลาดผูกขาด” ครับ ตลาดผูกขาดหรือการผูกขาดอย่างที่หลายๆคนเข้าใจมักจะหมายถึงการที่มีผู้ผลิตสินค้าหรือบริการนั้นๆเพียงรายเดียว ซึ่งจะมีผลทำให้ผู้บริโภคอย่างเราๆไม่มีทางเลือกไปใช้บริการหรือซื้อสินค้าจากผู้ผลิตรายอื่นเลย โดยที่ผู้ผลิตที่มีอำนาจผูกขาดนั้นสามารถควบคุมราคาได้ตามต้องการ ตัวอย่างที่เห็นชัดๆในไทยเลยก็คือ ไฟฟ้า ครับ เพราะไฟฟ้านั้นเป็นสินค้าและบริการของการไฟฟ้าซึ่งเป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวเลย หากการไฟฟ้าประกาศขึ้นราคาค่าไฟฟ้าขึ้นมา ผู้บริโภคอย่างเราๆก็ต้องก้มหน้าก้มตายอมรับไปเพราะมีผู้ผลิตเพียงรายเดียวเราจะบอกว่าแพงแล้วไม่ใช้ไปใช้ของผู้ผลิตรายอื่นก็ไม่มีจริงมั้ยครับ

                นอกจากกรณีที่มีผู้ผลิตเพียงรายเดียวในกรณีการไฟฟ้าข้างต้นแล้ว การที่มีผู้ผลิตหลายรายก็สามารถเกิดการผูกขาดได้ ถ้าผู้ผลิตรายใหญ่รวมกันและสามารถควบคุมปริมาณสินค้าส่วนใหญ่ในตลาดได้ ตัวอย่างที่เห็นกันชัดๆคือน้ำมันไงครับ น้ำมันถูกควบคุมปริมาณโดยกลุ่มโอเปคซึ่งทำให้ราคาสูงต่ำได้ตามต้องการ เห็นมั้ยครับว่าแม้มีผู้ผลิตหลายรายก็ตาม แต่ถ้าผู้ผลิตหลายรายนั้นสามารถรวมกลุ่มกันควบคุมปริมาณสินค้าส่วนใหญ่ได้ก็สามารถทำให้เกิดการผูกขาดได้เหมือนกัน

                ในการผูกขาดที่ปลายน้ำหรือที่ตลาดสินค้าบริการข้างต้นเป็นสิ่งที่เราพบเห็นและรับรู้กันได้ทั่วไปเนื่องจากเราได้รับผลกระทบโดยตรงในฐานะผู้บริโภค แต่ในครั้งนี้ผมอยากจะพูดถึงประเด็นการผูกขาดในตลาดปัจจัยโดยผู้ซื้อปัจจัยเป็นผู้ผูกขาดในขณะที่ตลาดสินค้าเป็นตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ซึ่งในกรณีนี้ผู้บริโภคอย่างเราๆอาจจะไม่ค่อยสนใจเนื่องจากไม่ส่งผลกระทบกับราคาสินค้าในตลาดสินค้าที่เราซื้อกัน ผมขอพูดถึงตัวแนวคิดของการผูกขาดแบบนี้ก่อนที่จะยกตัวอย่างเรื่องจริงในสังคมที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นะครับ

                การผูกขาดในตลาดปัจจัยโดยผู้ซื้อปัจจัยในขณะที่ตลาดสินค้าเป็นตลาดแข่งขันสมบูรณ์ นักเศรษฐศาสตร์เรียกโครงสร้างตลาดแบบนี้ว่า Monopsony ครับ ในตลาดนี้ครับผู้ซื้อปัจจัยมีอำนาจผูกขาดในการซื้อปัจจัยจากผู้ขายปัจจัยหลายรายครับ แต่ในตลาดสินค้าเป็นตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ผมจะขอยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆนะครับให้เข้าใจตัวโครงสร้างก่อนนะครับ สมมติว่าประเทศไทยมีโรงงานประกอบรถยนต์เพียงรายเดียว แต่มีผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เพื่อป้อนให้โรงงานนี้มากมายแต่ละรายล้วนเป็นรายเล็กๆและห้ามส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ออกไปต่างประเทศด้วย ในขณะที่ตลาดรถยนต์เองมีการแข่งขันสมบูรณ์ เนื่องจากทั่วโลกมีโรงงานผลิตรถยนต์มากมายและสามารถนำเข้าส่งออกรถยนต์ประกอบเสร็จได้โดยเสรี

                ในกรณีข้างต้นโรงงานประกอบรถยนต์ดังกล่าวจะมีสิทธิ์ในการผูกขาดการซื้อชิ้นส่วนรถยนต์จากผู้ผลิตหลายรายส่งผลให้เป็นผู้กำหนดราคาปัจจัยการผลิตได้ แต่ในขณะที่ตลาดรถยนต์เป็นตลาดแข่งขันสมบูรณ์เนื่องจากมีรถยนต์ประกอบสำเร็จจากต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศได้ทำให้เวลาขายรถยนต์ประกอบเสร็จมีฐานะเป็นผู้รับราคา ทีนี้ลองนึกภาพตามนะครับ ผมจะพยายามไม่ใช่ศัพท์หรือสมการทางเศรษฐศาสตร์มาอธิบายให้วุ่นวายแต่จะเอาแค่แนวคิดและไอเดียมาพูดกันเท่านั้น ถ้าคุณเป็นหน่วยผลิตนี้และราคาตลาดของรถยนต์ประเภทเดียวกันนี้ อยู่ที่หนึ่งล้านบาท อีกทั้งคุณสามารถควบคุมต้นทุนของคุณก็คือราคาปัจจัยได้คุณจะทำอย่างไรครับ แน่นอนคุณก็ต้องพยายามกดราคาปัจจัยให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ถูกมั้ยครับ สมมติว่าต้นทุนในการบริหารและจัดการทุกอย่างยกเว้นราคาปัจจัยอยู่ที่สองแสนบาทเนี่ย ถ้าเป็นตลาดแข่งขันสมบูรณ์หน่วยผลิตนี้จะได้กำไรปกตินั่นหมายถึงส่วนที่เหลือแปดแสนบาทจะตกไปเป็นของผู้ผลิตชิ้นส่วนแน่ๆ แต่ผู้ซื้อปัจจัยรายนี้มีอำนาจผูกขาดโดยอาจจะใช้วิธีกดราคาปัจจัยการผลิตทำให้ปริมาณการเสนอขายปัจจัยการผลิตลดลง อาจจะลดเหลือแค่หกแสนบาท ต้นทุนการจัดการเท่าเดิมคือสองแสนบาท ขายได้ราคาเท่าเดิมหนึ่งล้านบาท จะทำให้มีกำไรส่วนเกินถึงคันละสองแสนบาท ซึ่งสองแสนบาทเป็นกำไรที่ได้จากการเอารัดเอาเปรียบผู้ขายปัจจัยทั้งสิ้น

                ตัวอย่างต่อไปอันนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนะครับ ไอเดียนี้มาจากการเข้าฟังบรรยายจากอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ที่จำไม่ได้ว่าเป็นใครและวิชาอะไร ทุกวันนี้ทุกๆท่านบริโภคไก่กันเป็นปกติใช่มั้ยครับ ผู้ผลิตไก่สดรายใหญ่อย่างที่เราทราบกันก็คือซีพี ในตลาดไก่สดที่เราบริโภคกัน มีโครงสร้างคล้ายกับตลาดสมบูรณ์ครับ เพราะมีหลายยี่ห้อหลายฟาร์มให้เลือก แต่ไก่ซีพี ที่ว่าเลี้ยงในระบบฟาร์มปิด ไม่ได้เลี้ยงโดยบริษัทเองนะครับ แต่เลี้ยงโดยเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ โดยเกษตรกรต้องซื้อพันธุ์ไก่จากซีพี โดยมีสัญญาว่าซีพีจะรับซื้อกลับเมื่อโตพอและมีข้อจำกัดต่างๆนาๆ เช่น อัตราการตายต้องเท่าไหร่ น้ำหนักต้องเท่าไหร่ ต้องใช้อาหารไก่ที่ซีพีผลิตและขายให้เกษตรกรโดยตรง และพอเลี้ยงเสร็จแล้วต้องขายให้ซีพี ถ้าไม่เป็นไปตามข้อตกลงต่างๆ ราคาที่กำหนดไว้ก็จะลดลง จนเกษตรกรอาจจะไม่คุ้ม ลองจินตนาการว่าคุณเป็นเกษตรกรดูสิครับ คุณไม่ต่างจากลูกจ้างซีพีเลยนะครับ คุณต้องเลี้ยงไก่ที่เค้าสั่ง ตามวิธีของเค้า เสร็จแล้วต้องขายให้เค้าอีก แถมอีกอย่างยังต้องแบกรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นเองอีกถ้าไม่เป็นไปตามข้อตกลง ในกรณีอย่างนี้เราสามารถเรียกว่าเกิดอำนาจผูกขาดได้มั้ยครับ ถามว่าทำไมเกษตรกรไม่ไปเลี้ยงไก่พันธุ์อื่น เนื่องจากปัญหาคือเลี้ยงมาแล้วไม่มีตลาดที่จะรองรับไก่พันธุ์อื่นครับ

                เห็นมั้ยครับว่าในตลาดสินค้าและบริการที่มีโครงสร้างแข่งสมบูรณ์แม้ผู้บริโภคอย่างเราๆ บริโภคกันเป็นปกติทุกวันอย่างไก่สด อาจจะมีเบื้องหลังที่เป็นตลาดผูกขาด อยากให้ทุกๆคนลองมองไปยังหลายๆสิ่งรอบตัวอาจจะมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นอยู่ก็ได้นะครับ สิ่งที่เป็นคำถามต่อไปก็คือปัญหาอย่างนี้เราควรจะหาทางแก้กันอย่างไร ขอทิ้งไว้ให้ทุกคนลองคิดต่อดูนะครับ ในตอนนี้ขอลาไปก่อนครับ ขอบคุณครับ



เอกสารอ้างอิง

เศรษฐศาสตร์จุลภาค:ทฤฎีและการประยุกต์ ดร.ชยันต์ ตันติวัสดาการ

http://www.thaingo.org/cgi-bin/content/content2/show.pl?0180

http://www.nidambe11.net/ekonomiz/news2003/news2003jan27p3.htm

วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556

ผู้ชนะแห่งวิกฤติการณ์เศรษฐกิจ (2)

ผู้ชนะแห่งวิกฤติการณ์เศรษฐกิจ (2)

1 มกราคม 2013

สมคิด พุทธศรี
ที่มา http://thaipublica.org/2013/01/who-won-the-recession-2/
เมื่อคราวที่แล้ว ผมได้เล่าถึงบรรดา ‘ผู้ชนะแห่งวิกฤติการณ์เศรษฐกิจ’ ที่ได้รับการคัดเลือกจากนักคิดนักเขียนทั้งหลายไปแล้วส่วนหนึ่ง มาคราวนี้ขออนุญาตเก็บความมาเล่าเรื่องต่อนะครับอนึ่ง และขอกล่าวซ้ำอีกครั้งว่า ประเด็นดังกล่าวนี้เป็นประเด็นหลักของนิตยสาร Foreign Policy ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2012 และผมหยิบเลือกเพียงบางประเด็นที่ผมคิดว่าน่าสนใจมาเล่าต่อเท่านั้น ใครที่สนใจอ่านเนื้อหาฉบับเต็มและประเด็นอื่นๆ ที่ผมไม่ได้เลือก ก็สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ของนิตยสารได้เลยครับ

Kate Sheppard: ผู้ปฏิเสธโลกร้อน

Sheppard เป็นนักข่าวสายสิ่งแวดล้อมให้กับนิตยสาร Mother Jones ซึ่งเป็นนิตยสาร ‘หัวเอียงซ้าย’ ในสังคมการเมืองอเมริกัน นอกจากนี้เธอยังเป็นนักเขียนรับเชิญในสื่ออีกหลายฉบับ อาทิ หนังสือพิมพ์ The Guardians และ The Washington Independent เป็นต้น ประเด็นที่ Sheppard มีความเชี่ยวชาญและสนใจเป็นพิเศษคือ การเมืองเรื่องสิ่งแวดล้อม

ในความเห็นของ Sheppard วิกฤติการณ์แห่งเศรษฐกิจนั้นทำให้เหล่าบรรดาผู้ปฏิเสธโลกร้อนกลายเป็นผู้ชนะในทันที เพราะท่ามกลางภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ย่อมเป็นการยากที่จะมีใครมานั่งสนใจภาวะโลกร้อน หรือความเสื่อมโทรมของธรรมชาติ

การสำรวจความเห็นคนอเมริกันเกี่ยวกับเรื่องปัญหาโลกร้อนพบว่าในปี 2008 ซึ่งเป็นปีที่วิกฤติเศรษฐกิจเริ่มต้นขึ้นมีกลุ่มตัวอย่างมากถึง 66 เปอร์เซ็นต์ที่ใส่ใจกับปัญหาโลกร้อน ทว่าการสำรวจในปี 2011 พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ตอบว่าตัวเองเป็นกังวลต่อปัญหาโลกร้อนนั้นมีเพียง 51 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ก่อนที่จะเพิ่มมาเป็น 55 เปอร์เซ็นต์ในปี 2012 สถิติดังกล่าวนี้สอดคล้องกับงานวิชาการบางชิ้นที่พบว่า สภาพทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมของสาธารณชน ในขณะที่สภาพความเลวร้ายของสิ่งแวดล้อม และการให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องไม่ได้ส่งผลอะไรมากนัก

Sheppard ชี้ให้เห็นว่า นอกจากคนอเมริกันแล้ว วิกฤติเศรษฐกิจยังทำให้บรรดาหลายๆ ประเทศที่เคยสนับสนุนการแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างแข็งขันต่างลดความสำคัญของนโยบายสิ่งแวดล้อมกันถ้วนหน้า รูปธรรมที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การที่ญี่ปุ่น แคนาดา และรัสเซีย ปฏิเสธที่จะต่ออายุ พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ออกไปไม่ต้องพูดถึงว่า นโยบายสิ่งแวดล้อมกลายเป็นนโยบายที่สหภาพยุโรปให้ความสำคัญเป็นลำดับท้ายๆ ไปแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤติ สหภาพยุโรปคือตัวตั้งตัวตีสำคัญในการผลักดันการแก้ปัญหาโลกร้อน

มีคนตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการถูกต้องแล้วที่ในภาวะวิกฤติผู้คนควรจะกังวลกับปัญหาสิ่งแวดล้อมน้อยลง เพราะเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ ความต้องการใช้พลังงานย่อมน้อยลง และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก็ย่อมน้อยลงตามไปด้วย Sheppard เองก็เห็นว่าคำอธิบายดังกล่าวพอรับฟังได้ และข้อมูลเชิงประจักษ์เองก็ชี้ชัดว่า การใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงจริงในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ แต่ปัญหาคือ เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น ปัญหาสิ่งแวดล้อมก็จะกลับมาอีกครั้ง
ดังนั้น ตราบใดที่เรายังคิดว่าต้องพัฒนาเศรษฐกิจให้ดีเสียก่อน แล้วค่อยไปแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและโลกร้อนทีหลัง ทุกๆ ครั้งที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ เหล่าผู้ปฏิเสธโลกร้อนก็จะกลายเป็นผู้ชนะอยู่ทุกครั้งไป

Josepth Nye: พวกที่พูดถึง ‘ขาลง’

Nye เป็นนักวิชาการรัฐศาสตร์ร่วมสมัยคนสำคัญ เคยดำรงตำแหน่งคณบดีของ John F. Kennedy School of Government มหาวิทยาลัย Harvard และปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์พิเศษของสถาบันการศึกษาแห่งนี้อยู่ Nye คือผู้บุกเบิกความคิดใหม่ๆ ในทางรัฐศาสตร์หลายเรื่อง ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ได้แก่ แนวคิดเสรีนิยมใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relation Theory Neoliberalism) และ แนวคิดเกี่ยวกับ ‘อำนาจอ่อน’ (soft power) เป็นต้น

เมื่อวิกฤติการณ์เศรษฐกิจในปี 2008 เริ่มต้นขึ้น บรรดาเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อว่าอเมริกากำลังอยู่ในช่วง ‘ขาลง’ ก็เสียงดังขึ้นมาทันที ในแวดวงวิชาการ หนังสือออกใหม่เป็นจำนวนมากไม่ว่าจะนักวิชาการฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวาต่างพยายามวิเคราะห์ถึง ‘โลกแบบใหม่’ ที่ไม่ได้มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ ในแวดวงการเมืองและผู้กำหนดนโยบาย บรรดาเหล่าผู้นำประเทศไม่ว่าจะเป็น เยอรมัน รัสเซีย และจีน ก็แสดงความเห็นต่อสาธารณะหลายครั้งหลายหนว่า วิกฤติการณ์เศรษฐกิจได้ทำให้ยุคสมัยที่สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำโลกได้จบลงไป

อันที่จริงแล้ว Nye ไม่เห็นด้วยกับความเห็นข้างต้นนี้ เขาเห็นว่าเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่งที่จะพยายามหา ‘ขาลง’ ของชาติมหาอำนาจหนึ่งๆ เพราะรัฐประชาชาติไม่ได้มีชีวิตที่อยู่ภายใต้วัฏจักร ‘เกิด แก่ เจ็บ ตาย’ เหมือนสิ่งมีชีวิตทางชีววิทยา หรือหากมันจะมีชีวิตจริงๆ ชีวิตของมันนั้นก็เป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยากมาก เขายกตัวอย่างให้เห็นว่า การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา หากแต่กินเวลากว่า 300 ปีเลยทีเดียว เช่นเดียวกับตัวอย่างที่ชอบยกกันมากในทางประวัติศาสตร์อย่างการเสื่อมอำนาจของจักรวรรดิอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 19 ก็กินเวลายาวนานเป็น 100 ปี ไม่ต้องพูดถึงว่า เอาเข้าจริงแล้วศตวรรษที่ 19 อาจถือว่าเป็นศตวรรษที่ดีที่สุดของอังกฤษด้วยซ้ำ เมื่อคำนึงถึงดอกผลของการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นตลอดช่วงเวลาดังกล่าว

นอกจากนี้ Nye เห็นว่า การนำเอาวิกฤติเศรษฐกิจมาเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘ขาลง’ นั้นมีโอกาสที่จะผิดพลาดสูง ในทางทฤษฎีแล้ว หัวใจสำคัญของการวิเคราะห์หรือทำนายสถานการณ์ทางการเมืองคือ ‘การระบุแนวโน้ม’ (identify trends)ให้ถูกต้อง ในแง่นี้แล้ว วิกฤติเศรษฐกิจจึงไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เหมาะสมสำหรับการระบุแนวโน้ม เพราะตัววิกฤติเองมีลักษณะเป็นวัฏจักร (ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับชีวิตของรัฐประชาชาติ) แม้วิกฤติบางวิกฤติจะใช้เวลายาวนาน แต่ที่สุดแล้วมันก็จะกลับมาสู่ภาวะปกติหรือภาวะที่ควรจะเป็นอีกครั้ง

การกลับสู่ภาวะปกติหรือภาวะที่ควรจะเป็นนี่เองที่เหล่าผู้เชื่อมั่นใน ‘ขาลง’ ของอเมริกามองข้ามไป เพราะภาวะที่ควรจะเป็นนั้นถูกกำหนดจากปัจจัยเป็นจำนวนมาก ไม่ใช่ปัจจัยที่เกิดจากวิกฤติเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว สหรัฐอเมริกายังมีความโดดเด่นเหนือประเทศอื่นๆ ในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น การมีมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดอันดับต้นๆ ของโลก การเป็นเศรษฐกิจที่มีผลิตภาพการผลิตสูง ดัชนีผู้ประกอบการก็ยังสูงที่สุดในโลก ในระดับมหภาค สหรัฐอเมริกายังเป็นเศรษฐกิจที่มีความสามารถแข่งขันสูงเป็นอันดับ 7 ของโลก ตามการจัดอันดับของ World Economic Forum 2012 (โดยประเทศที่มีอันดับสูงกว่าสหรัฐอเมริกา 6 ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ ฟินน์แลนด์ สวีเดน เนเธอร์แลนด์ และเยอรมัน ส่วนจีนนั้นอยู่อันดับที่ 29 ในการจัดอันดับครั้งนี้)

Nye เห็นว่า ประเทศจีนที่ว่ากันว่าจะก้าวขึ้นมาแทนสหรัฐอเมริกานั้น แท้จริงแล้วมีความเสี่ยงมากกว่าสหรัฐอเมริกาอยู่มาก จีนอาจะมีจุดแข็งในเรื่องของขนาดประชากร และขนาดเศรษฐกิจที่คงจะแซงสหรัฐอเมริกาได้ในไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า แต่ ‘ขนาด’ แทบจะเป็นความได้เปรียบอย่างเดียวที่จีนมี ในเรื่องอื่นๆ จีนยังต้องเผชิญปัญหาอยู่มาก ทั้งในเรื่องของความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและปัญหาการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจภายใน ในขณะเดียวกัน จีนก็มีความเสี่ยงทางการเมืองระหว่างประเทศมากกว่าสหรัฐอเมริกาโดยเปรียบเทียบ โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกัน

กล่าวโดยสรุป Nye เห็นว่าพวกที่พูดถึง ‘ขาลง’ สมควรจะเป็นผู้ชนะแห่งวิกฤติการณ์ เพราะแม้สิ่งที่พวกเขาพูดจะผิดแต่เสียงของพวกเขากลับดังและถูกกล่าวอ้างไปทั่วทุกหนแห่ง

SlavojZizek: ระบบทุนนิยม

Zizek เป็นนักปรัชญาและนักวิพากษ์วัฒนธรรมฝ่ายซ้ายชาวสโลวีเนีย ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการระหว่างประเทศสาขามนุษยศาสตร์ของสถาบัน Birkbeck แห่งสหราชอาณาจักร งานของเขามีความหลากหลายและครอบคลุมหลายสาขาวิชา ทั้งรัฐศาสตร์ ภาพยนตร์ศึกษา จิตวิเคราะห์ รวมถึงเศรษฐศาสตร์การเมืองด้วย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Zizek เขียนงานในประเด็นเกี่ยวกับวิกฤติของระบบทุนนิยมหลายชิ้น และเขาเคยสร้างความฮือฮาด้วยการไปปราศรัยในที่ชุมนุม ‘ยึดวอลล์สตรีท’ (Occupy Wall Street)ด้วย



เมื่อวิกฤติเศรษฐกิจปะทุขึ้น นักวิชาการและสื่อหลายแขนงต่างพร้อมใจกันตีแผ่ด้านมืดของ ‘ระบบทุนนิยมที่ไร้การกำกับดูแล’ เป็นการใหญ่ โดยเฉพาะในประเด็นว่าด้วย ‘ความฉ้อฉลของระบบ’ ที่หลายๆ คนเชื่อว่าเป็นรากเหง้าของวิกฤติ และแน่นอนว่า สิ่งที่มาพร้อมกับเสียงด่า คือ เสียงเรียกร้องร้องให้มีการรับผิดชอบ และการปฏิรูประบบเศรษฐกิจครั้งใหญ่ สำหรับบรรดาฝ่ายซ้าย นี่คือโอกาสอันดีที่จะก่อให้เกิดการ ‘ปฏิวัติระบบทุนนิยม’

ความเคลื่อนไหวของมวลชนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ ‘ยึดวอลล์สตรีท’ ที่ขยายไปตามเมืองใหญ่ศูนย์กลางระบบทุนนิยมหลายแห่ง การประท้วงใหญ่ของประชาชนชาวกรีซที่ต่อต้านนโยบายรัดเข็มขัด ความคึกคักของแอคติวิสต์ในที่ต่างๆ คือความหวังของฝ่ายซ้ายเหล่านี้

อย่างไรก็ตาม Zizek เห็นว่า มุมมองข้างต้นเป็นมุมมองของพวกฝ่ายซ้ายที่มองโลกในแง่ดีเท่านั้น ในความเป็นจริงผล กระทบที่เกิดจากวิกฤติไม่ใช่การปฏิวัติระบบ หากแต่เป็นชุดนโยบายเศรษฐกิจแบบประชานิยมที่แม้จะทำให้คนส่วนใหญ่พอใจ แต่กลับสร้างความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนทั่วไปกับคนรวยเพิ่มมากขึ้น และทำให้ ‘คนที่จนที่สุด’ (ซึ่งเป็นส่วนน้อยของสังคม) จนไปมากกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้น ท่ามกลางการกล่าวขวัญถึงความสำเร็จทางเศรษฐกิจของจีนและสิงคโปร์ ทำให้แนวความคิดในการจับทุนนิยม ‘แต่งงาน’ กับรัฐอำนาจนิยมก็กำลังแผ่ขยายอิทธิพลเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?

Zizek มองว่า ถึงที่สุดแล้ว การด่า การวิพากษ์วิจารณ์ และการเสนอข้อเรียกร้องต่างๆ ที่มีต่อระบบทุนนิยมนั้น ล้วนกระทำอยู่บนพื้นฐานของรัฐแบบกฎุมพี (bourgeois state)ซึ่งก็เป็นที่พึ่งพิงของระบบทุนนิยมด้วยเช่นกันสำหรับเขารัฐกระฎุมพี คือ รัฐของชนชั้นที่มีความสุขด้วยเรื่อง ‘โง่ ๆ’ เอาแต่ใจ หยาบคาย และมีความเป็นเผด็จการอยู่ในตัวเอง ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงใดๆ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก ตราบเท่าที่ความเป็นรัฐกระฎุมพีนั้นไม่ถูกตั้งคำถาม

อาจกล่าวได้ว่า ฝ่ายซ้ายนั้นล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการเสนอทางเลือกใหม่ที่จะมาแทนที่ระบบทุนนิยม ดังนั้น เมื่อวิกฤติเศรษฐกิจและความล้มเหลวในระบบทุนนิยมเกิดขึ้น ทางออกเดียวที่เหลืออยู่คือ เป็นทุนนิยมให้มากกว่าเดิม

ส่วนเหยื่อแท้จริงของวิกฤติเศรษฐกิจอาจเป็นประชาธิปไตย

ผู้ชนะแห่งวิกฤติการณ์เศรษฐกิจ (1)


ผู้ชนะแห่งวิกฤติการณ์เศรษฐกิจ (1)

5 พฤศจิกายน 2012

สมคิด พุทธศรี
ที่มา http://thaipublica.org/2012/11/who-won-the-recession/
ว่ากันว่า วิกฤติการณ์การเงินในปี 2007 ของสหรัฐอเมริกา นับเป็นวิกฤติเศรษฐกิจที่รุนแรงมากที่สุดในรอบ 80 ปีนับตั้งแต่เกิด ‘ความตกต่ำทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่’ (The Great Depression) ในทศวรรษ 1930 ผลของวิกฤติครั้งล่าสุดทำให้คนอเมริกันตกงานเป็นจำนวนมาก อัตราว่างงานในบางช่วงสูงถึง 10 เปอร์เซ็นต์ (แม้สถานการณ์ในปัจจุบันจะกระเตื้องขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังอยู่ในระดับใกล้ 8 เปอร์เซ็นต์) ชาวอเมริกันกว่า 4 ล้านคน ถูกธนาคารยึดบ้าน และอีกว่า 46.2 ล้านคน ใช้ชีวิตอยู่ใต้เส้นความยากจนซึ่งนับว่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ยิ่งไปกว่านั้น วิกฤติการณ์ครั้งนี้ยังทำให้สถาบันทางเศรษฐกิจต่างๆ ถูกสั่นคลอน ความไว้วางใจสูญหาย ความน่าเชื่อถือถูกทำลายจนยากที่จะฟื้นคืนได้ในเร็ววัน

ไม่เพียงเท่านี้ วิกฤติการณ์รอบใหม่ยังทำให้ประชาคมโลกได้รู้ซึ้งถึงกระแสโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ความที่สหรัฐอเมริกาเป็นศูนย์กลางของระบบทุนนิยมโลกทำให้ภูมิภาคอื่นๆ ต่างได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า ในยุโรป ผลกระทบของวิกฤติในสหรัฐอเมริกาได้กลายเป็นหนึ่งในต้นเหตุของวิฤตยูโรโซนที่ยังไม่มีทางออกแม้ในปัจจุบัน ประเทศกำลังพัฒนาที่พึ่งพิงการส่งออกก็พลอยต้องประสบกับความยากลำบากไปด้วยเมื่อลูกค้าขาประจำรายใหญ่ยากจนลง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ Cristine Lagarde กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ถึงกับแสดงความกังวลว่า โลกอาจจะต้องเผชิญกับ ‘ทศวรรษที่สูญเปล่า’ (lost decades) ในการพัฒนาเศรษฐกิจ

ท่ามกลางความสูญเสียและหายนะทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงเช่นนี้ มีใครบ้างไหมที่เป็นผู้ชนะ?


ที่มาภาพ : http://www.foreignpolicy.com/issues/current
นิตยสาร Foreign Policy ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2012 ได้เลือกเอาคำถามข้างต้นเป็นประเด็นหลักของเล่ม โดยมีนักคิด นักเขียน และนักวิชาการ 11 คน มาร่วมกันเลือก ‘ผู้ชนะแห่งวิกฤติ’ ในมุมมองของตน ซึ่งแต่ละคนก็มีมุมมองที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ‘ผู้ชนะ’ ที่ถูกเลือกมาก็หลากหลาย มีทั้งตัวบุคคล กลุ่มบุคคล บรรษัทเอกชน ภาครัฐ ไปจนกระทั่งโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจ

เมื่อเห็นว่าสนุกและน่าสนใจ ผมจึงขอนำเรื่องราวของ ‘ผู้ชนะ’ มาเล่าต่อให้ท่านผู้อ่านฟังในที่นี้ครับ

Frederick Kaufman: แมคโดนัลด์

Kaufman เป็นนักคิดนักเขียนที่สนใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมอาหาร (food cultural) และเป็นอาจารย์พิเศษวิชาสื่อสารมวลชนในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ที่ผ่านมา Kaufman เชื่อมโยง ‘โลกของการกิน’ เข้ากับ ‘โลกของการเงิน’ ไว้อย่างน่าสนใจ โดยเขาเป็นหนึ่งในคนที่ออกมาวิพากษ์พฤติกรรมการเก็งกำไรอาหาร (food speculation) ของภาคการเงินว่าเป็นตัวการที่ทำให้เกิดวิกฤติการณ์อาหารขึ้น และทำให้ผู้คนทั่วโลกหลายล้านคนต้องอดยาก

‘ผู้ชนะแห่งวิกฤติเศรษฐกิจ’ ในสายตาของ Kaufman คือ แมคโดนัลด์ (Mcdonald’s) ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของทุนนิยมอเมริกัน Kaufman ให้เหตุผลว่า ตราบใดที่ผู้คนยังต้องการที่จะบริโภคอาหารราคาถูกและไม่พร้อมที่จะเป็นมังสวิรัติไปตลอดชีวิต แมคโดนัลด์ก็อยู่ในจุดที่พร้อมจะเติบโตได้อยู่เสมอ ไม่ว่าสถานการณ์ในภาคเศรษฐกิจจริงจะยากลำบากเพียงใดก็ตาม ตรรกะของ Kaufman มีอยู่ว่า แม้เศรษฐกิจมหภาคและความอิ่มท้องจะมีความเกี่ยวข้องกัน แต่ถึงที่สุดแล้ว มันก็ยังเป็นคนละเรื่องกันอยู่ดี อาหารราคาถูกที่มีรสชาติดีเป็นสิ่งที่คนเราต้องการอยู่เสมอ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ก็ตาม

แมคโดนัลด์ไม่ได้มีดีแค่เรื่องราคาเท่านั้น Kaufman ชี้ให้เห็นว่า วัฒนธรรมด้านอาหารของแมคโดนัลด์เป็นเรื่องที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน แม้แมคโดนัลด์จะเป็นร้านอาหารแฟรนไชส์ที่มีสาขากว่า 33,500 สาขาใน 119 ประเทศทั่วโลก แต่แมคโดนัลด์ไม่ได้เสิร์ฟอาหารแบบเดียวกันทั่วโลก

อันที่จริงแล้ว สิ่งที่ครัวของแมคโดนัลด์ให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ เลยก็คือ ‘การปรุงรสข้ามวัฒนธรรม’ กล่าวคือ แมคโดนัลด์จะมีเมนูพิเศษสำหรับผู้คนในท้องถิ่นเสมอ ในเอเชียด้วยกันเอง เมนูแมคฯ ในญี่ปุ่นและอินเดียก็มีความแตกต่างกันมาก แมคโดนัลด์ในกรุงนิวเดลีมีเมนูพิเศษอย่างแซนด์วิชมันฝรั่งซึ่งหากินได้ยากในประเทศอื่นๆ ในขณะที่เมนูที่ขายในญี่ปุ่นอย่างเบอร์เกอร์สเต็กกุ้งและสลัดนั้นก็ไม่ได้มีขายในอินเดีย

กล่าวอีกอย่างคือ แมคโดนัลด์นั้นไม่ได้ส่งออกวัฒนธรรมเบอร์เกอร์แบบอเมริกันดังที่เคยเชื่อกันอีกต่อไปแล้ว หากแต่ขายเบอร์เกอร์ท้องถิ่นในราคาที่ผู้คนส่วนใหญ่ยอมรับได้

นอกจากนี้ แมคโดนัลด์ยังมีความได้เปรียบจากการบริหารจัดการความเสี่ยงในระดับโลกที่ดีอีกด้วย ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา แม้โลกจะต้องเจอกับวิกฤติราคาอาหารถึง 3 ครั้ง แต่ด้วยเครือข่ายที่กว้างขวางและอำนาจซื้อในระดับโลก แมคโดนัลด์ก็สามารถจัดการปัญหาได้อย่างราบรื่น


http://www.foreignpolicy.com/articles/2012/10/08/mcdonalds
ปัจจุบันแมคโดนัลด์ก่อให้เกิดการจ้างงานหลายล้านตำแหน่งทั่วโลก เฉพาะในสหรัฐอเมริกา แมคโดนัลด์จ้างแรงงานมากถึง 1 ล้านคน ต่อไป ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลยทีเดียวในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ ในปี 2013 ที่จะถึงนี้ แมคโดนัลด์มีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มเติมในประเทศจีนเพิ่มขึ้นอีก 700 สาขา Kaufman เชื่อว่า ด้วยวัฒนธรรมอาหารและราคาที่เป็นที่ยอมรับได้ แมคโดนัลด์จะประสบความสำเร็จในจีนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าพิจารณาว่าลูกค้าใหม่ของแมคโดนัลด์คือกลุ่มคนที่ไม่เคยลิ้มรสแมคโดนัลด์มาก่อนเลย

แมคโดนัลด์เคยเผชิญวิกฤติมาหลายครั้งแต่ก็ผ่านมาได้ นี่เป็นอีกครั้งที่บรรษัทแห่งนี้ถูกเลือกให้เป็น ‘ผู้ชนะแห่งวิกฤติ’

Stephen Galloway : ฮอลลีวู้ด

Galloway เป็นบรรณาธิการบริหารนิตยสาร The Hollywood Reporter ซึ่งเป็นหนึ่งในสองนิตยสารที่ทำข่าวเกี่ยวกับแวดวงฮอลลีวูดที่ใหญ่ที่สุดในโลก แม้จะทำงานในนิตยสารบันเทิง แต่งานเขียนของ Galloway เน้นที่การวิเคราะห์อุตสาหกรรมภาพยนตร์และนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศต่างๆ เป็นสำคัญ

ในสายตาของ Galloway อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสหรัฐอเมริกาหรือที่เรียกติดปากกันว่า ‘อุตสาหกรรมฮอลลีวูด’ นั้นถือว่าเป็นอุตสาหกรรมที่เฟื่องฟูมากที่สุดอุตสาหกรรมหนึ่งในช่วงท่ามกลางวิกฤติการณ์เศรษฐกิจรอบนี้ จริงอยู่ว่า ในภาวะยากลำบาก คนอเมริกันนั้นอาจจะไปดูหนังและซื้อดีวีดีกันน้อยลงจนทำให้รายได้ของอุตสาหกรรมที่ได้จากตลาดภายในประเทศนั้นเติบโตค่อนข้างช้า กระนั้น ‘ฮอลลีวูด’ กลับประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดต่างประเทศ
ความสำเร็จในต่างประเทศนั้นเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอุตสาหกรรมฮอลลีวูดอย่างมีนัยสำคัญ

ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา รายได้รวมจากต่างประเทศ (หมายถึงรายได้ที่ได้จากภูมิภาคอื่นๆ ที่ไม่ใช่ทวีปอเมริกาเหนือ) ของอุตสาหกรรมนั้นเพิ่มขึ้นถึง 35 เปอร์เซ็นต์ จนทำให้ในปี 2011 อุตสาหกรรมฮอลลีวูดมีรายได้รวมจากต่างประเทศสูงถึง 11,000 ล้านเหรียญอเมริกัน ในขณะที่มีรายได้จากภายในเพียงแค่ 7,600 ล้านเหรียญอเมริกันเท่านั้น นั่นหมายความว่า อุตสาหกรรมฮอลลีวูดมีรายได้จากตลาดต่างประเทศกว่า 69 เปอร์เซ็นต์ เลยทีเดียว

ความสำเร็จในการปรับตัวโดยมุ่งสู่ตลาดโลกไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของอุตสาหกรรมในภาพรวม Galloway ชี้ว่า หนังฟอร์มยักษ์ของฮอลลีวูดนั้นมีแนวโน้มที่จะเน้นความเป็นแอ็คชั่นและเทคนิคการถ่ายทำมากขึ้น ในขณะที่พยายามจะลดความซับซ้อนของบทสนทนาให้น้อยลง เพื่อที่ว่าภาษาจะไม่กลายมาเป็นอุปสรรคสำคัญในการชมภาพยนตร์

นอกจากนี้ การพยายามต่อรองเพื่อลดการจำกัดการเข้าฉายภาพยนตร์ฮอลลีวูดและการทำการตลาดต่างๆ ก็ประสบความสำเร็จค่อนข้างดี ในกรณีของจีน แม้ยังมีการจำกัดจำนวนหนังเข้าฉายไว้ที่ 20 เรื่องต่อปี แต่ก็มีความยืดหยุ่นมากขึ้นโดยอนุญาตให้หนังที่ใช้เทคนิคการถ่ายทำแบบพิเศษ (สามมิติหรือไอแมกซ์) เข้าฉายได้ไม่เกิน 14 เรื่องต่อปี โดยจะไม่นับรวมกับโควต้า 20 เรื่องที่จำกัดไว้ ในกรณีของอินเดีย หนังฮอลลีวูดเริ่มตีตลาดหนังบอลลีวูดได้มากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ถูกปฏิเสธจากคนอินเดียมาอย่างยาวนาน ปัจจุบันฮอลลีวูดมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ในตลาดหนังของอินเดีย ซึ่งกว่าครึ่งเป็นส่วนแบ่งที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่มีการเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของอุตสาหกรรม ไม่เพียงเท่านี้ ด้วยการเดินหน้าลุยตลาดต่างประเทศอย่างเต็มที่ ทำให้มีการคาดการณ์ว่าในอีก 4-5 ปีข้างหน้า ฮอลลีวูดจะมีส่วนแบ่งประมาณครึ่งหนึ่งของตลาดหนังแดนภารตะ


Stephen Galloway บรรณาธิการบริหารนิตยสาร The Hollywood Reporter ที่มาภาพ : http://www.hollywoodreporter.com
ไม่เพียงแต่การเจรจาต่อรองทางด้านนโยบายเท่านั้น ผู้ผลิตรายใหญ่หลายรายในอุตสาหกรรมฮอลลีวูดต่างหันไปร่วมทุนกับบริษัทสัญชาติจีนเพื่อสร้าง ‘หนังจีนแบบฮอลลีวูด’ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านโควตา ตัวอย่างที่ชัดเจนในกรณีนี้คือ หนังเรื่อง สามก๊ก: ศึกผาแดง (The Red Cliff) ที่ยักษ์ใหญ่ในวงการภาพยนตร์อย่างบริษัท 20th Century Fox เป็นผู้ออกทุนสร้างร่วมกับผู้ผลิตของจีนนอกจากนี้ สตูดิโอยักษ์ใหญ่ในฮอลลีวูดต่างเข้าไปเปิดบริษัทสาขาในประเทศต่างๆ เพื่อทำให้การทำธุรกิจมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น

Galloway ชี้เห็นว่า จริงๆ แล้วอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในสหรัฐอเมริกาเองกำลังมาถึงช่วงอิ่มตัวพอดี โรงหนังจำนวนมากได้ขยายไปแทบทุกพื้นที่ในสหรัฐอเมริกาแล้ว อีกทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างหนังสามมิติเองก็ไม่ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับอุตสาหกรรมและตลาดภายในประเทศเท่าที่ควร

ดังนั้น อุตสาหกรรมภาพยนตร์จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมุ่งไปสู่ตลาดโลกมากยิ่งขึ้น การเกิดวิกฤติเศรษฐกิจภายในประเทศจึงเป็น ‘โชคดีในโชคร้าย’ ของอุตสาหกรรม เพราะวิกฤติเป็นตัวเร่งทำให้อุตสาหกรรมปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ดังกล่าวนี้ ฮอลลีวูดจึงเป็นหนึ่งใน ‘ผู้ชนะแห่งวิกฤติเศรษฐกิจ’

ben wildavsky: การศึกษาขั้นสูง

Wildavsky เป็นนักวิชาการอาวุโสและเป็นนักออกแบบนโยบายการศึกษาแห่ง มูลนิธิ Ewing Marion Kauffman ซึ่งเป็นมูลนิธิที่สนับสนุนการทำงานของผู้ประกอบการ (entrepreneurships) ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา Wildavsky มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในหัวข้อว่าด้วยการศึกษาขั้นสูง (Higher Education) โดยเขาทำวิจัยเขียนหนังสือ และทำงานสื่อสารมวลในด้านนี้มาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ Wildavsky ยังเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของรัฐบาลอเมริกันในโครงการปฏิรูปการศึกษาขั้นสูงด้วย

ทำไมการศึกษาขั้นสูงจึงเป็นผู้ชนะ?

Wildavsky ชี้ให้เห็นว่า เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาถดถอยและงานเป็นสิ่งที่หายาก หนุ่มสาวชาวอเมริกันจึงเลือกที่จะไปเรียนต่อในระดับสูงแทนที่จะออกมาหางานทำ ในปี 2008 และปี 2009 จำนวนผู้จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีเพิ่มขึ้น 4.9 และ 7.9 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ ซึ่งเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นที่มากกว่าสภาวะปกติ โดยคนส่วนใหญ่จะเลือกเข้าศึกษาในวิทยาลัยชุมชน (community colleges) ที่มีค่าธรรมเนียมการศึกษาไม่แพงนัก

อย่างไรก็ตาม ‘ในดีย่อมมีร้าย’ แม้คนจะหันหน้าเข้าสู่สถานศึกษามากขึ้น แต่เศรษฐกิจที่ตกต่ำกลับทำให้สถาบันการศึกษาขั้นสูงหลายแห่งต้องพบกับความยากลำบากทางการเงิน เนื่องจากภาครัฐได้ตัดเงินอุดหนุนทางการศึกษาเป็นจำนวนมาก ในปี 2012 งบประมาณของภาครัฐที่ใช้สนับสนุนการศึกษาขั้นสูงโดยรวมลดลงถึง 7.6 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการลดลงที่มากที่สุดในรอบ 50 ปีเลยทีเดียว

กระนั้น ‘ในร้ายก็กลับกลายว่ายังมีดีอยู่อีก’ ความยากลำบากทางงบประมาณได้เป็นโอกาสให้สถาบันการศึกษาขั้นสูงได้ใช้ ‘อาวุธ’ ที่ตนเองถนัดมากที่สุดในการจัดการกับปัญหา นั่นคือ การใช้องค์ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับปรุงวิธีการเรียนการสอนให้ต้นทุนถูกลงและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากที่สุดในเรื่องนี้ก็คือ การเปิดหลักสูตรออนไลน์คุณภาพสูงจำนวนมาก ซึ่งนอกจากจะราคาถูกมากแล้ว หลักสูตรเหล่านี้ยังถูกออกแบบมาให้ใกล้เคียงกับหลักสูตรที่สอนในมหาวิทยาลัยจริง อีกทั้งยังสอนโดยนักวิชาการที่มีชื่อเสียงสังกัดมหาวิทยาลัยดังอีกด้วย

หลักสูตรออนไลน์ที่มีชื่อเสียงมากคือ edx.org ซึ่งเป็นศูนย์รวมหลักสูตรของสถาบันการศึกษาชั้นนำ 4 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สถาบันเอ็มไอที มหาวิทยาลัยเบิร์กเลย์แห่งแคลิฟอเนีย และมหาวิทยาลัยเทกซัส ซึ่งชื่อชั้นของสถาบันการศึกษาดังกล่าวนี้ก็ดึงดูดให้มีผู้เข้ามาลงทะเบียนเรียนเป็นจำนวนมาก


ben wildavsky ที่มาภาพ : http://resources1.news.com.
อีกหลักสูตรหนึ่งที่เป็นที่นิยมมากเช่นกันคือ Udacity.com ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ร่วมก่อตั้งโดย Sebastian Thrun ศาสตราจารย์ด้านคอมพิวเตอร์แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด แม้ Udacityจะเพิ่งก่อตั้งในปี 2011 แต่ก็มีนักเรียนมาลงทะเบียนเรียนมากถึง 160,000 คนจาก 119 ประเทศ

แน่นอนว่า หลักสูตรออนไลน์ย่อมมีจุดอ่อนในเรื่องของความเอาใจใส่ของผู้เรียน แต่ภายใต้ทรัพยากรทางการศึกษาที่จำกัด หลักสูตรออนไลน์จึงเป็นนวัตกรรมที่มีนัยสำคัญอย่างมากต่อการเข้าถึงการศึกษาของผู้คนจำนวนมากทั้งในสหรัฐอเมริกาและในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

สำหรับ Wildavsky ปัจจัยที่ทำให้หลักสูตรออนไลน์แพร่ขยายนั้นมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมของเทคโนโลยี และการพัฒนาสื่อสารมวลชนในรูปแบบใหม่ๆ กระนั้น วิกฤติเศรษฐกิจก็มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้มีการคิดถึงการศึกษาขั้นสูงในรูปแบบใหม่ๆ ที่สามารถเอาชนะข้อจำกัดทางด้านทรัพยากรทางการศึกษาได้

นี่คือเหตุผลที่การศึกษาขั้นสูงเป็นหนึ่งใน ‘ผู้ชนะแห่งวิกฤติ’

Michel Lind: พวกที่รวยระเบิด

Lind เป็นผู้อำนวยการโครงการ Economic Growth Programme ของ มูลนิธิ New America Foundation เขามีงานเขียนมากมายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังเป็นคอลัมนิสต์ประจำนิตยสารและหนังสือพิมพ์ชื่อดังหลายฉบับ นอกจากนี้ Lind ยังเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และยังเคยสอนที่มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปส์กินส์ อีกด้วย

เมื่อวิกฤติเศรษฐกิจอุบัติขึ้น พวกคนที่รวยระเบิด (Ultra riches) ต่างได้รับความเสียหายกันอย่างถ้วนหน้า มีการประมาณการไว้ว่า คนที่รวยที่สุด 1 เปอร์เซ็นต์ของสหรัฐอเมริกานั้นต้องสูญเสียความมั่งคั่งไปประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ กระนั้น พวกเขาก็กลับมาเป็น ‘ผู้ชนะ’ ได้อีกครั้งเมื่อเศรษฐกิจเริ่มกระเตื้องขึ้น คนกลุ่มนี้คือเจ้าของรายได้กว่า 93 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ที่เกิดจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจในปี 2010 (ซึ่งเป็นปีแรกที่เศรษฐกิจมีการฟื้นตัว)

Lind อธิบายว่า เหตุผลที่ ‘พวกรวยระเบิด’ สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเป็นเพราะรายได้ส่วนใหญ่ของคนกลุ่มนี้มาจากการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินต่างๆ อาทิ หุ้น พันธบัตร ฯลฯ ในขณะที่คนส่วนใหญ่ในระบบเศรษฐกิจมีรายได้มาจากค่าจ้างและเงินเดือน โชคร้ายก็ตรงที่ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจดันไม่ก่อให้การจ้างงานเพิ่มขึ้น หรือที่เรียกกันว่า ‘jobless recovery’ ในแง่นี้ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจึงเป็นประโยชน์ต่อคนพวกแรกมากกว่าคนพวกหลัง

นอกจากนี้ ความมั่งคั่งของคนอเมริกันส่วนใหญ่มีที่มาจากการเป็นเจ้าของบ้าน แต่ความที่ต้นตอของวิกฤตินั้นมาจากฟองสบู่ในตลาดบ้าน ดังนั้น แม้การฟื้นตัวจะทำให้ราคาสินทรัพย์หลายอย่างเพิ่มขึ้นแต่ก็ยากที่จะทำให้ราคาบ้านเพิ่มขึ้นได้ ข้อมูลในเดือนมิถุนายน 2012 ระบุว่า เจ้าของบ้านชาวอเมริกันกว่า 31 เปอร์เซ็นต์ กำลังผ่อนบ้านในราคาที่สูงกว่ามูลค่าในตลาด

เมื่อรัฐให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพในภาคการเงินเป็นสำคัญ ‘พวกที่รวยระเบิด’ ก็พลอยได้รับอานิสงตามไปด้วย อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำจะทำให้ผลกำไรของการลงทุนเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในขณะที่การทุ่มเททรัพยากรเพื่อแก้ไขวิกฤติในภาคการเงินกลับไม่ค่อยเป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ของประเทศมากนัก

นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ‘กลุ่มคนที่รวยระเบิด’ ทั่วโลกล้วนเป็นผู้ชนะด้วยกันทั้งสิ้น ข้อมูลสถิติชี้ว่า ในปี 2010 มูลค่ารวมของความมั่งคั่งของคนที่รวยที่สุด 10 ล้านคนบนโลกนั้นได้กลับมาสู่จุดที่พวกเคยอยู่ในช่วงปี 2007 แล้ว ในขณะที่ภาพที่ใหญ่กว่านั้นแสดงให้เห็นว่า คนรวยที่สุดในโลก 1 เปอร์เซ็นต์ มีส่วนแบ่งความมั่งคั่งสูงถึง 44 เปอร์เซ็นต์ของความมั่งคั่งรวมของโลก ในขณะที่คนอีกประมาณ 3,500 ล้านคน มีส่วนแบ่งความมั่งคั่งประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ของความมั่งคั่งรวมของโลก

สำหรับ Lind ความสามารถในการฟื้นตัวจากวิกฤติที่รวดเร็วกว่าคนธรรมดามากมายหลายเท่า ทำให้ ‘พวกที่รวยระเบิด’ กลายเป็น ‘ผู้ชนะแห่งวิกฤติเศรษฐกิจ’

วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556

ซีรีส์ 15 ปีวิกฤติ 2540 “ธารินทร์ นิมมานเหมินท์” มั่นใจ “ไม่เคยผิดพลาด” แต่ “เคยแพ้”

ซีรีส์ 15 ปีวิกฤติ 2540 “ธารินทร์ นิมมานเหมินท์” มั่นใจ “ไม่เคยผิดพลาด” แต่ “เคยแพ้”


ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ที่มา http://thaipublica.org/2012/08/series-15-years-of-crisis/
นี่ก็คือภาพรวมใหญ่ๆ ทั้งหมด ปัญหาที่เราเจอ ทีนี้ถามว่า ทำอะไร

เราต้องดำเนินนโยบายต่างๆ ให้กลับมาเป็นเรื่องที่แก้ไขปัญหาได้ ด้านการคลังเราก็ไปเจรจาให้เราผ่อนคลายได้ ใช้รัฐวิสาหกิจได้ และเราก็เริ่มใช้ได้ทันที ในด้านสังคมเราก็เริ่มเรื่องโครงการลงทุนเพื่อสังคม แล้วไปแก้ไขปัญหาภาคเกษตรโดยตรงในเรื่องการประนอมหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ การ hair cut ลูกค้า (เจ้าหนี้ลดหนี้ให้ลูกหนี้) ทำไปเป็นจำนวนมาก ช่วงนั้นลูกหนี้สูญของ ธ.ก.ส. (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) จัดการเกือบหมด

คือดูแลภาคเกษตรสุดๆ เพื่อให้เขาเข้มแข็ง รองรับภาคแรงงานจากอุตสาหกรรมได้ คนตกงานกลับบ้านก็ยังอยู่ได้

ในด้านนโยบายการเงิน เราก็ดำเนินดังนี้ ทันทีที่ภาพเงินเฟ้อเปลี่ยน เราก็ลดดอกเบี้ยลงอย่างรวดเร็ว ก็โดนว่าอีก ผู้ฝากเงินก็ว่า เวลาดอกเบี้ยขึ้น ผู้กู้เงินก็ว่า ซึ่งเป็นเรื่องปกติ อย่าจริงจังมาก แต่เรื่องนี้มีหลักมีเกณฑ์ของมันว่าต้องทำอะไร และการลดดอกเบี้ยก็มีผลช่วยได้มาก

หลังจากนั้นจริงๆ งานใหญ่ที่สุดคือ ปิดสถาบันการเงิน ผมต้องมามีปัญหาแก้ไขระบบแบงก์พาณิชย์ และมีปัญหาเรื่อง ปรส. และ บบส. ด้วย ทำอย่างไรให้ทุกอย่างฟื้นเข้าสู่ปกติสมบูรณ์จริงๆ คือจริงๆ ทุกอย่างต้องทำงาน กลไกสถาบันการเงินต้องทำหน้าที่ที่พึงจะกระทำ จะมาทำลวดลาย หรือขี้โกงไม่ได้

“มีอันหนึ่งที่แบงก์ไม่ชอบขี้หน้าผมเยอะ ผมเฮี้ยบเรื่องมาตรฐาน เพื่อให้เกิดความมั่นใจจากผู้ฝากเงิน และมีมาตรฐานเทียบเท่าแบงก์ทั่วโลก พวกนายแบงก์ที่เป็นครอบครัวใหญ่ทั้งหลายเขาไม่ค่อยชอบผมนะ”

ปกป้อง : การที่เคยเป็นเอ็มดีแบงก์พาณิชย์มา แล้วมาสวมหมวกนี้ ทำให้การทำงานนี้ง่ายขึ้น หรือต่างกันอย่างไร

ง่ายขึ้น เพราะผมรู้เขาหมด ผมรู้จักดี (หัวเราะ) แต่เราก็ไม่ได้ไปเหี้ยมโหดกับเขา ไม่ได้ไปตั้งใจทำให้เขามีปัญหา แบงก์กรุงเทพ กับแบงก์กสิกร ผมก็ไปช่วยเขาขายหุ้น เขาจำหน่ายได้ก็ถือว่าใช้ได้

แล้วท้ายที่สุดเราก็ออกมาเป็นมาตรการ 14 สิงหา (2541) ซึ่งอันนี้เป็นตัวยันเลยว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ระบบการเงินของประเทศเข้มแข็ง ไม่มีอีกแล้วที่จะมามีปัญหา เพราะทั้งหมดนี้คือแนวที่ได้ทำไป

“มาบัดนี้ ผมถึงได้พูดว่าผมไม่เคยคิดว่าผมทำอะไรพลาด”

ทุกอย่างต้องใช้การแก้ไขปัญหาแบบเป็นระบบ จะแตะจุดใดจุดหนึ่งไม่ได้ เพราะมัน Interrelated (เกี่ยวข้องกัน สัมพันธ์กัน) และทุกจุดมีความสำคัญเท่ากัน ที่สำคัญถ้าตัวใดตัวหนึ่งเอาไม่อยู่ก็เอาไม่อยู่ทั้งหมด ถ้าเอาอยู่ก็ต้องเอาอยู่พร้อมกัน ที่ยากคือยากตรงนี้

อีกเรื่องหนึ่งที่ยาก คือ “ความไม่ทันใจโก๋”

เพราะเหนื่อยมานานก็อยากจะพ้นเร็วๆ กว่าผมจะทำให้จีดีพีกลับคืนมาได้ก็ใช้เวลา 2 ปี คือจีดีพีของไทยติดลบตั้งแต่ปี 2540 ติดลบ 1.4% หนักสุดปี 2541 ติดลบ 10.5% ในช่วงนั้นจะกระวนกระวายกันเยอะ และคนไม่เห็นถึงฝั่ง กำลังใจก็หมด อันนี้ก็เป็นเรื่องปกติ

ปกป้อง : การบริหารเศรษฐกิจต้องบริหารความเชื่อมั่น และบริหารจิตใจด้วย

แน่นอนที่สุด ใช่ครับ

ปกป้อง : ในช่วงนั้น ขณะที่คนยังไปไม่ถึงฝั่งและรู้สึกเหนื่อย คุณธารินทร์จัดการกับเรื่องพวกนี้อย่างไร บริหารจิตใจคนอย่างไร

ก็ผมไม่ได้บอกความจริงทั้งหมด

เรื่องนี้จะผิดจากหลักปกติ ความโปร่งใส Good Governance (ธรรมาภิบาล) อะไรที่เคยถือว่ายิ่งใหญ่ แต่ผมก็จะบอกไม่ได้ว่า

“คุณเจ๊งกันหมดแล้ว คุณต้องจนกันไปอีก 10 ปี”

ปกป้อง : แต่เขาบอก พอไม่บอกความจริง คนก็ปรับตัวตามสภาพจริงไม่ได้

ไม่จริง

ปกป้อง : ยังไงครับ

ก็ไม่จริง มันปรับตามสภาพได้หมดแหละ คือคนจะอยู่ได้ต้องมีกำลังใจ อย่าไปคิดว่าทุกคนเสพข้อมูลแล้วมีความคิดเหมือนกันหมดนะ ถ้าคิดว่าความโปร่งใสคือ Ultimate virtue (สัจธรรมสูงสุด) ไม่จริงนะ เพราะว่าคนบางประเภท อย่างคนไข้ใกล้ตาย หมอบอกพรุ่งนี้คุณตาย คนไข้อย่างนี้รับได้ไหม แล้วมาบอกหมอว่า ไม่โปร่งใส มันไม่ใช่นะครับ

“มันต้องดูให้ลึกๆ จริงๆ อย่าไปยึดเหนี่ยวอะไรว่าถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์”

แต่ผมตัดสิน พูดอย่างนั้นว่า ผมไม่บอกความจริงทั้งหมด ถ้าขืนบอกความจริงทั้งหมดยุ่งเลย

ปกป้อง : ตอนนั้นเรื่องอะไรเป็นเรื่องใหญ่ที่ปิดไว้ครับ

ก็คือทุกเรื่องแหละ จริงๆ แล้วไม่เคยไปบอกที่ไหนว่าทุนสำรองเราหมด ไม่เคยบอกว่าแบงก์เราเจ๊งแล้ว ผมจะพูดได้ยังไง

และอีกเรื่อง ระบบแบงก์พาณิชย์ แต่เรื่องนี้มีคนบอกอยู่แล้ว คือ Rating Agency (บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ) Moody’s จัดอันดับระบบแบงก์ประเทศไทยเท่ากับระต่ำสุดของ junk bond (ตราสารที่ได้รับการจัดอันดับต่ำกว่าการลงทุน) เท่ากับของโซมาเลียหรืออย่างไรนี่แหละ

“เหนื่อยนะ”

ปกป้อง : แล้วตอนนั้นจัดการกันอย่างไรครับ

ก็ต้องคุยความจริงกัน ว่าผมจะทำแบบนี้ คุณตกลงไหม ผมจะดำเนินนโยบายแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินอย่างนี้ จริงๆ ก็คือสิ่งที่เราทำไป ได้แก่ ลดทุน เพิ่มทุน เปลี่ยนผู้บริหาร

ก็คือ “ยึด” นั่นแหละ

ปกป้อง : วิธีคิดของเรตติ้งเอเจนซี่ คิดเหมือนเราไหมครับ เห็นความหวังเหมือนเราไหมครับ

เขาก็เห็นด้วยกับที่เราทำ สถาบันไหนที่เขาแก้ปัญหาตัวเองได้เราต้องส่งเสริม ถ้าสถาบันไหนแก้ปัญหาด้วยตัวเองไม่ได้เราก็แก้แทน ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่เวลาคนต่อต้านไม่ธรรมดา แต่ท้ายที่สุดเราก็ทำ เรื่องนี้ต้องให้เกียรติแบงก์ชาติ เพราะเขาให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้กระทั่งคุณชัยวัฒน์ (วิบูลย์สวัสดิ์) คุณธาริษา (วัฒนเกส) เรื่อยมาจนหม่อมเต่า(ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล)

ท้ายที่สุดเราก็แก้ได้ ก็ค่อยๆ ดีขึ้นมาตามลำดับ เดี๋ยวนี้ก็ถือว่าคงดีแล้วมั้ง

ปกป้อง : 15 ปีผ่านไป มองย้อนไปในอดีต มีมีนโยบายไหนหรืออะไรที่เรารู้สึกว่าทำได้ดีกว่านี้ หรือควรจะเลือกทางเลือกอื่น แต่ไม่ได้เลือก มีไหมครับ

ไม่มี

ปกป้อง : 15 ปีผ่านไป คุณธารินทร์ยังคิดว่าได้ทำในสิ่งที่ควรจะทำในเงื่อนไขตอนนั้นทั้งสิ้น

แน่นอน

ปกป้อง : แล้วไม่มีอะไรผิดพลาด

ไม่คิดว่ามีอะไรผิดพลาด ที่ผมกำลังถกเถียงในตัวเองคือ เราอาจจะเปิดเผยบางเรื่องน้อยไป

ปกป้อง : เช่นอะไรบ้างครับ

ก็อย่างที่เล่ามา ไม่เคยมานั่งเล่าแบบนี้

ปกป้อง : คือเล่าให้คนอื่นเข้าใจตัวเองน้อยไป

อืม! ถ้าเล่าให้ฟังเดี๋ยวคนไข้ตายก่อน แต่มันย้อนทิ่มแทงหมอ หมอไม่บอกนี่ อะไรแบบนี้ แต่ผมถือเป็นเรื่องปกติ

“แต่ที่ผมรับไม่ได้เลยคือ หาว่าผมทำงานด้วยการขายชาติ อย่างนี้พูดไม่รู้เรื่อง”

ปกป้อง : ทำไมพวกนั้นเขาคิดแบบนั้นครับ

ก็เป็นวิธีด่าที่สนุกที่สุด ผมก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร ผมก็ไม่รู้จักเขา แต่ผมก็ฟ้องเขาทันทีเหมือนกัน ก็แค่นั้นเองไม่มีอะไร

ทีนี้ผมก็ต้องถามบรรดานักเศรษฐศาสตร์ทั้งหมด ผมทำอะไรผิดพลาด ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ วิจารณ์มาเลย

ปกป้อง : เวลาพูดถึงวิกฤติ 2540 คนมักจะไล่ไปถึงเรื่องการเปิดเสรีการเงินในปี 2536 เราเปิดบีไอบีเอฟครั้งแรกในสมัยรัฐบาลชวน (หลีกภัย) ที่คุณธารินทร์เป็นรัฐมนตรีคลังครั้งแรก

ถูกต้องครับ

ปกป้อง : เราเปิดเสรีการเงิน เราไม่ยอมให้อัตราแลกเปลี่ยนผ่อนคลาย

ไม่จริง (ตอบทันที)

ปกป้อง : ตรงนี้จะว่ายังไงครับ

เราเปิดเสรีการเงินจริง ทั้งหมดเพื่อส่งเสริมภาคการเงินที่ขณะนั้นขาดเงินออม และแบงก์ไทยเป็นระบบผูกขาด ผมต้องการเปิดเสรีระบบแบงก์ไทย ไม่มีอะไรผิด

ปกป้อง : อันนั้นเป็นความตั้งใจของคุณธารินทร์ที่ต้องการผลักดัน หรือเป็นนโยบายที่แบงก์ชาติพยายามเดินไปทางนั้นอยู่แล้ว

แบงก์ชาติพยายามทำแบบนั้นอยู่แล้ว และผมก็เห็นด้วย แต่ที่อ้างว่าขณะนั้นประเทศไทยเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ไม่จริง เรามีระบบยืดหยุ่นแล้ว คือมีระบบ daily fixing (การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนรายวัน) แล้ว ของเราไม่ได้เป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่นะ ปัญหาคือ daily fixing เท่าเดิมทุกวัน ไม่ใช่เรื่องระบบ เป็นเรื่องการจัดการ เขาเปลี่ยนได้ อย่างแบงก์ชาติจีนขณะนี้เขาก็ทำได้

“ทำไม daily fixing ต้องถือเป็น fixed อันนี้ไม่ได้”

นี่คือปัญหาของแบงก์ชาติเองที่ผม blame (ตำหนิ) เขาทุกอย่างว่าเป็นแบงก์ชาติทำ จะเล่าให้ฟัง เป็นเพราะเขาไปจัดการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนรายวัน ให้เป็นเหมือนอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ความจริง manipulate (ปรับให้เหมาะสม, เปลี่ยนแปลง) ได้

แต่ในความเป็นจริงก็เห็นใจ ที่ทุนรักษาระดับที่จะดูแลการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนรายวันมีเงินสำรองนิดเดียว แต่ผมก็ยัง blame ว่า ทำไมในเมื่อนิดเดียวเอามาใช้เป็นประโยชน์ไม่ได้ ระบบเป็นประโยชน์ ไม่เคยคิดแก้เพิ่มทุนรักษาระดับ ก็ง่ายนิดเดียว ออกกฎหมายก็ได้แล้ว ก็ไม่เคยทำ

แต่สิ่งที่ผม blame แบบสุดๆ เพราะผมถือว่าแย่สุดๆ ก็คือ ไปปกป้องค่าเงิน เอาเงินทุนสำรองไปไปสุรุ่ยสุร่ายแบบไม่ฉลาด

สิ่งที่ได้เกิดขึ้นคือ พวกนักเก็งกำไรเงินบาท ซึ่งเกิดขึ้นมากที่สุดในสิงคโปร์ เริ่มตั้งแต่ก่อนแบงก์ชาติไปปกป้องค่าเงินบาท แบงก์ชาติมีการไปซื้อและไปขายในโบรกเกอร์เดียวกัน แบบนี้ก็มีด้วย ถือว่าแย่สุดๆ ไม่มีใครในโลกเขาทำกัน แล้วคิดว่าเขาจะเก็บเป็นความลับ ไม่มีหรอก ไปเปิดเผยฐานะให้เขาว่าเรากำลังทำอะไรอยู่

“ผมรู้ เพราะผมอยู่ในระบบแบงก์ ผมรู้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ผมเคยเตือนหม่อมเต่าในฐานะเป็นปลัดกระทรวงคลัง ระหว่างผมอยู่สมัยแรกกับสมัยที่สอง ว่าเรื่องแบบนี้กำลังเกิดขึ้น ไปบอกให้เขาแก้ซะ เรื่องแบบนี้ไม่ควรนะ”

หลังจากนั้นเขาก็ฉลาดขึ้นนิดหนึ่ง ไปทำในสิงคโปร์ มีหลาย dealer (ตัวแทนซื้อขายเงินตราต่างประเทศ) และหลาย trader (คนซื้อขายเงินตราต่างประเทศ) แต่ลืมไปว่าทุกคืน trader ของทุกแบงก์มานั่งกินเหล้ากันก็คุยเรื่องการสถานการณ์ซื้อขายของลูกค้า ว่าวันนี้แบงก์นั้นซื้อ แบงก์นั้นขายเท่าไร วันนี้เมืองไทยเสียทุนสำรองไปเท่านี้ หรือกำไรจากทุนสำรองไปเท่านี้

“แบงก์ชาติห่วยในเรื่อง trading ไม่รู้เลยว่าอะไรคืออะไร บังเอิญเปิดเผยข้อมูลเพียงฝ่ายเดียวของตัวเองตลอดเวลา อันนี้เป็นสิ่งที่เสียหายมากๆ ทำให้พวกนั้นได้ใจ”

เรื่องนี้ยังถือเป็นเรื่องเล็ก แต่เรื่องที่ไม่เล็กคือ ไม่เคยมีความคิดความเข้าใจเลยว่า เวลาทุนสำรองหมดประเทศคืออะไร ไม่เคยมีประเทศไหนในโลกทำอย่างไทย แล้วจะให้ผมตอบความจริงประเทศไทยได้อย่างไร

วันนี้จะเล่าให้ฟังก็ได้ ไอเอ็มเอฟเขาพูดเวลาดื่มหนักๆ ว่า “I have never seen any country like Thailand“ (ไม่เคยมีประเทศไหนเป็นอย่างประเทศไทย) ประเทศในโลกเขาขาดทุนสำรองประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ เขาลดค่าเงินแล้ว ไม่มีใครปล่อยไปจนถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าแย่ที่สุด

ปกป้อง : เขาบอกตอนเมา

โดยมารยาทไม่มีใครพูดหรอก แต่ตอนหลังก็พูดกันมาก และตอนหลังผมรู้จักเขาดี ถามเขาก็ตอบแบบนี้

ปกป้อง : ตอนเราทำบีไอบีเอฟ เราทำไว้ด้วยเป็นขั้นเป็นตอนหรือเปล่าว่านโยบายที่ต้องทำหลังจากเปิดเสรีต้องทำอะไรก่อนหลังบ้าง

มีเขียนไว้หมด อยู่ในแพคเก็จเดียวกันหมด

ปกป้อง : คุณธารินทร์มีคำอธิบายหรือไม่ครับ เมื่อรู้จากแบงก์ชาติแล้วว่า มันเกิดอะไรขึ้นตอนนั้น

ผมเรียกเขามาถาม จะเล่าให้ฟังว่าเขาตอบอย่างไร คำถามของผมคือ ทำไมแบงก์ชาติไม่ลดค่าเงิน ไม่ลดค่าเงินก็ได้ แต่ขยับอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดในแต่ละวัน ในเชิงปรับลดค่าเงินให้เห็นก่อน แรงกดดันก็จะน้อยลงไปมากแล้ว แต่กลับทำเหมือนเก่า

“วิธีง่ายที่สุดคือขยายแบนด์ อีกวิธีหนึ่งก็ขยับจุดให้ขยายขึ้น ก็ตกใจอยู่แล้ว เรามีระบบอยู่แล้ว นโยบายชัดเจนอยู่แล้ว แต่ไม่บริหารจัดการ”

และอีกสิ่งที่เป็นปัญหามากคือ เขาไปกำหนดตลาดอัตราแลกเปลี่ยนในทางที่ผิด ไปเปิดฐานะให้เขารู้ และแถมไม่พอยังมาโม้ที่บ้านอีกว่า “อั๊วไม่มีทางที่จะยอม” ความจริงผมจะไป blame ธนาคารแห่งประเทศไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ก็ไม่ได้ ความจริงรัฐบาลบีบให้ทำ

“คงจำกันได้ พลเอกชวลิตยืนเหมือนยังจะรบกันอย่างนั้นหน้าทำเนียบ เอารัฐมนตรีมายืนบอกว่า ชนะแล้วคุณเอกกมล (คีรีวัฒน์) ก็บอกว่าเราชนะแน่นอนอยู่แล้ว แต่คุณเอกกมลมาบ่นกับผมที่หลังว่า ไม่รู้ว่าทุนสำรองหมด ซึ่งก็เห็นใจคุณเอกกมลที่พูดอย่างนั้น คนทั่วไปก็ต้องถูกแบงก์ชาติต้ม”

เพราะนอกจากแบงก์ชาติจะขาดทุนสำรองแล้ว หรือทุนสำรองรั่วไหล สิ่งที่หนักกว่าอีก คือ “โกหกว่ามีเต็ม” ใช้ สว็อปปิด ไปกู้ระยะสั้นมาโปะ แล้วรายงานว่าทุนสำรองเท่าเก่า ตรงนี้คือการส่งสัญญาณผิด เพราะฉะนั้นมาบอกว่า นโยบายบีไอบีเอฟเป็นปัญหาไม่เกี่ยวกัน แต่เกี่ยวกับการบริหารนโยบาย

ปกป้อง : แต่วันนั้นแบงก์ชาติอาจจะบอกว่าให้คนรู้ความจริงไม่ได้ ของคุณธารินทร์ที่ไม่ได้บอกความจริงทั้งหมด ไม่โกหก ต่างกันตรงไหน

ไม่ใช่! ไม่ใช่ครับ ในเรื่องนี้เขาไม่ได้โกหกประชาชนคนไทย เขาโกหกทั้งโลก สถาบันการเงินทั้งโลก เขาโกหกคนที่พึงจะรู้ ที่ผมพูดนี่! ผมไม่ได้บอกความจริงกับคนไทย เดี๋ยวใจเสีย มันไม่เหมือนกัน การที่ออกรายงานไอเอ็มเอฟแล้วโกหก มันต่างกับที่ผมไม่ได้บอกข้อมูลบางอย่างภายในประเทศ

“มันไม่เหมือนกัน”

คือมันมีมาตรฐานของการรายงานซึ่งพึงต้องรายงานแต่ไม่รายงาน แล้วรายงานเท็จ จะทำอย่างไร เป็นประเด็นที่ผมโจมตีมากในสมัยที่ผมอภิปรายครั้งแรกในสภา ตอนนั้นเป็น ส.ส. ฝ่ายค้าน ผมพูดเรื่องนี้ รัฐบาลพังเลย

เรื่องนี้เข้าใจยาก หลังจากที่ได้เข้าไปแล้ว (เป็นรัฐมนตรีคลัง) ผมได้เชิญผู้บริหารแบงก์ชาติมาคุยกันส่วนตัว 2 คนว่า

“ทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมโกหก ทำไมเพิ่งมารู้ว่าใช้ทุนสำรองจนเหลือเกือบศูนย์แล้ว จนถึงขั้นที่ทุนสำรองซึ่งพึงจะมีในการสำรองในการพิมพ์เงินบาท ไม่มี จริงๆ เป็นกงเต๊ก(ธนบัตร) มีอยู่ช่วงหนึ่งหลายเดือนที่เราพิมพ์ธนบัตรไม่ได้ แต่ก็พิมพ์กัน ผมถามทำไมเป็นแบบนี้ได้”

ผู้บริหารคนแรกบอกว่า ทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนมีทุนสำรองแค่ 1,200 -1,500 ล้านเหรียญ และเขาไม่ได้เป็นคนดำเนินนโยบาย เขาเป็นรองผู้ว่า ถูกตัดจากการบริหารทั่วไป ดูแต่เฉพาะเรื่องทุนรักษาระดับ เขาก็ทำได้แค่นี้

ส่วนผู้บริหารอีกคนเขาพูดของจริงว่า มีการพูดกันในแบงก์ชาติ มีการพูดกันว่าขณะนี้มี twin crisis (วิกฤติ 2 อย่างพร้อมกัน) คือ 1. ระบบ finance company (บริษัทเงินทุน) กำลังจะเจ๊ง ตอนนั้นแบงก์ยังไม่เจ๊ง 2. วิกฤติค่าเงินบาท เขาจะต้องแก้ด้วยวิธี sequencing คือ เอาเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนแล้วไปแก้เรื่องนี้ ทั้งที่ปัญหามันควบกัน

ผมก็เลยบอกว่า “เฮ้อ! ก็คิดกันอย่างนั้นน่ะ”

ความจริง เราถึงต้องเอามาเป็นบทเรียน เวลาแก้ปัญหาอะไรใหญ่มันมี multi-dimension (มีหลายมิติ หลายแง่หลายมุม) ไม่ใช่ว่าไปแก้อันเดียวแล้วเลิก ต้องทำทีเดียวทั้งหมด เพราะมัน inter-related problem (ทุกมิติเกี่ยวพันทับซ้อนกัน)

นี่ก็เป็นเรื่องที่ได้ทำกันมา ก็มีแค่นี้ครับ และบัดนี้ก็ใช้ได้

ปกป้อง : วันนั้นแบงก์ชาติกินดีหมีมาจากไหน ถึงได้มั่นใจว่าเราเอาอยู่ ทั้งที่ทุนสำรองหมด ไล่ลดลงไปเรื่อยๆ ก็ไม่หยุด

ผมไม่เห็นเขากินดีหมีตรงไหน เห็นเขากลัวกันหมด

ปกป้อง : ทำไมเขาถึงปกป้องค่าเงินไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มี

ผมไม่เข้าใจเขา เรื่องนี้ต้องบอกตรงๆ ว่าไม่เข้าใจ ทำไมถึงคิดว่า ทำไปสักพักแล้วทุกอย่างจะฟื้นเอง ผมก็ไม่รู้ทำไมเขาคิดอย่างนั้น ก็อาจจะเป็นอย่างผู้บริหารแบงก์ชาติบอก คือ “sequencing”

“จริงๆ แล้วไม่ควรจะทำ ผมนึกว่าเราเปลี่ยนจากระบบคงที่มาเป็นระบบ daily fixing แล้วก็เคยกู้เงินไอเอ็มเอฟมาแล้ว เคยลดค่าเงินมาแล้ว นึกไม่ออกว่าทำไมเราถึงจะไม่ลดค่าเงิน”

จริงๆ ผมจะเล่าให้ฟัง ที่ทุกคนไปว่าคุณเริงชัย (มะระกานนท์) ผมเห็นด้วยนะเรื่องการบริหารทุนสำรอง ผมก็ไม่รู้อะไรเกิดขึ้น ผมก็ไม่ได้อยู่ แต่สิ่งที่คุณเริงชัยพยายามทำอย่างดีและถูกบล็อกโดยรัฐบาลคือ แก้ปัญหาระบบการเงิน finance company เขาออกนโยบายควบรวม บรรดาที่ปรึกษาพลเอกชวลิต คือพวกหัวโจก finance company ทั้งหลายไม่ยอม นโยบายก็เลยต้องเลิกไป

เขาออกนโยบายเป็นรูปเป็นร่างแก้ปัญหาแบงก์ที่อ่อนแอ รัฐบาลก็บอก “ไม่” ตอนนั้นเป็นรัฐบาลพลเอกชวลิต แบบนี้คุณเริงชัยก็เหนื่อย

“มันมีเรื่องแบบนี้ บางทีเล่าไปก็ยากที่จะเล่า”

ถามว่ามีอะไรที่คิดว่าตัวเองผิดพลาดอย่างรุนแรง ผมถามตัวเองเป็นพันครั้ง ยังคิดไม่ออก เพราะว่าของแบบนี้ ไม่ใช่พอมันเกิดขึ้นแล้วอีกวันเนรมิตรปุ๊บแล้วหายเลย มันต้องใช้เวลา


ก็อาจจะมีอันเดียวซึ่งไม่สามารถแก้ให้ทันใจโก๋ได้ อย่างที่พูดนั่นแหละ ต้องใช้เวลาถึง 3 ปี ถึงจะเริ่มเห็นเศรษฐกิจฟื้น

ปกป้อง : คุณธารินทร์พูดถึงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

ใช่

ปกป้อง : คุณธารินทร์เป็นรัฐมนตรีในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ พยายามจะแก้ปัญหาของประเทศในเชิงโครงสร้างอย่างไรไม่ให้เกิดวิกฤติในแบบนี้ซ้ำอีก เช่น ผลักดัน สร้างความเข้มแข็งในระบบสถาบันการเงินอย่างไร ส่งเสริมให้มีการปฏิรูปกลไกการดำเนินนโยบายการเงินอย่างไร

ผมทำทั้งสองสมัยพร้อมกัน คือ 1. ผมถือว่าการศึกษาคือหัวใจของการพัฒนาประเทศ พวกนี้ (นักข่าว) เขาจะได้ยินผมพูดอยู่เรื่อย ว่าถ้าไม่มีการศึกษาแล้วประเทศเจริญไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมได้ทำไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ตั้งกองทุนให้กู้ยืม ทำแบบ single handedly (ทำคนเดียว) ซึ่งออกมาเป็นกฎหมาย แต่พอจะเอาเรื่องนี้ออกไปมีคนมาขอเซ็นร่วมด้วยในฐานะผู้เสนอ ซึ่งไม่ใช่พรรคเรา มาขอเซ็นร่วมด้วย ผมก็ไม่ว่าอะไร

“อย่างที่ผมพูด ผมไม่ได้เป็นนักการเมืองอาชีพ ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้เรื่อง แต่อะไรที่รวมกันทำได้ก็โอเค ไม่เห็นต้องไปชิงดีชิงเด่นกันในระหว่างเพื่อนฝูง”

อีกเรื่องที่ผมให้ความสำคัญมากคือ เรื่องเงินออม เรื่องทุนสำรองเลี้ยงชีพ ได้แก้ไขเพิ่มประเภทให้ แต่ที่ผมทำเองแล้วไม่มีใครช่วยทำคือเรื่อง กบข.(กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ) และอีกเรื่องที่เราทำสำเร็จคือ พอช. (สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน)

มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมถือว่าผมได้ทำมาก แต่อาจจะไม่ดัง คือ การเงินชาวบ้าน แต่ไม่ได้ทำในระบอบทักษิณนะ เราทำด้วยการแก้ไขหนี้คงค้าง การปรับโครงสร้างหนี้ใน ธ.ก.ส. มากที่สุด เพิ่มทุนให้ ธ.ก.ส. มากที่สุด เพื่อให้ ธ.ก.ส. เป็นสถาบันการการเงินของชาวบ้านที่แท้จริง

แต่สิ่งที่ผมได้ทำและสำเร็จ ดึงคุณไพบูลย์ (วัฒนศิริธรรม) มาช่วยทำ คือ เปลี่ยนธนาคารออมสิน ไม่ใช่ธนาคารเพื่อซื้อพันธบัตร หรือให้กู้กับภาครัฐอย่างเดียว ต้องไปช่วยชาวบ้านด้วย

ขนาดส่งคุณไพบูลย์ ส่งคุณนิพัทธ (พุกกะณะสุต) ไป “กรามีนแบงก์” ก่อนที่กรามีนแบงก์ได้รางวัลโนเบล เพื่อไปศึกษากระบวนการปล่อยสินเชื่อของเขา

“แต่พอกลับมา คุณนิพัทธกลับเอาไปให้บีบีซีกู้ ผมก็ต้องให้บอร์ดออมสินฟ้อง ก็เลยมีศัตรูเพิ่มมาอีกคน ก็แค่นั้นแหละ”

อีกเรื่องหนึ่งที่เราให้ความสำคัญคือ เรื่องการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค ซึ่งเรื่องนี้ผมถือว่าเป็นเรื่องที่จะสร้างประชาธิปไตยจริงๆ การสร้างองคาพยพของบ้านเมืองซึ่งไม่ขึ้นกับกรุงเทพฯ อย่างเดียว เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก

แต่ถ้ายอมรับว่าผมผิดพลาด ผมยอมรับจริงๆ ว่า “ท่านชวนกับผมไม่กล้าพอที่จะเลิกรูปแบบที่พลเอกชวลิตวางไว้”

คือเขาไปทำหน่วยปกครองชาติบ้านเมือง คือ อบจ. (องค์การบริหารส่วนจังหวัด) อบต. (องค์การบริหารส่วนตำบล) ทั้งหลายเล็กเกินไป และเราประเมินต่ำไปเรื่องขี้โกง เรื่องนี้แก้ยาก เรามีรัฐบาลท้องถิ่นที่มีบทบาทนิดเดียว

เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วจะหาคำว่า mass participation (การมีส่วนรวมของภาคประชาชนทั่วไป) ไม่มี เพราะมันเล็กเกินไป กลายไปการจัดการโดยคนที่เข้าไปดำเนินการ

และอีกเรื่องหนึ่งที่พยายามทำให้เสร็จแต่ทำไม่ทัน ผมกำลังจะออกกฎหมายแล้วทำให้สำเร็จแล้วไม่ทัน คือ ให้มีสำนักงานการติดตามการใช้งบขององค์กรท้องถิ่น เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเขาต้องโกงเงินแน่ๆ และของจริงก็เป็นแบบนั้น เพราะเกิดความย่ามใจ คนก็ไม่กลัวเรื่องที่ควรกลัว เกิดชอบเสียอีก คือคนเอาเงินไปซื้อเสียง และการซื้อเสียงในเขตเล็กง่ายจะตาย มีเงินมากก็ชนะแล้ว

ตรงนี้จะเป็นปัญหา “หนามยอกอก” ของเราในการพัฒนาประเทศ

จริงๆ แล้วประเทศที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้มาก เขาจะมีอย่างอื่นเข้ามาคานอำนาจ ไม่ใช่ว่าให้ทุกอย่างไปอยู่ตรงนี้หมด อย่างญี่ปุ่น เขาไม่ยอมให้เลือกเทศบาล เขาจะให้เลือกผู้ว่าราชการจังหวัด ของเรานายกเทศมนตรีเลือกกันทุกวัน

ตรงนี้เป็นความผิดพลาด คือว่า พูดในชิงเศรษฐศาสตร์ สมัยก่อนงบประมาณของประเทศไทยไม่ต้องจ่ายท้องถิ่น ทุกอย่างจ่ายกระทรวงมหาดไทย พอเกิดรัฐบาลท้องถิ่นขึ้นมาก็เกิด local staff (พนักงานท้องท้องถิ่น) จริงๆ คือ พนักงานของรัฐแต่ระดับท้องถิ่น กระโดดขึ้นมาหลายแสนคน และคนพวกนี้มาทำงานของรัฐในภาคท้องถิ่น แล้วไม่ค่อยโปรงใสอย่างที่พูด และก็มีอิทธิพล จริงๆ คือทำงานไม่มีประโยชน์กับใคร “no economic value” (ไม่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ)

ก็หมายความว่า อยู่ดีๆ งบประมาณของชาติบ้านเมืองถูกคนมาโหลดเข้าไปอีกเยอะ ก็เป็นเรื่องที่ผมไปพูดที่ กพ. (สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน) มากในตอนนั้น ว่าต้องจำกัดเรื่องนี้ เดี๋ยวนี้มากขึ้นไปอีก ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่มันไม่เกี่ยวกับวิกฤติเศรษฐกิจ แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วเราต้องระวัง

ก็ต้องยอมรับว่า “เราทำไม่สำเร็จ”

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมยังแพ้คือ เรื่องกฎหมายล้มละลาย ระยะเวลาซึ่งล้มแล้วฟื้นสั้นเกินไปต่อการสืบทรัพย์ สมมติเมื่อก่อนบุคคลที่ล้มละลายจะถูกรัฐไปสืบทรัพย์ว่าคุณไปซ่อนไปที่ไหน อายุความคือ 10 ปี ระหว่างนี้คุณก็ล้มไปก่อน ยกเว้นคุณนำมาคืนก็หลุด

แต่กฎหมายตอนนั้นที่ผมผ่านแล้วเกือบผ่านและสุดท้ายไม่ผ่าน เพราะมีวุฒิสภาพูดเรื่องเอ็นพีแอล และเสนอล้มละลายให้ระยะเวลาแค่ 3 ปี แต่ข้อเสนอของเราคือ 10 ปี

การให้ 3 ปี ฟื้น เป็นแรงจูงใจให้โกงได้อย่างง่ายดาย ก็คือ strategic NPL (ลูกหนี้ที่มีเงินจ่ายหนี้ แต่ไม่ยอมจ่ายหนี้) ทั้งหลายได้รับการเสริมเขี้ยวเล็บ

“จริงๆ เรื่องที่ทำไม่สำเร็จและแค้นใจมากคือ 3 ปีฟื้นขึ้นมาได้ เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่ มันทำให้เกิด strategic NPL กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ และก็มีค่านิยมคนรวยทำทุกอย่างดีหมด ทุกคนก็อยากเป็นคนรวย มันก็เหนื่อย”

ปกป้อง : ตอนนั้นประชาธิปัตย์ก็มีเสียงข้างมาก ทำไมถึงผลักไปได้ไม่สำเร็จ

ผมเกือบแพ้จนต้องลาออกจากรัฐบาล คะแนนเท่ากัน เรื่องงบประมาณของ สภาเราผ่าน เพราะเราคุมเสียงข้างมาก พอไปถึงวุฒิฯ ในยุคนั้น และประธานวุฒิฯ เป็นปฏิปักษ์กันหมดกับสิ่งที่เราพยายามทำในการแก้ไขปัญหาเรื่องเอ็นพีแอล เขาไม่ยอม

เดี๋ยวนี้คำตอบก็คือว่า “ไม่รู้มันจะผันอย่างไร มันก็ขลุกขลิกกันไปตลอด”

ปกป้อง : ก่อนจะไปอนาคต กลับไปเรื่องวิกฤติ จากปี 40 ถึงปัจจุบัน ผ่านไป 15 ปี อะไรดีขึ้น อะไรเลวลง อะไรที่ดีขึ้นอย่างชัด อะไรที่ยังเหมือนเดิม อะไรแย่ลง ถ้าไล่มาตั้งแต่ระบบสถาบันการเงินเป็นอย่างไรครับ

ผมว่าแข็งแรงขึ้นเยอะ และแบงก์ชาติเปลี่ยนไปเยอะ ดีขึ้น

ปกป้อง : แบงก์ชาติเรียนรู้อะไร และปรับตัวอย่างไร

แบงก์ชาติเดี๋ยวนี้ดีขึ้นเยอะแล้ว จนถึงขั้น ดร.ประสาร (ไตรรัตน์วรกุล) สู้กับ ดร.โกร่ง (ดร.วีรพงษ์ รามางกูร) ได้ก็ใช้ได้แล้ว (หัวเราะ)

ปกป้อง : การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างใหญ่ๆ ของแบงก์ชาติหลังวิกฤติ 2540

ผมว่าเขาเปลี่ยนไปเยอะ ความเข้าอกเข้าใจ การดำเนินนโยบายการเงิน การไม่กลัวนักการเมืองก็เป็นเรื่องดี

ปกป้อง : อะไรเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ

ก็เจ๊งทั้งประเทศก็เพราะคุณ (แบงก์ชาติ) นั่นแหละ เขาก็บาดเจ็บมาก ตอนนี้เขาดีขึ้นมา ก็เป็นเรื่องที่ดี

อีกอันหนึ่งที่ผมอยากจะทำ แล้วตัดสินใจไม่ทำ ผมไม่เคยไปถามแบงก์ชาติว่าใครเป็นคนถล่มประเทศไทย “อยากจะรู้” แต่ถ้าเอาจริงๆ ก็น่าจะรู้

“บอกว่าเป็นโซรอสนี่ไม่จริง มันมีกองทุนอันอื่นด้วย โซรอสอาจเป็นคนเริ่ม ตอนนั้นเพิ่งถล่มธนาคารกลางอังกฤษ ก็เลยหาว่ามันมาถล่มประเทศไทย ไม่ใช่หรอก”

ปกป้อง : ระบบสถาบันการเงินเมืองไทยเป็นอย่างไรครับ

ดีขึ้นเยอะ ใช้มาตรฐานเข้มงวด และคนที่บริหารแบงก์ดีขึ้น ตอนผมอยู่แบงก์ ผมพูดอยู่เสมอว่า “พวกเราเป็นคนได้สัมปทาน เป็นคนพิเศษ ได้รับความไว้วางใจจากหลวง เพราะฉะนั้นต้องดูแลทุกอย่างให้เป็นไปตามเจตนารมณ์”

ความคิดอย่างที่ผมพูด เดี๋ยวนี้แข็งแรง เป็นที่ยอมรับ สมัยก่อนมีมากที่นายแบงก์หากินกับแบงก์ต่างหาก ยกเว้นเงินเดือนและเงินปันผล

ปกป้อง : ระบบสถาบันการเงินมีอะไรที่ทำให้ดีกว่านี้ไหมครับ

ผมว่าเราก้าวหน้าไปมากแล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องทำเป็นพิเศษ อีกเรื่องหนึ่งเรายอมเปิดเสรีให้ต่างชาติเข้ามาแข่งขันมากขึ้นก็ใช้ได้ ส่วนการแก้ปัญหาบริษัทเงินทุนเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว

อีกเรื่องหนึ่งที่ลืมเล่าให้ฟังคือ โดยปกติแล้วผมเป็นคนที่รังเกียจการเอาเปรียบกันในตลาดหุ้น ”insider trading“ (การซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายใน) ถือว่า “เลวสุดๆ” ซื้อๆ ก่อน ขายๆ ก่อน ชนะตลอดกาล คนอย่างนี้เอาไว้ไม่ได้

ตอนผมไปจับเสี่ยสอง(นายสอง วัชรศรีโรจน์)คนว่าทั้งประเทศ จะอภิปรายไม่ไว้วางใจผม เพราะผมทำให้หุ้นตก คิดกันอยู่อย่างเดียวว่าหุ้นต้องขึ้นตลอดกาล ก็แปลกมนุษย์

เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วสิ่งที่ผมพยายามทำอีกด้านหนึ่ง ซึ่งทำไปก่อนหน้านั้นคือ ห้ามบริษัทเงินทุนมีพอร์ตตัวเอง อีกเรื่องหนึ่งที่หายไปเลยตามธรรมชาติ เพราะมันไม่ดีเอง ตายไปเอง และเราก็ไม่ให้มันเกิดอีก ก็คือเหลือแต่ระบบสถาบันการเงินที่เข้มแข็ง

จริงๆ ควรจะเป็นแบงก์พาณิชย์ ก็ถูกแล้ว ดีแล้ว

อีกด้านหนึ่ง ผมส่งเสริมเอสเอ็มอีในตลาดหุ้น จริงๆ เรื่องนี้สั่งเลยให้ไปทำกระดาน MAI (ตลาดหลักทรัพย์ใหม่) สั่งด้วยนโยบายเลย อีกเรื่องหนึ่งที่ผมเสียดาย เนื่องจากผมทำงานแบงก์มาก่อน ผมรู้เรื่องมาก สมัยก่อนนานมาแล้วบุคคลธรรมดากู้จะถูกคิดดอกเบี้ยเต็มที่ และให้กู้ overdraft (เบิกเงินเกินบัญชี) ดอกเบี้ย 15% ตลอด แต่บริษัทยักษ์ใหญ่กู้ต่อรองกับแบงก์ได้ก็กู้อัตราดอกเบี้ยลูกค้าชั้นดี

ผมเป็นคนแรกที่บอกให้ไปทำเอ็มแอลอาร์สำหรับเอสเอ็มอี ตอนนั้นคุณวิจิตร (สุพินิจ) ก็ทำให้ แต่พอผมออกช่วงสมัยแรก กับช่วงสมัยที่สอง คุณวิจิตรก็ยกเลิก (หัวเราะ)

แนวคิดของผมคือ บริษัทเล็กๆ บุคคลธรรมดา ความเสี่ยงของแบงก์อาจมีน้อยกว่าบริษัทขนาดใหญ่ เมื่อเทียบเงินให้กู้บาทต่อบาท แล้วทำไมพวกนี้ถึงต้องมาแบกต้นทุนมหาศาล เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดตลาด MAI เพราะฉะนั้นแบงก์จะต้องกำหนดอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี ก็ทำไปพักใหญ่ 3-4 ปี

ปกป้อง : แล้วทำไมไม่ทำใหม่

ก็ไม่ทำ เพราะตอนนั้นก็เขาวิกฤติ ไม่มีเวลาดู ยุ่ง

ปกป้อง : แล้วภาคเศรษฐกิจจริงไทย ดีขึ้นหรือเลวลงเมื่อเทียบกับ 15 ปีที่ผ่านมา

เศรษฐกิจ diversified (มีความหลากหลาย) ขึ้นเยอะ ดีขึ้นเยอะ รวมกับอาเซียนได้มาก และน่าจะแข่งขันได้ดีขึ้น ส่วนเรื่องอื่นก็ภาพใหญ่ที่พูดเมื่อกี้คือตัวถ่วง คือ ไม่เล่นตามกติกาโลก เห็นถูกเป็นผิด เห็นผิดเป็นถูก อย่างนี้ไปได้ไม่นาน

ปกป้อง : รัฐบาลการบริหารนโยบายการคลัง 15 ปีผ่านไป เราเรียนรู้อะไรจากวิกฤติไหมครับ

สมัยที่เราทำอยู่ เราก็พยายามบริหารอย่างค่อนข้างจะระมัดระวัง ขณะนี้ก็ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยระมัดระวังกันเท่าไร คือ ประชานิยม (populism) มันไปรอดได้ไม่นาน อะไรที่แจกฟรีมันไม่ดีทั้งสิ้น ในแง่รัฐสวัสดิการ ดูแลช่วยเหลือต้องช่วยเหลือให้เข้มแข็ง ไม่ใช่ช่วยเหลือให้อ่อนแอ ของที่ช่วยเหลือให้อ่อนต้องถือว่าใช้ไม่ได้ มันมีเรื่องนี้ทำกันเยอะ


บัตรเครดิตให้ทุกคนไม่ผ่านการพิจารณาเครดิตเรตติ้ง ไม่ผ่านการกลั่นกรองสินเชื่อ เขาเข้าถึงสินทรัพย์ แต่เขาไม่ได้เข้าถึงความร่ำรวย เขาเข้าถึงหนี้ และคิดว่าเอาหนี้ให้คนที่ยากจนที่สุดซึ่งไม่มีโอกาสจะหาเงินคืนหนี้ แล้วกู้หนี้มาเอาไปใช้ แล้วไม่มีเงินจ่ายคืน มันจะทำให้คนเหล่านี้รวยขึ้นได้อย่างไร

ตรงนี้เป็นความคิดที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น และมีแบบนี้เพิ่มมากขึ้น ผมก็เห็นว่าตรงนี้เราต้องระวังมาก

สิ่งที่เราเป็นห่วงมากๆ เพราะว่า เราเคยคิดว่าเราจะเป็นประเทศที่พัฒนา เป็นประเทศที่มี competitive (มีขีดความสามารถแข่งขัน) และมีความเข้มแข็ง

“สมัยพวกผมทำเราวัดตัวเองไม่ใช่กับมาเลเซีย ไม่ใช่กับอินโดนีเซีย ไม่ใช่กับฟิลิปปินส์ เราวัดกับเกาหลี ไต้หวัน ไทยจะต้องเนี๊ยบขนาดนั้น”

บัดนี้มันก็ไม่ได้ดีขึ้นในเชิงนี้ เพราะมีตัวถ่วงเยอะ ไปทำให้ภาคชนบทอ่อนแอ หรือกร่างโดยใช่เหตุ “ไม่ถูกต้อง” อะไรที่เขาทำถือว่าถูกหมด แม้กระทั่งทำให้คนอื่นเดือดร้อน ผมไม่ได้เถียงเรื่องสถาบันนะ แต่เถียงในเชิงการพัฒนาบ้านเมือง คือหลักของความเข้มแข็งถูกทำลายหมดทุกจุด กลายเป็นหลักของ dependency (การพึ่งพา) ไม่ไหว

นโยบายที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาความยากจน คือเสริมสร้างให้เขามีโอกาส มีรายได้ มีงานทำ มีความรู้ ไม่ใช่มีโอกาสรับแจกฟรีไปเรื่อย ไม่มีทางที่ชาติบ้านเมืองจะเข้มแข็ง แล้วถ้าไประบบค่านิยมที่ผิดจากหลักของประเทศอื่นที่เขาทำกันก็แย่แล้ว คือทำผิดไม่ต้องรับผิด ข่มขู่ศาล ใครเสียงดังชนะ แล้วทำยังไงล่ะ

“ของแบบนี้ต้องเฮี้ยบก็ต้องเฮี้ยบ ไม่ใช่เราจิตใจทารุณโหดร้าย เป็นอำมาตย์ ไม่ใช่นะครับ”

แต่เป็นหลักของบ้านเมือง คำว่าบ้านเมืองอาจไม่ถนัดนัก หลักของคำว่า civilization (อารยธรรม) คนหลายคนมาอยู่ด้วยกัน ไม่แยกกันอยู่ต้องมีกฎระเบียบ ค่านิยมคล้ายคลึงกันถึงจะอยู่รวมกันได้ แล้วประเทศไหนซึ่งพัฒนาระบอบประชาธิปไตยในลักษณะซึ่งยอมรับ parliamentary dictatorship (เผด็จการในสภา)

“มันผิด”

การพัฒนาด้านการเมืองจะต้องมีการคานอำนาจด้านสถาบัน ต้องมี respect of noise minority voice (เคารพเสียงส่วนน้อย) สื่อมวลชนต้องปฏิบัติหน้าที่ สื่อประเภท propaganda (โฆษณาชวนเชื่อ) ปล่อยให้มีได้อย่างไร สื่อก็เหมือนโฆษณา ทำให้ค่านิยมเปลี่ยน “ยุ่ง”

ปกป้อง : นอกจากเรื่องที่เล่าความเป็นห่วงเป็นใยแล้ว คุณธารินทร์ว่าเศรษฐกิจไทยยังมีอะไรน่าเป็นห่วงอีก ที่เป็นความเสี่ยง ความท้าทายที่เราต้องก้าวข้าม

ก็ไม่น่ามีอะไรที่น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษ ขอให้เราเข้าใจการบริหารนโยบายการเงิน ไม่ทำอะไรผิด นโยบายการคลังก็ต้องระมัดระวังหน่อย การบริหารความเข้าอกเข้าใจของชาวบ้านในแง่ค่านิยม เมืองไทยเปลี่ยนไปมาก เราไม่เน้นในเรื่องค่านิยม ไม่เน้นเรื่องศีลธรรม มโนธรรม จริยธรรม

“สมัยก่อน ตอนเด็กๆ ผมเข้าโรงเรียน 15 นาที ต้องท่องอะไรคือพลเมืองดี ต้องเคารพกฎหมาย ต้องจ่ายภาษี ถามปลัดกระทรวงศึกษาหายเรื่องเหล่านี้หายไปไหนหมด ของดีอย่าคิดว่าครำครึ สอนอะไร สอนแต่แท็บเล็ต”

ปกป้อง : สมมุติคุณธารินทร์เป็นรัฐมนตรีอีกรอบตอนนี้ อะไรเป็นโจทย์ที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย แล้วคุณธารินทร์จะบริหารมันอย่างไร

ยังไม่เคยคิด (หัวเราะ)

ปกป้อง : แล้วถ้าเป็นจะทำประชานิยมตามไหม ตามแฟชั่นเขาไหม

ไม่ทำ และคงหักหมด

ปกป้อง : แต่พอประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล นักวิชาการก็บอกว่าประชาธิปัตย์ก็เดินเกมประชานิยมอาจจะเหมือนหรือต่างกันในรายละเอียด

ไม่ใช่ในสมัยผม ไม่มีนะ ผมพูดอยู่ตลอดเวลา คนต้องทำงาน

ปกป้อง : ตอนจัดการวิกฤติเศรษฐกิจเป็นงานหินที่สุดในชีวิตหรือไม่ครับ

แน่นอนที่สุดครับ เพราะมันมีเรื่องข้อจำกัดเรื่องเวลาหลักของเราคือ ถึงที่สุดแล้วสิ่งที่ต้องทำเวลาประเทศเข้าวิกฤติเศรษฐกิจให้ดีที่สุดคือทำให้ฟื้นตัวเติบโตเร็วที่สุดทำอย่างไร เพราะจะช่วยแก้ไขปัญหาได้หมด แต่ส่วนวางแผนระยะยาวให้เข้มแข็งก็เป็นอีกอันหนึ่ง


เรื่องกรีซ ลองนึกดู เขาไม่มีอุตสาหกรรม ไม่มีเกษตรกรรม มีอย่างเดียวคือภาคการท่องเที่ยว แล้วไปจับให้อยู่ในยูโรโซน ไม่มีความได้เปรียบในเรื่องค่าเงิน ถามว่าเมื่อไหร่จะใช้หนี้ได้หมด เป็นไปไม่ได้ เพราะหนี้เป็นยูโร อุตส่าห์ไปลดหนี้ กรีซก็ชอบ เพราะอยู่ดีๆ ก็มีคนมาลดหนี้ให้

จริงๆ แล้วไม่แน่ใจว่ากรีซกลัวว่าออก หรือว่าคนอื่นกลัวเวลากรีซจะออก อันไหนน้ำหนักมากกว่ากัน เพราะสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ คือ ปัญหาลุกลาม และตอนนี้ก็เห็นอยู่แล้ว ขนาดกรีซเลือกตั้งดี แต่ก็เป็นปัญหาอีกแล้ว

ปกป้อง : บทบาทนายกชวนในวิกฤติเศรษฐกิจเป็นอย่างไรครับ

ในหลักการท่านก็พูดว่าหน้าที่ของเราคือการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และให้อำนาจผมร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่เคยมีปัญหาอะไร อาจจะมีช่วงตอนท้ายหน่อย เริ่มหวั่นไหวมาก เพราะถูกโจมตีมากและอธิบายเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ และอ้างว่าไม่รู้ ทั้งที่จริงรู้ แต่ไม่มีใครอยากอธิบาย เพราะมันเปลืองตัว ผมก็ไม่ว่าอะไร เพราะเราก็รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ สำเร็จหรือไม่สำเร็จก็วัดดวงเอา

ปกป้อง : คนบอกว่าคุณธารินทร์ทำอะไรหนัก ทำอะไรเยอะ แต่การสื่อสารกับสาธารณะ

ผมเป็นคนที่พูดเยอะ เพียงแต่ว่ามันยากต่อความเข้าใจ มันไม่ง่าย ถ้าพูดแม้กระทั่งพูดอย่างวันนี้ ถ้าไม่มีคนที่มีพื้นฐานมาก่อนก็ฟังไม่รู้เรื่องหรอก

อย่างทุนสำรองไม่มี อย่างที่ผมเล่าให้ฟัง ผมต้องไปนั่งคิดตั้งนานว่าจะพูดอย่างไรให้คนเข้าใจ พอบอกว่า “น้ำมันจะไม่มีนะ ยาไม่มีนะ ปุ๋ยจะไม่มีนะ” คนก็เริ่มเข้าใจ

ถ้าสถาบันการเงินเจ๊ง ผมก็ต้องมานั่งคิดว่าจะอธิบายอย่างไรให้คนเข้าใจ ที่จะเข้าใจคือคนฝากกับคนกู้ แต่คนไม่เกี่ยวมีมากกว่า แล้วเขาจะเข้าใจอย่างไร แล้วทำไมเราต้องเอาเงินตั้งมากมายไปช่วยเขา

จริงๆ การตั้ง ปรส. ถ้าดูลึกๆ เป็นวิธีการตัดตอนลดหนี้อย่างแยบยลที่สุด เพื่อช่วยคนที่เป็นหนี้ให้ฟื้น

ปกป้อง : คุณธารินทร์ย้อนดู ปรส. จริงๆ มีอะไรทำผิดพลาดไหมครับ

จริงๆ ทำผิดน่ะไม่มี แต่ไม่อธิบายอะไรเลย

ปกป้อง : คือปัญหาเรื่องการสื่อสาร

ใช่

ปกป้อง : แต่หลักการ การปฏิบัติถูก

ใช่ ผมไปช่วยแก้ไว้ตั้งเยอะ คือจริงๆ แล้วในประเทศอย่างเกาหลีเขาให้เครดิตว่า ปรส. ฟื้นเศรษฐกิจ มีแต่ประเทศไทยที่ว่า จริงๆ แล้วสิ่งที่ผมแก้ไม่ทันคือ การตั้งธนาคารรัตนสิน ตอนนั้นผมตั้งใจว่า สินทรัพย์ดีของดีต้องดึงออกมาให้หมด แล้วเอาเอ็นพีแอลไปประมูลถึงจะถูกต้อง แต่พอเราช้าๆๆ เข้าสินทรัพย์ก็เสียหมด

เรื่องนี้เราทำอย่างไรก็ทำเต็มที่แต่มันไม่ทัน

เพราะว่าเวลาคนที่เป็นหนี้เขาไม่สามารถได้รับบริการกิจกรรมทางการเงินทั้งหมด คนที่เป็นหนี้ไม่ได้จ่ายแต่ดอกเบี้ย บางทีจ่ายเงินต้นคืน บางทีก็ต้องการสินเชื่อเพิ่ม มีบริการทางการเงินมากมายที่ต้องดำเนินการ แต่อยู่ดีๆ บอกไม่ให้กู้ ไปกู้ใครก็ไม่ได้ “มันก็เจ๊ง” ในที่สุดก็เกิด strategic NPL ในเมื่อจะเจ๊งแล้วก็โกงซะเลย

นี่คือปัญหาในเรื่องระบบการเงิน แล้วมีหลายเรื่องก็เห็นว่าเขาทำถูกในเชิงหลักการ แต่มันช้า ความจริงมันไม่ใช่เรื่อง ปรส. อย่างเดียวแล้วแก้ไม่ได้ ยังมีเรื่องทุนสำรองด้วย และยังไม่พอ แบงก์ยังเจ๊งตามด้วย

เพราะฉะนั้น ปรส. ก็เลยตาย ส่วนหนึ่งมันเป็นเรื่องการสื่อสาร ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องความตั้งใจถล่ม แต่เราควรภูมิใจนะ คนที่ทำงานกับ ปรส. ส่วนคนที่โวยวายมาก วุ่นวายมาก คือ พวกขี้โกง และคนที่ไปฟ้องศาลจะเอาหนี้คืน แพ้หมดทุกกรณี ไม่มีลูกหนี้คนไหนชนะคดี ปรส.

อีกเรื่องที่นึกได้ ผมมีความภูมิใจเป็นพิเศษ คือให้ศาลตั้งระบบประนีประนอม เป็นกลไกพิเศษคือให้มีกระบวนการไกล่เกลี่ยก่อนจะเข้าสู่กระบวนการชั้นศาล

ปกป้อง : สรุปแล้วคุณธารินทร์คิดว่า 15 ปีผ่านไป ประเทศไทยเรียนรู้บทเรียนจากวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540

ผมว่าเขาเรียนรู้ขึ้นมาก แต่กำลังไม่รู้อีกแล้ว อันนี้อาจารย์ (ปกป้อง) คิดว่าจะแก้ไขอย่างไร ปัญหาตอนนี้ต้องเป็นคนรุ่นอาจารย์แล้ว ไม่ใช่รุ่นผมแล้ว

ซีรี่ส์ 15 ปีวิกฤติ 2540 สนับสนุนโดย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)