head ads

วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556

ตลาดด้านการท่องเที่ยวในเวียดนาม

ตลาดด้านการท่องเที่ยวในเวียดนาม

http://122.155.9.68/talad/index.php/vietnam/sector/tourism-related
ประเทศเวียดนามมีความโดดเด่นเรื่องของทรัพยากรการท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม อาทิ ฮาลองเบย์ ที่ได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก้ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยนำเสนอวัฒนธรรมที่เก่าแก่และเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความปลอดภัย สงบ และ สภาพแวดล้อมที่มีความเป็นมิตร จุดขายในเรื่องของการท่องเที่ยวแบบประหยัด และผจญภัย ซึ่งเป็นแนวโน้มของการท่องเที่ยวทั่วโลกในขณะนี้ และเวียดนามพยายามนำเสนอการท่องเที่ยวระดับภูมิภาค โดยนำเสนอรูปแบบการท่องเที่ยวในประเทศเวียดนามและประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ ลาว กัมพูชา ในคราวเดียว

อุปสงค์อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว  
ธนาคารแห่งประเทศไทย (2551) รายงานว่า World Travel and Tourism Council (WTTC) คาดหมายให้เวียดนามมีอัตราการท่องเที่ยวสูงสุดเป็นอันดับ 7 ของโลก ในปี 2548-2558และในปัจจุบันรัฐบาลก็ได้เห็นความสำคัญของการท่องเที่ยวตามลำดับ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (2549)รายงานว่ารัฐบาลเวียดนามได้อนุมัติกฎหมายว่าด้วยการท่องเที่ยว (Law on Tourism) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับแผนการพัฒนาการท่องเที่ยว (Master Plan on Development of Tourism) ซึ่งกำหนดนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็น 6 ล้านคนในปี 2553 และนักท่องเที่ยวในประเทศ 25-26 ล้านคนในปี 2553

ปี 2549 รัฐบาลเวียดนามกำหนดเป้าหมายการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ 3.6 ล้านคน16 แต่จำนวนตัวเลขที่เกิดขึ้นจริง ประมาณ 3.2 ล้านคน แสดงว่าไม่เป็นไปตามเป้าหมาย นักท่องเที่ยวต่างชาติปี2552 มีจำนวน 3.8 ล้านคน ลดลงจากปี 2551 ซึ่งมีจำนวน 4.2 ล้านคน

จะเห็นว่าแนวโน้มนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศเวียดนามจะมีจำนวนมากขึ้นทุกปี จากปี 2541 ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.5 ล้านคน เป็น 4.2 ล้านคนในปี 2550 และจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทย จากปี 2541 จำนวน 0.016 ล้านคน เป็น 0.161 ล้านคนในปี 2550

ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2552


  • ท่องเที่ยว 2.0 ล้านคน ลดลง 16.2% มีชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาเวียดนามประมาณ 3.4 ล้านคน ลดลง 12.3% โดยแยกตามวัตถุประสงค์การเดินทางเข้ามาได้ ดังนี้
  • ธุรกิจ 0.7 ล้านคน ลดลง 10.2%
  • เยี่ยมญาติ 0.47 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1.8%
  • อื่น ๆ 0.23 ล้านคน ลดลง 8.1%
ทั้งนี้ เป็นชาวต่างชาติที่เดินทางมาจาก จีน (14%) สหรัฐอเมริกา (10.8%) เกาหลีใต้ (9.6%) ญี่ปุ่น (9.6%) ไต้หวัน (7.2%) และจากประเทศอื่น ๆ (48.8%)

นอกจากนี้อุปสงค์ของการท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยว มีลักษณะที่ไม่มีเหมือนกันในแต่ละบุคคลเนื่องจากนักท่องเที่ยวแต่ละรายหรือแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกันทางด้านสภาพแวดล้อม หรือคุณลักษณะส่วนบุคคล ซึ่งนักท่องเที่ยวมีทั้งกลุ่มที่มาจากยุโรป อเมริกา และแถบเอเซีย พฤติกรรมการท่องเที่ยวจะมีความแตกต่างกัน ความแตกต่างดังกล่าวอาจมีผลทำให้ภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มรับรู้หรือเข้าใจหรือคิดนึกถึงมีความแตกต่างกันตามกลุ่มของนักท่องเที่ยวและอาจทำให้คุณค่าที่ได้รับความพึงพอใจ และความภักดีต่อแหล่งท่องเที่ยวมีความแตกต่างกันอีกด้วย

จะเห็นได้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยว ทั้งภายในประเทศเวียดนามเอง และชาวต่างประเทศ ที่เดินทางท่องเที่ยวในประเทศเวียดนาม มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี ถึงแม้จะมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้การท่องเที่ยวของเวียดนามนับวันจะสร้างรายได้ให้กับประเทศเพิ่มมากขึ้น รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องต่างๆ มีโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น

บริบทด้านการแข่งขันและกลยุทธ์ของธุรกิจการท่องเที่ยว  
ภาวะการแข่งขัน

ในด้านของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศเวียดนาม จะมีการแข่งขันเป็นไปในลักษณะของการแข่งขันในด้าน Outbound ของต่างประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาเที่ยวในประเทศเวียดนามเองมีปริมาณไม่มาก เมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ จำนวนนักท่องเที่ยวปี 2009 มีเพียง 3.8 ล้านคน เนื่องจากในประเทศคู่แข่งหรือคู่ค้า คือ ประเทศไทย กัมพูชา ลาว สิงคโปร์ มาเลเซีย ซึ่งแต่ละประเทศก็มีบริษัทที่จัดทำทัวร์นำนักท่องเที่ยวเข้าไปประเทศตน ตัวอย่างเช่น ในประเทศไทยนั้น บริษัทต่างๆ ก็จะมีการแข่งกันในการลดราคา การซื้อเป็นเพกเกจทัวร์นั้นสามารถหาซื้อได้ในราคาถูก ซึ่งแพกเกจ 4 วัน 3 คืน ราคาเพียง 300 เหรียญดอลล่าห์สหรัฐฯ ซึ่งถือว่าถูกมาก เป็นการแข่งกันตัดราคาของผู้ประกอบการกันเองแต่สำหรับการจัดทัวร์ท่องเที่ยวในประเทศเวียดนามนั้นยังมีราคาสูง ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวในแถบเอเซียนี้มองว่าประเทศเวียดนามเป็นตัวเลือกลำดับรองๆ ลงมา

สำหรับการทำธุรกิจด้านการให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เช่น การก่อสร้างโรงแรมที่พัก หรือการก่อสร้างสถานที่ ที่เป็นการลงทุนขนาดใหญ่ จะต้องคำนึงถึงข้อจำกัดต่างๆ เช่น

การเข้ามาลงทุนของชาวต่างชาติ สามารถทำได้ทั้งการลงทุน 100% และการร่วมลงทุนกับบริษัทท้องถิ่น ซึ่งหากต้องการลงทุน 100 ก็สามารถขอใบอนุญาตได้สะดวก และรวดเร็วอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และสนับสนุนการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ที่พัก การเช่ารถ การนวด สปา ภัตตาคาร เป็นต้น การที่จะเปิดธุรกิจในประเทศเวียดนามนั้น เนื่องด้วยข้อกฎหมายของเวียดนาม การลงทุนของต่างชาติควรที่จะเปิดในรูปแบบของบริษัท หรือการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น การประกอบธุรกิจสปา ซึ่งเป็นธุรกิจที่คนไทยมีฝีมือ และมีความสามารถ อีกทั้งภูมิปัญญาในการนวดแผนไทย การที่จะดำเนินธุรกิจควรจะเข้าไปเปิดเป็นส่วนควบกับกิจการที่เปิดเป็นหลักอยู่แล้ว อย่างเช่นควรจะไปเปิดอยู่กับโรงแรมที่เปิดกิจการอยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้ การที่จะไปเปิดเป็นร้านทั่วๆ ไป ปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้โดยตรง
ปัจจุบันต่างชาติยังถือครองที่ดินในเวียดนามไม่ได้ ทำได้เพียงทำสัญญาระยะยาว เช่น เช่าที่ดินได้นาน 50 ปี ตารางเมตรละ 20-50 ดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง สาธารณูปโภคและสิ่งอำนวนความสะดวกสิ่งที่นักลงทุนควรคำนึงถึงคือ ตามหลักการของเวียดนาม เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่า อาจต้องคืนที่ดินให้กับทางการ ขณะที่ในประเทศไทยสามารถเป็นเจ้าของได้ และมูลค่าของที่ดินมีแต่จะเพิ่มขึ้น
การที่จะทำการลงทุนก่อสร้างสถานที่แห่งหนึ่งอาจต้องใช้เงินลงทุนอย่างมาก เพราะราคาที่ดินแพง เนื่องจากพื้นที่ใช้สอยได้มีเพียง 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมด อีก 2 ส่วนจะเป็นพื้นที่ภูเขา ป่า เกาะแก่ง ซึ่งไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้
ค่าใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยวค่อนข้างแพง ตั้งแต่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางแพงกว่าเมืองไทยค่อนข้างมาก ค่าที่พัก ค่าโรงแรม ถ้าระดับดี หรือระดับ 5 ดาว ก็จะตกราว 120-150 เหรียญดอลล่าสหรัฐ ต่อห้องต่อวัน นอกจากนี้ค่าอาหารการกินก็มีราคาแพงมาก
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยว จะไม่ค่อยมีแหล่งท่องเที่ยว แหล่งช๊อปปิ้งมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญๆ ของแต่ละเขตเมือง เพราะสภาพบ้านเมืองยังไม่พัฒนามากนัก การเดินทางระหว่างเมืองยังไม่สะดวกเท่าที่ควร ถนนหนทางยังเป็นถนนที่แคบอยู่ ซึ่งการเดินทางสัญจรไปมา ส่วนใหญ่จะใช้รถจักรยานยนต์ รถยนต์ และรถประจำทางยังมีไม่มาก ที่สำคัญคือ การเดินทางเสียเวลามาก ทำให้ท่องเที่ยวได้น้อย

การขยายตัวของด้านการท่องเที่ยว

จากการคาดหมายของ World Travel and Tourism Council (WTTC) คาดหมายให้เวียดนามมีอัตราการท่องเที่ยวสูงสุดเป็นอันดับ 7 ของโลก ในปี 2548-2558และในปัจจุบันรัฐบาลก็ได้เห็นความสำคัญของการท่องเที่ยวตามลำดับ ถึงแม้ว่าเวียดนามได้อนุมัติกฎหมายว่าด้วยการท่องเที่ยว (Law on Tourism) ซึ่งกำหนดนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็น 6 ล้านคนในปี 2553 และนักท่องเที่ยวในประเทศ 25-26 ล้านคนในปี 2553 แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่ค่อยสำเร็จตรงตามเป้าหมาย ในปี 2552 นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในเวียดนามมีแค่ 3.8 ล้านคน ลดลงจากปีก่อน โดยมีวัตถุประสงค์ในการเดินทางเข้ามาลดลงทุกด้าน เช่น การเดินทางเพื่อท่องเที่ยว การทำธุรกิจ และด้านอื่นๆ ยกเว้นการเดินทางเพื่อเยี่ยมญาติที่มีเปอร์เซ็นต์เพิ่มขึ้น

สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังเวียดนามกว่าร้อยละ 90 ที่เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเพียงครั้งเดียว คือเมื่อมาเที่ยวแล้วจะไม่มาซ้ำอีก เนื่องด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องของค่าใช้จ่าย ความสะดวกในการเดินทาง ความสะดวกในการบริการด้านสาธารณูปโภค แหล่งท่องเที่ยวและแหล่งช็อปปิ้งมีไม่มาก

สิ่งที่ควรปรับปรุงเพื่อเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา คือ การลดราคาสำหรับค่าทัวร์ ค่าตั๋วโดยสารให้ถูกลง สำหรับการจัดทัวร์นำนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวประเทศเวียดนามนั้น ควรที่จะต้องจัดทำราคาสำหรับค่าเพกเกจการท่องเที่ยวให้ถูกลง เพื่อเป็นการเสนอทางเลือกสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เลือกจะมาเที่ยวในแถบเอเชีย ลดค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ ให้ถูกลง ปรับปรุงการจัดการบริการท่องเที่ยวให้ดีขึ้น ปรับปรุงขั้นตอนในการให้บริการ มีการพัฒนามัคคุเทศก์ ให้ดีขึ้น อีกทั้งพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ รวมทั้งด้านสาธารณูปโภค และเส้นทางการคมนาคม

อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องและสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว  
(ภาพที่ 3.10 ห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว)

จากห่วงโซ่อุปทาน จะเห็นว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จะเป็นการเชื่อมโยงกันของธุรกิจที่ส่งเสริมสนับสนุนซึ่งกันและกันเพื่อที่จะให้การบริการต่างๆ นั้นไปถึงมือผู้บริโภค หรือลูกค้า เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ผู้บริโภคนั้นได้รับความพึงพอใจสูงสุดจากการได้รับการบริการ ตั้งแต่การเคลื่อนย้ายผู้โดยสารจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง การให้บริการด้านความบันเทิง บริการอาหารการกิน ร้านอาหาร บริการการเดินทาง ตลอดจนโรงแรม ที่พัก นอกจากนี้ในส่วนของการนำเที่ยว โดยมีบริษัทนำเที่ยว หรือตัวแทนจากบริษัท ซึ่งก็คือไกด์นำเที่ยว พาเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ

นอกจากนี้การที่ลูกค้าจะติดต่อกับธุรกิจบริการต่างๆ เช่น ติดต่อห้องพัก โรงแรม สถานบันเทิง ตลอดจนการขนส่ง หรือหาพาหนะเดินทาง ผู้บริโภคหรือลูกค้าสามารถติดต่อผ่านเอเย่นต์ ตัวแทน หรือบริการทัวร์ แม้กระทั่งสามารถหาข้อมูลผ่านทางเว็บไซต์ได้

ธุรกิจในอุสาหกรรมท่องเที่ยวมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้า และบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวโดยตรง ในระบบเศรษฐกิจคำว่า การท่องเที่ยว หมายถึงภาคเศรษฐกิจที่รวมธุรกิจทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวทั้งทางตรงและทางอ้อม

การประกอบธุรกิจการเคลื่อนย้ายผู้โดยสารและสิ่งของจากที่หนึ่งไปยังอีกทีหนึ่งด้วยพาหนะขนส่ง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการท่องเที่ยว แบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบใหญ่ๆ คือ


  • ธุรกิจขนส่งทางบก (Land transportation) การเดินทางโดยรถไฟ, รถยนต์ส่วนบุคคล รถเช่า รถตู้เพื่อนันทนาการ, รถโดยสารเพื่อการเดินทางท่องเที่ยว
  • ธุรกิจขนส่งทางน้ำ(Water transportation) เรือเดินทะเล, เรือล่องแม่น้ำ, เรือข้ามฟาก
  • ธุรกิจขนส่งทางอากาศ (Air transportation) การบินที่เป็นลักษณะเที่ยวบินประจำ, ลักษณะเที่ยวบินไม่ประจำ, และการบินแบบเช่าเหมาลำ
  • นิยมใช้หลายๆ แบบปะปนกัน

ธุรกิจเกี่ยวกับที่พักแรม

เป็นการประกอบธุรกิจการขายบริการที่พักเพื่อคนเดินทางที่ต้องการพักค้าง ซึ่งอาจมีการบริการอาหารและเครื่องดื่มไว้บริการด้วย อาทิ โรงแรม (Hotel), ที่พักประเภทอื่นๆ เช่น บ้านแบ่งให้เช่า ที่พักสำหรับเยาวชน โมเต็ล โรงแรม รีสอร์ท คอนโดมิเนียม กรรมสิทธิ์ร่วม เกสต์เฮ้าส์ สถานที่พักแรมกลางแจ้ง (Accommodation)

ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม

การประกอบธุรกิจในการให้บริการอาหารและเครื่องดื่มสำหรับคนเดินทาง นักท่องเที่ยว หรือประชาชนทั่วไป โดยจัดเตรียมที่ให้ผู้บริโภคสามารถรับประทานอาหารภายในสถานที่ที่ให้บริการ หรืออาจให้บริการบรรจุอาหารเพื่อให้ผู้บริโภค สามารถนำไปรับประทานที่อื่นได้

ธุรกิจนำเที่ยว

การประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการจัดหรือการให้บริการ หรือการอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการเดินทาง ที่พัก อาหารและเครื่องดื่ม ทัศนาจรหรือการให้บริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยว อาจขายให้แก่นักท่องเที่ยวโดยตรง หรือขายผ่านตัวแทนธุรกิจท่องเที่ยว (Travel Agent) หรือดำเนินการนำเอาบริการอำนวยความสะดวกด้านยานพาหนะ ที่พัก อาหาร และทัศนาจรรวมกัน และขายในลักษณะเหมารวม (Package tour) อาทิการจัดบริการนำเที่ยวภายในประเทศ นำนักท่องเที่ยวต่างประเทศไปยังแหล่งท่องเที่ยวในประเทศ นำนักท่องเที่ยวไทยไปยังต่างประเทศ, บริการแบบเหมารวม, บริการเฉพาะกลุ่ม

ธุรกิจจำหน่ายสินค้าธุรกิจของที่ระลึก

เป็นสินค้าช่วยประชาสัมพันธ์หรือโฆษณาแหล่งท่องเที่ยวสินค้าบางประเภท และเป็นกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ชื่นชอบ ได้แก่ ธุรกิจจำหน่ายสินค้าและบริการแก่นักท่องเที่ยว อาทิ ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ร้านค้าปลอดอากร, ธุรกิจของที่ระลึก อาทิ ธุรกิจจำหน่ายสินค้าที่นักท่องสามารถนำกลับไปยังภูมิลำเนาของตนเองได้

ธุรกิจนันทนาการ

เป็นการประกอบกิจการให้บริการเพื่อความบันเทิงและเพลิดเพลินสำหรับคนเดินทางหรือนักท่องเที่ยวได้แก่


  • ธุรกิจสวนสนุก อาทิสวนสนุก สวนสนุกรูปแบบเฉพาะ
  • ธุรกิจบันเทิง อาทิไนท์คลับ บาร์ ดิสโก้เธค และคาสิโน
  • ธุรกิจการกีฬาเพื่อการท่องเที่ยว อาทิเป็นผู้ชมกีฬา เป็นผู้เล่นกีฬา

ข้อมูลข่าวสารทางการท่องเที่ยว

การให้ข่าวสารการท่องเที่ยวเพื่อการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ทั้งคนในท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้ให้บริการทางการท่องเที่ยว และตัวนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นผู้ใช้บริการทางการท่องเที่ยว อาทิ ข้อมูลข่าวสารและสื่อที่ใช้ในการเผยแพร่ให้แก่คนในท้องถิ่น, ข้อมูลข่าวสารและสื่อที่ใช้ในการเผยแพร่ให้แก่นักท่องเที่ยว

การขยายตัวอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมโรงแรมและบ้านพักตากอากาศ โดยเฉพาะในฮานอย และนครโฮจิมินห์ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่สำคัญ มีโรงแรมเพิ่มขึ้นถึง 1 เท่าในระยะเวลาเพียง 6 ปี ส่วนใหญ่เป็นโรงแรมท้องถิ่นของชาวเวียดนามขณะที่โรงแรมของชาวต่างชาติมีแนวโน้มทรงตัว ทั้งนี้ ในปี 2549 โรงแรมและบ้านพักตากอากาศในฮานอยมีจำนวน 698 แห่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 เป็นของชาวเวียดนาม 683 แห่ง และชาวต่างชาติ 15 แห่งขณะที่ในนครโฮจิมินห์ มีจำนวน 916 แห่ง เป็นของชาวเวียดนาม 897 แห่ง และชาวต่างชาติ 19 แห่ง

รัฐบาลเวียดนามได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เช่น ถนน ขยายเส้นทางการบิน ปรับปรุงโรงแรมและบ้านพักตากอากาศให้ทันสมัย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนเวียดนามเพิ่มขึ้น รวมถึงการมุ่งพัฒนาให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นภาคการผลิตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค (SWOT) ของสินค้าไทย


จุดแข็ง

จุดอ่อน

    • มีทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวที่เป็นสิ่งดึงดูดใจทางการท่องเที่ยว
    • ความมีอัธยาศัยไมตรีที่ดีของคนไทย ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น  “Land of Smile” และการให้บริการแบบไทย ซึ่งเป็นจุดที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในไทย เพราะความเป็นกันเอง มีน้ำใจไมตรี ให้บริการเสมือนเป็นคนในครอบครัว ซึ่งนักท่องเที่ยวจะไม่ค่อยได้รับจากประเทศไหน
    • ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น จังหวัดสุโขทัย จังหวัดอยุธยา มีแหล่งท่องเที่ยว ที่นับว่าเป็นประวัติศาสตร์ของชาติ เป็นแหล่งให้ความรู้ทางการศึกษา
    • ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวที่ไม่สูง ทำให้ผู้มาเที่ยวรู้สึกคุ้มค่าในการมา
    • ความสะดวกสบายในการท่องเที่ยว ทั้งด้านการเดินทางและภาษา เพราะคนไทยสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ และในกรณีสื่อสารไม่ได้ก็มีบริการช่วยเหลือ เช่น บริการของบริษัทโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่ให้บริการแปลภาษาอังกฤษให้กับแท็กซี่ เป็นต้น
    • มีหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบด้านการท่องเที่ยวโดยตรง
    • ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ซึ่งนอกเหนือจากหน่วยงานปกติแล้ว ก็จะมีตำรวจท่องเที่ยวเพื่อดูแลและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ
            • การกระจายตัวของนักท่องเที่ยวยังคงกระจุกตัวอยู่ใน กรุงเทพฯ และเมืองหลัก และแออัด ในแหล่งท่องเที่ยว
            • มาตรฐานสินค้าและบริการ รวมถึงคุณภาพของสินค้าทางการท่องเที่ยว
            • การขาดแคลนศูนย์บริการข้อมูลด้านการท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยว
            • การขาดการดูแลรักษาทรัพยากรด้านการท่องเที่ยว ส่งผลให้ไม่เกิดการเพิ่มมูลค่าสินค้าการ ท่องเที่ยว(Valued Added) ภายในประเทศ
            • การขาดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ

                โอกาส

                อุปสรรค

                    • มีจุดที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบ ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของอนุภูมิภาค ลุ่มแม่น้ำโขงทางอากาศ โดยผู้เดินทางจากนานาประเทศที่เข้าสู่ภูมิภาคส่วนใหญ่จะต้องผ่านประเทศไทย และมีข้อได้เปรียบของระบบการจัดการสินค้าท่องเที่ยวของประเทศไทยที่มี ประสิทธิภาพมากกว่าประเทศ อื่นในภูมิภาค
                    • การเปิดเสรีสินค้าบริการ และลงทุนในอาเซียน เพื่อการปรับตัวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียน (AEC) โดยต้นปี 2553 อัตราภาษีเป็นศูนย์ มีการนำร่องลดภาษีสินค้ากว่า 8,000 รายการเป็นศูนย์ หวังให้ผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์ เพิ่มโอกาสทางการค้า การลงทุน ในการเจาะตลาดอาเซียน และอาเซียนกับตลาดโลก
                    • สถานภาพทางการท่องเที่ยวของประเทศไทยในตลาดโลก มีสถานที่จัดงานการท่องเที่ยว ระดับโลก เช่น งานพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ จ.เชียงใหม่ ที่จัดไปแล้วในปี 2549 งานชมสวนราชพฤกษ์ เทศกาลดอกไม้ล้านดอก เป็นต้น
                    • การเปิดสนามบินสุวรรณภูมิ และการให้บริการสายการบินราคาถูก (Low cost airline) ทำให้ การท่องเที่ยวในประเทศมีราคาถูกลง และมีความสะดวกมากขึ้น
                          • อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีภาวะการแข่งขันสูงและคู่แข่งมีชื่อเสียงที่เข้มแข็ง  ประเทศ คู่แข่งขันด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม
                          • ต้นทุนผู้ประกอบการด้านอุสาหกรรมท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
                          • การระบาดของโรคไข้หวัดนก, ไข้หวัด 2009 และความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดน ภาคใต้ เป็นปัจจัยสำคัญที่ล่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว
                          • ผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมือง ทำให้สถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวซบเซา จำนวนนักท่องเที่ยว และรายได้จากการท่องเที่ยวลดลง

                          กลยุทธ์การตลาดสำหรับสินค้าไทย  
                          ประเทศเวียดนามนอกจากจะเป็นตลาดท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูงแล้วเวียดนามยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ในอินโดจีนที่มีบทบาทสำคัญมากขึ้นตามลำดับโดยเฉพาะหลังจากเกิดเหตุการณ์สึนามิกระแสการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศมีแนวโน้มเปลี่ยนปลายทางเป้าหมายจากประเทศไทยและอินโดนีเซียไปยังเวียดนามแทน

                          เวียดนามกำลังเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่ได้รับความสนใจอย่างสูงจากนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวในด้านศิลปวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานของหลายเชื้อชาติโบราณสถานที่เก่าแก่กว่าพันปีและแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ทั้งชายทะเล น้ำตก และป่าเขตร้อนสำหรับการวางแผนการเข้าตลาดด้านการท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่องในเวียดนาม ทั้ง 3 นคร  สามารถสรุปได้พอสังเขปดังนี้

                          แผนระยะสั้น นักธุรกิจหรือนักลงทุน สามารถดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่องได้ที่นครโฮจิมินห์  และนครไฮฟอง เนื่องจากธุรกิจนี้จะเป็นการให้บริการแก่ลูกค้า ในระยะเริ่มต้นนั้นนักธุรกิจจะต้องเน้นที่การให้บริการที่ทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ เพราะการบริการของไทย มีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาผู้บริโภคของชาวเวียดนาม  ลักษณะของสินค้าและบริการต้องมีสิ่งที่เด่นกว่าคู่แข่งขันที่มีอยู่เดิม  อีกทั้งจะต้องทำการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้นักท่องเที่ยวหรือลูกค้ารู้จักมากขึ้น โดยจัดทำแผ่นพับ โบว์ชัวร์ วางไว้ตามโรงแรม ที่พักต่างๆ หรือทำการประชาสัมพันธ์ผ่านทางเว็บไซด์ หรือการลงโฆษณาในนิตยสาร

                          ดังนั้นการพิจารณาแผนการตลาดระยะสั้น ควรพิจารณาในด้านการให้บริการเป็นหลัก พร้อมทั้งการทำประชาสัมพันธ์ เพื่อเป็นฐานของกิจการให้มีความมั่นคง และปัจจัยที่สำคัญ เนื่องจากชาวเวียดนาม มีพฤติกรรมชอบการอ่าน การเลือกซื้อสินค้า และบริการที่บอกต่อๆ กัน ทำให้ง่ายต่อการทำตลาดในระยะต่อไป

                          แผนระยะกลาง ช่วงเวลา 3-5 ปี เพื่อที่จะสนับสนุนและทำให้เป็น Long term strategy ในช่วงนี้จะเป็นการทำการตลาดให้แตกต่างจากคู่แข่งขัน หาจุดที่สำคัญที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นด้านราคา หรือการให้บริการ ซึ่งนำมาปรับการให้บริการ เพื่อให้ลูกค้าได้สิ่งที่ดีกว่า โดยร่วมมือกับธุรกิจต่อเนื่องที่เกี่ยวข้อง เช่น ร้านอาหาร การให้บริการนวดสปา ฯลฯ มีการจัดรูปแบบการนำเที่ยวให้มีความหลากหลาย เช่น

                          จัดท่องเที่ยวเชิงการกีฬา โดยนำเที่ยวมาเล่นกอล์ฟ ซึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เป็นต่างชาติ ประเทศญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน เมื่อจัดมาเล่นที่เวียดนามแล้ว ในครั้งต่อไปก็อาจจัดไปที่ประเทศไทยบ้างซึ่งค่าใช้จ่ายก็อาจจะถูกกว่า

                          จัดท่องเที่ยวเชิงการผจญภัย สำหรับนักท่องเที่ยวหนุ่มสาว หรือผู้ที่ชอบการท่องเที่ยวแบบการผจญภัย มีการเดินทางแบบสมบุกสมบัน ฯลฯ

                          แผนระยะยาว ช่วงเวลา 6-10 ปี เป็นการทำในช่วง Long term ซึ่งในช่วงนี้จะเป็นการขยายตลาดออกไปมากขึ้น ขยายไปสู่ตลาดยุโรป อเมริกา เป็นการสร้าง Connection กับบริษัทต่างๆ เนื่องจากแนวโน้มของการท่องเที่ยวจากชาวยุโรป และอเมริกา จะเข้ามาในแถบเอเชียมากขึ้น มีการเพิ่มสายการบิน เที่ยวบินเข้ามามาก จึงเป็นโอกาสในการที่จะติดต่อกับบริษัททางยุโรป และอเมริกา เพื่อที่จะดึงนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาท่องเที่ยวเวียดนาม และมีการแวะพักท่องเที่ยวในประเทศไทยด้วย อีกทั้งจัดให้มีการทำท่องเที่ยวในเชิงธุรกิจ นำมางาน Exhibition ต่างๆ หรือด้านการศึกษา เพื่อทำการต่อยอดต่อไป

                          ร่วมมือและสนับสนุนหน่วยงานราชการให้มีการโฆษณาการท่องเที่ยวของประเทศเวียดนาม โดยให้รัฐบาลจัดทำสื่อโฆษณาโดยใช้คนที่มีชื่อเสียง หรือดาราของเวียดนามมาเป็นพรีเซนเตอร์ หรือมีการสร้างภาพยนตร์ละครที่สร้างขึ้นโดยใช้สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญเป็นฉาก เพื่อให้เห็นถึงความสวยงามของประเทศ ทำให้เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้

                          ในระยะยาวนักธุรกิจหรือนักลงทุน สามารถดำเนินธุรกิจเชื่อมต่อเข้าไปในนครเกิ่นเธอ หรือเมืองอื่นๆ ที่มีการพัฒนาด้านต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น มีการการพัฒนาในด้านสาธารณูปโภคต่างๆ แล้ว มีถนนหนทางที่มีความสะดวกในการเดินทาง  ก็สามารถหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อชักชวนนักท่องเที่ยว หรือลูกค้าเดิม กลับมาท่องเที่ยวอีกในสถานที่แห่งใหม่





                          ไม่มีความคิดเห็น:

                          แสดงความคิดเห็น