ที่มา http://www.oknation.net/blog/print.php?id=496064
ปี พ.ศ.2551 เป็นปีที่ทั่วโลก โดยเฉพาะองค์การสหประชาชาติได้พูดถึงสภาวะโลกร้อนหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีการรณรงค์ทั่วโลกเพื่อต่อสู้กับการเกิดวิกฤติสิ่งแวดล้อม แต่พอปลายปี 2551 ก็เกิดภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการล่มสลายทางการเงินที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วก็ลามไปทั้งโลก บทความนี้จะพูดถึงวิกฤติเศรษฐกิจ ที่มีผลต่อวิกฤติสิ่งแวดล้อมและโอกาสที่จะทำให้เกิดสิ่งดีๆ ไ ด้อย่างไร
ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เรียกได้ว่าเป็นวิกฤติสิ่งแวดล้อม(environmental crisis) ก็คือสภาวะโลกร้อน (global warming) จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ตัวการสำคัญก็คือก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ได้มาจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล ไม้และถ่าน ภาวะเรือนกระจกทำให้โลกร้อนขึ้น เป็นผลทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น หลายเมืองมีโอกาสจมอยู่ใต้น้ำ ทำให้เกิดลมพายุที่แรง ฝนตกหนัก นอกจากนี้การตัดไม้ทำลายป่าเพื่อการทำเกษตร ขยายเขตที่อยู่อาศัย ทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) ของพืชและสัตว์หายไปรวมทั้งหลายชนิดสูญพันธุ์ไป
ระบบนิเวศวิทยาบางอันถูกทำลายจนไม่สามารถย้อนกลับได้ มีการผลาญทรัพยากรของโลก ไม่ว่าทะเลสาบ แม่น้ำ ทะเล จากการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืนและจากปัญหาภาวะมลพิษของอากาศในเมือง ของแม่น้ำลำธาร ของดินที่ใช้ในการเพาะปลูก สาเหตุหลักของภาวะมลพิษก็มาจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล โรงงานอุตสาหกรรมปล่อยสารพิษออกมา ทั้งในรูปของอากาศ น้ำ และของแข็ง
องค์การสหประชาชาติได้มีความพยายามที่จะแก้ปัญหาโลกร้อนเพราะ เป็นปัญหาเร่งด่วนและถือว่าเป็นปัญหาที่มนุษย์ชาติกำลังเผชิญร่วมกัน ต้องทำอะไรที่เป็นกอบเป็นกำเพื่อยับยั้งการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ลดลง 60% ของปริมาณที่ทั่วโลกปล่อยออกมา หากต้องการอยู่รอด ไม่ว่าจะเป็นการปลูกป่า ปลูกต้นไม้ ลดการใช้พลังงาน ที่เป็นต้นตอของปัญหา หันไปใช้พลังงานที่สะอาด (green energy) นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ถือว่าการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดที่โลกเผชิญทุกวันนี้
ช่วงกลางปี 2551 ราคาน้ำมันดิบในโลกได้พุ่งสูงขึ้นจนราคาเกือบ 150 เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อบาเรล ทำให้ผู้คนตกอกตกใจกันทั่วโลกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ แล้วราคาน้ำมันดิบก็เริ่มตก จนปัจจุบันนี้ราคาต่ำกว่า 50 เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อบาเรล ผู้คนก็โล่งอกเพราะภาวะเงินเฟ้อจะได้ลดลง แต่แล้วพอปลายปีก็เกิดวิกฤติการเงินในประเทศสหรัฐอเมริกา จนก่อให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจลามไปทั่วทั้งโลก
วิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา ทุกวันนี้ในประเทศสหรัฐอเมริกาพูดแต่ปัญหาเศรษฐกิจ(economics) ไม่มีใครพูดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม (environment) ว่าไปแล้วการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ (economic crisis) ครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นโอกาสและขณะเดียวกันก็มีทั้งผลดีและผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ
ข้อดี ประการแรกจะมีการลดการใช้พลังงาน โดยเฉพาะการเดินทางโดยรถยนต์ โดยเครื่องบิน เพื่อธุระและเพื่อการท่องเที่ยว มีการลดการผลิตสินค้าต่างๆลง เพราะว่าผู้คนมีกำลังซื้อน้อยลง เครื่องจักรต่างๆ ก็ใช้น้อยลง นั่นคือปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่จะถูกปล่อยออกมาก็ลดลง
ประการต่อมาการก่อสร้างบ้านอาคาร ถนนก็ต้องลดลงเพราะว่าขาดเงินทุน โดยเฉพาะการตัดถนนเข้าไปในเขตป่าในประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย ผลดีก็คือการตัดไม้ทำลายป่าจะน้อยลงเพราะว่าเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าถนนไปถึงไหน ป่าไม้ในแถบนั้นก็จะหายไป พืชและสัตว์ก็มีโอกาสรอดมากขึ้น จากการที่อยู่อาศัยของมันไม่ถูกทำลาย ปริมาณของคาร์บอนไดออกไซด์ก็จะไม่เพิ่มมากมาย
ข้อดีอีกประการหนึ่งก็คือ มีผู้คนหลายคนพูดว่าการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจนี้ ก็เพราะว่าเราพูดถึง คำนึงถึง ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมน้อยเกินไป เราเปลี่ยนทรัพยากรของโลกไปเป็นเงิน โดยเฉพาะน้ำมันดิบ ป่าไม้ แร่ธาตุ จนทำให้เงินล้นธนาคาร แล้วธนาคารก็เอาเงินไปปล่อยกู้ โดยผู้กู้ไม่มีกำลังความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและต้นทุน เป็นเหตุให้เกิดการล่มสลายของธนาคาร ตลาดหุ้น เพราะว่าการพัฒนาเศรษฐกิจที่ผ่านมานั้น ขาดความสมดุลกับสิ่งแวดล้อม
ข้อเสียของการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจต่อวิกฤติสิ่งแวดล้อม ประการแรกทุกคนจะละเลยปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา ปัญหาปากท้องเป็นปัญหามากกว่าปัญหาสิ่งแวดล้อม โรงงานชุมชนก็จะไม่ให้ความสนใจและดูแลสิ่งแวดล้อม ดังนั้นปัญหาอากาศเสีย น้ำเสีย ดินเสีย จะเพิ่มมากขึ้น เพราะมองว่าสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย
ประการที่สองเงินทุนในการรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมจะขาดแคลนทั้งในภาครัฐ องค์กรเอกชน และภาคประชาชนในชุมชน ในหมู่บ้าน ประการที่สามจะขาดแคลนงบประมาณ
ในโครงการพลังงานสะอาด (clean energy project) เช่นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานคลื่น พลังงานความร้อนใต้พิภพ ยิ่งราคาน้ำมันดิบลดลงก็จะยิ่งทำให้โครงการแบบนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและเอกชนน้อยลง
ข้อเสียอีกข้อ ก็คือ จะมีการบุกรุกป่าบริเวณใกล้ๆ ที่ชุมชนมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนา อันเกิดจากคนตกงานที่โรงงานในเมืองเลิกจ้าง ก็ต้องกลับไปบ้านในชนบท คนที่ไม่มีที่ดินของตัวเองหรือแม้แต่ที่ดินที่จะเช่าก็ต้องบุกรุกที่ป่าเพื่อความอยู่รอดของชีวิต
วิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ เป็นโอกาสที่รัฐบาลจะได้จัดทำโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว (green intrastructure) เช่นสร้างรถไฟที่มีความเร็วสูง เพื่อการเดินทางแทนรถประจำทาง เครื่องบินในระยะทางที่ไม่ไกลจนเกินไป ทำรถไฟฟ้าที่เป็นระบบขนส่งมวลชน ไม่ว่าบนดินและใต้ดิน เพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว
ควรมีการลดหย่อนภาษี หรือให้เงินสนับสนุนในการที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อผลิตไฟฟ้าและน้ำร้อน หรือเอาไปทำการอบพืชผลทางการเกษตร ควรจะมีการเพิ่มงบประมาณในการศึกษาพลังงานที่นำกลับมาใช้ใหม่ (renewable energy) เช่นพลังงานที่ได้จากก๊าซไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงโดยตรง หรือเซลล์เชื้อเพลิง (fuel cell) เอทิลแอลกอฮอลล์และเชื้อเพลิงชีวภาพ (biofuel) เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ที่ราคาไม่แน่นอนและไม่สามารถนำกลับมาได้
ควรจะถือโอกาสให้ความรู้ประชาชนทั่วไปว่า เศรษฐกิจและก๊าซเรือนกระจกคือเรื่องเดียวกัน เศรษฐกิจที่ยั่งยืนต้องมีสิ่งแวดล้อมเป็นพื้นฐานและต้องให้โลกนี้สมดุล การป้องกันและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นจุดแข่งขันกันในศตวรรษที่ 21 นี้
รวมทั้งปลุกประชาชนให้หันมาใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก รีไซเคิลกระป๋อง ขวด โลหะฯลฯ ลดปริมาณขยะ ประหยัดน้ำประหยัดไฟ ลดการบริโภคที่ไม่จำเป็นแก่การดำรงชีวิต
ได้เวลาแล้วที่จะต้องจัดอันดับความสำคัญ และเผชิญกับความจริงที่ว่า การทำลายสิ่งแวดล้อม สามารถคุกคามเราได้ เช่นเดียวกันกับการล่มสลายทางเศรษฐกิจ
คงเห็นแล้วว่าวิกฤติเศรษฐกิจและวิกฤติสิ่งแวดล้อมนั้นมีความสัมพันธ์กัน การเกิดวิกฤติในครั้งนี้เป็นการสอนเราให้เคารพธรรมชาติโดยเฉพาะสมดุลของธรรมชาติ มนุษย์เราเป็นส่วนหนึ่งของโลกไม่ใช่เจ้าของโลก และควรจะใช้วิกฤตินี้เป็นโอกาสในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม หากปราศจากการป้องกันธรรมชาติและทำให้ธรรมชาติยั่งยืน เราและสัตว์อื่นๆ ก็ไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้
จริงอยู่เงินทำให้โลกเดินต่อไปได้ แต่หากไม่มีโลกแล้วจะเดินต่อไปอย่างไร
ผู้เขียน ประศักดิ์ ถาวรยุติการต์
ที่มา วารสารเชียงใหม่ปริทัศน์ ปีที่ 10 ฉบับที่ 108 มีนาคม 2552
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น