head ads

วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2556

วิกฤติเศรษฐกิจ – วิกฤติสิ่งแวดล้อม


ที่มา http://www.oknation.net/blog/print.php?id=496064

                ปี พ.ศ.2551 เป็นปีที่ทั่วโลก โดยเฉพาะองค์การสหประชาชาติได้พูดถึงสภาวะโลกร้อนหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  มีการรณรงค์ทั่วโลกเพื่อต่อสู้กับการเกิดวิกฤติสิ่งแวดล้อม  แต่พอปลายปี 2551 ก็เกิดภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ  โดยเฉพาะการล่มสลายทางการเงินที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วก็ลามไปทั้งโลก บทความนี้จะพูดถึงวิกฤติเศรษฐกิจ ที่มีผลต่อวิกฤติสิ่งแวดล้อมและโอกาสที่จะทำให้เกิดสิ่งดีๆ ไ ด้อย่างไร

                ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เรียกได้ว่าเป็นวิกฤติสิ่งแวดล้อม(environmental crisis) ก็คือสภาวะโลกร้อน (global warming) จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ตัวการสำคัญก็คือก๊าซเรือนกระจก  โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ได้มาจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล ไม้และถ่าน  ภาวะเรือนกระจกทำให้โลกร้อนขึ้น  เป็นผลทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย  ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น  หลายเมืองมีโอกาสจมอยู่ใต้น้ำ ทำให้เกิดลมพายุที่แรง ฝนตกหนัก นอกจากนี้การตัดไม้ทำลายป่าเพื่อการทำเกษตร  ขยายเขตที่อยู่อาศัย  ทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) ของพืชและสัตว์หายไปรวมทั้งหลายชนิดสูญพันธุ์ไป
                ระบบนิเวศวิทยาบางอันถูกทำลายจนไม่สามารถย้อนกลับได้ มีการผลาญทรัพยากรของโลก  ไม่ว่าทะเลสาบ  แม่น้ำ  ทะเล  จากการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืนและจากปัญหาภาวะมลพิษของอากาศในเมือง  ของแม่น้ำลำธาร  ของดินที่ใช้ในการเพาะปลูก  สาเหตุหลักของภาวะมลพิษก็มาจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล  โรงงานอุตสาหกรรมปล่อยสารพิษออกมา  ทั้งในรูปของอากาศ  น้ำ  และของแข็ง
                องค์การสหประชาชาติได้มีความพยายามที่จะแก้ปัญหาโลกร้อนเพราะ เป็นปัญหาเร่งด่วนและถือว่าเป็นปัญหาที่มนุษย์ชาติกำลังเผชิญร่วมกัน ต้องทำอะไรที่เป็นกอบเป็นกำเพื่อยับยั้งการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ลดลง 60%  ของปริมาณที่ทั่วโลกปล่อยออกมา  หากต้องการอยู่รอด ไม่ว่าจะเป็นการปลูกป่า  ปลูกต้นไม้ ลดการใช้พลังงาน ที่เป็นต้นตอของปัญหา หันไปใช้พลังงานที่สะอาด (green energy) นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ถือว่าการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดที่โลกเผชิญทุกวันนี้
                ช่วงกลางปี 2551  ราคาน้ำมันดิบในโลกได้พุ่งสูงขึ้นจนราคาเกือบ 150 เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อบาเรล  ทำให้ผู้คนตกอกตกใจกันทั่วโลกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ  แล้วราคาน้ำมันดิบก็เริ่มตก จนปัจจุบันนี้ราคาต่ำกว่า 50 เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อบาเรล ผู้คนก็โล่งอกเพราะภาวะเงินเฟ้อจะได้ลดลง แต่แล้วพอปลายปีก็เกิดวิกฤติการเงินในประเทศสหรัฐอเมริกา จนก่อให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจลามไปทั่วทั้งโลก
                วิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา  ทุกวันนี้ในประเทศสหรัฐอเมริกาพูดแต่ปัญหาเศรษฐกิจ(economics) ไม่มีใครพูดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม (environment) ว่าไปแล้วการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ (economic crisis) ครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นโอกาสและขณะเดียวกันก็มีทั้งผลดีและผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ
                ข้อดี ประการแรกจะมีการลดการใช้พลังงาน  โดยเฉพาะการเดินทางโดยรถยนต์  โดยเครื่องบิน  เพื่อธุระและเพื่อการท่องเที่ยว  มีการลดการผลิตสินค้าต่างๆลง เพราะว่าผู้คนมีกำลังซื้อน้อยลง  เครื่องจักรต่างๆ ก็ใช้น้อยลง  นั่นคือปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่จะถูกปล่อยออกมาก็ลดลง
                ประการต่อมาการก่อสร้างบ้านอาคาร ถนนก็ต้องลดลงเพราะว่าขาดเงินทุน  โดยเฉพาะการตัดถนนเข้าไปในเขตป่าในประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย   ผลดีก็คือการตัดไม้ทำลายป่าจะน้อยลงเพราะว่าเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าถนนไปถึงไหน  ป่าไม้ในแถบนั้นก็จะหายไป พืชและสัตว์ก็มีโอกาสรอดมากขึ้น จากการที่อยู่อาศัยของมันไม่ถูกทำลาย  ปริมาณของคาร์บอนไดออกไซด์ก็จะไม่เพิ่มมากมาย
                ข้อดีอีกประการหนึ่งก็คือ  มีผู้คนหลายคนพูดว่าการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจนี้ ก็เพราะว่าเราพูดถึง  คำนึงถึง  ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมน้อยเกินไป เราเปลี่ยนทรัพยากรของโลกไปเป็นเงิน  โดยเฉพาะน้ำมันดิบ ป่าไม้ แร่ธาตุ จนทำให้เงินล้นธนาคาร  แล้วธนาคารก็เอาเงินไปปล่อยกู้  โดยผู้กู้ไม่มีกำลังความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและต้นทุน  เป็นเหตุให้เกิดการล่มสลายของธนาคาร  ตลาดหุ้น  เพราะว่าการพัฒนาเศรษฐกิจที่ผ่านมานั้น ขาดความสมดุลกับสิ่งแวดล้อม

                ข้อเสียของการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจต่อวิกฤติสิ่งแวดล้อม ประการแรกทุกคนจะละเลยปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา  ปัญหาปากท้องเป็นปัญหามากกว่าปัญหาสิ่งแวดล้อม  โรงงานชุมชนก็จะไม่ให้ความสนใจและดูแลสิ่งแวดล้อม  ดังนั้นปัญหาอากาศเสีย  น้ำเสีย  ดินเสีย จะเพิ่มมากขึ้น เพราะมองว่าสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย

                ประการที่สองเงินทุนในการรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมจะขาดแคลนทั้งในภาครัฐ  องค์กรเอกชน  และภาคประชาชนในชุมชน  ในหมู่บ้าน  ประการที่สามจะขาดแคลนงบประมาณ

                ในโครงการพลังงานสะอาด (clean energy project) เช่นพลังงานแสงอาทิตย์  พลังงานลม  พลังงานคลื่น พลังงานความร้อนใต้พิภพ   ยิ่งราคาน้ำมันดิบลดลงก็จะยิ่งทำให้โครงการแบบนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและเอกชนน้อยลง

                ข้อเสียอีกข้อ ก็คือ จะมีการบุกรุกป่าบริเวณใกล้ๆ ที่ชุมชนมากขึ้น  โดยเฉพาะในประเทศด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนา อันเกิดจากคนตกงานที่โรงงานในเมืองเลิกจ้าง ก็ต้องกลับไปบ้านในชนบท คนที่ไม่มีที่ดินของตัวเองหรือแม้แต่ที่ดินที่จะเช่าก็ต้องบุกรุกที่ป่าเพื่อความอยู่รอดของชีวิต

                วิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ เป็นโอกาสที่รัฐบาลจะได้จัดทำโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว (green intrastructure) เช่นสร้างรถไฟที่มีความเร็วสูง  เพื่อการเดินทางแทนรถประจำทาง  เครื่องบินในระยะทางที่ไม่ไกลจนเกินไป  ทำรถไฟฟ้าที่เป็นระบบขนส่งมวลชน ไม่ว่าบนดินและใต้ดิน เพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว
                ควรมีการลดหย่อนภาษี หรือให้เงินสนับสนุนในการที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อผลิตไฟฟ้าและน้ำร้อน หรือเอาไปทำการอบพืชผลทางการเกษตร ควรจะมีการเพิ่มงบประมาณในการศึกษาพลังงานที่นำกลับมาใช้ใหม่ (renewable energy) เช่นพลังงานที่ได้จากก๊าซไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงโดยตรง หรือเซลล์เชื้อเพลิง (fuel cell) เอทิลแอลกอฮอลล์และเชื้อเพลิงชีวภาพ (biofuel) เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ที่ราคาไม่แน่นอนและไม่สามารถนำกลับมาได้

                ควรจะถือโอกาสให้ความรู้ประชาชนทั่วไปว่า เศรษฐกิจและก๊าซเรือนกระจกคือเรื่องเดียวกัน  เศรษฐกิจที่ยั่งยืนต้องมีสิ่งแวดล้อมเป็นพื้นฐานและต้องให้โลกนี้สมดุล  การป้องกันและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นจุดแข่งขันกันในศตวรรษที่ 21 นี้

                รวมทั้งปลุกประชาชนให้หันมาใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก รีไซเคิลกระป๋อง ขวด โลหะฯลฯ ลดปริมาณขยะ ประหยัดน้ำประหยัดไฟ  ลดการบริโภคที่ไม่จำเป็นแก่การดำรงชีวิต

                ได้เวลาแล้วที่จะต้องจัดอันดับความสำคัญ  และเผชิญกับความจริงที่ว่า การทำลายสิ่งแวดล้อม สามารถคุกคามเราได้ เช่นเดียวกันกับการล่มสลายทางเศรษฐกิจ

                คงเห็นแล้วว่าวิกฤติเศรษฐกิจและวิกฤติสิ่งแวดล้อมนั้นมีความสัมพันธ์กัน การเกิดวิกฤติในครั้งนี้เป็นการสอนเราให้เคารพธรรมชาติโดยเฉพาะสมดุลของธรรมชาติ มนุษย์เราเป็นส่วนหนึ่งของโลกไม่ใช่เจ้าของโลก  และควรจะใช้วิกฤตินี้เป็นโอกาสในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม  หากปราศจากการป้องกันธรรมชาติและทำให้ธรรมชาติยั่งยืน เราและสัตว์อื่นๆ ก็ไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้

                จริงอยู่เงินทำให้โลกเดินต่อไปได้  แต่หากไม่มีโลกแล้วจะเดินต่อไปอย่างไร

   
 ผู้เขียน ประศักดิ์  ถาวรยุติการต์
ที่มา  วารสารเชียงใหม่ปริทัศน์  ปีที่ 10 ฉบับที่  108 มีนาคม 2552



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น