http://www.positioningmag.com/magazine/details.aspx?id=59614
ซึ่งในแต่ละปี เด็กอเมริกันสามารถทำให้เกิดการใช้สอยกว่า 500,000 ล้านดอลล่าร์ ซึ่งนับเป็นมูลค่ามหาศาล จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมบริษัทต่างๆได้สร้างโฆษณาเพื่อจูงใจเด็กโดยเฉพาะ เช่นแมคโดนัลด์ ทำชุดแฮปปี้มีลที่มีของเล่นแถมมากับอาหาร หรือ การสร้างสนามเด็กเล่นในร้านแมคโดนัลด์ ที่แมคโดนัลด์เน้นการทำการตลาดกับเด็กเพราะเห็นว่า หากเด็กๆต้องการเข้ามาทานอาหารที่ร้านแมคโดนัลด์ เด็กๆก็ต้องให้คุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ปกครองพามานั่นก็หมายความว่าเราได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกสองคน
ความสำเร็จของแมคโดนัลด์ทำให้เกิดกระแสการโฆษณาสินค้าที่พุ่งเป้าไปที่เด็กโดยตรง ซึ่งทุกวันนี้บริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่ก็มีแผนกเด็กโดยเฉพาะ และบริษัทการตลาดบางแห่งก็ตั้งขึ้นมาเพื่อเจาะตลาดเด็กอย่างเดียว ไม่น่าเชื่อว่าอันที่จริงแล้ว นักวิจัยได้ค้นพบว่าเด็กสามารถจำโลโก้เส้นโค้งสีทองของแมคโดนัลด์ได้ก่อนชื่อตัวเองซะอีก การโฆษณาที่พุ่งเป้าไปที่เด็กนั้น จะเปลี่ยนให้เด็กเป็นเซลล์แมนตัวน้อยๆที่ประสิทธิภาพสูงมาก เพราะพวกเขาเป็นผู้ที่รู้จักพ่อแม่ของเขาดีที่สุด รู้จุดอ่อนของพ่อแม่ว่าจะต้องทำอย่างไร ถึงจะซื้อสินค้าที่ต้องการให้
ข้อสรุป ทำไมตลาดเด็กจึงทรงพลัง
1.เด็กถือเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สามารถปลูกฝังแบรนด์ได้ดี ซึมซับได้ผลเร็ว มีผลต่อการสร้างแบรนด์ในระยะยาว
2.พลังของเด็กสามารถเชื่อมต่อ หรือกระตุ้นยังกลุ่มพ่อแม่หรือผู้บริโภคอื่นๆ ทำให้เกิดพลังการจับจ่ายมากขึ้น
3.กลุ่มเด็กทำให้แบรนด์ดูสดใส กระฉับกระเฉง และทันสมัยมากขึ้น
4.เด็กสามารถสะท้อนไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ เพื่อเป็นโจทย์ให้ผู้ผลิตสินค้านำมาปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดใหม่ๆ
5.กลุ่มเด็กมีความต้องการที่หลากหลาย ทำให้สามารถสร้างโปรดักส์ใหม่ๆ หรือกระตุ้นการใช้จ่ายได้มากขึ้น
ข้อควรระวังต่อการทำตลาดเด็ก
1.การสื่อสารด้านการตลาดของเด็ก จำเป็นต้องเลือกใช้วิธีง่ายๆ ไม่ซับซ้อน หรือข้อความการโฆษณาที่เข้าใจง่ายๆ หรือสนุกๆ เช่น มีตัวการ์ตูนในการสื่อสาร เพราะเด็กมักจะเลือกรับการสื่อสารที่เข้าใจง่ายๆ และมีการตัดสินใจบริโภคจากการรับข้อมูลที่ซ้ำไปซ้ำมา
2.สินค้าบริโภคสำหรับเด็ก เช่น ขนมขบเคี้ยว ไอศกรีม ฟาสต์ฟู้ดส์ ปัจจุบันมีผลต่อปัญหาสุขภาพของเด็ก ทำให้เกิดโรคอ้วน จึงมักเป็นสินค้าที่พ่อแม่ผู้ปกครองมักต่อต้านการบริโภค ดังนั้นผู้ผลิตจึงต้องหนทางในการปรับปรุงสินค้าเพื่อสุขภาพของเด็ก
3.การตลาดเด็ก จำเป็นต้องคำนึงถึงพ่อแม่ผู้ปกครองด้วย หากทำแคมเปญใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็กต้องมีแผนรองรับผู้ปกครองเด็กด้วย หรือผู้ผลิตสินค้า อย่างเช่นเกมเครื่องเล่น ควรจะมีวิธีเล่นที่พ่อแม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้ด้วย
พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงของเด็ก
1. ข้อมูลทางด้านพฤติกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ พบว่า เด็กร้อยละ 50 ของประชากรในประเทศไทย หรือในอเมริกา ยุโรป อายุเฉลี่ย 8 ขวบ เปลี่ยนจากการวิ่งเล่นกลางแจ้งมาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ การทำตลาดกับเด็กยุคใหม่จึงควรมีช่องทางผ่านเว็บไซต์ เพื่อเกิดการรับรู้ของโลก
2. การบริโภคเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม ยังเป็นพฤติกรรมการบริโภคที่เติบโตสูงสุด ปัจจุบันกลุ่มที่เป็นเด็กในจำนวนเด็กทั่วโลกมีสัดส่วนถึง 40% สูงกว่าการบริโภคโดยเฉลี่ยของประชากรทุกกลุ่ม สินค้าน้ำอัดลมจึงยังเป็นสินค้าที่สามารถสร้างมูลค่ากับเด็กได้อย่างมาก
มูลค่าตลาด
ปัจจุบันมูลค่าตลาดเด็กยังมีการวิจัยถึงมูลค่ารวมที่ชัดเจน มักจะวิจัยหรือประมาณการเป็นเซ็กเมนต์สินค้า เช่น ตลาดนมผงเด็ก ตลาดผ้าอ้อม ตลาดเสื้อผ้าเด็ก ซึ่งแต่ละประเภทสินค้าจะมีมูลค่าประมาณพันกว่าล้านบาท ดังนั้นถ้าวิเคราะห์โดยภาพรวมมูลค่าตลาดเด็ก จึงถูกประมาณไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น