ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในเวียดนาม
http://122.155.9.68/talad/index.php/vietnam/sector/consumer-productsอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค วิเคราะห์ศักยภาพในกลุ่มธุรกิจ อาหาร ขนมขบเคี้ยว สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เครื่องสำอางค์ ยารักษาโรค รองเท้าและผลิตภัณฑ์หนัง
อุปสงค์อุตสาหกรรมอาหารในประเทศเวียดนาม
ในส่วนของอุตสาหกรรมอาหารจะพิจารณาในหัวข้อสำคัญ ดังต่อไปนี้
- ศักยภาพตลาดของประเทศเวียดนามถ้าพิจารณาในด้านศักยภาพตลาดของเวียดนามนั้นนับว่ามีสูง เพราะเวียดนามมีประชากรประมาณ 87.3 ล้านคน ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่ มีอัตราการเติบโตของ GDP ของปี 2009 เท่ากับ 5.3% ประชากรมีรายได้ต่อหัว 1,024 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี นับว่าเป็นประเทศที่มีอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจดีประเทศหนึ่ง และประชากรมีรายได้ต่อหัวพอสมควร
- นโยบายที่ส่งเสริมการค้าการลงทุนในประเทศเวียดนามสำหรับประเทศเวียดนาม การปกครองของประเทศใช้ระบอบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม มีการส่งเสริมการค้าการลงทุนผ่านองค์กรต่างๆ เช่น ASEAN, FTA นโยบายรัฐบาลประเทศไทยนั้นก็ส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหาร โดยประเทศไทยได้ประกาศนโยบายด้านอาหารและอุตสาหกรรมเกษตรในการเป็น "ครัวของโลก" เมื่อปี 2546 รัฐบาลไทยมีนโยบายเปิดกว้างทางการค้าและส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารเรื่อยมาจนปัจจุบัน
- ศักยภาพของอุตสาหกรรมไทยประเทศไทยมีรากฐานการผลิตที่เข้มแข็งกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน บริษัทผู้แปรรูปอาหารรายใหญ่เกือบทั้งหมด เป็นผู้ส่งออกและโรงงานแปรรูปส่วนใหญ่ตั้งอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบสำหรับตลาดส่งออกของไทยในช่วงเดือน ม.ค.- ส.ค.2552 พบว่าการส่งออกไปยังตลาดหลัก เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และจีน ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยที่ญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 4.66 สินค้าหลักได้แก่ ไก่แปรรูป กุ้งแปรรูป และกุ้งแช่เย็น/แช่แข็ง ในขณะที่ตลาดสหรัฐฯเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.32 สินค้าหลัก ได้แก่ กุ้งแช่เย็น/แช่แข็ง กุ้งกระป๋อง และปลาทูน่า และตลาดจีนขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.74 สินค้าหลัก ได้แก่ มันสำปะหลัง ฝานและทุเรียนสด ในขณะที่การส่งออกไปยังตลาดอื่นๆปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดอาเซียนลดลงร้อยละ 25.54 ตลาดตะวันออกกลางลดลงร้อยละ 18.96 ตลาดสหภาพยุโรปลดลงร้อยละ 15.49 ตลาดออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ลดลงร้อยละ 6.92 และตลาดแอฟริกาลดลงร้อยละ 7.36 โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญคือ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป จีน อาเซียน และแอฟริกา
ภาวะอุตสาหกรรมอาหารทะเลในเวียดนาม
สำหรับอุตสาหกรรมอาหารจะพิจารณาในประเด็น ดังต่อไปนี้
- การส่งออกอาหารทะเลของเวียดนามสำนักงานสถิติแห่งชาติของเวียดนามเปิดเผยว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2551 เวียดนามส่งออกสินค้าอาหารทะเลได้เป็นมูลค่า 3.83 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 24.43% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 โดยในส่วนนี้ เป็นสินค้ากุ้งแช่แข็งถึง 1.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามด้วยปลา Tra (Catfish) และปลา Basa (Catfish) มูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรเวียดนามคาดว่า มูลค่าการส่งออกอาหารทะเลของเวียดนามรวมในปีนี้จะสูงเกินเป้าซึ่งตั้งไว้ที่ 4.2 – 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นรายได้จากการส่งออกกุ้งเพียงอย่างเดียว
- ตลาดส่งออกอาหารทะเลที่สำคัญของเวียดนามตลาดส่งออกอาหารทะเลที่สำคัญของเวียดนามในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2551 ได้แก่ ญี่ปุ่น (18.16%) สหรัฐ (16.29%) เกาหลีใต้ (6.68%) รัสเซีย (5.06%) เยอรมนี (4.34%) เป็นต้น
- การนำเข้าวัตถุดิบอาหารทะเลของเวียดนาม สมาคมผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลเวียดนาม (VASEP) ได้เสนอให้รัฐบาลเวียดนาม นำเข้าอาหารทะเลที่ยังไม่ผ่านการแปรรูปมูลค่า 1.5-2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกอาหารทะเล และเพื่อให้โรงงานผลิตอาหารทะเลมีวัตถุดิบที่เพียงพอต่อการผลิตอย่างเต็มกำลัง สมาคมฯ เปิดเผยว่า หากมีการนำเข้าอาหารทะเลมาผลิตเพื่อส่งออกจะทำให้เวียดนามมีรายได้จากส่งออกถึง 6-8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในปัจจุบันหากใช้แต่วัตถุดิบในประเทศ จะส่งออกได้เพียง 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการสำรวจของสมาคมฯพบว่าในอนาคต แหล่งน้ำเวียดนามจะไม่สามารถให้ผลผลิตสัตว์น้ำได้มากกว่าที่ผลิตได้ในปัจจุบันคือ 3.2 ล้านตัน เนื่องจากการจับปลาชายฝั่งจะมีปริมาณลดลง ส่วนการจับปลาน้ำลึกก็ทำได้จำกัด โรงงานอุตสาหกรรมการผลิตอาหารทะเลในเวียดนาม มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 4.5-5.1 ล้านตัน แต่ในปัจจุบันไม่ได้ใช้กำลังการผลิตอย่างเต็มที่ เนื่องจากปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบการผลิตปัจจุบัน อาหารทะเลจำนวนมากถูกส่งไปผ่านการแปรรูปในบางประเทศก่อนส่งออกขายต่อไป อาทิ จีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาหารทะเลรายใหญ่นำเข้าวัตถุดิบมูลค่า 5.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐโดยเมื่อนำมาแปรูปแล้วส่งออกได้มูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- สมาคมฯ VASEP ได้แนะนำให้รัฐบาลเวียดนาม ลดภาษีการนำเข้าอาหารทะเลจาก 20-30%ให้เหลือเพียง0-0.5 % โดยทาง VASEP ต้องการที่จะให้รัฐบาลอนุมัติแผนพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารทะเลระยะยาวถึงปี 2563 โดยรวมการกำหนดมาตรฐานโรงงาน นโยบายภาษี แหล่งเงินทุน แหล่งการนำเข้าอาหารทะเล และมาตรฐานสุขอนามัยซึ่งจะทำให้เวียดนาม อาจมีรายได้จากการส่งออกอาหารทะเลถึง 7.5 - 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2563
การผลิตและการค้าผลไม้ในเวียดนาม
การผลิต
อุตสาหกรรมผักและผลไม้แปรรูปของเวียดนามยังค่อนข้างล้าหลังไทย เนื่องจากโรงงานยังไม่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยเพื่อผลิตสินค้าที่มีมาตรฐานสูง และเกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อย จึงมีปัญหาด้านการปรับปรุงและควบคุมคุณภาพ
จากข้อมูลในปี 2548 เวียดนามมีพื้นที่ปลูกผลไม้ประมาณ 766,900 เฮกตาร์ โดยมีผลผลิตเกือบ 6.5 ล้านเมตริกตัน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นกล้วย 1.4 ล้านตัน พื้นที่บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง (Mekong River Delta) ทางตอนล่างของประเทศเป็นแหล่งปลูกผลไม้ที่ใหญ่ที่สุด โดยมีพื้นที่ 262,000 เฮกตาร์ หรือประมาณ 35.0 % ของพื้นที่ปลูกผลไม้ทั้งหมด และมีผลผลิตมากที่สุด คือ 2.93 ล้านเมตริกตันหรือคิดเป็น 45.0% ของผลผลิตผลไม้ทั้งหมดของประเทศ
เวียดนามสามารถปลูกผลไม้ได้มากกว่า 30 ชนิด โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ
- ผลไม้เมืองร้อน เช่น กล้วย มะม่วง และสับปะรด เป็นต้น
- ผลไม้กึ่งเมืองร้อน เช่น ส้ม ส้มแมนดาริน ลิ้นจี่ และลำไย เป็นต้น
- ผลไม้เมืองหนาว เช่น ลูกพลับ และแพร์ เป็นต้น
การส่งออก
ไตรมาสแรกของปี 2008 เวียดนามมีรายได้จากการส่งออกผักและผลไม้ 76 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 28% กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของเวียดนาม (MoTI) คาดว่าการส่งออกผักและผลไม้ทั้งปีจะมีมูลค่าสูงถึง 350 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 17% และรายได้ดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็น 700 และ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2010 และ 2015 ตามลำดับ
เวียดนามส่งออกผักและผลไม้ไปยัง 50 ประเทศทั่วโลก ลูกค้าสำคัญ คือ จีน (สั่งซื้อถึง 60% ของรายได้จากการส่งออกผักผลไม้ที่เวียดนามได้รับ) ญี่ปุ่น ไต้หวัน รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา ส่วนลูกค้ารายใหม่ที่สำคัญ คือ ไทย ฮ่องกง สิงคโปร์ และประเทศต่างๆ ในสหภาพยุโรป
การนำเข้า
เมื่อเดือนพฤษภาคม 2551 เวียดนามนำเข้าผลไม้ประมาณ 2.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นการนำเข้าผลไม้เมืองร้อนถึง 2.2 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนั้นเป็นการนำเข้าถั่ว
ผลไม้ที่เวียดนามนำเข้ามากที่สุดในช่วงนี้ คือ มังคุด มูลค่า 0.803 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าจากไทย (มากกว่า 1,400 เมตริกตัน) ราคาเฉลี่ยตันละ 546.4 เหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ ยังมีนำเข้าองุ่น แอปเปิล ส้ม และมะม่วง จากจีน ไทยและออสเตรเลีย
การค้าผลไม้ระหว่างไทยและเวียดนาม
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2548–2550) มูลค่าการค้า(ส่งออกและนำเข้า) ผลไม้ระหว่างไทยและเวียดนามมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 9.4 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2548 เพิ่มขึ้นเป็น 18.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2550 หรือเพิ่มขึ้นเกือบหนึ่งเท่าตัว ไทยเป็นฝ่ายขาดดุลการค้าผลไม้กับเวียดนามมาโดยตลอด โดยไทยส่งออกเฉลี่ยปีละ 2.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่มีมูลค่านำเข้าเฉลี่ยปีละ10.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ผลไม้สำคัญที่ไทยนำเข้าจากเวียดนาม ได้แก่ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ และแก้วมังกร ส่วนผลไม้ที่ไทยส่งออกไปเวียดนามมาก ได้แก่ มะขามแห้ง / สด ลำไย และมังคุดสำหรับในระยะ 4 เดือนแรก ( ม.ค. – เม.ย.) ของปี 2551 ไทยนำเข้าผลไม้จากเวียดนามปริมาณ 6.200 ตัน มูลค่า 5.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ปริมาณและมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น 4.5% และ14.0% ตามลำดับ ไทยนำเข้าผลไม้จากเวียดนามมากเป็นลำดับที่ 4 รองจาก จีน สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย โดยส่วนใหญ่จะเป็นการนำเข้าผลไม้ในพิกัด H.S. 08109090 other (ซึ่งในที่นี้น่าจะเป็นแก้วมังกร) และเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ขณะที่ไทยส่งออกไปเวียดนามปริมาณ4,075 ตัน มูลค่า 0.92 ล้านเหรียญสหรัฐ ปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น 145.2% และ 22.7% ตามลำดับโดยมีผลไม้ที่สำคัญ คือ มะม่วง ส้มเขียวหวาน และมะขาม
เนื่องจากเวียดนามตอนใต้มีเขตแดนติดกับกัมพูชาหลายด่าน และไม่ค่อยเข้มงวดนัก ทำให้การนำเข้าผลไม้ไทยมาจำหน่ายในเวียดนามตอนใต้รวมทั้งใน supermarket มักกระทำโดยทางรถยนต์ผ่านชายแดนกัมพูชา เพราะระเบียบพิธีการศุลกากรไม่ยุ่งยากมากขั้นตอนเหมือนการนำเข้าโดยตรง และยังเสียภาษีต่ำกว่าเพราะ เป็นการเสียภาษีแบบเหมาจ่าย และที่สำคัญผู้ค้าส่งในเวียดนามสามารถติดต่อซื้อขายผลไม้ไทยกับ intertrader ที่อยู่ในประเทศไทยได้โดยตรงโดย intertrader เป็นผู้ดำเนินการตั้งแต่ติดต่อซื้อขายผลไม้จากผู้ขายผลไม้ไทย จนกระทั่งเช่ารถบรรทุกนำผลไม้เข้าไปส่งให้ในเวียดนาม ผู้ค้าส่ง / ผู้นำเข้าในเวียดนามจึงนิยมวิธีการนำเข้าโดยวิธีการดังกล่าว เพราะไม่ยุ่งยากเรื่องการทำ L/C และขั้นตอนพิธีการศุลกากร
ผลไม้ของไทยที่ได้รับความนิยมในประเทศเวียดนามได้แก่ ทุเรียนหมอนทอง ลองกอง(เวียดนามมีแต่ลางสาด) มะม่วงเขียวเสวย และมะขามหวาน ปัจจุบันมีผู้นำเข้าไปจำหน่าย แต่ปัจจุบันมีผู้นำพันธ์ทุเรียนหมอนทอง และมะม่วงเขียวเสวยเข้าไปปลูก และเริ่มมีผลผลิตเข้าสู่ตลาดบ้างแล้ว
เนื่องจากผลไม้ไทยได้รับการยอมรับจากชาวเวียดนามว่ามีคุณภาพดี ทำให้ชาวเวียดนามยินดีซื้อแม้มีราคาสูงกว่าของท้องถิ่น บางครั้งสาลี่หรือลูกแพร หรือเม็ดเกาลัด ก็ยังบอกว่าเป็นของไทย เพื่อให้ขายได้ราคาสูงกว่าท้องตลาด
อุปสงค์อุตสาหกรรมสิ่งทอในประเทศเวียดนาม
- ศักยภาพตลาดของประเทศเวียดนาม นั้นมีสูงเนื่องจากเป็นประเทศที่มีประชากรค่อนข้างมาก มีรายได้ต่อหัวพอสมควร และมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง
- นโยบายที่ส่งเสริมการค้าการลงทุนในประเทศเวียดนาม รัฐบาลของประเทศเวียดนามสนับสนุนการค้าการลงทุนของต่างประเทศ เพราะยอมรับระบอบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและมีนโยบายส่งเสริมผ่านองค์กรต่างๆ เช่น ASEAN
- ศักยภาพของอุตสาหกรรมสิ่งทอไทย จากข้อมูลของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมกล่าวว่า ศักยภาพของอุตสาหกรรมสิ่งทอไทยนั้นนับว่าได้เปรียบประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ในด้านความเชี่ยวชาญและการลงทุนที่มีมานานเป็นสำคัญ โดยอุตสาหกรรมที่ต้องมีการลงทุนมากยังสามารถแข่งขันได้ ส่วนอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนน้อยแต่เป็นโรงงานที่มีประสิทธิภาพก็สามารถขยายตัวได้เช่นกัน อุตสาหกรรมสิ่งทอไทยนั้นมีข้อได้เปรียบในหลายด้าน กล่าวคือ มีการผลิตครบวงจรตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ มีการรวมกลุ่มกันจัดตั้งสมาคมเพื่อพัฒนา ให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาสิ่งทอไทย เช่น สมาคมอุตสาหกรรมทอผ้าไทย สมาคมอุตสาหกรรมสิ่งทอไทย สมาคมอุตสาหกรรมฟอกย้อม ฯลฯ นอกจากนี้ต่างชาติยังเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมสิ่งทอไทย เพราะมีประสบการณ์ ผลิตมามากกว่า 30 ปี รัฐบาลให้การสนับสนุน อีกทั้งมีการร่วมมืออันดีระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการพัฒนา แก้ไข อุตสาหกรรมสิ่งทอไทย
ความต้องการของเวียดนามนั้นนับว่ามีมาก เพราะรัฐบาลและประชาชนยอมรับระบอบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
อุปสงค์อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางในประเทศเวียดนาม
- ศักยภาพตลาดในประเทศเวียดนามเวียดนามเป็นตลาดเครื่องสำอางที่ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์บำรุงรักษาสุขภาพและเสริมความงามหลายรายเริ่มให้ความสนใจ ทั้งนี้ จากตลาดที่มีประชากรถึง 87.3 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้เกือบ 30% อาศัยในเขตเมือง และอัตราการอพยพเข้าเมืองเพิ่มขึ้น 3.4% ต่อปีเพื่อหางานทำ นอกจากนี้ประชากรกว่า 60% เป็นคนวัยหนุ่ม – สาวที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี เมื่อเศรษฐกิจมีการเติบโตขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคในเวียดนามที่เป็นกลุ่มคนชั้นกลางและมีรายได้สูงขยับสูงขึ้นตามไปด้วย จึงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญให้เกิดความต้องการเครื่องสำอางแบรนด์เนมในตลาดเวียดนาม
ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางกล่าวว่าเป็นเรื่องปกติที่ผู้บริโภคเวียดนามใช้จ่ายเงินในแต่ละครั้งสำหรับการซื้อสินค้าแบรนด์ดังประมาณ 500–700 เหรียญสหรัฐ ดังจะเห็นได้จากการมีสินค้าเครื่องสำอางชื่อดังจากทั่วโลกกว่า 200 ยี่ห้อที่วางขายในตลาดเวียดนามและเป็นผู้ครองตลาดเครื่องสำอางของเวียดนามเกือบทั้งหมด เช่น เอสเตลอเดอร์ และคลินิคจากสหรัฐฯ ลังโคม และคลาแรงส์จากฝรั่งเศส De Bon จากเกาหลีใต้ ชิเชโด้ และเมนาร์ด จากญี่ปุ่น เป็นต้นส่วนเครื่องสำอางจากประเทศไทยที่เป็นที่นิยมที่เวียดนามคือ นีเวีย
2. นโยบายที่ส่งเสริมการค้าการลงทุนในประเทศเวียดนาม
รัฐบาลของประเทศเวียดนามสนับสนุนการค้าการลงทุนของต่างประเทศ เพราะยอมรับระบอบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและมีนโยบายส่งเสริมผ่านองค์กรต่างๆ เช่น ASEAN FTA
3.ศักยภาพของอุตสาหกรรมและสินค้า
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของไทย ภายใต้สินค้าไทยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับในตลาดโลกมากขึ้น อันเป็นผลมาจากการพัฒนาคุณภาพจนได้มาตรฐานสากล มีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้น่าดึงดูดใจ โดยเฉพาะเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสมุนไพรไทย ได้รับความนิยมมากขึ้นในต่างประเทศ ด้วยจุดเด่นในด้านรูปลักษณ์และกลิ่น โดยใน 7-8 ปีที่ผ่านมาอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางไทยโดยเฉลี่ยปีละ 25% ความต้องการผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางในเวียดนามนั้นนับว่ามีมากโดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ตามแนวโน้มของตลาดในระบอบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
บริบทด้านการแข่งขันและกลยุทธ์ของธุรกิจสินค้าอุปโภคและบริโภค
ความต้องการการบริโภคของชาวเวียดนาม ปัจจุบันทั้งคนหนุ่มสาว คนชั้นกลาง ล้วนแต่เป็นคนที่มีฐานะดีขึ้น และก็ต้องการที่จะบริโภคแต่สิ่งที่มีสไตล์ทันสมัย ความต้องการบริโภคของดี ของหรูหรากำลังมีมากขึ้นทั้งในฮานอย และโฮจิมินห์ ซิตี้ ชนชั้นกลางของสองเมืองนี้ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยกับการซื้อหาเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ เครื่องซักผ้า ตลอดจนแพกเก็จทัวร์ต่างประเทศชนชั้นสูงยิ่งมีความต้องการบริโภคสิ่งที่ดีๆธุรกิจภาคเอกชนในเวียดนามที่เติบโตในช่วง 4 ปี ที่ผ่านมา ทำให้ครอบครัวคนเมืองต่างร่ำรวยมีเงินทองมากมาย
อุตสาหกรรมอาหาร
การแข่งขันในตลาดอุตสาหกรรมอาหารของประเทศเวียดนามมีมาก ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่ มีอัตราการเติบโตมากขึ้น เพราะเวียดนามมีประชากรถึง 87.3 ล้านคนและเป็นประเทศที่มีอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจดีประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ศักยภาพของคู่แข่งขัน นับว่าสินค้าไทยได้เปรียบเพราะคนเวียดนามมีทัศนคติที่ดีต่อสินค้าไทย มองว่าสินค้าไทยเป็นสินค้าที่ดีมีคุณภาพ
อุตสาหกรรมสิ่งทอ
ศักยภาพคู่แข่งขันในอุตสาหกรรมคือ จีน อินเดีย ปากีสถาน และบังคลาเทศ ซึ่งไทยนับว่าได้เปรียบคู่แข่งขันเพราะชาวเวียดนามมองว่าสินค้าไทยเป็นสินค้าดีมีคุณภาพจึงนิยมสินค้าไทย
ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง
แม้ตลาดเครื่องสำอางของเวียดนามจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ผู้ประกอบการที่ต้องการเจาะตลาดต้องเผชิญการแข่งขันอย่างหนัก เพราะมีบริษัทยักษ์ใหญ่ได้ครองตลาดอยู่แล้ว โดยเฉพาะเครื่องสำอางประเภทผลิตภัณฑ์บำรุงผิวซึ่งเป็นประเภทสินค้าที่ไทยมีศักยภาพนั้น มีบริษัทข้ามชาติครองตลาดอยู่แล้วถึง57%
ผู้บริโภคชาวเวียดนามมีความมั่นใจในคุณภาพสินค้าและเชื่อว่าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบำรุงผิวที่ผลิตจากประเทศในแถบเอเซียจะเหมาะกับสภาพผิวมากกว่าเครื่องสำอางในแถบอื่น ดังนั้น คู่แข่งที่น่ากลัวของไทย คือ ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากญี่ปุ่น ไต้หวันและเกาหลีใต้ แต่อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากจีนนั้น เป็นสินค้าระดับล่าง ราคาถูก ของไทยมีคุณภาพดีกว่า ส่วนสินค้าจากญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป เป็นสินค้าแบรนด์เนม ชั้นนำ ราคาสูง
อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคเวียดนามยังมีความชื่นชอบในสินค้าบำรุงผิว แชมพูและสบู่ที่ทำจากไทยว่ามีคุณภาพดีกว่าผลิตภัณฑ์ที่มีแบรนด์เดียวกันแต่ผลิตในเวียดนาม และมีราคาที่เหมาะสมกว่าเมื่อเทียบกับยี่ห้อทางยุโรป
อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องและสนับสนุนอุตสาหกรรมอุปโภคบริโภค
ในอุตสาหกรรมอุปโภคบริโภค จะมีการจัดการด้านห่วงโซ่อุปทานที่หลากหลาย เนื่องจากมีรายละเอียดด้านการผลิตสูง แต่มีกระบวนการที่คล้ายคลึงกันในการจัดจำหน่าย ดังภาพที่ 3.9 โดยการศึกษานี้จะแยกพิจารณาเป็น 2 รูปแบบ คือ การตั้งโรงงานผลิต และการส่งสินค้าเข้าจำหน่ายในประเทศ
สำหรับการตั้งโรงงานผลิตสินค้าในประเทศเวียดนามนั้น อุตสาหกรรมต้นน้ำด้านการผลิตยังมีโอกาสอีกมาก เพราะยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ผลิตในประเทศ ยังมีการนำเข้าอยู่ อาทิ กระป๋องที่ใช้ผลิตอาหารกระป๋อง เป็นต้น
(ภาพที่ 3.9 ห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมอุปโภคบริโภค)
สำหรับการส่งสินค้าเข้าจำหน่ายในประเทศเวียดนาม สินค้าอุปโภคบริโภคบางชนิดจะต้องมีการขออนุญาต อาทิ ยารักษาโรค อาหารเสริมต่างๆ และการจัดจำหน่ายจะต้องมีการขออนุญาต ไม่สามารถจำหน่ายตรงแก่ผู้บริโภคได้ ดังนั้น สำหรับธุรกิจอุปโภคบริโภค ผู้ที่มีส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจนี้คือ กลุ่มผู้แทนจำหน่ายซึ่งทำหน้าที่กระจายสินค้า หรือกลุ่มพ่อค้าคนกลางนั่นเอง
กลุ่มลูกค้าในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค นอกเหนือจากลูกค้าในประเทศที่มีจำนวนมากแล้ว ก็ยังมีกลุ่มลูกค้าจากต่างประเทศ อาทิ กลุ่มประเทศเพื่อนบ้านเช่น ลาว กัมพูชา จีน และพม่า รวมถึงหากมีการตั้งโรงงานยังสามารถส่งสินค้าออกไปยังต่างประเทศได้ง่ายเนื่องจากมีท่าเรือน้ำลึกจำนวนมาก แต่ต้องพิจารณาถึงเรื่องระบบขนส่งด้วยเนื่องจากอุปสรรคของการบริหารจัดการเรื่องห่วงโซ่อุปทานสินค้าอุปโภคบริโภคที่สำคัญคือระบบการขนส่งสินค้าเช่นเดียวกัน
ธุรกิจที่ห้ามชาวต่างชาติดำเนินกิจการ มีดังนี้
- การนำเข้าบุหรี่ ซิการ์
- เทป วิดีโอ แผ่นดิสก์ หนังสือพิมพ์ วารสาร
- ข้าว
- การผลิตยาที่ใช้กับมนุษย์ วัคซีน ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ผลิตภัณฑ์จากชีวภาพ สารเคมี ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กำจัดแมลง แบคทีเรีย ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในเวียดนาม
กลยุทธ์การตลาดสำหรับสินค้าไทย
ในการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดจะพิจารณาองค์ประกอบตามหลักส่วนประสมทางการตลาด (Marketing Mix) คือ
สินค้า : Product
ผลิตภัณฑ์ที่ควรนำเสนอในตลาดเวียดนาม ควรนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพดี ราคาไม่แพงเป็นหลัก โดยคุณภาพที่นำเสนอควรเป็นคุณภาพระดับกลางถึงบน
การบรรจุหีบห่อ ออกแบบหีบห่อให้ใกล้เคียงกับสินค้าที่เป็นผู้นำตลาด ทั้งรูปแบบและสี จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคว่าเป็นสินค้าดีมีคุณภาพ เนื่องจากคนเวียดนามมีพฤติกรรมที่จะจดจำสินค้าและประเมินคุณภาพสินค้าจากประสบการณ์ และนิยมลอกเลียนแบบผู้นำ
ชื่อสินค้า ด้วยเหตุผลพฤติกรรมที่จะจดจำสินค้าและประเมินคุณภาพสินค้าจากประสบการณ์ ดังนั้นหากยังไม่มีตราสินค้าของตนเอง หรือตราสินค้าจากประเทศไทยยังไม่แข็งแรงและเป็นที่รู้จัก ควรสร้างตราสินค้าใหม่โดยให้ใกล้เคียงกับผู้นำตลาดจะทำให้สินค้าติดตลาดได้ง่าย แต่ต้องระวังเรื่องการลอกเลียนแบบด้วย
ฉลากสินค้าเนื่องจากชาวเวียดนามมั่นใจในสินค้าไทยดังนั้นการมีสลากกำกับที่เป็นภาษาไทย จะช่วยเพิ่มยอดขายได้
ราคา : Price
นำเสนอราคาระดับกลาง คือ ต่ำกว่าราคาของผู้นำตลาด แต่ต้องสูงกว่าสินค้าประเภทเดียวกันจากประเทศจีน หรือสินค้าที่ผลิตในประเทศ และหากสามารถจำหน่ายในราคาที่ใกล้เคียงสินค้าจากประเทศจีน หรือสินค้าที่ผลิตในประเทศ จะเพิ่มโอกาสให้สินค้ามีโอกาสในการทำตลาดมากยิ่งขึ้น
การจัดจำหน่าย : Place
กระจายสินค้าไปยังร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม ผ่านทางตัวแทน โดยเลือกตัวแทนที่มีร้านค้ามากจะได้เปรียบ และช่องทางร้านค้าสมัยใหม่ อาทิ ซูเปอร์มาร์เก็ต, ไฮเปอร์มาเก็ต, ศูนย์การค้า เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่เริ่มมีบทบาทต่อการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคประเภทเครื่องสำอาง ที่ถ้าสามารถติดต่อเข้าไปขายได้ก็จะดี แต่ถึงอย่างไร ปัจจุบันร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมก็ยังมีอิทธิพลในตลาดมากกว่า
การส่งเสริมการขาย : Promotion
การจำหน่ายสินค้าให้แก่กลุ่มผู้บริโภคผ่านช่องทางร้านค้า ผู้ขายสินค้าในเวียดนามค่อนข้างมีอิทธิพลต่อการประสบความสำเร็จของสินค้า เนื่องจากคนเวียดนามชอบที่จะรับฟังคำแนะนำจากผู้ขาย ดังนั้นผู้ขายจึงต้องมีความรู้และทำหน้าที่เป็นผู้แนะนำสินค้าแก่ลูกค้าด้วย กลยุทธ์การส่งเสริมการขายจึงควรให้เกิดผลต่อผู้ขายสินค้าเป็นสำคัญ ซึ่งอาจเป็นกลยุทธ์เรื่องราคา หรือการให้ความรู้แก่ผู้ขายว่าสินค้าดีอย่างไร
ส่วนการสร้างตราสินค้ากับลูกค้าหรือผู้บริโภค กลยุทธ์ด้านการประชาสัมพันธ์ ให้เป็นที่รู้จักผ่านสื่อของเวียดนามทั้งสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์ มีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นการตลาดแบบปากต่อปากสำหรับสินค้านี้จึงอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง รวมถึงการประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์ ซึ่งเวียดนามมีปริมาณการใช้อินเตอร์เน็ตที่มากและมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกลุ่มเป้าหมาย เป็นกลุ่มคนทำงานที่ต้องใช้อินเตอร์เน็ตเป็นประจำ ดังนั้นเว็บไซต์เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่มีประสิทธิภาพ ในการประชาสัมพันธ์สินค้าและบริษัท
การประชาสัมพันธ์อีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลคือ การเข้าร่วมงานจัดแสดงสินค้า “ไทยเทรดแฟร์” ซึ่งเป็นช่องทางที่จะทำให้ผู้บริโภครู้จักตราสินค้ามากยิ่งขึ้น และเป็นช่องทางที่ทำให้พบกับกลุ่มผู้ค้าชาวเวียดนาม
นครไฮฟอง
นครไฮฟองถือได้ว่าเป็นเมืองที่มีการเจริญเติบโตสูง มีการอพยพเข้าเมืองอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องด้วยพฤติกรรมที่มัธยัถส์ ประกอบกับสภาพอากาศที่เย็นเนื่องจากอยู่ทางเหนือ ดังนั้นสินค้าที่เหมาะสมคือสินค้าเครื่องสำอางดูแลผิว แต่โอกาสทางการตลาดจะน้อยกว่าเมืองที่อยู่ทางใต้ โดยเฉพาะนครโฮจิมินห์
นครโฮจิมินห์
นครโฮจิมินห์เป็นเมืองที่มีโอกาสสำหรับอุตสาหกรรมนี้มากที่สุด เนื่องจากเป็นเมืองทางการค้า ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมคนโฮจิมินห์ชอบแต่งตัว และดูแลตนเอง มีความสามารถในการจ่ายเงินสูง เคยชินกับการใช้สินคุ่มเฟือย ดังนั้นสินค้าในหมวดนี้จึงมีโอกาสเข้าตลาดนี้ได้มาก
นครเกิ่นเธอ
นครเกิ่นเธอ ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมใหม่ในเขตภาคใต้ มีโอกาสสำหรับอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค ประเภทเครื่องสำอางเช่นเดียวกัน เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคจะใกล้เคียงกับนครโฮจิมินห์ แต่มีกำลังซื้อน้อยกว่า จึงสามารถเข้าตลาดได้ แต่ไม่โดดเด่นนัก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น