ตลาดวัสดุก่อสร้างและธุรกิจก่อสร้างในเวียดนาม
รัฐบาลเวียดนามมีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมนี้ โดยกำหนดไว้ในแผนการพัฒนาประเทศ เช่น การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เช่น ถนน ท่าเรือ ท่าอากาศยาน รถไฟฟ้า โรงไฟฟ้า การพัฒนาธุรกิจตลาดของกิจการอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงโครงการพัฒนาเมืองบริหารที่จะสร้างเป็นเมืองใหม่อีกหลายเมือง มีการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง อาทิ กฎหมายว่าด้วยการก่อสร้าง คศ.2003, กฏหมายที่พักอาศัย คศ.2005, กฏหมายอสังหาริมทรัพย์ คศ.2006 (Retail Market Report, 2009) และยังได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศทั้งในกลุ่มการก่อสร้างที่อยู่อาศัย การก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคและนิคมอุตสาหกรรม
การแบ่งประเภทอุตสาหกรรมก่อสร้างในงานวิจัยนี้ แบ่งออกได้เป็น 2 หมวด คือ
1) บริการด้านการก่อสร้าง
ธุรกิจด้านการบริการก่อสร้าง ได้แก่ บริการรับก่อสร้าง บริการออกแบบ บริการที่ปรึกษาโครงการ บริการควบคุมงาน บริการติดตั้งงานระบบ เป็นต้น
2) วัสดุก่อสร้าง
วัสดุก่อสร้าง อาทิ ปูน เหล็ก สุขภัณฑ์ ไม้แปรรูป ก็อกน้ำ สินค้าทดแทนไม้ สี ฯลฯ
อุปสงค์อุตสาหกรรมก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างในประเทศเวียดนาม
อุตสาหกรรมก่อสร้าง หมายถึง สถานประกอบการที่ดำเนินกิจกรรมตามที่ได้กำหนดไว้ในการจัดประเภทอุตสาหกรรมตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจทุกประเภทตามมาตรฐานสากล (ISIC Rev. 3.0) ขององค์การสหประชาชาติ ดังต่อไปนี้
- การเตรียมสถานที่ก่อสร้าง
- การก่อสร้างอาคาร รวมทั้งงานวิศวกรรมโยธา
- การติดตั้งภายในอาคาร
- การสร้างอาคารให้สมบูรณ์
- การให้เช่าเครื่องอุปกรณ์ที่ใช้ในงานก่อสร้างหรือการรื้อถอน โดยมีผู้ควบคุม
บริการด้านการก่อสร้าง
- การก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย (Construction of resident building)แบ่งออกเป็น
1.1 บ้าน (Houses) ประกอบด้วยบ้านทุกชนิด เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว เป็นต้น โดยต้องมีทางเข้าบ้านเป็นของตนเอง
1.2 อาคารที่พักอาศัยอื่นๆ (Other resident building) คือ สิ่งก่อสร้างอื่นๆ ที่นอกเหนือจากบ้านเช่นแฟลตคอร์ทอพาร์ทเมนท์เป็นต้น
- การก่อสร้างอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย (Construction of non-resident building) แบ่งเป็น
2.1 อาคารอุตสาหกรรม (Industrial building) หมายถึง อาคารทุกชนิดที่ใช้เป็นสถานที่ผลิต ประกอบและจัดเก็บสินค้าของสถานประกอบการอุตสาหกรรม
2.2 อาคารพาณิชย์ (Commercial building) เป็นอาคารสำนักงานหรืออาคารทุกชนิดที่ใช้ประโยชน์หลักเพื่อการค้าส่งค้าปลีกและการบริการทางการค้าเช่นโรงแรมภัตตาคาร ร้านค้าเป็นต้น
2.3 อาคารการศึกษา (Education building) คือ อาคารทุกชนิดที่ใช้ประโยชน์โดยตรงเพื่อการเรียนการสอน เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย รวมถึง พิพิธภัณฑ์ แกลลอรี่ ห้องสมุด เป็นต้น
2.4 อาคารด้านสุขภาพ (Health building) คืออาคารทุกชนิดที่ใช้ประโยชน์หลักเพื่อการรักษา พยาบาลเช่นโรงพยาบาลสถานพยาบาลสถานพักฟื้นเป็นต้น
2.5 อาคารอื่นๆ (Other building) คือ อาคารที่มิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น เช่น ศาสนสถาน สวนสนุกสนามกีฬาเป็นต้น
- การก่อสร้างงานวิศวกรรมโยธา (Engineering construction)
เป็นการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่น ทางหลวง ถนน สะพาน อุโมงค์ ทางรถไฟ สนามบิน ท่าเรือ และโครงการทางน้ำอื่นๆ ระบบชลประทาน ระบบท่อน้ำทิ้ง เครื่องอำนวยความสะดวกด้านอุตสาหกรรม ท่อส่ง เป็นต้น และยังหมายถึง ข้อมูลการก่อสร้างงานวิศวกรรมโยธา เช่น มูลค่าการก่อสร้างงานวิศวกรรมโยธา มูลค่าการก่อสร้างงานวิศวกรรมโยธาของภาครัฐและเอกชน
บริบทด้านการแข่งขันและกลยุทธ์ของธุรกิจการก่อสร้าง
ศักยภาพคู่แข่งในอุตสาหกรรมก่อสร้าง
จากสถิติประเทศที่ลงทุนในเวียดนามพบว่า เกาหลีใต้เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในเวียดนามทั้งด้านจำนวนโครงการและมูลค่าโครงการ ขณะที่ สิงคโปร์เข้าไปลงทุนในเวียดนามมากเป็นอันดับ 2 ในด้านจำนวนโครงการและไต้หวัน ซึ่งมีจำนวนโครงการลงทุนน้อยกว่าสิงคโปร์แต่มีมูลค่าลงทุนมากเป็นอันดับ 2 และประเทศที่มีการลงทุนในเวียดนามสูงมากอีก 2 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น จีน ซึ่งโดยมากเมื่อบริษัทจากประเทศเหล่านี้เข้าไปลงทุน ก็จะนำเอาบริษัทก่อสร้างจากประเทศของตนเองเข้ารับงาน หรือในกรณีงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ บริษัทจากประเทศเหล่านี้ก็มักจะประมูลงานได้ เนื่องจากบริษัทเหล่านั้นจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลของตนเองในด้านต่างๆ เพื่อให้สามารถรับงานได้ในราคาที่ต่ำ แต่ด้วยโอกาสทางการตลาดที่เวียดนามกำลังพัฒนาความเจริญของประเทศ ดังนั้นตลาดอุตสาหกรรมก่อสร้างในประเทศเวียดนามสำหรับประเทศไทย ก็ยังมีโอกาสที่ดี
ประเทศเวียดนามกำลังมีโครงการก่อสร้างตึกสูง เมืองใหม่ ถนน สะพาน และสาธารณูปโภค ต่างๆ มากมาย เช่น Keangnam Hanoi Landmark Tower เป็นอาคารสูง 70 ชั้น 336 เมตร (สูงกว่าตึกใบหยก 2 ของไทย) มูลค่า 1.05 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการลงทุนจากเกาหลี ก่อสร้างโดยบริษัทรับเหมาขนาดใหญ่ในเวียดนาม และโครงการก่อสร้างเมืองใหม่นอกตัวเมืองฮานอยเดิม ส่วนในเขตเมืองเก่าก็มีการปรับปรุงฟุตบาท นำสายไฟลงใต้ดิน และก่อสร้างสะพานข้ามแยก ลงมาทางใต้อีก1700 กว่ากิโลเมตร สำหรับนครโฮจิมินห์ ที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจทางตอนใต้ก็มีงานก่อสร้างมากมาย มีโครงการของเวียดนาม จ้างผู้รับเหมาเกาหลี อย่าง Bitexco Financial Center สูง 68 ชั้น 300 เมตร มีอาคารสำนักงานและโรงแรมสูง 40-50 ชั้น อีกหลายแห่ง เมืองใหม่ Phu My Hung โครงการจัดสรรขนาดใหญ่ ที่เน้นลูกค้าต่างชาติกับชาวเวียดนามโพ้นทะเล ด้านอสังหาริมทรัพย์ในเวียดนาม ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น มีการสื่อสารที่ดี มีเครื่องมือที่ทันสมัยขึ้น และมีราคาที่ถูกลง และที่สำคัญบริษัทขนาดใหญ่ในเวียดนามให้ความสนใจเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ สภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมการก่อสร้างในเวียดนาม มีประเทศต่างๆ เข้าไปลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ หรือร่วมทุนกับรัฐบาล แต่ทั้งนี้อุตสาหกรรมการบริการก่อสร้างในเวียดนามยังขาดการพัฒนาอย่างมาก เช่น หลักสูตรด้านการเรียนการสอนด้ายวิศวกรรมศาสตร์การก่อสร้าง
สำหรับรูปแบบของสินค้าในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างของเวียดนาม ยังมีผู้ผลิตภายในประเทศอีกมาก และมีการนำเข้าจากต่างประเทศอยู่บ้าง สำหรับส่วนนวัตกรรมที่ทันสมัยของวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างในเวียดนามนั้นจะเน้นด้านการตกแต่งในส่วนของ อาคาร มากกว่าบ้านเดี่ยว เนื่องจากเวียดนามมีที่ดินราคาสูงประชาชนนิยมอาศัยในรูปแบบของ อพาร์ทเม้นต์ ดั้งนั้นนวัตกรรมที่ทันสมัยยังมีเห็นไม่มากนักในเวียดนาม
ส่วนด้านการบริการก่อสร้างของเวียดนาม เช่น สถาปนิก นักออกแบบภายในฯ ยังขาดประสิทธิภาพ เนื่องจากการจัดการหรือบริหารหลักสูตรด้านการศึกษาของเวียดนามยังขาดการพัฒนา ในการศึกษาด้านนี้ และปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องของรัฐบาลภายในประเทศที่มีการควบคุมการก่อสร้างด้วย ส่งผลทำให้ธุรกิจบริการการก่อสร้างของประชาชนในเวียดนามยังไม่อิสระ
อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องและสนับสนุนอุตสาหกรรมก่อสร้าง
(ภาพที่ 3.7 ห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมก่อสร้าง)
จากห่วงโซ่อุปทาน ในการศึกษานี้จำแนกประเภทธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้างออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ ธุรกิจบริการก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง และบริการหลังการขาย สำหรับธุรกิจบริการก่อสร้าง ได้แก่ บริการออกแบบ บริการรับก่อสร้าง บริการงานระบบไฟฟ้า-ประปา บริการควบคุมงาน บริการตกแต่งภายใน-ภายนอก ซึ่งปัจจุบันบุคลากรระดับควบคุมงานจะเป็นกลุ่มที่มาจากต่างประเทศ จากบริษัทที่ได้รับงานต่างๆ อาทิ จากประเทศเกาหลี ไต้หวัน ญี่ปุ่น จีน เป็นต้น ด้านการสร้างบุคคลากรในประเทศสำหรับอุตสาหกรรมนี้ เวียดนามได้มีการให้การศึกษาระดับปริญญาตรีและอาชีวศึกษา แต่วิศวกรที่จบการศึกษาในประเทศยังไม่มีคุณภาพในระดับที่ทำงานควบคุมงานได้ ต้องได้รับการอบรมและสะสมประสบการณ์เพิ่มเติม และปัจจุบันส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับการสั่งสมประสบการณ์ คนที่มีความรู้ความสามารถระดับที่ทำงานได้จะเป็นที่ต้องการของตลาด และมีค่าจ้างแรงงานที่สูง
สำหรับธุรกิจวัสดุก่อสร้าง จะมีการผลิตภายในประเทศ สำหรับผู้ประกอบการไทย มีบางรายได้เข้าไปตั้งโรงงานแล้ว และบางรายมีการจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่าย สำหรับการศึกษานี้ได้แบ่งสินค้าออกเป็น 2 กลุ่ม จำแนกตามประเภทผู้ตัดสินใจซื้อ คือ กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง และเจ้าของอาคาร โดยพบว่า สินค้าที่เจ้าของอาคารเลือกเอง ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่มองเห็นได้ง่ายและใช้เป็นประจำ อาทิ ก็อกน้ำ สุขภัณฑ์ กระเบื้อง โคมไฟ หลังคา เป็นต้น ในขณะที่สินค้าอื่นๆ โดยเฉพาะสินค้าประเภทที่เป็นส่วนของโครงสร้างของบ้าน อาทิ วาว์ลน้ำ ท่อน้ำ เหล็ก อิฐ หิน ปูน ทราย เหล่านี้ ผู้เลือกซื้อคือกลุ่มผู้รับเหมา ซึ่งจะเน้นที่ราคาเป็นหลักจากการศึกษา วัสดุก่อสร้างหลักที่เป็นส่วนของโครงสร้างของบ้าน ประเทศเวียดนามสามารถผลิตได้เอง แต่ก็ยังมีการนำเข้าในปริมาณที่สูง โดยผู้ส่งสินค้าหลักได้แก่ ประเทศจีน ทั้งนี้คุณภาพของสินค้าจะมีคุณภาพต่ำ เน้นราคาถูกเป็นหลัก แต่หากต้องการสินค้าคุณภาพสูง สำหรับตลาดเวียดนามปัจจุบันก็มีสินค้าจากประเทศอื่นๆให้เลือก อาทิ ประเทศไทย ญี่ปุ่น เกาหลี เป็นต้น และด้วยสภาพการณ์ที่มีการก่อสร้างทั้งที่อยู่อาศัยและสาธารณูปโภคอีกมาก สินค้าในประเทศมีไม่เพียงพอ ทำให้ตลาดวัสดุก่อสร้างมีโอกาสของสินค้าหลากหลายระดับในปริมาณสูง
อุปสรรคของการบริหารจัดการเรื่องห่วงโซ่อุปทานการก่อสร้างที่สำคัญคือระบบการขนส่งสินค้า (ภาพที่ 3.10)เนื่องจากระบบขนส่งมีต้นทุนที่สูงและยังไม่สะดวก ดังนั้นในการเคลื่อนย้ายวัสดุที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักปัจจุบันจึงยังมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นผู้ประกอบการจึงควรคำนึงถึงต้นทุนค่าขนส่งด้วย
(ภาพที่ 3.8 การเคลื่อนย้ายอุตสาหกรรมการก่อสร้าง)
ศักยภาพตลาดที่เกี่ยวกับธุรกิจก่อสร้างในเวียดนาม
จากข้อมูลของการลงทุนจากต่างประเทศสะสมจนถึงปี พ.ศ. 2551 เป็นการลงทุนในด้านต่างๆ โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม การก่อสร้าง มีจำนวน 471 โครงการมูลค่าลงทุน 5,917 ล้านเหรียญสหรัฐฯขณะที่ภาคเกษตรกรรม ได้แก่ การประมง มีจำนวน 132 โครงการ มูลค่าลงทุน 451.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯส่วนภาคบริการ ได้แก่สำนักงานและอพาร์ทเมนต์ จำนวน 163 โครงการ มูลค่า 11,785 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รองลงมาคือโรงแรมและท่องเที่ยว 243 โครงการ มูลค่า 10,046 ล้านเหรียญสหรัฐฯโดยจังหวัดที่นักลงทุนต่างชาตินิยมเข้าไปลงทุนมากที่สุด ได้แก่
- นครโฮจิมินห์มีจำนวนถึง 2,402 โครงการ เงินลงทุนรวม 19,217 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 20.7 ของเงินลงทุนทั้งหมด
- ฮานอย มีโครงการลงทุน 1,062 โครงการเงินลงทุน 13,224 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
- ด่องไน 930 โครงการ 11,910 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
- บินห์เยือง 1,602 โครงการ 8,769 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
- บาเรีย-หวุงเต่า 160 โครงการ 7,410 ล้านเหรียญ
จะเห็นได้ว่าการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนาม ประกอบกับการเข้าลงทุนโดยบริษัทต่างชาติ และนโยบายของประเทศเวียดนามที่ต้องการจะพัฒนาประเทศให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมจึงทำให้อุตสาหกรรมก่อสร้างในประเทศเวียดนามเจริญเติบโตมาก เพื่อให้เป็นไปตามนโยบาย เวียดนามจึงจำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นถนนท่าเรือ ท่าอากาศยานรถไฟฟ้าโรงไฟฟ้าการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รวมถึงโครงการพัฒนาเมืองใหม่อีกหลายแห่งดังนั้นกิจการด้านก่อสร้างสาธารณูปโภค และการสื่อสารขั้นพื้นฐาน จึงจัดเป็นกิจการหลักที่รัฐบาลสนับสนุนให้ต่างชาติมาลงทุน นับว่าเป็นโอกาสของนักลงทุนไทยที่จะศึกษาและรับช่วงสัมปทานได้
ศักยภาพอุตสาหกรรมก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างไทยเพื่อการทำตลาดในเวียดนาม
ประเทศไทยมีความพร้อมด้านบุคลากรและวัสดุอุปกรณ์ทางการก่อสร้าง และปัจจุบันภาครัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ของไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้ โดยมีการวางนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขหลักเกณฑ์ ศึกษาช่องทางในการเข้าตลาดเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยในการเข้าตลาดต่างประเทศ อาทิ การศึกษาโดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว., BOI, สำนักงานผู้แทนการค้าไทย (Thailand Trade Representative: TTR) โดยเฉพาะ TTR ได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ที่จะให้เอกชนไทยเข้าไปประมูลงานใน 6 ประเทศนำร่องซึ่งประเทศเวียดนาม ก็เป็น 1 ใน 6 ประเทศนำร่องของ TTR โดยจะพิจารณาว่าแต่ละประเทศมีโครงการอะไรบ้าง และ TTR จะประสานงานกับสถาบันการเงิน 3 แห่ง คือธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.)ในการช่วยเหลือด้านสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ
อุตสาหกรรมก่อสร้าง เป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าและความสำคัญทางเศรษฐกิจสูงขณะเดียวกันยังเป็นอุตสาหกรรมภายใต้ข้อตกลงขององค์การค้าโลก (WTO) และข้อตกลงอาเซียน (ASEAN) และนับเป็นอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีความแข็งแกร่งมากอุตสาหกรรมหนึ่ง ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญและมีมาตรการส่งเสริมทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งมีมูลค่าก่อสร้างในประเทศไทย 10 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 9 แสนล้านบาทมีการจ้างงาน 3-4 ล้านคน และภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งระยะ 3 ปี ที่มีวงเงิน 1.43 ล้านล้านบาท จะทำให้มูลค่าการก่อสร้างในประเทศเพิ่มขึ้นอีก 7 แสนล้านบาท ภายใน 3 ปี จ้างงานได้ 1.5 ล้านคน ดังนั้นอุตสาหกรรมก่อสร้างจะเป็นเครื่องจักรสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
อีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นปัจจัยที่น่าพิจารณาของการเข้าตลาดประเทศเวียดนามคือปัจจัยเรื่องแรงงาน ซึ่งประเทศเวียดนามมีอัตราค่าจ้างแรงงานที่ถูก โดยเฉลี่ยค่าจ้างแรงงานอยู่ระหว่างเดือนละ 50-62 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1,750-2,170 บาทบวกค่าสวัสดิการอีกร้อยละ 22) เนื่องจากประชากรประเทศเวียดนามมีมาก ส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน ประกอบกับชาวเวียดนามมีลักษณะเด่นด้านความขยัน และความอดทน และประเทศเวียดนามก็มีนโยบายเรื่องการจ้างแรงงานที่เอื้อต่อผู้ลงทุนชาวต่างชาติ ซึ่งอุตสาหกรรมบริการก่อสร้างเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเป็นหลัก ดังนั้นด้วยปัจจัยนี้ ทำให้สามารถลดปัญหาด้านแรงงานกรณีรับงานได้
ผลจากการเป็นสมาชิก WTO ของเวียดนาม ประกอบกับนโยบายการพัฒนาประเทศของเวียดนาม ดึงดูดให้มีนักลงทุนจากต่างชาติเข้าลงทุนในประเทศเวียดนามอย่างต่อเนื่องจำนวนมาก ซึ่งสามารถดูได้จากสถิติการเข้าลงทุนในประเทศเวียดนามของประเทศต่างๆ ซึ่งส่งผลให้ประเทศเวียดนามมีความต้องการด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ถนน ทางด่วน ทางรถไฟ ท่าอากาศยาน รวมถึงท่าเรือ และท่าเรือน้ำลึก, ที่พักอาศัย และการก่อสร้างด้านอุตสาหกรรมที่สูงขึ้นมากอย่างต่อเนื่อง โดยไม่แต่เฉพาะบริการด้านการก่อสร้างเท่านั้น หากแต่วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างก็เป็นสิ่งที่ประเทศเวียดนามต้องการมากเช่นเดียวกัน ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจนำร่องของไทยที่ได้เข้าไปทำตลาดในประเทศเวียดนามแล้วและประสบความสำเร็จ ได้แก่ ธุรกิจผลิตสีทาภายในและสีทาภายนอก อาทิบริษัทโฟร์ออเร้นจ์ และบริษัทอุไรพาณิชย์ บริษัททีโอเอ ซึ่งปัจจุบันมีการตั้งโรงงานผลิตสีที่ประเทศเวียดนามด้วย ดังนั้นจึงถือได้ว่าผู้ประกอบการของไทยยังมีช่องว่างและโอกาสในประเทศเวียดนามอยู่ไม่น้อย
1. ธุรกิจการบริการการก่อสร้าง เช่น ที่ปรึกษา, การออกแบบ, การรับเหมาก่อสร้าง
จุดแข็ง | จุดอ่อน |
|
|
โอกาส | อุปสรรค |
|
|
2. ธุรกิจการจำหน่ายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง
จุดแข็ง | จุดอ่อน |
|
|
โอกาส | อุปสรรค |
|
|
3. ธุรกิจดูแลรักษาและซ่อมบำรุง
จุดแข็ง | จุดอ่อน |
|
|
โอกาส | อุปสรรค |
|
|
กลยุทธ์การตลาดสำหรับสินค้าไทย
ในการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดจะพิจารณาองค์ประกอบตามหลักส่วนประสมทางการตลาด (Marketing Mix) คือ
สินค้า : Product
สินค้าที่ต้องการทำตลาดในกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางขึ้นไปควรเน้นด้านคุณภาพ ความคงทนแข็งแรง รูปลักษณ์ที่สวยงามทันสมัย ควรมีการส่งมอบสินค้าให้ตรงตามเวลาที่กำหนดควรมีการบริการหลังการขายโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าประเภทสุขภัณฑ์ต่างๆ สำหรับสินค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง ปัจจุบันประเทศแหล่งกำเนิดสินค้ายังไม่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ
ราคา : Price
นำเสนอราคาระดับกลาง คือ ต่ำกว่าราคาของผู้นำตลาด แต่ต้องสูงกว่าสินค้าประเภทเดียวกันจากประเทศจีน หรือสินค้าที่ผลิตในประเทศ และหากสามารถจำหน่ายในราคาที่ใกล้เคียงกับสินค้าจากประเทศจีน หรือสินค้าที่ผลิตในประเทศ จะเพิ่มโอกาสให้สินค้ามีโอกาสในการทำตลาดมากยิ่งขึ้น
การจัดจำหน่าย : Place
กระจายสินค้าไปยังกลุ่มเป้าหมาย ผ่านร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมในย่านการค้าวัสดุก่อสร้างในเมืองเป้าหมาย ซึ่งเป็นสถานที่ที่จะมีผู้ค้าจากภายในย่านการค้า ผู้ค้าจากภายนอกย่านการค้า ผู้ค้าจากต่างเมือง และผู้บริโภค ได้รับรู้และพบเห็นสินค้าได้มากกว่า
อีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลมาก คือการติดต่อตรงเข้าไปยังโครงการก่อสร้างต่างๆ ซึ่งวิธีการนี้จะได้ปริมาณการสั่งสินค้าคราวละมากๆ
การส่งเสริมการขาย : Promotion
การส่งเสริมการขายสำหรับกรณีขายปลีกผ่านร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม ควรดำเนินกลยุทธ์ต่อผู้ขายสินค้าเป็นหลัก เนื่องจากสินค้าประเภทนี้ ผู้ขายจะต้องมีความรู้และทำหน้าที่เป็นผู้แนะนำสินค้าแก่ลูกค้าด้วย ดังนั้นกลยุทธ์การส่งเสริมการขายจึงควรให้เกิดผลต่อผู้ขายสินค้าเป็นสำคัญ ซึ่งอาจเป็นกลยุทธ์เรื่องราคา หรือการให้ความรู้แก่ผู้ขายว่าสินค้าดีอย่างไร เป็นต้น
กลยุทธ์ด้านการประชาสัมพันธ์ เนื่องจากการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อของเวียดนามทั้งสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์ มีค่าใช้จ่าย แต่ผู้ที่ต้องไปทำตลาดหรือไปประชาสัมพันธ์คือกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เป็นร้านค้า ข้อแนะนำคือผู้ประกอบการควรลงไปทำตลาดโดยการนำสินค้าเข้าเสนอโดยตรงต่อร้านค้า เข้าไปทำความรู้จักและคลุกคลีกับร้านค้า จะตรงประเด็นมากที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น