ซีรีส์ 15 ปีวิกฤติ 2540 “ธารินทร์ นิมมานเหมินท์” มั่นใจ “ไม่เคยผิดพลาด” แต่ “เคยแพ้”
6 สิงหาคม 2012ที่มา http://thaipublica.org/2012/08/series-15-years-of-crisis/
สำนักข่าวไทยพับลิก้า ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ “ธารินทร์ นิมมานเหมินท์” อดีตรัฐมนตรีคลัง 2 สมัย สมัยแรก 28 กันยายน 2535 – 17 กรกฎาคม 2538 และสมัยที่ 2 ตั้งแต่ 14 พฤศจิกายน 2540 – 16 กุมภาพันธ์ 2544
ชื่อ “ธารินทร์ นิมมานเหมินท์” ถูกกล่าวถึงทั้งด้านบวกและด้านลบมากที่สุดในช่วงเข้ามาดำรงตำแหน่งสมัยที่สอง ช่วงการแก้ไขปัญหาวิกฤติ 2 กรกฎาคม 2540 ต่อจากรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ที่เริ่มต้นออกมาตรการแก้ปัญหาไปบ้างแล้ว อาทิ การทำข้อตกลงเป็นหนังสือแสดงเจตจำนงขอความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และการตั้งองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) และบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) เพื่อแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน เป็นต้น
โดยถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี ที่ “ธารินทร์” ให้สัมภาษณ์กับสื่อ ในประเด็นเบื้องลึกเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจและวิกฤติสถาบันการเงินในช่วงนั้นให้ฟังอย่างละเอียด โดยเฉพาะประเด็น “ความจริงประเทศไทย” ที่ตอนนั้นถูกปิดเป็นความลับ และเบื้องหลังการเจรจากับไอเอ็มเอฟ เพื่อขอผ่อนปรนมาตรการเข้มงวดที่รัฐบาลก่อนหน้าไปตกลงไว้ รวมทั้งเปิดเผยเรื่อง “คับแค้นใจ” ที่ไม่สามารถทำได้ในตอนนั้น พร้อมเล่าทุกแง่มุมในการทำงานอย่างมั่นใจว่าไม่เคยทำอะไรผิดพลาด แถมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน
ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ทั้งนี้ บทสัมภาษณ์ “ธารินทร์” ในซีรีส์ 15 ปีวิกฤติ 2540 ไม่ได้นำเสนอในรูปแบบวีดีโอเหมือนคนอื่น เนื่องจากผู้ให้สัมภาษณ์ไม่สะดวกในการบันทึกเทป แต่นำเสนอเป็นบทสัมภาษณ์อย่างละเอียด โดยมี “ปกป้อง จันวิทย์” อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้สัมภาษณ์
สาระสำคัญของบทสัมภาษณ์มีดังนี้
ปกป้อง : คุณธารินทร์เข้ามารับตำแหน่งหลังลอยตัวค่าเงินบาท 2 กรกฎาคม 2540 ได้ไม่นาน ต้องเข้ามารับช่วงต่อจากรัฐบาลก่อนเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ หากมองย้อนไปตอนนั้นที่เข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ เห็นสถานการณ์เศรษฐกิจเป็นอย่างไรบ้าง
ผมอยากจะเริ่มอย่างนี้ก่อนว่า ตอนที่เราเข้าไปสภาพเป็นอย่างไร เราเข้าไปนั้นเป็นช่วงหลังจากที่มีการตกลงระดับหนึ่งกับไอเอ็มเอฟ(กองทุนการเงินระหว่างประเทศ)แล้ว และเขาก็คิดว่ามีวิธีการที่จะแก้ไขประเทศไทยได้ ซึ่งตอนหลังผมก็เข้าไปแก้ไขค่อนข้างมาก
สภาพที่เจอตอนเราเข้าไป จะว่ากันตามกรอบมหภาคคือ
เรื่องแรก “Monetary Policy” คำว่า นโยบายการเงิน จริงๆ แล้วมีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ
1. นโยบายว่าด้วยอัตราแลกเปลี่ยน ควรจะเป็นระบบ Fixing (คงที่) เป็นตามกลไกตลาด หรือเป็น daily fixing (การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนรายวัน) คือระบบอัตราแลกเปลี่ยนควรจะเป็นอย่างไร อันนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญอันหนึ่งของคำว่านโยบายการเงิน
2. นโยบายอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศ คือ ดอกเบี้ยจะอยู่ระดับที่ไหน สภาพคล่องควรจะเป็นเท่าไร ก็ตามมาในลักษณะอย่างนั้น
3. คำว่า capital control (การควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้าย) ควรจะมีหรือไม่ แต่ในเรื่องนี้ถือว่าเราเปิด ไม่ได้ควบคุม
สภาพนโยบายการเงินที่ผมเจอในขณะนั้นคือ ดอกเบี้ยเราสูงมหาศาล สภาคล่องในตลาดไม่มี ทุนสำรองระหว่างประเทศหมด จากที่เคยมี 40,000 ล้านเหรียญ ลดลงไปเหลือศูนย์
“หม่อมเต่า (ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในขณะนั้น) เคยบอกผมว่ามีเหลือแค่กว่า 150 ล้านเหรียญ เท่านั้นเอง แต่ตัวเลข ณ สิ้นเดือนจะไม่โชว์อย่างนั้น ต่ำสุดจะโชว์ว่ามีอยู่พันกว่าล้านเหรียญ”
ถ้าจำไม่ผิด เป็นเดือนสิงหาคม 2540 ที่ตอนนั้นโชว์ตัวเลขพันกว่าล้านเหรียญ เราได้เงินช่วยเหลือของไอเอ็มเอฟงวดแรกเข้ามาแล้ว คือเอาเงินคนอื่นเขามาโปะ แต่จาก 40,000 กว่าล้านเหรียญ เหลือ 1,000 กว่าล้านเหรียญ หรือ 100 กว่าล้านเหรียญถือว่ามันหมดแล้ว
ส่วนที่ไปตกลงกับไอเอ็มเอฟ คือ ไอเอ็มเอฟบังคับให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวด ไม่ยอมให้อัดฉีดสภาพคล่องเข้าตลาด คือจะมี Monetary target (เป้าหมายนโยบายการเงิน) ซึ่งเขียนเป็นเป้าไว้ว่าจะต้องมีสภาพคล่องเท่านั้นๆ เพราะเขาจะขอคุมตรงนี้
ขออธิบายเพิ่มเติมนิดหนึ่ง เพราะตรงนี้มีความสำคัญมาก คือ พอทุนสำรองหมดแปลว่าอะไร ความหมายของมันก็คือ ของที่เราสะสมมานานหลายปี มาจากการที่มีรายได้เกินดุลหรือมีเงินไหลเข้าเยอะ ทำให้ทั้งค่าของเงินบาท และความน่าเชื่อถือในฐานะลูกหนี้หรือคู่ค้ามีน้ำหนัก
แต่พอทุนสำรองหมด จริงๆ แล้วเรา “go back to stone age” (กลับสู่ยุคหิน) เพราะไม่สามารถค้าขายกับต่างชาติได้เลย ซึ่งอันนี้ผมพยายามหาวิธีอธิบายให้คนไทยเข้าใจ คนไม่รู้เรื่องว่าแปลว่าอะไร
ผมขออธิบายแบบนี้ คือถ้าไม่ทำอะไรเลย ประเทศไทยจะไม่มีน้ำมันใช้ เพราะเรานำเข้าน้ำมันเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเป็นพลังงานอื่นๆ ก็อีกเรื่องหนึ่ง เราจะไม่มีวัตถุดิบมาป้อนโรงงานไทย เราจะไม่มียาที่ใช้เป็นประจำบ้าน เพราะส่วนประกอบของยาเราผลิตไม่ได้ ถึงแม้จะมีเต็กเฮงหยู และส่วนผสมพิเศษทั้งหลายของเคมิคัลก็ต้องนำเข้าทั้งนั้น เราจะไม่มีแม้กระทั่งในภาคเกษตร คือปุ๋ย ยาฆ่าแมลง เพราะของพวกนี้ประเทศไทยผลิตไม่ได้
เพราะฉะนั้นการไม่มีทุนสำรอง จะเหนื่อยมาก นี่คือเรื่องที่หนึ่ง
เรื่องสอง ในแง่นโยบายการเงิน เราไม่สมดุล คืออย่างนี้ ตอนหลังจากเรื่องในเมืองไทย เรื่องเกาหลี ไอเอ็มเอฟพยายามศึกษาว่าเกิดอะไรขึ้นกับเอเชียมากเลยทีเดียว ท้ายที่สุดเขาสรุปกันง่ายๆ คือ “you cannot run monetary policy” คือ ไม่สามารถดำเนินนโยบายการเงินภายใต้ 3 องค์ประกอบนั้นได้ตามใจชอบ
ยกตัวอย่าง ประเทศไทยเรามีอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ แต่เราเปิดเสรีเงินทุนเคลื่อนย้าย และเราดำเนินนโยบายดอกเบี้ยตามใจชอบ และยังเป็นอัตราแลกเปลี่ยนคงที่อยู่ ถึงมีแรงกดดันมาก
ประเทศทุกประเทศที่มีปัญหาด้านวิกฤติคล้ายๆ เรา สิ่งที่ดำเนินนโยบายผิดพลาดคือไม่เข้าใจถึงความเชื่อมโยงของ 3 องค์ประกอบนี้ ดำเนินนโยบายตามใจชอบ อันนี้แบงก์ชาติร้อยเปอร์เซ็นต์ คนอื่นไม่ได้ยุ่งด้วยเลย เรื่องนี้ชี้ให้เห็นปัญหาด้านนโยบายการเงิน
เรื่องต่อมา “ด้านการคลัง” ตอนไทยเพิ่งลอยตัวเงินบาทใหม่ๆ แล้วผมเข้าไป ก็ยังต้องถือว่าสิ่งที่ได้พยายามทำมานานในการลดภาระหนี้สาธารณะเป็นเรื่องที่ดี ต้องถือว่าขณะนั้นอัตราส่วนของหนี้สาธารณะต่อจีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) ยังถือว่าอยู่ระดับต่ำ
“สมัยผมอยู่เป็นรัฐมนตรีคลังครั้งแรก งบประมาณเกินดุล ผมนำเงินไปชำระหนี้เงินกู้ต่างประเทศก่อนกำหนดเยอะ ก็ทำให้เราค่อนข้างใช้ได้ นโยบายการคลังเราถือว่าแข็งแรงมาก”
แต่ถ้าจะดำเนินนโยบายอะไรก็แล้วแต่ ในเมื่อทางด้านนโยบายการเงินของเรามีปัญหามาก ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับ Engine of growth (ตัวขับเคลื่อนการเติบโต) จะขึ้นอยู่กับด้านการคลังตัวนี้ตัวเดียว
การเติบโตของเศรษฐกิจ คือ I (Investment) + G (Government Expenditure) + C (consumption) + X-M (Exports –Imports) เวลาเราเข้าสู่วิกฤติ ความน่าเชื่อมั่นจะถูกกระทบก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นคือมีปัญหาภาคการเงิน ต่อมาก็เป็นปัญหาภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง เราก็จะเจอสภาพแบบนี้ คือ
ตัว I (การลงทุน) ไม่มีใครยอมลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราเป็นประเทศที่พึ่งพาต่างประเทศ คือ เราพึ่งพาเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมาก คนไทยจริงๆ ลงทุนน้อย เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจริงๆ จึงเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ถ้าเรามีปัญหาทุนสำรองโดยธรรมชาติก็ไม่มีใครเข้ามาลงทุนโดยตรง
ต่อไปก็คือตัว G (การใช้จ่ายภาครัฐ) ซึ่งผมคิดว่าเราแข็งแรง ยังพอไหว มีช่องที่จะจัดการเอามาใช้เพื่อ duplicate (ทำเพิ่ม) และเป็น engine of growth ได้
ตัว C (การบริโภค) เป็นไปไม่ได้ เพราะเกิดมีปัญหามากมาย เกิดความเชื่อมั่นหาย คนที่รวยก็ไม่อยากจะใช้เงิน คนที่เป็นชนชั้นกลาง คนที่ใช้แรงงานสูงกว่าชนชั้นแรงงานทั่วไป ก็กลัวจะตกงาน ก็ไม่ใช้เงิน แรงงานระดับต่ำลงมาหน่อยก็ยังอยู่ในพวกชนชั้นกลาง ก็กลัวตกงานมากกว่าอีกระดับหนึ่ง ซึ่งของจริงก็มีการตกงานจำนวนมาก จึงไม่มีใครจะไปใช้เงิน
“ตัว C หายไป จะไปเอาการเติบโตมาจากไหน ไม่ใช่ง่ายนะ คนยากคนจนจริงๆ ไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่มีเงินจะใช้ ทำให้การบริโภคหายไปเลย”
ก็เหลือ X–M หรือ การส่งออกสุทธิ ตัวนี้จะพึ่งพาได้เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนปรับตัวจนทำให้กลับไปสามารถแข่งขันได้ แต่กว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะปรับตัวเองได้ใช้เวลานาน สังเกตดูว่าปีแรกเราลดค่าเงิน ซึ่งก็ลดลงไปเยอะ แต่การส่งออกไม่ค่อยเพิ่ม ถ้าคิดเป็นค่าของเงิน เพราะผู้นำเข้าในเมืองนอกจะต่อรองราคาหมด แล้วเราไม่อยู่ในฐานะต่อรองได้
ดังนั้น จริงๆ แล้วถึงแม้ว่าจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ไม่ดีทันตาเห็น ที่ดีทันตาเห็นและค่อนข้างเร็วคือ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด เกิดขึ้นเร็วมาก แต่เป็นผลจาการการนำเข้าน้อยลง ไม่ใช่ส่งออกเพิ่มขึ้น เพราะคนไม่มีเงิน แล้วผมจะโยงให้เห็นอีกจุดหนึ่ง
ด้านการคลังยังมีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นปัญหา ตอนหลังผมเลิกทันที คือ เพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 10% ซึ่งทำสมัยคุณทนง (ดร.ทนง พิทยะ) เป็นเพราะไอเอ็มเอฟเป็นคนสั่งและไปยอมไอเอ็มเอฟ แบบนี้แล้วจะไปหาการเติบโตมาจากไหน เพราะด้านการเงินก็มีปัญหาในแง่นโยบาย ง่ายๆ คือ ทุนสำรองหมด ด้านการคลังก็ถูกบังคับด้วยเงื่อนไขไอเอ็มเอฟ ห้ามขาดดุลเป็นอันขาด
อีกอย่างผมก็เห็นว่า เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งการลงทุน การบริโภคย่ำแย่หมด จะพึ่งได้ก็แค่รัฐบาลกับการส่งออกสุทธิ ดังนั้นเราก็ต้องไปแก้ไขตรงนี้
ต่อมาดูภาคสถาบันการเงิน เรื่องนี้หนักหนาสาหัส บริษัทเงินทุน 90% เจ๊งไปแล้ว รัฐเข้าไปแปลงหนี้ ก็คือเข้าไปทดแทนเป็นเจ้าหนี้แทนผู้ฝากเงิน เอาเงินหลวงจ่ายผู้ฝากเงินหมด แล้วก็รวบเอาบริษัทเงินทุนมาอยู่ใต้ความรับผิดชอบของรัฐ ก็คือเราเอาเงินภาษีของรัฐไปช่วยเหลือภาคเอกชน ไม่ได้ถือเป็นนโยบายที่ผิด เรื่องนี้ที่ไหนในโลกก็ทำกันหมด
เพราะสิ่งที่จะทำลายสถาบันการเงินหรือภาคการเงินอย่างสมบูรณ์ก็คือ ทำให้คนไม่มีความมั่นใจ และคนไม่มีความมั่นใจมากที่สุดคือคนฝากเงิน ไม่ใช่คนกู้ เพราะคนกู้เอาไปแล้ว ตอนนั้นเราก็มีปัญหาสถาบันการเงินล้มเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
นโยบายเรื่อง ปรส. (องค์การเพื่อการปฏิรูปสถาบันการเงิน) และ บบส. (บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน) ได้ทำเป็นกฎหมายออกมาแล้ว ซึ่งผมได้ทบทวนเรื่องพวกนี้ทั้งหมด และไม่คิดว่ามันผิด เพราะจริงๆ แล้วไม่รู้ว่าจะทำอะไรอีกแล้ว
ปัญหาใหญ่ก็คือ ประเทศได้เอาเงินออกไปคืนให้ผู้ฝากเงิน ไปเป็นเจ้าหนี้เงินฝากคนเหล่านี้ทั้งหมด จึงต้องยึดเอาทรัพย์สินมา ในเมื่อยึดมาแล้วถามว่า คนที่ไปยึดมามีความสามารถในการบริหารไหม แล้วการบริหารลูกหนี้เงินกู้ในระบบของระบบการเงินปกติ จะต้องมีการให้บริการ ต้องรับชำระคืน ต้องให้กู้เพิ่ม ต้องสนับสนุนเวลาเขาประสบความสำเร็จ
ของแบบนี้ ในเมื่อเจ้าหนี้ส่วนใหญ่คือแบงก์ชาติ หรือกองทุนฟื้นฟูฯ (กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน) ก็ถือเป็นแบงก์ชาติ จะไปรู้เรื่องอะไร และใครจะมานั่งบริหารภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงในลักษณะที่ควรจะเป็นไป ทั้งหมดที่ทำคือจะ liquidate (ชำระบัญชี) เอาเงินคืนอย่างเดียว
เพราะฉะนั้น ต้องมาคิดดูว่ามีทางเลือกอื่นไหม ที่ใช้ระบบคืนหนี้ไปให้ภาคเอกชนอย่างเร็วที่สุด และวิธีถูกต้องที่สุด คือต้องทำตามระบบตลาด จริงๆ นี่คือที่มาที่ไปของ ปรส.
มีอีกวิธีหนึ่งง่ายมาก คือ ตั้งทนายประจำแผ่นดิน ฟ้องทุกราย เอาเงินคืนมา เพราะเมื่อเป็นหนี้หลวงแล้ว ก็ตั้งทนายฟ้องกันหมดทุกคน แต่เศรษฐกิจจะเจ๊งหมดแน่นอน
เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วต้องมีวิธีการบริหารในลักษณะต้องคืนคนเหล่านี้ไปสู่สถาบันการเงินปกติเร็วที่สุด และวิธีการคืนไปอย่างรวดเร็วที่สุด ก็คือ การหา market price (ราคาตลาด) ในการคืน
“ในสภาพซึ่งเศรษฐกิจทั่วๆ ไปแย่ จะไปรักษาคนเหล่านี้ให้ดี ท้ายสุดก็ต้องเลว ฉะนั้น คนที่รับหนี้ไปก็ต้องมีส่วนลด ดังนั้นก็มาประมูลกัน ไปเอามาสิ แล้วรัฐก็ต้องรับผิดชอบ อันนี้คือแนวที่ไอเอ็มเอฟได้วางไว้ ซึ่งผมไม่คิดว่ามันผิด จึงดำเนินการต่อ”
ปกป้อง : คุณธารินทร์เล่าถึงสภาพปัญหาในวันที่เข้ารับตำแหน่ง ตอนนั้นสำหรับคุณธารินทร์ อะไรเป็นโจทย์สำคัญของเศรษฐกิจไทย และอะไรที่คิดจะแก้ปัญหา และแนวทางในการแก้ปัญหาของคุณธารินทร์และประชาธิปัตย์วันนั้นแตกต่างจากแนวทางของรัฐบาลก่อนหน้านั้นอย่างไร
ครับ กำลังจะไปตรงนั้น ผมต้องเล่าว่าปัญหาคืออะไร หลังจากนั้นจะบอกว่าเราทำอะไร ผมได้แตะเป็นแต่ละภาคก่อน ที่ได้พูดมาแล้วคือ ปัญหาภาคนโยบายการเงิน ภาคการคลัง ภาคสถาบันการเงิน และภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง
คำถามต่อไปก็คือว่า สิ่งที่เราไปตกลงกับไอเอ็มเอฟคืออะไร ผมได้เล่าให้ฟังแล้ว คือ เขาให้เราเข้มงวดนโยบายการเงิน ดอกเบี้ยต้องสูง สภาพคล่องไม่มี ภาคการคลังคือว่า ภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 10% ไม่มีการขาดดุลงบประมาณ ไม่ใช่รัฐบาลอย่างเดียว รัฐวิสาหกิจก็ต้องใช้เงินลงทุนเท่ากับกระแสเงินสดที่หามาได้เท่านั้น รัฐวิสาหกิจจะกู้เงินเพื่อขยายกิจการก็ไม่ให้ และวิธีการแก้ไขหนี้สินของภาคสถาบันการเงินเขาก็บอกว่า “ต้องใช้วิธีการปรส. และ บบส.”
ปรส. เป็นองค์กรอิสระ เป็นองค์กรเอกเทศ เพื่อเข้าไปแก้ไขปัญหาหนี้สินของสถาบันการเงิน จริงๆ แล้วคือทรัพย์สินของแบงก์ชาติ
ส่วน บบส. เป็นองค์กรซึ่งขึ้นกับนโยบายรัฐบาล หน้าที่มีไว้เพื่อสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในกระบวนการของ ปรส. ถ้าหากเห็นราคาต่ำเกินไปก็ต้องเข้ามาประมูลเพื่อให้ราคาสูง ถ้าหากเห็นว่าคนที่มาประมูลฮั้วกันมาก็ต้องเข้ามาเบรก หรือหมายความว่า ถ้าราคาต่ำเกินไปก็ต้องเป็นคนยัน ฮั้วกันมากเกินไปก็ต้องดีดราคาขึ้น
ท้ายที่สุด ผมพยายามชี้ให้เห็นว่า บบส. ประมูลได้หนี้ ปรส. มากที่สุด คือที่ผ่านมาอ้างว่า ฝรั่งประมูลไปเยอะ ก็เยอะจริง แต่น้อยกว่าคนไทยประมูล
และอีกอันหนึ่งที่ไม่มีใครยอมพูดถึง ถามว่าแบงก์พาณิชย์มีใครประมูลไหม ไม่มีสักหนึ่งรายที่เข้าประมูล แบงก์ไทยใหญ่ๆ ทั้งหลายไม่มีแม้แต่หนึ่งราย เพราะตัวเองกำลังจะไปไม่รอดอยู่แล้ว
ภาคการเงินที่ผมพูด พูดแต่เรื่องบริษัทเงินทุน ซึ่งเป็น 1 ใน 6 ของระบบการเงินทั้งหมด ผมยังไม่ได้พูดถึงเรื่องแบงก์พาณิชย์ โอ้โฮ! น่าดู ก็มีประเภทซึ่งไปกู้ยืมเงินกองทุนฟื้นฟู จนท้ายที่สุดต้องยึด ผมต้องเป็นคนดำเนินนโยบาย nationalize (ยึดเป็นของรัฐ) เพราะไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามสมควรที่จะเป็นแบงก์แล้ว คือ ไม่มีเงินฝากอีกแล้ว ไปกู้เงินแบงก์ชาติมาหมด
อันที่สองก็มีระบบแบงก์ที่ไม่ทำงาน อย่างพึงเป็นระบบแบงก์ เพราะทุกคนเกร็งหมด ที่สมัยนั้นโจมตีกันว่าไม่มีสภาพคล่อง จริงๆ แล้วแบงก์ไม่ทำงาน สภาพคล่องมี แต่แบงก์ไม่ยอมปล่อย นี่ก็คือของจริง
แล้วทำอย่างไรจะให้ปล่อย แบงก์ก็พูดตลอดเวลาว่า “ผมจะปล่อยให้ใครก็เจ๊งกันหมด แล้วผมก็กลัวผมจะเจ๊งด้วย ผมก็ต้องเข้มงวด”
และยังไม่พอ ในความเป็นจริง ประมาณหลังจากหนึ่งปีที่เราลดค่าเงินบาท เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ สภาพคล่อง ความไม่เชื่อมั่น และสภาพความรวนเรทั้งหมด เอ็นพีแอล (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) เพิ่มขึ้นไปตั้ง 47% นั่นคือปัญหาใหญ่ที่สุดที่ผมเจอ
“ 47% จริงๆ มันเจ๊งแล้วทั้งระบบ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา เราก็ต้องหาวิธีแก้”
มีอีกปัญหาของระบบสถาบันการเงิน น้องๆ กับคำว่าเราไม่มีทุนสำรอง อีกเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ และเป็นเรื่องสำคัญที่ผมต้องแก้ให้สำเร็จให้ได้ ก็คือแบงก์พาณิชย์ออก LC (Letter of credit) ไม่มีแบงก์ไหนในโลกรับ
“พูดง่ายๆ คือ ไม่มีความน่าเชื่อถือ”
เพราะฉะนั้น ตัวนี้จะเป็นตัววงจรที่ตัดขาดการนำเข้า และจะย้อนกลับเข้าไปที่ปัญหาทุนสำรองเหมือนกัน แต่เกิดขึ้นจากระบบการเงิน ซึ่งขณะนี้เจอปัญหานี้เหมือนกันหมด เช่น สเปน
ของเราตอนนั้นโดยเงียบๆ ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ กรุงไทย เริ่มมีแล้ว ผมต้องดำเนินการให้แบงก์เหล่านี้มีความมั่นใจจากแบงก์เมืองนอกให้ได้ ถึงจะไม่สะดุดในเรื่องระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง แล้วแถมยังทำให้เขาแข็งแรงเพื่อให้แบงก์นอกมีความมั่นใจกลับมาให้กู้อีก มันก็เป็นเรื่องที่ใหญ่
สิ่งที่เป็นปัญหาส่วนตัวของผม ผมตัดสินใจขณะนั้นไม่อธิบายความจริงในประเทศไทยให้คนไทยฟัง ไม่อธิบาย เพราะถือว่าอธิบายไปเดี๋ยวหมดกำลังใจพังกันหมด อันนี้เป็นประเด็นในพรรคประชาธิปัตย์เยอะนะ เขาจะมาหาว่าผมไม่อธิบาย “ทักษิณ”(ชินวัตร)มาชุบมือเปิบเอาผลงานไปเราไปหมด
ความจริงเขาช่วยผมอธิบายก็ได้ แต่เขาก็ไม่ได้ช่วย เราต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างซึ่งไม่ง่าย ผมเอาความจริงประเทศไทยวันนี้มาเล่าให้คนไทยฟังทั้งหมด จะอยู่ด้วยกันได้เหรอ
อันนี้เราพูดถึงภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง นโยบายการเงิน ฐานะการคลัง สถาบันการเงิน คราวนี้พูดถึงชาวบ้าน สิ่งที่เป็นปัญหาทันทีคือ คนยากจนต้องจนอีก คนชั้นกลางก็อาจจะกลายเป็นคนยากคนจน คนรวยก็รวยอยู่แล้ว ไม่ถึงขนาดตายหรอก
แต่ที่เรากลัวคือ คนรวยหนีประเทศ เอาเงินไปเล่นที่อื่นหมด ซึ่งหมายความว่าเราจะเพิ่มทุนสำรองไม่ได้ นี่คือปัญหาที่อาร์เจนตินาเคยมีมา ทำเท่าไรทุนสำรองก็ไม่ขึ้น ได้ทุนสำรองมาคนรวยก็เอาเงินออกไปอีก เพราะไม่มีความมั่นใจในประเทศตัวเอง ถอนทุน ย้ายทุน และขณะนี้คือปัญหาของประเทศเวียดนาม
แต่ปัญหาที่ผมเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเรื่องความยุติธรรมในสังคม คือเรื่องการดูแลปัญหาความยากจนที่เกิดวิกฤติขึ้นทันทีทันใด ในนโยบายรัฐบาลก่อน ที่ไปตกลงกับไอเอ็มเอฟไว้ก็ไม่มีการพูดถึง
ผมบอกใส่เข้าไปเลย “ต้องมีนะ” และเวลาคุยกับไอเอ็มเอฟ ผมก็บอกว่า คุณเห็นอินโดโนเซียไหม จะทำอะไรก็ไม่ได้ มีเดินประท้วงทุกวัน เมืองไทยเรายอมให้เกิดขึ้นแบบนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาต้องฟังว่าเราจะเอาอะไร
ถึงตรงนี้ ผมจะเล่าให้ฟังว่า เราเป็นประเทศที่โชคดี เพราะภาคเกษตรมีความเข้มแข็งมาก และมีคำว่า real economy (เศรษฐกิจที่แท้จริง) สูง ในด้านภาคแรงงาน ภาคเกษตรสามารถ absorb (รองรับ) แรงงานจากภาคอุตสาหกรรมได้เวลามีวิกฤติ คือตกงานกลับไปก็ยังอยู่ได้ดี ไม่ถึงกับอดตาย พ่อแม่พี่น้องยังเลี้ยงอยู่
“การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ความยืดหยุ่น ความแข็งแรงในการต่อสู้ของวิกฤติ ถ้าไม่มีภาคเกษตรไทยอย่างที่เป็นอย่างที่เห็นอยู่ก็ยากนะ”
ถ้าเป็นภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด ถ้ากระทบก็กระทบถึงข้างล่างเลย แต่ภาคเกษตรสามารถสร้างกำไรถ้าเราลดค่าเงินมากๆ ก็อยู่ได้ อยู่ได้ดีด้วย เพราะฉะนั้นเขาก็รองรับได้ อีกอย่าง ในแง่สังคมไทย เราเป็นสังคมที่เป็นครอบครัวใหญ่ ไม่ใช่แบบฝรั่งที่เป็นครอบครัวเดี่ยว การเกื้อกูลกันตั้งแต่ปู ย่า ตา ยาย จนถึงหลานเล็กๆ และดูแลกันในยามยากเวลาปู่ ย่า ตา ยาย ไม่สบาย คนเฒ่า คนแก่ดูแลกัน นี่คือสภาพสังคมไทย จริงๆ คนอื่นก็มี แต่กรณีเมืองไทยผมเชื่อว่ามีมากกว่าที่อื่น
ฉะนั้น ผมสามารถแก้ไขปัญหาอย่างอื่นได้ โดยไม่ต้องกังวลมากจนเกินไปเกี่ยวกับที่ต้องมาดูแลเรื่องปากท้องทุกวัน ด้วยการจัดการวิธีทางการเมือง
แต่ปัญหาของประเทศไทยในขณะนั้นคือ คนจะจนลงมากๆ และแน่นอน ไปกระทบการบริโภค และอยากจะชี้ให้เห็นว่าไอเอ็มเอฟไม่เคยสนเรื่องพวกนี้ และไม่รู้ด้วย
เล่าให้ฟังแบบกว้างๆ ว่าสภาพเป็นแบบนี้ และข้อตกลงไอเอ็มเอฟก็เป็นอย่างที่ว่า ถามว่าทำไมไอเอ็มเอฟถึงเป็นอย่างนี้ ถ้าถามความเห็นผม ซึ่งผมประสบมามาก และเจอมามาก จริงๆ แล้วเขาเจอปัญหาอาร์เจนตินา เจอปัญหาละตินอเมริกา เขาจะมีความชำนาญทางโน้นมากกว่า พอมีปัญหาเอเชีย ไทยกับเกาหลีเป็นประเทศแรก เขาก็เริ่มปรับวิธีการใช้ในลาตินฯ คือ เข้มงวดหมดทุกอย่าง
เพราะสิ่งที่ไอเอ็มเอฟกลัวมากๆ คือ เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนคุมไม่อยู่ เพราะการที่ทุนสำรองหมด นายทุนหอบเงินไปต่างประเทศ มีปัญหาขาดความมั่นใจ ไม่มีทางที่จะเพิ่มทุนสำรองได้ สิ่งที่จะตามมาคือ demand (ความต้องการใช้จ่าย) ไม่ลด การนำเข้าเท่าเดิม ทำให้มีปัญหาราคาปรับสูงขึ้นมหาศาล ไอเอ็มเอฟกลัวเรื่องนี้มาก เขาก็บอกว่าเขาใช้โมเดลแบบนี้คิด
“ซึ่งมันผิด เพราะเมืองไทยเรา demand ยืดหยุ่นมาก พอมีปัญหาก็ไม่ซื้อดีกว่า เพราะฉะนั้น จริงๆ สิ่งที่ผมใช้ไปในการเจรจากับไอเอ็มเอฟคือ ทันทีที่เงินเฟ้อเริ่มลงนิดเดียว ต้องแก้ใหม่หมด เขาก็ยอมตามนั้น”
ท้ายที่สุด เหตุผลอย่างที่เล่าให้ฟัง อย่างที่เห็นกันอยู่ เราก็ไปแก้ดังนี้
เรื่องนโยบายการเงินเข้มงวด ใช้อัตราดอกเบี้ยสูง ผมยอม จนกว่าเห็นว่าอัตราเงินเฟ้อลดลง เราจะลงดอกเบี้ย เขาก็ยอม ซึ่งสามารถทำได้หลังจากเราเข้าโปรมแกรมสิงหาคม กว่าจะเห็นผล ผมเริ่มลดดอกเบี้ยได้ประมาณเดือนมิถุนายนปีต่อไป แต่หลักการคือ “เขายอม”
เรื่องต่อไปคือ เรื่องการคลัง การใช้จ่ายของภาครัฐ ซึ่งถือเป็นหัวใจ เมืองไทยรัฐบาลไทยมีจุดแข็งอยู่อย่างเดียวคือความสามารถในการจะกู้และให้กู้ต่อเอาไปลงทุน แล้วรัฐวิสาหกิจก็ต้องกู้ได้ด้วย มาผูกขาไว้แบบนี้มันแย่ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ต้องเจรจาให้สำเร็จให้ได้ เราใช้เวลานานคุยกับไอเอ็มเอฟก็เริ่มรู้เรื่อง
แต่ที่ไม่รู้เรื่อง ต้องขึ้นถึงสภาอเมริกัน (สภาคองเกรส) และผมต้องไปล็อบบี้เองอยู่ตั้งนาน และก็มีหลายคนช่วยประเทศไทย ก็คือ นักเมืองอเมริกัน ซึ่งช่วยพูดกับกระทรวงการคลังอเมริกันให้ยอมทำตามที่ประเทศไทยขอ โดยประธานคณะกรรมการของวุฒิสภาก็เห็นด้วยหลังจากเราไปเล่าให้ฟัง และคนที่ช่วยเราพูดมาคือ วุฒิสภา “Ted Kennedy”
“ท้ายที่สุด ผมสามารถคุยกับรัฐมนตรีคลังของเขารู้เรื่อง อย่างน้อยก็คิดเหมือนกัน เพียงแต่แตะจุดไหนดีกว่า ท้ายสุดเขาก็ผ่อนคลาย ก็ใช้ได้ ถือว่าจบไป”
นี่คือที่มาที่ไปของ LOI (Letter of Intent) หนังสือแสดงเจตจำนงขอความช่วยเหลือทางการเงินจากไอเอ็มเอฟฉบับที่ 3 คือเราไปขอให้ผ่อนคลายทันทีในด้านการใช้จ่ายภาคการคลัง และรัฐวิสาหกิจต้องกู้ได้ ลงทุนได้ รัฐบาลก็กู้ได้ลงทุนได้
ก็ไปอธิบายให้เขาฟังทฤษฎีง่ายๆ คือ “ถ้าเข้มงวดไปหมด แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนมาใช้หนี้ ก็เป็นปัญหาที่ยุโรปกำลังถกเถียงกันอยู่”
ปกป้อง : ถามเบื้องหลังการถ่ายทำ การเจรจากับไอเอ็มเอฟ คนไม่ค่อยรู้ว่า หลังประตูเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตอนต้นไอเอ็มเอฟใช้นโยบายแบบเข้มงวด ตอนแรกๆ เข้าใหม่กำหนดเกินดุลด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่ห้ามขาดดุล ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม และอะไรต่างๆ อย่างที่คุณธารินทร์เล่าให้ฟัง คุณธารินทร์มีโจทย์ว่า ปล่อยไว้แบบนั้นลำบาก ในการเจรจาในฐานะเราเป็นประเทศลูกหนี้ไม่มีอำนาจต่อรองอะไร เราคุยกันอย่างไรในกระบวนการการเจรจาต่อรองกับไอเอ็มเอฟเป็นอย่างไร
ง่ายที่สุดก็พูดความจริง เขาก็เห็นด้วย และคิดว่าเขาเองก็คิดผิด
ปกป้อง : ไอเอ็มเอฟเริ่มยอมรับว่าเริ่มมองว่าตัวเองทำผิดพลาดตอนไหนครับ
คืออย่างนี้ ผมก็ไม่ยากจะพูดอย่างนั้น จริงๆ แล้วเขาพูดว่า “เขาพูดกับคนเก่าไม่รู้เรื่อง อธิบายก็ไม่เป็น ไม่รู้จะทำอะไร ไม่รู้จะแก้ไขตรงไหน”
เขาพูดแบบนั้นจริงๆ เขาพูดกับรัฐบาลเก่าไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จะเอาอะไร ไม่รู้จะตั้งหลักแก้ไขตัวเองอย่างไร เขาก็บอกต้องเอาแบบนี้
“นี่เขาดูถูกนะ”
ปกป้อง : ประเด็นใหญ่ที่เขาคิดว่ามีปัญหาของรัฐบาลก่อนหน้าคืออะไร
การบริหารจัดการไม่รู้จะเอาอะไร ไม่มีเป้าหมายในการดูแลวิกฤติ ไม่รู้จะเริ่มเป็นระบบอย่างไร
“งงเป็นไก่ตาแตกกันไปหมด”
ปกป้อง : คนก็เลยมักจะวิจารณ์ว่า ไอเอ็มเอฟใช้ยาสูตรเดิมกับประเทศอื่น แล้วเอามาใช้ในเมืองไทย
จริงๆ ก็เป็นเช่นนั้น แต่พอเราเปิดประเด็นในการแก้ไข ผมยังเล่าไม่หมด อีกอันที่เราบอกว่า เราจะแก้ไขและเราจะเป็นประเทศแรกที่แก้ไข เขาก็ยอม และท้ายที่สุดเขาก็ได้เครดิต ก็คือเรื่อง SIP (Social Investment Program) หรือโครงการลงทุนเพื่อสังคม ทันทีกลับจากไอเอ็มเอฟ ทุกอย่างปลดหมด
“ตอนนั้นผมไป 2-3 รอบ ไปคุยกับ คลินตัน (บิล คลินตัน) อัล กอร์ และนักการเมือง คุยหมด ก็คุยกันรู้เรื่องจึงสามารถหาวิธีการทางออกได้ ของพวกนี้เราไม่พูดมาก เราถือว่าเราแก้ แต่ทำไมเมื่อก่อนเขาถึงบีบหนักหนา เขาก็พูดตรงๆ ว่าเขาพูดกับเราไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จะเอาอย่างไร เขาก็บอกวิธีแก้คืออย่างนี้ จะเอาไม่เอา เราก็เอาจริงๆ (หัวเราะ)”
ปกป้อง : คุณธารินทร์บอกว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ไอเอ็มเอฟ แต่ปัญหาอยู่ที่ฝ่ายเราไม่มีอะไรที่ชัดเจน
ไม่ใช่ครับ ปัญหาอยู่ที่ไอเอ็มเอฟไปใช้ประสบการณ์ผิดมาปรับใช้ในเอเชีย แต่ปัญหาอีกเรื่องที่เขาพูดคือ คุยกับเราแล้วเราไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร
ปกป้อง : พอคุณธารินทร์เอาความจริงไปพูด
เขาก็ตกลง แต่วิธีการก่อนจะตกลงไม่ได้ง่ายๆ นะ ไอเอ็มเอฟไม่ใช่คนคนเดียว แต่มีบอร์ดหลายคนมาจาก G10 (กลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 10 ประเทศ) G7 (กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ) มากมายไปหมด แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ความคิดเห็นของกระทรวงการคลังอเมริกา กับ ธนาคารกลางอเมริกา มีน้ำหนักมากๆ เป็นคนชี้นกชี้ไม้ในบอร์ดไอเอ็มเอฟ
ท้ายที่สุด เรื่องมันมากขึ้นมาก แล้วเขาก็แก้ให้เมืองไทย บอร์ดสั่ง Management (ฝ่ายจัดการ) ให้ตั้งทีมวิจัยไปจ้างผู้เชี่ยวชาญมาทำ independent study (การศึกษาอิสระ) มีโจทย์ถามว่า นโยบายไอเอ็มเอฟที่เริ่มในเอเชียกับไทยและเกาหลีผิดหรือถูก แล้วมีรายงานให้คณะกรรมการของไอเอ็มเอฟทราบว่า
สิ่งที่แก้ไขไปในเมืองไทยคือ ผ่อนคลายนโยบายการคลัง และนโยบายการเงินเข้มงวดไว้ก่อน จนกว่าเงินเฟ้อจะมีแนวโน้มกลับมาลดลง เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว Management ทำผิด
“ไอเอ็มเอฟเขาก็ใช้ได้นะ เขาประกาศว่า นี่คือที่เขาได้ทำ นี่คือผลสรุปของคณะกรรมการอิสระ และเขายอมรับ ก็แค่นั้นเอง ปัญหาไม่ใช่เรื่องอะไรมาก”
ปกป้อง : แล้วเหตุที่คุณธารินทร์ไปล็อบบี้ทางคองเกรสที่นั่นก็เพื่อให้ทางนั้นไปกดดันไอเอ็มเอฟอีกทีหนึ่ง
กดดันอเมริกัน กดดันกระทรวงการคลัง กับกดดันธนาคารกลางสหรัฐ เพราะพวกนี้เป็นพวกอาจจะเป็นแบบ “Merkel” (Angela Merkel นายกรัฐมนตรีเยอรมัน ซึ่งชอบแนวนโยบายรัดเข็มขัด) แต่ผมต้องเล่าอีกเรื่อง ซึ่งมีผลกระทบต่อทุนสำรอง คนก็ไปว่าอเมริกามากว่ามีปัญหาไม่ช่วยไทย ความจริงอเมริกันเขาอยากช่วยไทย แต่เขาช่วยไม่ได้ เพราะว่าหลังจากที่เขาช่วยเม็กซิโกไปก่อนหน้านั้น ได้เกิดกฎหมายหนึ่งฉบับขึ้นค่อนข้างจะมีชื่อเสียง เขาเรียก D’Amato law คือห้ามอเมริกาให้กู้ยืมกับใครโดยตรงทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น อเมริกันจะมาร่วมใส่เงินในไอเอ็มเอฟแบบที่ญี่ปุ่นทำไม่ได้ เรื่องนี้ผมไปเจรจาเขาช่วยไม่ได้ แล้วทำอะไรได้บ้างล่ะ แต่เรามีปัญหาแบบนี้ ผมก็เล่าปัญหาให้เขาฟัง ก็คือ ฝูงบิน เอฟ 18 ซึ่งพี่จิ๋ว (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ) ไปซื้อเอาไว้ บัดนี้เราไม่มีเงินจ่ายแล้ว คุณยกเลิกได้ไหม
เรื่องนี้ผมก็ต้องให้เครดิตเขานะครับ วันนั้นคลินตันคุยกับผม เขาก็ตกลงว่าเขาจะพยายาม ท้ายที่สุดเขาก็ทำให้ตอนนายกฯ ชวน (หลีกภัย) ไป
“เขาก็ทำให้ขนาดนี้ ท้ายที่สุดเราก็คุยกับอเมริกาได้ดี เท่าที่เขาทำได้ และช่วยพูดให้ประเทศอื่น ในช่วงนั้นก็มีเกาหลี มีอินโดนีเซีย มาขอถอนแพคเก็จช่วยไอเอ็มเอฟจากไทย ผมก็ตอบขอบคุณไปว่า เขามาช่วยก็ดีใจ แล้วเขาก็เจอปัญหาแบบไทย ก็ไม่เป็นไร แพคเก็จไอเอ็มเอฟก็ลดลงไป 2 พันล้านดอลลาร์ ตอนหลังก็มีจดหมายไปขอบคุณ แม้เขาจะเลิก”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น