head ads

วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

เอสเอ็มอี 4,000 รายหายใจรวยริน


Pic_332277

ไทยรัฐออนไลน์
โดย ทีมข่าวเศรษฐกิจ
14 มีนาคม 2556, 05:45 น.
ที่มา http://www.thairath.co.th/content/eco/332277
นายโสภณ ผลประสิทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) กว่า 4,000 รายที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาททั่วประเทศและธุรกิจที่ต้องการเตรียมพร้อมในการรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ได้แสดงความต้องการให้ กสอ.เข้าไปช่วยเหลือในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของสถาบันการเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง รวมถึงการหาตลาดและการลดต้นทุนในการผลิตสินค้า

ทั้งนี้ กสอ.จะให้ความช่วยเหลือแก่ธุรกิจที่เข้าโครงการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและโอทอปสู่เวทีโลก โดยจะให้คำปรึกษาในการทำแผนงานธุรกิจ รวมถึงการตรวจสอบสถานะทางการเงินเพื่อรับรองคุณสมบัติของผู้ประกอบการ ซึ่งจะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถพิจารณาให้สินเชื่อได้เร็วขึ้น  เอสเอ็มอีที่แจ้งความต้องการให้ กสอ. เข้าช่วยเหลือส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจที่อยู่ในต่างจังหวัดและอยู่ไกลจากเส้นทางขนส่ง จึงมีต้นทุนการผลิตที่สูง และที่สำคัญทำเรื่องขอกู้เงินจากสถาบันการเงินไม่เป็น ดังนั้น เมื่อ กสอ.เข้าไปแนะนำจะช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น

ด้านนายเซ็ทซึโอ อิอุจิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศญี่ปุ่น กรุงเทพฯ (เจโทร) กล่าวว่า ปัญหาการขาดแคลนแรงงานฝีมือในอุตสาหกรรมยานยนต์ และนโยบายการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาททั่วประเทศ  เป็นปัญหาต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในอนาคต เนื่องจากจะเกิดการแข่งขันแย่งชิง แรงงานที่มีทักษะในกลุ่มประเทศผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศเอเชียด้วยกันเอง ประเทศไทยต้องเร่งยกระดับทักษะฝีมือแรงงานอย่างเร่งด่วน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยรัฐบาลไทยกับญี่ปุ่นได้ร่วมมือกันในการตั้งโครงการ สถาบันพัฒนาบุคลากรยานยนต์เพื่อให้เกิดระบบการพัฒนาบุคลากรที่ยั่งยืน.

วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

ธ.กลางเกาหลีใต้"สุดอ่วม"ส่อขาดทุนยับ 2.3 หมื่นล้านบ.

ธ.กลางเกาหลีใต้"สุดอ่วม"ส่อขาดทุนยับ 2.3 หมื่นล้านบ. ลงทุน"ทองคำ"ราคาดิ่งฮวบเป็นประวัติการณ์
วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 17:00:40 น.

   
 ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1366185640&grpid=03&catid=03
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 18 เม.ย.ว่า ธนาคารกลางเกาหลีใต้ตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ถูกวิจารณ์โจมตี หลังบริหารลงทุนผิดพลาด ด้วยการลงทุนถือครองทองคำเป็นจำนวนมากในสภาพต้องขาดทุนหนัก โดยประเมินว่า ธนาคารกลางเกาหลีใต้อาจต้องขาดทุนจากการซื้อทองคำเป็นจำนวนกว่า 800 ล้านดอลลาร์ (23,200 ล้านบาท) หลังจากเกิดภาวะราคาทองคำตกฮวบในตลาดโลก

รายงานระบุว่า ที่ผ่านมา ธนาคารกลางเกาหลีใต้ได้ลงทุนถือครองทองคำเป็นจำนวน 104.4 ตัน และสถานการณ์ราคาทองคำตก ทำให้เกิดความวิตกและเสียงวิจารณ์ว่า ธนาคารกลางฯอาจประเมินสถานการณ์ลงทุนทองคำผิดพลาด ซื้่อทองคำไม่ถูกช่วงเวลาและทำให้ต้องขาดทุนเป็นเงินจำนวนสูงมาก โดยนักวิเคราะห์กล่าวว่า หลังจากที่ราคาทองคำปิดที่ 1,361 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือตกลงกว่า 9.3 เปอร์เซนต์ ซึ่งถือว่าตกหนักที่สุดในรอบ 33 ปี ถือเป็นสถานการณ์ที่นักค้าทองคำแตกตื่นอย่างหนัก และเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นราคาทองดิ่งตกฮวบขนาดนี้มาก่อน

ที่ผ่านมา ราคาทองคำถือว่าปรบตัวสูงขึ้นอย่างมากเป็นเกือบ 10 ปีที่ผานมา โดยเมื่อปี 2011 ราคาทองคำได้พุ่งเกินกว่าระดับ 1,920 ดอลลาร์ จากเหตุปัจจัยที่นักลงทุนใช้ทองคำเป็นแหล่งพักทรัพย์สินลงทุน หลังเกิดวิกฤตการเงินโลก

อย่างไรก็ตาม จากราคาทองคำที่ตกฮวบ ทำให้ขณะนี้ธนาคารกลางเกาหลีใต้ ได้ขาดทุนจากการลงทุนถือครองทองคำไปแล้วเป็นมูลค่ากว่า 761 ล้านดอลลาร์ หลังจากซื้อทองคำมาถือครองที่ราคา 1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ นับตั้งแต่ปี 2011 ซี่งนักวิเคราะห์มองว่า ธนาคารกลางเกาหลีใต้ลงทุนซื้อทองคำผิดช่วงจังหวะ โดยถือในช่วงที่ราคาทองคำถึงจุดสูงสุดไปแล้ว

ทว่า ด้านเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางเกาหลีใต้ ได้ออกโรงพยายามลดกระแสวิตกต่อผลกระทบจากการขาดทุนในการซื้อทองคำ ระบุว่า การลงทุนนี้ไม่ได้กระทบต่อแผนการถือครองทุนสำรองต่างประเทศของธนาคารกลางเกาหลีใต้ในระยะยาวแต่อย่างใด

วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

มะกันจ่อขึ้นแท่นผู้ผลิตน้ำมันเบอร์ 1 ส่งเสริมบทบาท-อิทธิพลบนเวทีโลก

เขียนโดย jihad เมื่อ 27 เมษายน, 2013 - 06:41. ข่าว-สถานการณ์ อเมริกา
exxon บริษัทน้ำมันสัญชาติอเมริกา
ที่มา http://www.jihadforjannah.com/bp5/node/3791   
ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของโอบามา ชี้เทคโนโลยีใหม่ซึ่งทำให้สหรัฐฯ สามารถผลิตน้ำมันและก๊าซเพิ่มมากขึ้น กระทั่งกลายเป็นผู้ผลิตอันดับ 1 ของโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า กำลังทำให้บทบาทและอำนาจของอเมริกาในกิจการโลกหนักแน่นขึ้น อีกทั้งส่งผลลึกซึ้งต่อนโยบายด้านการต่างประเทศและความมั่นคงของแดนอินทรี

      ในการแสดงปาฐกถาที่ “ศูนย์นโยบายพลังงานโลก” ซึ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นครนิวยอร์ก เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (24) ซึ่งเป็นปาฐกถาสำคัญครั้งแรกของเขาเกี่ยวกับนโยบายพลังงาน ทอม โดนิลอน ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวว่า การผลิตน้ำมันและก๊าซที่ขยายตัวเกินคาด ช่วยส่งเสริมการสร้างงาน และทำให้เศรษฐกิจแข็งแกร่งขึ้น และสหรัฐฯ มีอำนาจมากขึ้นในการเจรจากับชาติอื่นๆ

      เขาชี้ว่า จากการใช้เทคโนโลยีขุดเจาะแบบใหม่ ด้วยการอัดน้ำที่มีแรงดันสูง (hydraulic fracturing หรือ fracking) ทำให้สามารถสกัดน้ำมันและก๊าซจากหินน้ำมัน (shale rock) และจะส่งให้อเมริกาแซงหน้าซาอุดีอาระเบียขึ้นเป็นผู้ผลิตน้ำมันอันดับ 1 ของโลกในปี 2017

      โดนิลอนซึ่งบอกว่า เวลานี้ตนต้องเกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาด้านนโยบายพลังงานแทบจะทุกวัน กล่าวต่อไปว่า หลังจากเชื่อกันมาตลอด 40 ปีว่า ซัปพลายพลังงานของสหรัฐฯ กำลังลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้อเมริกาต้องพึ่งพิงน้ำมันต่างชาติมากขึ้นๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้กำลังเปลี่ยนไปแล้ว

      การผลิตน้ำมันและก๊าซได้เพิ่มขึ้นเช่นนี้ มีส่วนช่วยในเรื่องที่อเมริกากำลังเป็นผู้นำในการผลักดันการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิหร่านจากกรณีโครงการนิวเคลียร์ และมาตรการคว่ำบาตรอย่างเข้มงวดเช่นนี้เองส่งผลให้เตหะรานส่งออกน้ำมันได้ลดลง กระทบกระเทือนต่อเศรษฐกิจของประเทศนั้น ทว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกไม่ได้พุ่งทะยานแต่อย่างใด

      กระนั้น โดนิลอนยืนยันว่า แม้พึ่งพิงน้ำมันจากตะวันออกกลางน้อยลง แต่อเมริกาจะยังคงร่วมมือกับประเทศต่างๆ เพื่อส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคดังกล่าวต่อไป

      วอชิงตันยังหวังรับบทบาทสำคัญทางการทูตเพื่อช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดในทะเลจีนใต้และทะเลจีนตะวันออกระหว่างจีนกับชาติเพื่อนบ้านที่มีขนาดเล็กกว่า ซึ่งมีปัจจัยผลักดันคือแนวโน้มแหล่งน้ำมันนอกชายฝั่ง โดยโดนิลอนชี้ว่า คณะรัฐบาลโอบามาต่อต้านอย่างหนักแน่นจริงๆ ในเรื่องการใช้กำลังมาสนับสนุนการอ้างสิทธิอธิปไตย

      อย่างไรก็ดี ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาวไม่ได้เปิดเผยว่า รัฐบาลจะดำเนินการอย่างไรกับการตัดสินใจด้านนโยบายพลังงานที่ยังคงคั่งค้างอยู่

      ทั้งนี้ พันธมิตรในเอเชียและยุโรปต่างต้องการให้อเมริกาเพิ่มการส่งออกก๊าซธรรมชาติ เพื่อลดต้นทุนก๊าซนำเข้าของพวกตนลง

      แม้ยอมรับว่า การส่งออกก๊าซธรรมชาติของสหรัฐฯ อาจสามารถลดทอนบทบาทของบางประเทศ เช่น รัสเซียที่เวลานี้มีอิทธิพลครอบงำตลาดก๊าซโลก แต่โดนิลอนไม่ได้เปิดเผยว่า วอชิงตันจะอนุญาตให้ส่งออกเชื้อเพลิงไปยังประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้นหรือไม่

      ปัจจุบัน กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจสอบคำร้องจากบริษัทต่างๆ ที่ต้องการส่งออกก๊าซธรรมชาติ ขณะที่ผู้ผลิตภายในประเทศล็อบบี้อย่างหนักเนื่องจากกลัวว่า การส่งออกก๊าซจะทำให้ต้นทุนเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น และส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของตนก็จะต้องขยับขึ้นเช่นกันในท้ายที่สุด

      นอกจากนี้ โดนิลอนยังไม่พาดพิงถึงโครงการสร้างสายท่อส่งน้ำมันคีย์สโตน เอ็กซ์แอล ที่จะลำเลียงน้ำมันดิบจากแคนาดาไปยังโรงกลั่นในมลรัฐนอร์ทดาโคตา ของสหรัฐฯ

      โครงการนี้ซึ่งต้องได้รับอนุมัติจากโอบามา อยู่ในภาวะหยุดชะงักมาหลายปีแล้ว กลุ่มพิทักษณ์สิ่งแวดล้อมนั้นต้องการให้ยกเลิกเด็ดขาดไปเลย โดยอ้างว่า การผลิตและการจัดส่งน้ำมันชนิดนี้ของแคนาดาจะกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

      ทางด้านเจสัน บอร์ดอฟฟ์ ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายพลังงานแห่งใหม่ของโคลัมเบีย ชี้ว่า วิวาทะเกี่ยวกับการส่งออกน้ำมันและโครงการท่อส่งน้ำมัน เป็นตัวอย่างที่สะท้อนว่า อเมริกากำลังสาละวนกับโครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบที่ร่างขึ้นมาตั้งแต่ในช่วงเวลาที่ประเทศขาดแคลนน้ำมันและต้องพึ่งพิงการนำเข้าน้ำมัน

      บอร์ดอฟฟ์ ที่ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพลังงานระดับสูงของทำเนียบขาวมาจนถึงเดือนมกราคม ทิ้งท้ายว่า พลังงานโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นำไปสู่คำถามเร่งด่วนเกี่ยวกับนโยบายมากมายที่ไม่มีใครเคยนึกถึงมาก่อน

      ทั้งนี้ ศูนย์นโยบายพลังงานของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียแห่งนี้ มีจุดมุ่งหมายที่จะอุดช่องโหว่ทางด้านนโยบายเหล่านี้ ด้วยการวิเคราะห์วิจัยอย่างเป็นอิสระในประเด็นปัญหาต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับกับภาวะที่สหรัฐฯกลับมีพลังงานเหลือล้น ตลอดจนเรื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก

ผู้บริโภคสูญเงินมูลค่าเท่ากับทอง 1 แท่งทุกปีจากการใช้เงินสด!

ข่าวข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันศุกร์ที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๖
ขนาดตัวอักษร:ใหญ่กลางเล็ก

กรุงเทพฯ--5 เม.ย.--สปาร์ค คอมมิวนิเคชั่นส์
ที่มาhttp://www.newswit.com/fin/2013-04-05/62a58cbb2909e8686f19877db14f1d5a/
คนไทยสูญเงินมากถึง 2,000 บาททุกปีจากเศษเหรียญและเงินตราต่างประเทศที่ไม่ได้ใช้

ผลการศึกษาที่ใช้ชื่อว่า Visa Payment Attitudes Studyระบุ ผู้คนส่วนใหญ่สูญเงินมากถึง365ดอลลาร์สหรัฐโดยเฉลี่ยในทุกปีจากเงินสดที่ลืมไว้ในบ้านหรือรถยนต์ หรือเงินตราต่างประเทศที่ไม่ได้ใช้จากการเดินทางท่องเที่ยวในวันหยุดหรือเพื่อติดต่อธุรกิจ จำนวนที่ดูเหมือนจะเล็กน้อยนี้มีมูลค่าเฉลี่ย 1 ดอลลาร์ต่อวัน หรือเทียบเท่าทอง 6.5กรัม

 
วิถีชีวิตที่วุ่นวายทำให้หลายครั้งผู้คนส่วนใหญ่สูญเสียความสามารถในการติดตามควบคุมเรื่องเล็กๆ น้อยๆ รอบตัวพวกเขา เช่น เศษเงินเหรียญ โดยพวกเขาทิ้งเงินเฉลี่ย 80 ดอลลาร์ไว้ในรถยนต์ บ้าน และสำนักงาน ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ ทั้งนี้ ในกลุ่มประเทศที่ทำการสำรวจ มีตัวเลขที่น่าตกใจ คือ ชาวญี่ปุ่นมักลืมหรือมีเศษเหรียญที่ไม่ได้ใช้เฉลี่ยถึง 337 ดอลลาร์ ขณะที่ชาวอินโดนีเซียใช้เงินระมัดระวังที่สุด เพราะไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม พวกเขาจะลืมเงินหรือเศษเหรียญไว้เพียง 21 ดอลลาร์เท่านั้น

การกลับมาบ้านหลังจากท่องเที่ยวในวันหยุดโดยที่มีเศษเหรียญและธนบัตรที่เป็นเงินตราต่างประเทศเต็มอยู่ในกระเป๋านั้นถือเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้น จากการศึกษาดังกล่าว คนทั่วไปเดินทางกลับถึงบ้านพร้อมเงินตราต่างประเทศที่ไม่ได้ใช้เฉลี่ย 285 ดอลลาร์[1]

ส่วนคนไทยสูญเงินเฉลี่ย 66 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,980 บาท) ต่อปี ซึ่งมาจากเศษเหรียญต่างๆที่มีมูลค่าถึง42 ดอลลาร์ (1,260 บาท) และเงินตราต่างประเทศที่ไม่ได้ใช้ 24 ดอลลาร์ (720 บาท)

"การตามเก็บเงินสดอาจเป็นเรื่องยุ่งยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ยุ่งเหยิงและวิถีชีวิตที่ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่มากขึ้นทุกที เรารู้มานานแล้วว่าการพกพาเงินสดอาจไม่สะดวกและไม่น่าเชื่อถือ และตอนนี้เราได้ทราบจากการวิจัยครั้งนี้ว่า ผู้บริโภคเงินหมดกระเป๋าเนื่องจากการใช้จ่ายด้วยเงินสด ทั้งนี้ คนไทยควรตระหนักถึงจำนวนเงินที่อาจจะสูญไปจากการใช้เงินสด โดยหันมาเลือกใช้บัตรวีซ่าของตนมากขึ้นเมื่อเดินทาง" นายสมบูรณ์ ครบธีรนนท์ ผู้จัดการวีซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล ประจำประเทศพม่าและไทยกล่าว

ผลการศึกษาพบว่า โดยเฉลี่ยผู้บริโภคในภูมิภาคมีบัตรเดบิต 2 ใบ แต่พบว่าการรับรู้เกี่ยวกับการใช้บัตรเดบิตในต่างประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ เพียงร้อยละ 42 รับรู้ว่าพวกเขาสามารถใช้บัตรเดบิตได้ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม บัตรเดบิต โดยเฉพาะบัตรเดบิตวีซ่า ได้รับการยอมรับกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก และสามารถนำไปใช้ในร้านค้า ใช้จับจ่ายออนไลน์ หรือแม้แต่การซื้อสินค้าที่ตามจริงต้องใช้เงินสดและการถอนเงินสดจากตู้เอทีเอ็มในต่างประเทศ

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวีซ่าและบัตรเดบิตวีซ่าได้ที่ www.visa-asia.com หรือ www.visacemea.com

[1]เงินตราต่างประเทศที่จ่ายเป็นทิปภายในสนามบิน และ/หรือวางไว้ไม่เป็นที่

วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556

การทำธุรกิจการค้าปลีกและการค้าส่งยังเติบโตได้อีก!

 Written by  AECeconomy Team
ที่มาhttp://www.aececonomy.com/
ในเส้นทางการทำธุรกิจการค้าปลีกและการค้าส่งยังคงมีแนวโน้มไปได้อย่างไกล อย่างต่อเนื่อง เพราะมีทิศทางการพัฒนาในด้านการใช้เทคโนโลยีในด้านอุตสาหกรรมการค้าปลีกและ การค้าส่งเพิ่มมากขึ้นซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ

ทางสมาคมผู้ค้าปลีกค้าส่งไทยชี้ทิศทางปี 2556 ในด้านการเติมโตของภาคเศรษฐกิจการค้าปลีกและการค้าส่งไว้ดังนี้ครับ

1 ธุรกิจค้าปลีกประเภทร้านสะดวกซื้อ มีแนวโน้มในการเติบโตมากที่สุดซึ่งเมื่อเฉลี่ยการเติบโตจะอยู่ที่ 18 เปอร์เซ็น ของผู้ทำธุรกิจค้าปลีกสินค้าและค้าส่งสินค้าซึ่งคิดเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ทั้งหมด

2 สินค้าประเภทออแกนิค หรือก็คือสินค้าความสวยความงาม สินค้าเพื่อสุขภาพ ซึ่งตอนนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากและมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

3 สินค้าคุณภาพดี ราคาสูง ตอนนี้ก็ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคที่มองหาสินค้าคุณภาพ ที่สำคัญบุคคลผู้มีรายมากขึ้นมักจะมองหาคุณภาพมาก่อนเสมอและสินค้าคุณภาพส่วนใหญ่มักมีราคาสูงหรือราคาแพง

4 ธุรกิจค้าปลีกประเภทไฮเปอร์มาร์เกต มีการเนินการทำกิจรรมในการกระตุ้นยอดขายผ่านรอยัลตี้โปรแกรม

5 .ร้านค้าปลีกประเภทสุขภาพและความงามมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้เป็นผลพลอยได้ทางธุรกิจของร้านขายยาที่ต้องหันมาเป็นพันธมิตรกับร้านค้าปลีกประเภทสุขภาพและความงามให้เศรษฐกิจแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

6 ธุรกิจค้าปลีกประเภทตลาดสดกลับเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตลดลงเนื่องจากผู้บริโภคมีพฤติการรมที่เปลี่ยนแปลงการบริโภคไปเนื่องจากสื่อต่างๆ และตลาดสดมีการเป็นมาเป็นตลาดนัดเพิ่มมากขึ้นอีกด้วยครับ

7 ร้านค้าปลีกประเภทอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้าน สำหรับธุรกิจนี้มีการเติบโตไปตามธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

8 โอกาสที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจะเติบโตจะต้องมุ่งทำตลาดเฉพาะ (Niche) มากขึ้น

9 On line marketing และเทคโนโลยีใหม่ๆ มีการนำเข้ามามีบทบาทในการทำธุรกิจมากยิ่งขึ้น ซึ่งสิ่งนี้สามารถตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วมาก

10 เทคโนโลยี Omni Channel  จะได้รับการพัฒนาเพื่อรวบรวมช่องทางที่หลากหลาย Multichannel ให้เป็นหนึ่งเดียวโดยไร้รอยต่อของการปฏิสัมพันธ์ ไม่ว่าจะจับจ่ายใน store หรือ จับจ่ายผ่าน smart phone ข้อมูลธุรกรรมของลูกค้าจะถูกบูรณการในฐานข้อมูลและนำไปสู่การวิเคราะห์พฤติกรรมได้อย่างสมบูรณ์

'โออีซีดี'ชี้เศรษฐกิจอาเซียนสดใส

+ 2013-01-15
ที่มาhttp://www.apecthai.org/apec/th/econnews.php?id=868
รายงานขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ โออีซีดี ภายใต้หัวข้อ แนวโน้มเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปี 2556 (Southeast Asian Economic Outlook 2013) ซึ่งเผยแพร่เมื่อเร็วๆนี้

ที่กระทรวงการต่างประเทศ ชี้ให้เห็นว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งสองมหาอำนาจเศรษฐกิจโตเร็วของเอเชีย คือ จีนและอินเดีย จะฟื้นตัวออกจากภาวะชะลอตัวที่เกิดขึ้นในระหว่างปี 2554-2555 และจะเข้าสู่ภาวะขยายตัวอย่างรวดเร็วอีกครั้งระหว่างปี 2556-2560 หรือช่วง 5 ปีนับจากปี 2556 เป็นต้นไป

    การคาดการณ์ในระยะกลางว่าด้วยเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของโออีซีดี ดิเวลลอปเมนท์ เซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านวิจัยของโออีซีดี ชี้ว่า เศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีการเติบโตอย่างรวดเร็วอีกครั้งระหว่างปี 2556-2560 ที่อัตราเฉลี่ย 5.5% (ดังแผนภูมิประกอบ) ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับที่เคยเป็นมาในช่วงก่อนเกิดวิกฤติการเงิน หรือ pre-crisis period ระหว่างปี 2543-2550

    ความสำเร็จของประเทศในภูมิภาคนี้ในการรักษาอัตราการเติบโตในปี 2555 ที่ระดับ 5.3% เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและฟื้นตัวท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงมากมายจากภายนอกภูมิภาค อินโดนีเซียเป็นประเทศที่ได้รับการคาดหมายว่าจะมีการเติบโตมากที่สุดที่ 6.4 % ในช่วงเวลา 5 ปีนับจากนี้ ซึ่งจะเป็นการเติบโตในอัตราสูงกว่าที่เคยทำได้ในช่วงหลังวิกฤติการเงินเอเชียปี 2550 และเท่าๆกับอัตราเฉลี่ยในช่วง 2ทศวรรษก่อนเกิดวิกฤติดังกล่าว ภาพรวมที่มีแนวโน้มดีวันดีคืนนี้สะท้อนให้เห็นบรรยากาศด้านการลงทุนที่ดีขึ้นมากโดยเฉพาะในแง่การให้ความสนับสนุนการลงทุนของต่างชาติ นอกจากนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียเองยังมีแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานอีกมาก รวมทั้งแผนปฏิรูปเศรษฐกิจ



    ส่วนความคาดหมายเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย ในระยะ 5 ปีข้างหน้าก็นับว่าอยู่ในอัตราสูงกว่าประเทศกำลังพัฒนารายอื่นๆ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากอัตราการออมภายในประเทศอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูง แต่ที่โออีซีดีคาดการณ์ให้ประเทศเหล่านี้มีแนวโน้มการเติบโตของจีดีพีน้อยกว่าอินโดนีเซียก็เพราะทั้ง 4 ประเทศกำลังอยู่ในภาวะที่นอกจากจะเร่งความเร็วในการเพิ่มผลผลิตได้ยากแล้ว ยังเสี่ยงต่อการตกสู่กับดักของการเป็นประเทศรายได้ระดับกลาง หรือที่เรียกว่า middle-income trap ซึ่งทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ช้าลง          



    ทั้งนี้ รายงานระบุว่า หัวจักรขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน ยังเป็นอุปสงค์ภายในประเทศ ทั้งในส่วนของการจับจ่ายใช้สอยและการลงทุนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ โออีซีดี ยังคาดการณ์ว่าประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียนจะมีการขาดดุลด้านการคลังลดน้อยลง ซึ่งนำไปสู่เสถียรภาพมากขึ้นและหนี้สาธารณะที่ลดน้อยลงเมื่อเทียบเป็นสัดส่วนของจีดีพี อย่างไรก็ตาม บางประเทศยังคงจำเป็นต้องสร้างความแข็งแกร่งทางการคลังด้วยการเพิ่มรายได้เข้ารัฐด้วยช่องทางต่างๆ และหลายประเทศจะต้องเผชิญกับความท้าทายด้านนโยบายเศรษฐกิจมหภาคจากหลายปัจจัย อาทิ การไหลเข้าอย่างรวดเร็วของทุนต่างประเทศ ขณะที่ลาว กัมพูชา และเวียดนาม จะเผชิญปัญหาจากภาวะที่มีการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯควบคู่กับสกุลเงินท้องถิ่นอย่างกว้างขวางในระบบเศรษฐกิจของประเทศ

    รายงานของโออีซีดีระบุว่า ความท้าทายสำหรับประเทศไทยคือการพัฒนาการศึกษาและระบบสวัสดิการด้านสุขภาพ ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามรับมือกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่มีมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งเป็นผลพวงมาจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วทางเศรษฐกิจ แม้โออีซีดีจะยอมรับว่า ไทยมีความก้าวหน้าในระดับที่น่าประทับใจในการกระจายการศึกษาและบริการด้านสุขอนามัยแก่ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ แต่ความไม่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงบริการทั้งสองด้านดังกล่าวก็ยังคงมีอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนจน และยังมีความแตกต่างมากระหว่างชนบทและเมืองใหญ่ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความสนใจและดำเนินการแก้ไข คุณภาพการศึกษายังจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านคุณภาพของครู รายงานยังระบุด้วยว่า ในส่วนของบริการสาธารณสุขซึ่งต้นทุนค่าใช้จ่ายกำลังถีบตัวสูงขึ้น จำเป็นต้องมีการคุมต้นทุนไว้ด้วยการมาตรการปฏิรูปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ

    "ไทยยังจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากก้าวการพัฒนาในอดีตที่ผ่านมา และจำเป็นต้องสร้างการเติบโตควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้มากยิ่งขึ้น (greener growth) ในอนาคตด้วยการลดการสร้างก๊าซคาร์บอนสู่บรรยากาศ รวมทั้งมลพิษในรูปแบบอื่นๆ" ส่วนหนึ่งของรายงานในส่วนที่เกี่ยวกับประเทศไทยให้ข้อเสนอแนะ พร้อมระบุว่า การจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้จำเป็นต้องอาศัยความมุ่งมั่นจริงจังจากรัฐบาล องค์กรธุรกิจ รวมทั้งภาคประชาชน และจำเป็นต้องอาศัยนโยบายใหม่ๆเป็นเครื่องมือ ซึ่งรวมถึงการใช้มาตรการด้านการคลังให้สิทธิประโยชน์จูงใจมากขึ้นเพื่อส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมและพฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น  

 จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,806  วันที่   3 - 5  มกราคม พ.ศ. 2556

นักวิชาการเผยไทยมีผู้สูงอายุมากสุดในอาเซียน

By Digital Media | 13 เม.ย. 2556 11:20
นักวิชาการด้านประชากร เผยปัจจุบันไทยกลายเป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดในอาเซียน พอๆ กับสิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย แนะเร่งเตรียมความพร้อมรองรับ
ที่มาhttp://www.mcot.net/site/content?id=5168dcf0150ba05c51000027#.UXXGUaLEE4c
สำนักข่าวไทย 13 เม.ย. - เนื่องในวันผู้สูงอายุแห่งชาติ 13 เมษายน นักวิชาการด้านประชากรเผยปัจจุบันไทยกลายเป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดในอาเซียน พอๆ กับสิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย แนะเร่งเตรียมความพร้อมรองรับ โดยเฉพาะผู้สูงวัยที่จะอยู่ลำพัง หรืออยู่คู่กันสามีภรรยา

ศ.ปราโมทย์ ประสาทกุล อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล  กล่าวถึงสถานการณ์ของผู้สูงอายุไทยว่า ปัจจุบันประชากรของประเทศ ไม่รวมแรงงานข้ามชาติ มีจำนวน 64.5 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นผู้สูงอายุตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 คือบุคคลซึ่งมีอายุเกินกว่า 60 ปีบริบูรณ์จำนวน 8.3 ล้านคน หรือร้อยละ 13 ของประชากรทั้งหมด แต่หากนับที่อายุ  65 ปีขึ้นไปเหมือนหลายประเทศ จะมีจำนวน 5.8 ล้านคน หรือร้อยละ 9 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วพบว่าประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุมากที่สุดในกลุ่มอาเซียน ใกล้เคียงกับสิงคโปร์ที่มีประชากรอายุ 65 ปี ร้อยละ 9 ตามด้วยเวียดนาม ร้อยละ 7 อินโดนีเซีย ร้อยละ 6

ศ.ปราโมทย์ กล่าวต่อว่า สถานการณ์การผู้สูงวัยของประเทศขณะนี้สูงขึ้นเร็วมาก ขณะที่จำนวนประชากร  จะไม่เพิ่ม หรือช้า แต่ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5 ต่อปี ดังนั้นอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีประชากร อายุ 60 ปีขึ้นไปถึง 13 ล้านคน หรือร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมดในขณะนั้น ส่วนอายุ 65 ปี จะมี 9 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 14 ของประชากรไทย  อย่างไรก็ตาม ขณะนี้หน่วยงานต่างๆ ก็ตื่นตัวขึ้นมาก แต่ต้องเร่งด่วนเพื่อรองรับให้ทันสถานการณ์

“กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ สาธารณสุข มหาดไทย มีหลายโครงการ แต่ที่ต้องให้ความสนใจและเตรียมภาวะสูงวัยในอนาคต คือ กลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องอยู่ตามลำพัง หรืออยู่กับสามีภรรยาที่สูงอายุด้วยกัน เพราะลูกไปมีครอบครัว โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่อยู่ในเมืองจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาก ควรเตรียมระบบเฝ้าระวัง ดูแลให้ความช่วยเหลือ ทั้งสิ่งก่อสร้างสาธารณะต่างๆ ถนนหนทาง ห้องที่สร้างเอื้อต่อผู้สูงอายุ รวมถึงระบบการให้ข่าวสารความรู้ให้ทันต่อโลก ไม่ตกเป็นเหยื่อการหลอกลวง และเรื่องสุขภาพ เพราะจะมีโรคหรือความพิการ อันเนื่องมาจากการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นมาก เช่น อัลไซเมอร์ หลอดเลือด หัวใจ ไขข้อหรือกระดูกต่างๆ ที่เป็นโรคของผู้สูงอายุ” ศ.ปราโมทย์ กล่าว . - สำนักข่าวไทย

ขาดทุนยับบาทละ6พัน โรงตึงประกาศลดวงเงินจำนำเหลือ65%ฟันธงทองร่วงต่อ


วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2013 เวลา 10:10 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ ข่าวหน้า1 - คอลัมน์ : BIG
ที่มา http://www.thanonline.com/index.php?option
เผยเบื้องหลังโปรแกรมตัดขายอัตโนมัติของกองทุนขาใหญ่เป็นเหตุ ราคาลงถึงจุดกระหน่ำขายทองท่วมโลก ฉุดราคาดิ่งเหว  วงการฟันธง"ฟองสบู่ทองคำ"แตกแล้ว ยังผันผวนแรงต่อเนื่อง ไทยโชคร้ายเจอช่วงหยุดยาวสงกรานต์โดดหนีไม่ทัน กระอักกันถ้วนหน้า ชาวบ้านขาดทุนจากราคาที่ลดลงไปแล้วบาทละ 6 พันบาท ด้านโรงรับจำนำอ่วมลูกค้าจ่อปล่อยหลุด เพราะราคาไถ่ถอนสูงเกินราคาทองในตลาดแล้ว ประกาศลดวงเงินรับจำนำเหลือ 65-70 %

       ความปั่นป่วนในตลาดค้าทองคำล่าสุด เมื่อวันที่  12 และ15 เมษายน ที่ผ่านมา ที่เกิดอุบัติการณ์ตื่นตระหนกขายทอง หรือ Panic Sell  ซึ่งนำโดยนักลงทุนขาใหญ่ของโลก อย่างกองทุนSPDR  ที่เทขายอย่างหนัก จนทำให้ราคาทองตกลงมาต่ำสุดที่ 1,321 ดอลลลาร์สหรัฐฯ  ส่วนทองในประเทศหลุด 20,000 บาท มาที่ 18,000 บาทปลาย  ๆ หรือลดลงเกือบ 14 % เรียกได้ว่าเป็นภาวะราคาดิ่งเหว   จากที่ราคาทองเคยไต่ระดับขึ้นไปสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,920 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์  ส่วนราคาทองในประเทศเงินบาทที่พุ่งพรวดไปแตะที่น้ำหนักทองบาทละ 27,000 บาท ก่อนจะปรับตัวลงและผันผวนต่อเนื่องมาระยะหนึ่ง สร้างความโกลาหลและส่งผลกระทบต่อเนื่องถ้วนหน้าเวลานี้

***ชัดเจน"ฟองสบู่ทองแตก"
    นางพวรรณ์  นววัฒนทรัพย์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลียนอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด  ซึ่งเป็นผู้นำเข้า-ส่งออกทองคำรายอันดับหนึ่งของไทย ให้ความเห็นกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นภาวะฟองสบู่ทองคำแตก โดยเมื่ออิงจากราคาทองคำหน้าเหมืองซึ่งอยู่ที่ 1,000 -1,100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ขณะที่ราคาซื้อขายปรับขึ้นไปเคยสูงสุดถึง 1,920 ดอลลาร์สหรัฐฯ

    "เชื่อมั่นว่าราคาทองคำที่เหวี่ยงลงแรงอย่างนี้ เป็นภาวะฟองสบู่แตกแล้วชัดเจน และจากนี้ไปยังผันผวนแรงต่อเนื่อง หรือมีโอกาสได้เห็นราคาปรับขึ้นลงวันละ 100 กว่าดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์"

    นางพวรรณ์ กล่าวอีกว่า การปรับตัวลงอย่างรุนแรงและรวดเร็วของราคาทองคำโลก ซึ่งตรงกับวันหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์ของไทยนั้น พบว่าอีกสาเหตุที่ซ้ำเติมตลาดคือ การตั้งโปรแกรมขายอัตโนมัติ ของบรรดากองทุนบริหารความเสี่ยง หรือเฮดจ์ฟันด์ ที่เมื่อราคาทองคำปรับตัวลงมาในระดับหนึ่ง ระบบตั้งขายอัตโนมัติก็จะทำงานทันทีเพื่อตัดขาดทุน หรือ Cut Lost  โดยครั้งนี้แรงขายออกมาหนักตั้งแต่ราคาทองคำปรับลงมาที่ 1,527-1,530 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์  ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดของปีที่ผ่านมา จึงเป็นกระแสให้เกิดแรงเทขายออกมาทั่วโลก

***คนไทยขาใหญ่อันดับ 3 อ่วม
    นางพวรรณ์ กล่าวว่า จากการดิ่งแรงของราคาทองคำในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้นำเข้าทองคำสูงสุดอันดับ 3 ของเอเชีย (อันดับ 1 คือ จีน อันดับ 2 อินเดีย)ได้รับผลกระทบรุนแรง เนื่องจากเป็นวันหยุดยาวถึง5วันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ (12-16 เมษายน)  ขณะที่จีนปรับตัวได้ทัน

    สอดคล้องกับนายพิชญา  พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ  กล่าวว่า ราคาทองคำที่ปรับลงมานั้น หากประเมินถึงต้นทุนของนักลงทุนแต่ละประเภทแล้ว ถือว่าติดทองที่ราคาสูง โดยนักลงทุนทั่วไปได้รับผลกระทบหนักที่สุด คาดว่าขาดทุนเฉลี่ยบาทละ 6,000 บาท หากคำนวณจากต้นทุนเฉลี่ย 25,000 บาทต่อบาททอง   ตามมาด้วยโรงรับจำนำทั่วประเทศ คาดว่าขาดทุนบาทละ 3,000 บาท โดยอ้างอิงจากต้นทุน 4 เดือนก่อนอยู่ที่บาทละ 24,000 บาท  (ดูตารางปบรรยากาศประชาชนแห่ซื้อทองคำย่านเยาวราชคึกคัก หลังราคามีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง(วันที่ 19 เมษายน 2556)ระกอบ)

    ขณะที่นายกมลธัญ  พรไพศาลวิจิตร ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่า  กลุ่มที่ถือว่าได้รับความเสียหายมากที่สุด คือโรงรับจำ ซึ่งถือว่ามีทองคำมากที่สุดถึง 80 % ของมูลค่าการรับจำนำสินทรัพย์ทั้งหมด หรือคิดเป็นความเสียหายประมาณต่อน้ำหนักทองบาทละ 2,000-3,000 บาท

    กรมศุลกากรรายงานการนำเข้า-ส่งออกทองคำแท่งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.พ.2556 )มีจำนวน 90,855 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่านำเข้า 1.47 แสนล้านบาท ส่วนมูลค่าส่งออกมีเพียง 1,880 กิโลกรัม มูลค่า 2.68 พันล้านบาท

บรรยากาศประชาชนแห่ซื้อทองคำย่านเยาวราชคึกคัก หลังราคามีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง(วันที่ 19 เมษายน 2556)-โรงตึ๊งกลืนเลือดลูกค้าปล่อยหลุด 40 %  
          
    นายสุทธิชัย  อภิวัฒนานุกุล  ผู้จัดการ โรงรับจำนำบางหว้า   กล่าวว่า โดยปกติลูกค้าที่นำทองมาจำนำ และไม่มาต่อดอกเบี้ย จนทำให้ตั๋วจำนำหมดอายุสัญญาไม่สามารถไถ่ทองคืนได้  มีสัดส่วน 10 % ของลูกค้าที่มาจำนำทองทั้งหมด  แต่จากภาวะราคาทองคำที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง  คาดจะส่งผลให้สัดส่วนของลูกค้าดังกล่าวเพิ่มเป็น 40 % ทำให้ทางโรงรับจำนำต้องประสบภาวะขาดทุนจากลูกค้ากลุ่มนี้  เพราะให้วงเงินรับจำนำสูงถึงบาทละ 2.2-2.3 หมื่นบาท  แต่ปัจจุบันระดับราคาทองคำลดลงมาเหลือระดับ 1.8 หมื่นบาท  ซึ่งโรงรับจำนำต้องยอมรับภาวะการขาดทุนดังกล่าว  แต่จะไม่นำทองออกจำหน่ายเหมือนเช่นที่ผ่านมาเมื่อทองหลุดจำนำแล้ว  โดยทางโรงรับจำนำจะเก็บไว้จนกว่าราคาทองจะปรับเพิ่มขึ้น

    สำหรับปริมาณลูกค้าที่นำทองมาจำนำในขณะนี้ยังเป็นปกติ  ยังไม่เห็นตัวเลขการลดลงอย่างชัดเจนมากนัก  เพราะราคาทองเพิ่งจะปรับลดลงมาได้เพียงไม่ถึง 1 สัปดาห์  จึงต้องรอประเมินสถานการณ์อีกครั้งหนึ่ง  และทางโรงรับจำนำก็ยังคงรับจำนำทองคำเป็นปกติ   ส่วนวงเงินรับจำนำนั้น จะให้ในสัดส่วนประมาณ 90% ของราคาทองคำ  โดยอ้างอิงราคาทองที่มีการปรับขึ้นลงในแต่ละวันเป็นเกณฑ์  ส่วนอัตราดอกเบี้ยยังคิดเป็นปกติ  ตามที่กฎหมายควบคุม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

*ปรับลดวงเงินจำนำทองหลือ 65-70%
    ด้านโรงรับจำนำของรัฐต้องประกาศลดอัตรารับจำนำเพื่อป้องกันความเสียหาย โดยนายนิธิศ  มนูญพร ผู้อำนวยการสำนักงานธนานุเคราะห์ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ขณะนี้ยังติดตามสถานการณ์ราคาทองคำ หลังจากระดับราคาได้ปรับลงถึงบาทละ 2,400 บาท เมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา   โดยสำนักงานธนานุเคราะห์มีนโยบายถึง 24สาขาทั่วประเทศ ให้ปรับเงื่อนไขรับจำนำเหลือเพียง 70 %  จากไตรมาสแรกปีนี้ที่เคยรับจำนำที่ 85% โดยเฉลี่ยต้นทุนต่อทองคำ 1 บาท จะอยู่ที่ประมาณ 2  หมื่นบาท เทียบกับโรงรับจำนำเอกชนจะให้ราคาสูงกว่า คือที่บาทละ 2.1-2.2 หมื่นบาท  ซึ่งถึง ณ ปัจจุบัน ธนานุเคราะห์ขาดทุนทางบัญชีแล้วประมาณ 10% และหากราคาทองคำยังผันผวนมาก ก็อาจจะคงอัตรารับจำนำไว้ที่ 70%

    ส่วนกรณีการทิ้งตั๋ว ถ้าแนวโน้มราคาทองทรงหรือราคาลดลงอีก ก็มีโอกาสที่ลูกค้าจะทิ้ง หรือไม่มาไถ่ถอนทอง  แต่ในช่วงสัปดาห์แรกหลังเปิดสงกรานต์  ยังมีลูกค้าที่ใช้บริการมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2555 ทยอยจ่ายดอกเบี้ยเพื่อรักษาสถานะ  ซึ่งคาดว่าต้นเดือนพฤษภาคมนี้ น่าจะเห็นภาพชัดขึ้น และคาดว่าในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้  การบังคับใช้อัตราดอกเบี้ยรับจำนำใหม่จะมีผลบังคับ ภายหลังจากที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดพิจารณาภายในที่ 24 เมษายนนี้  ทั้งนี้เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครองและรองรับการเปิดเทอม

    เช่นเดียวกับโรงรับจำนำกทม. นายชัชวาล ศรีนนท์  ผู้อำนวยการสถานธนานุบาล  กล่าวว่า โรงรับจำนำทั้ง 21 แห่งของกทม. มีประชาชนที่ถือตั๋วจำนำอยู่กว่า 1 แสนราย มูลค่าเกือบ 3พันล้านบาท เฉลี่ยการใช้บริการ 900 ล้านบาทต่อเดือน โดยสินทรัพย์ที่คนใช้เป็นหลักประกันมาจำนำเกือบ 80 % เป็นทองคำ  อีก 10 % เป็นเพชรและพระ และที่เหลือพวกเบ็ดเตล็ด ซึ่งตามระเบียบปฎิบัติ กำหนดให้ผู้จัดการแต่ละแห่งรับจำนำที่ 87.5 % ของมูลค่าทรัพย์สินที่มาจำนำ  แต่จากกรณีที่ราคาทองคำอยู่ในช่วงขาลงขณะนี้ จึงขึ้นอยู่ดุลพินิจของผู้จัดการแต่ละแห่ง เช่น อาจให้วงเงินเหลือ 70% หรือ 65% โดยราคาทองคำที่ปรับลดนั้น น่าจะทำให้ขาดทุนกำไรบ้าง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของผู้ว่าราชการกทม. ที่ไม่เน้นทำกำไรแต่ต้องการแบ่งเบาภาระประชาชน ในการเป็นแหล่งเงินหมุนเวียนอยู่แล้ว

     " นโยบายจากผู้ว่าราชการกทม.วงเงินจำนำ 5 พันแรก คิดดอกเบี้ยอัตรา 0.25 % และระหว่างปิดภาคการศึกษาเดือนเมษายนและพฤษภาคมนี้ จัดให้มีโปรโมชันสำหรับผู้ปกครอง นักศึกษาหรือประชาชนสามารถจำนำในวงเงินเต็ม 7 หมื่นบาทต่อคน คิดดอกเบี้ย 0.50 % ต่อเดือน"
*นักเก็งกำไรชะลอซื้อทองแท่ง

    จากการปรับตัวลงแรงของราคาทองคำ ทำให้ประชาชนแห่ซื้อทองรูปพรรณ เนื่องจากเห็นว่าราคาปรับลดลงมามากจากระดับที่เคยขึ้นไปสูงสุด   ส่งผลให้บรรยากาศร้านทองตู้แดงทั่วประเทศคึกคัก  บางร้านสินค้าหมดเกลี้ยง ขณะที่ร้านทองย่านเยาวราชถึงขั้นแจกบัตรคิว อย่างไรก็ตามนางพวรรณ์ กล่าวว่า สำหรับวายแอลจีฯพบว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (16-19 เมษายน) มีคำสั่งซื้อจากร้านทองเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากในภาวะปกติที่ซื้อเฉลี่ยวันละ 5 กิโลกรัมต่อร้าน เพิ่มเป็น 10 กิโลกรัมต่อร้าน

    ขณะที่นักลงทุนประเภทเก็งกำไรในทองคำแท่งพบว่า ได้ชะลอลงทุนลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งรายย่อยและรายใหญ่  จากในภาวะปกติที่นักลงทุนรายย่อยซื้อเฉลี่ย 1 กิโลกรัมต่อวัน ส่วนรายใหญ่ซื้อเฉลี่ย 10 กิโลกรัมต่อวัน

*แนะชะลอซื้อ
    สำหรับคำแนะนำการลงทุนในทองคำ จากการประมวลความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้ค้าทองคำ ต่างเตือนให้ระมัดระวังการลงทุน เนื่องจากทองคำเป็นภาวะฟองสบู่แตก ซึ่งทำให้ราคาเป็นขาลงโดยที่ไม่รู้ว่าจุดต่ำสุดจะอยู่ตรงไหน

    นางพวรรณ์  กล่าวว่าระยะสั้นแนะนำนักลงทุนที่ยังไม่มีทองคำในพอร์ตอย่าเพิ่งรีบร้อนซื้อ โดยให้รอไปก่อนประมาณ 1 เดือน เพื่อดูว่าราคาทองคำยังสามารถยืนเหนือระดับ 1,320 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ได้หรือไม่ หากไม่ได้มีโอกาสหลุดแนวรับถัดไป ส่วนคำแนะนำสำหรับผู้ที่มีทองคำในพอร์ตแล้วหากราคาปรับขึ้นแตะที่ระดับ 1,390-1,400 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ก็ให้ซื้อได้

    "ระยะยาวมีโอกาสที่ราคาทองคำหลุดที่ระดับราคาต้นทุนหน้าเหมือง ซึ่งอยู่ที่เฉลี่ย 1,000-1,100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ " นางพวรรณ์กล่าว

 *แนะกรอบลงทุน1,150–1,530ดอลลาร์สหรัฐฯ
    นายทรงวุฒิ อภิรักษ์ขิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้งแมเนจเม้นท์ จำกัด(มหาชน)  กล่าวว่าจากแนวโน้มราคาทองคำที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง บริษัทแนะนำกลยุทธ์การลงทุน ให้นักลงทุนทยอยซื้อขายตามกรอบแนวรับแนวต้าน ที่1,150 - 1,530 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ พร้อมทั้งให้ติดตามราคาทองคำในช่วงระหว่างวันอย่างต่อเนื่อง  เนื่องจากมองว่า ทิศทางราคาทองคำในขณะนี้เป็นช่วงขาลง และมีความผันผวนอย่างมาก

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,837 วันที่  18 - 20  เมษายน พ.ศ. 2556

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

เศรษฐกิจฟองสบู่ (2)

รศ.ธนรักษ์ เมฆขยาย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้
ที่มาhttp://www.tanarak.mju.ac.th/index.php/2012-05-31-12-22-57/81-sop?showall=1
ตอนที่ 1 ได้กล่าวถึง ความหมาย ประเภท กลไกการเกิดฟองสบู่ และการเกิดและแตกของฟองสบู่ในปี 2540 ในตอนที่ 2 นี้ จะกล่าวถึง ผลกระทบจากภาวะฟองสบู่แตก และสถานการณ์ของฟองสบู่ในประเทศไทยในปัจจุบัน

ผลกระทบจากภาวะฟองสบู่แตก

คณะอนุกรรมการเกือบทุกชุดได้สรุปคล้ายคลึงกันว่า วิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคผิดพลาด และการกำกับดูแลระบบการเงินในประเทศหย่อนยาน บกพร่อง ในการยับยั้งธุรกิจเอกชนและสถาบันการเงินกู้เงินเหรียญสหรัฐระยะสั้น เข้ามาใช้ในกิจการในประเทศ และการไหลเข้ามาของเงินทุนจากต่างประเทศในตลาดหุ้น แล้วถอนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่สุทธิ 39,000 ล้านเหรียญ ณ สิ้นพฤศจิกายน 2539 ไปเดิมพันรักษาค่าเงินบาทให้คงที่อย่าง ขาดสติ ประมาท ไร้ความรับผิดชอบ และขาดความเชี่ยวชาญ จนกระทั่งสูญเสียเกือบหมด โดยเหลือเพียง 8,000 ล้านเหรียญเมื่อสิ้นสิงหาคม 2540 (9 เดือน) เมื่อบวกกับภาระผูกพันเงินที่ไปทำไว้และต้องจ่ายในอนาคตอีก (swap) ประเทศไทยต้องสูญเสียเงินตราไปถึง 33,000 ล้านเหรียญ คิดเป็นรายได้จากการส่งออกสุทธิทั้งปี (ยังไม่หักต้นทุน) ทำให้ต้องไปกู้เงินจาก IMF และจำยอมรับเงื่อนไขที่มาซ้ำเติมกับระบบเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วให้สาหัสลงไปอีก

ความเสียหายที่ติดตามมาคือ ความเสียหายภาคอสังหาริมทรัพย์อีก 191,000 ล้านบาท ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่เข้าไปแบกหนี้ของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะ 56 สถาบันการเงินที่ถูกองค์การการเงินระหว่างประเทศบงการให้ปิดอีก 1,400,000 ล้านบาท

สถานการณ์ฟองสบู่ของประเทศไทยในปัจจุบัน

สถานการณ์ฟองสบู่ที่เกิดขึ้นในปี 2540 ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องทำให้เศรษฐกิจในหลายด้านได้รับผลกระทบในปัจจุบัน ที่เห็นได้ชัดอาจแบ่งออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้


1. ตลาดหลักทรัพย์

sop4
การปรับตัวของตลาดหลักทรัพย์ไทยในปัจจุบัน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับเพิ่มขึ้นมากที่สุดในภูมิภาค ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E ratio) ต่ำกว่าตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค โดย ณ สิ้นเดือนกันยายนอยู่ที่ประมาณ 9 เท่า ประกอบกับผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวดีขึ้น และเป็นการปรับขึ้นในวงกว้าง ครอบคลุมภาคธุรกิจที่มีพื้นฐานดี เช่น สื่อสาร พลังงาน ก่อสร้าง และธนาคารพาณิชย์

มีข้อน่าสังเกตว่า ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2549 สภาพคล่องและปริมาณการซื้อขายสุทธิต่อวันเพิ่มขึ้นมาก โดยนักลงทุนในประเทศมีสัดส่วนการซื้อเพิ่มสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับนักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนประเภทสถาบัน อีกทั้งมีการเปิดบัญชีการซื้อขายของนักลงทุนรายใหม่มากขึ้น ขณะที่นักลงทุนรายเดิมที่มีบัญชีอยู่แล้วกลับเข้ามาทำธุรกรรมซื้อขายเพิ่มขึ้น ที่สำคัญคือ มีการทำการซื้อขายแบบหักลบราคาค่าซื้อและค่าขาย (Net Settlement) มากขึ้น ซึ่งกระตุ้นให้มูลค่าการซื้อขายและความผันผวนของราคาหลักทรัพย์มีเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาค่าความผันผวนหรือ Coefficient of Variance (C.V.) ซึ่งคำนวณจากผลต่างของราคาหลักทรัพย์ที่สูงสุดและต่ำสุดของวัน หารด้วยราคาเฉลี่ยของหลักทรัพย์ พบว่า หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายมากที่สุด 10 อันดับแรกในเดือนกันยายนมี C.V. มากกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด ขณะที่หลักทรัพย์พื้นฐานที่สำคัญ (SET 50) มี C.V. อยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของตลาด อย่างไรก็ดี หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายมากที่สุด 10 อันดับแรกมีสัดส่วนเพียงประมาณร้อยละ 20 ของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยในแต่ละวัน

โดยรวมแล้ว การปรับตัวของราคาหลักทรัพย์ในประเทศนั้น เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค โดยมีปัจจัยที่สนับสนุนคือ พื้นฐานของเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน และความมั่นใจของนักลงทุนทำให้มีเงินทุนไหลเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง และเมื่อพิจารณาภาวะในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2549 พบว่า การเคลื่อนไหวของหลักทรัพย์ที่มีราคาเพิ่มสูงและมีปริมาณการซื้อขายมาก ยังกระจายอยู่ในหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี แต่การซื้อขายหลักทรัพย์บางกลุ่มและการทำ Net Settlement ที่มีมากขึ้นเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดขึ้นพร้อมกับการขยายตัวของสินเชื่ออย่างรวดเร็ว

คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ประเมินว่า การแข็งค่าของเงินบาทที่รวดเร็วนี้ ถึงแม้ยังไม่ประทบต่อความสามารถในการแข่งขันและการส่งออกของไทยมากนัก เนื่องจากความยืดหยุ่นต่อราคา (Price Elasticity) ของการส่งออกสินค้าของไทยต่ำ แต่ก็จำเป็นที่จะต้องรักษาจุดสมดุลระหว่างอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย เพื่อรักษาให้แนวนโยบายการเงินอยู่ในทิศทางที่ผ่อนคลาย มิฉะนั้นอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะลดต่ำลงอีก จึงเห็นชอบที่ ธปท.ออกมาตรการผ่อนคลายเงินทุนเคลื่อนย้าย และมาตรการดูแลเงินทุนระยะสั้นในเดือนกันยายน และเห็นควรให้ติดตามผลของมาตรการเหล่านี้ต่อไป

ทั้งนี้ จากการติดตามการปรับตัวของตลาดการเงินหลังการประกาศใช้มาตรการดูแลเงินทุนระยะสั้นในเดือนกันยายน ปรากฏว่า ผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ (Non-resident) พยายามหลีกเลี่ยงมาตรการดังกล่าว โดยการทำธุรกรรมผ่านบัญชี Nosro Account กับสถาบันการเงินในประเทศเพิ่มขึ้น แทนการลงทุนในตลาด Swap ดังนั้นธปท. จึงมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาทในเดือนตุลาคม โดยอนุญาตให้ Non-resident เปิดบัญชีเงินบาท Nostro Account ได้เฉพาะกรณี และมีการจำกัดวงเงินและกำหนดเงื่อนไขการจ่ายดอกเบี้ยตามระยะเวลาฝากเงิน เป็นผลให้ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนลงอีกครั้ง

อนึ่ง ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับสูงขึ้นมากและส่งผลต่อค่าเงินบาทนั้น คณะกรรมการฯ ประเมินว่า การปรับตัวของดัชนีราคาหลักทรัพย์เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค และภาวะตลาดยังไม่สะท้อนการซื้อขายแบบเก็งกำไร เพราะหลักทรัพย์ที่มีราคาเพิ่มสูงและมีปริมาณซื้อขายมาก ยังกระจายอยู่ในหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี แต่เห็นควรให้ติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์ และพฤติกรรมการซื้อขายในหลักทรัพย์บางกลุ่มอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมป้องกันมิให้เกิดเป็นภาวะฟองสบู่ในอนาคต

เสถียรภาพดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลบัญชีเงินทุนยังอยู่ในเกณฑ์ดี ด้านดุลบัญชีเดินสะพัดนั้นปรับตัวดีขึ้นโดยตลอด ทั้งจากดุลการค้าและดุลบริการที่เกินดุล โดยเฉพาะดุลบริการที่ดีขึ้นเนื่องจากรายได้จากนักท่องเที่ยวปรับตัวสู่ภาวะปกติหลังจากปัญหา SARS คลี่คลายลง และคาดว่า จะปรับตัวดีขึ้นอีกในไตรมาสที่ 4 ที่เป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของไทย ในขณะที่มีการไหลเข้าของเงินทุนสุทธิต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนหากไม่นับรวมการชำระคืนหนี้ IMF ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และตลาดเงินในช่วงเดือนกรกฎาคมจนถึงต้นเดือนกันยายน

ในด้านเงินทุนสำรองระหว่างประเทศนั้นยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่าทางการได้ชำระหนี้รายงวดแก่ IMF หมด โดย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 37.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 40.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือนกันยายน สะท้อนเสถียรภาพต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง นอกจากนี้ยอดค้างหนี้ต่างประเทศปรับตัวลดลงมาโดยตลอด ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2546 ภาระหนี้ต่างประเทศอยู่ที่ 52.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยหนี้ต่างประเทศระยะยาวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 77.9 ของหนี้ต่างประเทศทั้งหมด ขณะนั้นหนี้ต่างประเทศระยะสั้นลดลง ทำให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเมื่อเทียบเป็นสัดส่วนกับหนี้ต่างประเทศระยะสั้นสูงขึ้นเป็นลำดับ โดยอยู่ที่ 3.27 ในเดือนกรกฎาคม ดังนั้น คณะกรรมการฯ ประเมินว่า เงินทุนสำรองระหว่างประเทศนี้เพียงพอที่จะรองรับผลกระทบจากความเสี่ยงด้านต่างประเทศ


2. ภาคอสังหาริมทรัพย์

sop6
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเกาหลีใต้ครั้งนี้มีเงื่อนไขสิ่งแวดล้อม และนโยบายของรัฐบาลที่คล้ายคลึงกับของไทยเป็นอย่างมากอย่างน่าเอามาสังวร ล่าสุดในบ้านเราเป็นที่ทราบกันดีว่า ขณะนี้การเก็งกำไรคอนโดมิเนียมราคาสูงที่แม้แต่ยังไม่ได้สร้าง ได้เริ่มขึ้นแล้ว เหมือนในตอนฟองสบู่กำลังพองคราวที่แล้ว และกำลังมีทีท่าจะไปไกล เพราะการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่โดยรอบกรุงเทพฯ และบางเมืองใหญ่กำลังร้อนแรงอย่างผิดสังเกต ถ้าฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตก จะทำให้มีคนเจ็บตัวเป็นจำนวนมาก และมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม แต่จะรุนแรงแค่ไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยรอบข้างในเรื่องอื่นๆ ด้วย เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลก สถานะหนี้ต่างประเทศของเอกชน หนี้สาธารณะของประเทศ ความเสี่ยงของเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญอยู่ ฯลฯ

ถึงฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์จะยังไม่แตก แต่ในปัจจุบันสิ่งที่น่ากลัวก็คือ ภาระหนี้จากการซื้อที่อยู่อาศัยของคนชั้นกลาง ทั้งล่างและบน ที่น่ารื่นแบกกันไว้ตอนดอกเบี้ยต่ำ ขณะนี้มีสัญญาณในระดับโลกว่า อัตราดอกเบี้ยอาจขยับขึ้น ซึ่งไทยก็ต้องขยับตามในเวลาต่อไป

ผลก็คือ คนเหล่านี้จะต้องแบกภาระหนี้เพิ่มขึ้นอีกมากขึ้น ถ้าอัตราดอกเบี้ยขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ ใน 5 ปีข้างหน้า บางคนอาจต้องสูญเสียบ้าน เพราะไม่สามารถผ่อนได้อีกต่อไปในตอนนั้น เพราะอาจมีของแถมอีกคือหนี้ผ่อนรถยนต์ และผ่อนบัตรเครดิต หากรายได้ไม่เพิ่มขึ้นมากอย่างสมดุลกัน การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการใช้จ่ายของครัวเรือนนั้นมันมีความเสี่ยงอย่างนี้ แต่ตราบที่ผู้คนมีรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยทั่วไป มันก็ไปของมันได้ แต่ถ้าหากมีอะไรมาทำให้มันสะดุด ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลก การก่อการร้าย เงินเฟ้อ การสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ค่าเงินบาทไม่คงที่ ฯลฯ ในระดับบุคคลจะเดือดร้อนกันมาก และเศรษฐกิจก็จะขับเคลื่อนไปได้ยาก


3. บัตรเครดิต

sop5
ปี 2547 เอเชียหลายประเทศก้าวสู่ความสดใส อย่างน้อยๆ ก็มีเมืองไทยของเรา ดูเหมือนจะสลัดอาการเจ็บป่วยจากพิษวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อ 5 – 6 ปีก่อนได้เกือบหมด ดูได้จากตัวเลขทางเศรษฐกิจดีขึ้น อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มจาก 1.9% ในปี 2544 เป็น 6% ในปี 2546 รายได้ประชาชาติต่อคนต่อปีเพิ่มขึ้นเป็น 92,036 บาท อัตราการว่างงานลดลงเหลือ 2% และการลงทุนภาคเอกชนมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 13% ในปี 2546 ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้นและมีความต้องการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น รวมทั้งยังเป็นปัจจัยผลักดันให้ผู้ประกอบการต่างๆ แข่งขันกันเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ทั้งทางด้านการปรับปรุงคุณภาพของสินค้าและการบริการที่ดี รวมทั้งกลยุทธ์ทางการตลาดทั้งเรื่องราคาและการโฆษณาประชาสัมพันธ์ถูกนำมาใช้สร้างภาพลักษณ์ของสินค้าตัวเองให้อยู่ในใจผู้บริโภค

“บัตรเครดิต” ได้เข้ามามีบทบาทในระบบการเงินของไทยเพิ่มมากขึ้นสำหรับเพิ่มความคล่องตัวในการใช้จ่ายของประชาชนทั้งเพื่อการบริโภคและการทำธุรกิจ โดยแนวคิดของบัตรเครดิตคือ ผู้ที่ถือบัตรเครดิตสามารถที่จะนำบัตรชำระค่าสินค้าได้ทันที แม้ว่าในขณะนั้นจะไม่มีเงินสด หลังจากนั้นผู้ที่ออกบัตรจึงค่อยเรียกเก็บค่าสินค้าจากผู้ถือบัตร หรือถ้าเมื่อถึงกำหนดชำระและมีเงินไม่เพียงพอ ก็สามารถชำระเพียงส่วนหนึ่งได้ วงเงินของสินเชื่อจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการผ่อนชำระ ซึ่งทางผู้ออกบัตรจะเป็นผู้วิเคราะห์ โดยจะพิจารณาจากเงินเดือน อาชีพการงาน และประวัติเครดิตของบุคคลเป็นหลัก เนื่องจากบัตรเครดิตเป็นสินเชื่อที่ไม่ต้องมีหลักประกัน ทางผู้ออกบัตรจึงคิดดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าสินเชื่อที่มีหลักประกัน

บัตรเครดิตที่ใช้กันอยู่ทั่วไปมีอยู่ 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ

1. ของธนาคารพาณิชย์ไทย เช่น บัตรเครดิตธนาคารกสิกร บัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ เป็นต้น

2. ของธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ เช่น VISA, MASTER, AMERICAN EXPRESS (AMES) ฯลฯ

3. ของบริษัทที่ไม่ใช่ธนาคาร (นอนแบงก์) เช่น บัตร AMEX หรือ DINERs เป็นต้น

และเนื่องจากผลประโยชน์ที่สูงจากดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม จึงทำให้ผู้ประกอบการบัตรเครดิตมีการแข่งขันกันสูงมาก สังเกตได้จากการพยายามที่จะวางกลยุทธ์ในการดึงลูกค้าด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ฟรีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าธรรมเนียมรายปี โดยไม่มีเงื่อนไข การให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ มากมาย และกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ เช่น บัตรเคทีซี วีซ่า ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความร้อนแรงของธุรกิจบัตรเครดิตที่ทวีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะกลายเป็นสินค้าแฟชั่นอย่างหนึ่งที่คนทันสมัยมีระดับต้องถือไว้คนละไม่น้อยกว่า 1 ใบ จะจำเป็นมากน้อยแค่ไหนเอาไว้พูดกันทีหลัง กลยุทธ์ธุรกิจบัตรเครดิตในปัจจุบันของแต่ละธนาคารดูได้จาก ดูจาก 11.1 ???

สถานการณ์บัตรเครดิตในปัจจุบัน อัตราการถือครอ
งบัตรของคนไทยทั้งประเทศอยู่ที่ 5.37% ของประชากร ซึ่งต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ธปท.รายงานตัวเลขให้บริการบัตรเครดิตล่าสุดไตรมาสที่ 4 ปี 2546 ว่าระบบธนาคารพาณิชย์มีการให้บริการบัตรเครดิตกับประชาชนทั้งสิ้น 4,224,362 บัตร เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 จำนวน 191,938 บัตร ซึ่งถือว่า เป็นการเพิ่มขึ้นที่ไม่มากเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก โดยเป็นบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ 3,390,297 บัตร เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 จำนวน 142,098 บัตร เป็นบัตรเครดิตจองธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศในไทย 834,065 บัตร เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 จำนวน 49,840 บัตร แต่หากเทียบกับสิ้นปีก่อน พบว่า ยอดบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ไทยเพิ่มขึ้น 682,885 บัตร และเป็นการเพิ่มขึ้นของบัตรเครดิตธนาคารต่างประเทศ 116,425 บัตร ด้านการใช้บัตรเครดิตของคนไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ธปท.ได้เตรียมออกมาตรการการควบคุมบัตรเครดิต เนื่องจากกลุ่มผู้สมัครใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ทำให้ยอดบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ กลุ่มผู้มีรายได้ต่ำ และข้อสำคัญที่น่าเป็นห่วงคือ ผู้ออกบัตรเป็นสถาบันที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) ที่มีการแข่งขันกันสูง อย่างไรก็ตาม มาตรการที่จะออกเพิ่มเติมเพื่อดูแลและควบคุมการทำธุรกิจบัตรเครดิต รวมทั้งการให้สินเชื่อบัตรเครดิตนั้น สามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องรอ พ.ร.บ.สถาบันการเงินผ่านการพิจารณาของรัฐสภาก่อน โดยมาตรการเพิ่มเติมนี้จะครอบคลุมถึงบัตรเครดิตที่ออกโดยสถาบันการเงิน และบัตรเครดิตที่ออกโดยบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน


4. ระดับรากหญ้า

sop7
หนี้ในภาคครัวเรือนสูงขึ้น เพราะประชาชนมีโอกาสในการกู้มากขึ้น โดยในปี 2545 ครัวเรือนมีหนี้สินเฉลี่ย 83,314 บาท ขณะที่มีรายได้ 13,418 บาท แต่เงินที่กู้มาไม่ได้นำไปใช้ก่อให้เกิดรายได้ แต่นำไปใช้คืนหนี้นอกระบบ นำไปจับจ่ายสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น รถจักรยานยนต์ โทรศัพท์มือถือ ละลายไปกับการจับจ่ายสินค้าที่ไม่สร้างรายได้ แม้นิตยสารนิวส์วีคจะกล่าวถึงความสำเร็จของรัฐบาล ในการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และสามารถขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตสูงที่สุดในเอเชียรองจากจีน แต่ได้แสดงความห่วงใยปัญหาหนี้ของผู้บริโภคไว้เหมือนกัน เพราะทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตครั้งใหม่

ปัญหาหนี้ระดับรากหญ้าถูกจับตามาตลอด เพราะถ้าบริหารจัดการไม่ดี และรัฐบาลยังมุ่งแต่การอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นการบริโภค วิกฤตการณ์หนี้เสียครั้งใหญ่อาจจะเกิดขึ้น และจะส่งผลกระทบรุนแรงยิ่งกว่าวิกฤติเศรษฐกิจฟองสบู่ในครั้งแรก เพราะฟองสบู่ครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นกับประชาชนในวงกว้าง คนระดับรากหญ้าทั่วไปอาจต้องตกอยู่ในสภาพล้มละลาย และการบูรณะฟื้นฟูแก้ปัญหาจะยุ่งยากซับซ้อนมากกว่าเก่า เพราะไม่รู้ว่าจะปรับโครงสร้างลูกหนี้ NPLs ระดับรากหญ้าจำนวนนับล้านๆ คนในรูปแบบใด นอกจากนั้น ยังไม่รู้ว่า รัฐบาลจะปั๊มเงินมาจากไหนมาแก้ปัญหาอีก เพราะใช้เงินจมหายไปในระบบมากแล้ว การสนับสนุนให้ประชาชนมีการใช้จ่ายเกินตัวจากรัฐบาลในโครงการเอื้ออาทรต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งที่กำลังทำให้ปัญหาฟองสบู่กลับมาอีกครั้ง

[1] ราวปี ค.ศ. 1930 หรือ พ.ศ. 2543 เกิดเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก เรียกว่า The Great Depression ซึ่งเป็นผลมาจากฟองสบู่แตกในสหรัฐอเมริกา
[2] ภาคเศรษฐกิจสต็อก คือ ภาคเศรษฐกิจที่ราคาเป็นตัวกำหนดมูลค่า เช่น เช่น หุ้น ที่ดิน สมาชิกสนามกอล์ฟ บ้าน รูปภาพ ใบจองสินค้าต่างๆ ฯลฯ

[3] ผลกำไรจากหลักทรัพย์ที่ได้จากการซื้อสินทรัพย์ถาวรหรือสินทรัพย์เพื่อการลงทุน แล้วขายได้ในราคาที่สูงกว่าราคาตามบัญชีหรือราคาที่ซื้อมา

[4] วัฎจักรเศรษฐกิจประกอบด้วย ห้วงบูม ห้วงปั่นป่วน ห้วงซบเซา (ถดถอย) และห้วงฟื้นตัว (ก่อนที่จะเริ่มห้วงบูมใหม่)

[5] เช่น มูลค่าทางสัญลักษณ์ (Symbol Value) มูลค่าทางวัฒนธรรม (Cultural Value) หรือคาดว่าราจาจะสูงขึ้นไปอีก

[6] เดิมเก็งกำไรในสินค้าที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ง่าย ต่อมาเก็งกำไรจากหลักทรัพย์หรือในตลาดหุ้น การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยจึงมีมากขึ้น ทำให้อุปสงค์ต่อภาคเศรษฐกิจจริงเพิ่มขึ้น

[7] ในตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ และเศรษฐกิจสต็อกเป็นผลลัพธ์ของพัฒนาการระบบทุนนิยม

[8] เงินกู้ (Loan) ที่ปล่อยกู้แก่ผู้มีเครดิตทางการเงินต่ำกว่ามาตรฐาน (Subprime) เพื่อซื้อบ้าน ด้วยวิธีนำบ้านไปจำนอง (Mortgage) กับผู้ให้กู้หรือสถาบันการเงิน เพื่อแลกเปลี่ยนกับการได้เงินกู้มาจ่ายเป็นค่าบ้าน กลุ่มลูกค้าคือ ผู้มีรายได้น้อยไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน หรือผู้มีประวัติทางการเงินไม่ดี เช่น ผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งเคยเฟื่องฟูมากในช่วง 4-5 ปีก่อน

เศรษฐกิจฟองสบู่

รศ.ธนรักษ์ เมฆขยาย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้


sop2
ที่มาhttp://www.tanarak.mju.ac.th/index.php/2012-05-31-12-22-57/81-sop?showall=1
โอกาสครบรอบ 10 ปีวิกฤตเศรษฐกิจ เราควรทบทวนเพื่อเป็นบทเรียน และไม่เพียงจะไม่ก้าวพลาดอีกครั้ง แต่ช่วยกันปฏิบัติ (ไม่ดีแต่พูด) ในทางนำพาเศรษฐกิจของเราให้แข็งแกร่ง

ถ้านับตั้งแต่ทศวรรษ 2470 เป็นต้นมา [1] วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 นับเป็นวิกฤตร้ายแรงที่สุดของระบบเศรษฐกิจตกต่ำ สร้างความเสียหายต่อทุกชนชั้น ในขณะที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างสูงสุด วิกฤตการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร สมมติฐานคือ เป็นเรื่องของวัฎจักรเศรษฐกิจ เป็นความผิดพลาดของรัฐบาลในการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาค หรือเป็นเพราะภาคประชาชน อย่างไรก็ดี อาจกล่าวในเชิงลักษณะอาการได้ว่า เป็นเพราะ “ฟองสบู่แตก”


ความหมายของเศรษฐกิจฟองสบู่

การที่เศรษฐกิจสาขาใดสาขาหนึ่งพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ได้ผลตอบแทนมากกว่าสาขาอื่น และส่งผลกระทบอย่างรุนแรง เป็นสภาพที่ระบบเศรษฐกิจเติบโตแบบลวงตา ซึ่งเฉพาะมูลค่าเท่านั้นสูงขึ้น ไม่ส่งผลให้ปริมาณผลผลิต การจ้างงาน และรายได้ที่แท้จริงของประชาชนเพิ่มขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจพื้นฐาน (Real Sector) เช่น ปรากฏการณ์ที่มูลค่าในทางเศรษฐกิจหรือทรัพยากรถูกดึงไปรวมกัน เมื่อเศรษฐกิจภาคการเงินการธนาคารพองขึ้นเสมือนลูกโป่งที่ลอยขึ้นไป สุดท้ายจะแตกและตกลงมาสู่พื้นฐานความจริง

เศรษฐกิจฟองสบู่ (Bubble Economy) หรือ สินทรัพย์ที่พองตัวขึ้นมา (Inflated Asset) เป็นภาวะบูม (Boom) ของเศรษฐกิจที่เกิดจากมายาภาพของคนที่เชื่อว่า ราคาสินค้าที่อยู่ในเศรษฐกิจสต็อก (Stock Economy) [2] จะมีราคาสูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทุกคนจึงแห่กันมาเล่นเกมเงินตรา (เก็งกำไร) เพื่อแสวงหา Capital Gain [3] สะท้อนถึงเศรษฐกิจขยายตัวเพราะอุปสงค์เทียม


ประเภทของเศรษฐกิจฟองสบู่

ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 ในเมืองการค้าของยุโรปที่มีการขยายตัวของการค้า เคยเกิดการเก็งกำไร พร้อมๆ กับวิวัฒนาการของเศรษฐกิจทุนนิยม หลังจากนั้นฟองสบู่ได้ทวีความซับซ้อนและรุนแรงยิ่งขึ้น เศรษฐกิจฟองสบู่อาจแบ่งตามลักษณะของกลุ่มคนที่ทำให้เกิดออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

1. มวลชนทั่วไปที่ไม่รู้ความ เริ่มจากการเป็นเศรษฐีในชั่วพริบตาของผู้คนจำนวนมากที่เข้ามาเล่นเก็งกำไร ไปกระตุ้นความโลภของคนอื่นให้เข้ามาผสมโรง จนคลั่งไคล้ลุกลามไปทั่วภายในเวลาไม่นาน เช่น เหตุการณ์คลั่งไคล้ดอกทิวลิปที่ฮอลแลนด์ในศตวรรษที่ 17

2. มวลชนผู้มีอันจะกิน สร้างกระแสการเก็งกำไรเพื่อให้มีรายได้ที่ทัดเทียม และการเลียนแบบเพื่อความเท่าเทียมทางสังคม เช่น เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกาเมื่อทศวรรษที่ 1920 เนื่องจากภาวะมอเตอร์ไรเซชั่น (ประชายานยนต์) ที่ผู้คนต้องการมีรถยนต์เป็นของตนเอง ทำให้เกิดกระแสการเก็งกำไร เพื่อนำผลได้มาซื้อรถยนต์เพื่อสร้างความทัดเทียมกันทางสังคม

3. บริษัทขนาดใหญ่ ระดมเงินจำนวนมหาศาลจากตลาดทุนด้วยต้นทุนที่ต่ำ แต่ไม่นำเงินไปลงทุนทางการผลิตเช่นในอดีต กลับหมุนเงินจำนวนมหาศาลนี้มาเล่นเก็งกำไร ประกอบกับการเปิดเสรีทางการเงิน ทำให้สร้างผลกำไรได้สูงกว่าจากการผลิต ต่อมาบริษัทอื่นๆ ทั้งใหญ่และเล็ก ต่างเอาอย่าง เช่น เศรษฐกิจฟองสบู่ช่วงครึ่งหลังทศวรรษที่ 1980


กลไกการเกิดเศรษฐกิจฟองสบู่

สามารถแบ่งตามวิวัฒนาการของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเป็น 2 ห้วง ดังนี้


(1) ห้วงศตวรรษที่ 19 (ปี ค.ศ. 1800-1899)

แบ่งออกเป็น 8 ขั้นตอน ดังนี้

1. มีการสะสมความมั่งคั่งก่อนที่วัฎจักรเศรษฐกิจหนึ่งๆ จะเริ่มขึ้น [4] ยิ่งถ้าสะสมก่อนห้วงบูม พอถึงห้วงบูม การเก็งกำไรยิ่งมีมากขึ้น ทำให้ความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจ (Panic) รุนแรงยิ่งขึ้น

2. มีปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจ ถ้าหลายๆ ปัจจัยเกิดขึ้นพร้อมกัน หรือเป็นปัจจัยที่ทรงพลัง เช่น ค่าเงินเยนญี่ปุ่นแข็งขึ้น จะผลักดันให้เศรษฐกิจโตแบบพุ่งโลด การเก็งกำไรเกิดขึ้นง่ายและรุนแรงกว่าปกติ

3. ราคาสินค้าแพงขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจคึกคัก เกิดการขยายการผลิต การนำเข้าวัตถุดิบ การก่อสร้างโรงงาน การติดตั้งเครื่องจักร เศรษฐกิจจริงจะขยายตัวและต้องใช้เงินทุน การระดมเงินทุนโดยผ่านการออกพันธบัตรหรือตลาดหลักทรัพย์มีมากขึ้น

4. เกิดการเก็งกำไร ยิ่งภาวะเศรษฐกิจบูมนานต่อเนื่อง ราคาสินค้าจะยิ่งถีบตัวสูงขึ้นตาม ผู้คนแห่กันซื้อคุณสมบัติใหม่ของสินค้า [5] โดยไม่เกี่ยวข้องกับคุณค่าใช้สอย (Use Value) อันเป็นคุณสมบัติเดิมของสินค้านั้น

5. การเคลื่อนไหวของเงินรวดเร็วมาก สินเชื่อขยายตัวอย่างรวดเร็ว การเก็งกำไรขยายไปสู่หุ้นหรือพันธบัตร ความมั่งคั่งที่สะสมมา (ในขั้นตอนที่ 1) ถูกนำไปใช้เล่นเก็งกำไร

6. เกิดอุปสงค์เพิ่มเติมในภาคเศรษฐกิจจริง โดยเฉพาะอุปสงค์ต่อสินค้าฟุ่มเฟือย เนื่องจากรายได้เพิ่มขึ้นจากกำไรที่ได้มาจากการเก็งกำไรระยะสั้นชั่วคราว [6]

7. ทางการเข้าแทรกแซงการปล่อยสินเชื่อ เมื่อเห็นว่า ถึงขีดที่จะเป็นอันตรายต่อสถาบันการเงินทั้งระบบ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเข้ามาควบคุมการปล่อยสินเชื่อ การพองตัวออกคล้ายฟองสบู่ของสินเชื่อถูกทำให้แฟบลง

8. อวสานของการเก็งกำไร อุปสงค์ในข้อที่ 6 จะสูญสลายไปก่อน ต่อมาการผลิตในภาคเศรษฐกิจจริงลดลง เกิดการว่างงาน ผลกระทบจากฟองสบู่แตกจะแผ่กระจายไปสู่ภาคเศรษฐกิจโดยรวม เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยยาวนาน


(2) ห้วงศตวรรษที่ 20 (ปี ค.ศ. 1900-1999)

เงินในยุคเศรษฐกิจฟองสบู่ไม่ได้เป็นไปตามทฤษฏีเศรษฐศาสตร์คลาสสิก ที่เป็นแค่สื่อกลางแลกเปลี่ยนกับใช้สะสมทรัพย์ แต่เป็นทรัพย์ที่งอกเงยได้โดยตัวมันเอง เป็นทุนที่ทรงประสิทธิภาพในการสร้างความมั่งคั่ง ปรากฏการณ์ที่ทำให้ทฤษฏีมูลค่าเกิดจากแรงงานไม่อาจอธิบายได้มีอยู่ 3 กรณี คือ

1. แรงงานมนุษย์ถูกทดแทนด้วยหุ่นยนต์หรือคอมพิวเตอร์

2. ความเหลื่อมล้ำกันของค่าแรงสูงมาก

3. ราคามิได้ถูกกำหนดจากต้นทุนที่แท้จริงเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับความต้องการ (กฎอุปสงค์) และปริมาณสินค้า (กฎอุปทาน)

ต่อไปอธิบายกลไกการเกิดเศรษฐกิจฟองสบู่ อาจแบ่งตามวิวัฒนาการของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเป็น 4 ขั้น (ศุภวุฒิ สายเชื้อ 2543)

1. ก่อนจัดตั้งสถาบันการเงินหรือธนาคารออมทรัพย์ การสะสมทรัพย์เกิดขึ้นภายในตัวเศรษฐกิจจริง ในรูปของ ทองคำ เหรียญ อัญมณี ฯลฯ ดังภาพที่ 1


sop3ภาพที่ 1 ยังไม่มีสถาบันการเงิน มีแต่เศรษฐกิจจริง

2. มีสถาบันการเงิน แต่การฝากเงินยังเป็นเพื่อให้ธนาคารดูแลรักษาแทน ผู้ฝากนอกจากไม่ได้รับดอกเบี้ยแล้ว ยังต้องจ่ายค่าตอบแทนแก่ธนาคารที่ช่วยดูแลรักษาให้ เมื่อจะนำเงินไปใช้ในการลงทุนจึงค่อยถอนออกมา ดัง
ภาพที่ 2

ภาพที่ 2 เริ่มมีสถาบันการเงินเกิดขึ้น

3. ธนาคารพาณิชย์เริ่มปล่อยกู้ ผู้ประกอบการนำเงินไปลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริง สร้างงาน ผลิตสินค้า ก่อให้เกิดผลกำไร แล้วนำเงินมาใช้หนี้พร้อมดอกเบี้ยเงินกู้ ธนาคารจ่ายดอกเบี้ยแก่ผู้ฝาก เพื่อระดมเงินฝาก ดังภาพที่ 3


ภาพที่ 3 ธนาคารพาณิชย์เริ่มปล่อยกู้ เกิดกระแสเงินจากการปล่อยกู้

4. ปริมาณเงินตราใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การไหลเวียนของสินค้าและบริการคล่องตัว ภาคเศรษฐกิจจริงขยายตัว รายได้ของผู้คนเพิ่มสูงขึ้นกว่าอัตราการบริโภค มีเงินออมเพิ่มขึ้นโดยสัมพัทธ์ ต่อมาผู้ประกอบการกลายเป็นบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ที่มีกำไรสะสมมากจนไม่ต้องกู้ยืมจากธนาคาร

ปริมาณเงินที่อยู่ในสภาพคล่องจำนวนมหาศาลนี้ต้องดิ้นรนหาทางออก โดยนำไปเก็งกำไรในเศรษฐกิจสต็อก [7] ต่อมาเติบโตอย่างเป็นอิสระโดยสัมพัทธ์จากเศรษฐกิจจริงและมีขนาดใหญ่กว่า ทำให้ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่กลายเป็นสิ่งที่ไร้พรมแดนไปโดยอัตโนมัติ ดังภาพที่ 4

ภาพที่ 4 การเกิดขึ้นของเศรษฐกิจสต็อก


การเกิดและแตกเศรษฐกิจฟองสบู่

กรณีฟองสบู่แตกในปี 2540 อธิบายได้ 3 ระยะ ดังนี้

1. การก่อตัวของฟองสบู่

ในห้วงปี 2527-2529 เศรษฐกิจไทยยังตกต่ำ เกิดปัญหาสถาบันการเงิน (“ราชาเงินทุน”) ล้ม จนเป็นที่มาของการเกิดโครงการ 4 เมษายน 2527 โดยรัฐบาลต้องไปขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และหั่นงบประมาณรายจ่ายในปี 2528 และ 2529 ติดต่อกัน เพื่อรักษาวินัยการเงินและการคลัง

ก่อนเข้าสู่ปี 2530 เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว พอดีกับนักลงทุนจากญี่ปุ่นหนีพิษเงินเยนที่ปรับตัวสูงขึ้นเท่าตัวในช่วงไม่กี่ปีก่อนหน้า ได้ตัดสินใจย้ายฐานการผลิตเพื่อการส่งออกเข้ามา ตามมาด้วยนักลงทุนจากกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ในเอเชีย เช่น ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงทิศทางการพัฒนาประเทศจากเกษตรกรรมไปสู่อุตสาหกรรมและภาคบริการ จนกลายเป็นภาวะ “บูม” ทางเศรษฐกิจในเวลาต่อมา


2. การพองตัวของฟองสบู่

ความต้องการที่ดินเพื่อตั้ง โรงงาน สำนักงาน สนามกอล์ฟ รีสอร์ท ที่อยู่อาศัย โรงแรม ฯลฯ เพิ่มสูงขึ้น ธุรกิจซื้อขายที่ดินเติบโตขึ้น พวกนายหน้าค้าที่ดินได้กำไรอย่างงดงามในชั่วข้ามคืน เกิดเศรษฐีใหม่กว่า 200,000 คนที่ร่ำรวยจากการค้าที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ และการเล่นหุ้น มีการปั่นราคาที่ดิน ทำให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นจากเดิมเป็นร้อยเท่า

สภาพคล่องทางการเงินมีสูงมาก เงินนอกประเทศสามารถเข้าง่ายออกง่าย อัตราดอกเบี้ยเพียง 11.5% ธนาคารพาณิชย์สนับสนุนการปล่อยกู้สินเชื่อเพื่อซื้อที่ดินกันอย่างเต็มที่ แสดงว่า ส่งเสริมพวกนักเก็งกำไรให้เข้ามาสู่ธุรกิจฟองสบู่

ต้นปี 2533 ความเคลื่อนไหวของการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มแผ่วลง เนื่องจากปัญหาขาดแคลนวัสดุก่อสร้าง ตามจำนวนโครงการลงทุนที่เริ่มก่อสร้าง รัฐบาลโดยผ่าน ธปท.ได้ขอความร่วมมือจากสถาบันการเงินให้ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อที่ไม่ก่อประโยชน์ต่อการเพิ่มผลผลิต โดยเฉพาะที่นำไปเก็งกำไร ประจวบกับสงครามอ่าวเปอร์เซียในช่วงปลายปี 2533 ทำให้การเก็งกำไรหดหายไป ตลาดอสังหาริมทรัพย์ซบเซา ราคาที่ดินเข้าสู่ภาวะทรงตัวและหยุดเคลื่อนไหว

ขณะที่ฟองสบู่ลูกที่หนึ่งเริ่มแตก กลับปรากฏว่า มีกลุ่มนักธุรกิจต่างชาติที่มีความพร้อมทั้งเงินทุนและเทคโนโลยีทันสมัย ได้เข้ามาลงทุนอยู่ตลอดเวลาในช่วงปี 2534 เป็นการต่ออายุให้แก่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ส่วนใหญ่เป็นญี่ปุ่นและฮ่องกงเข้ามา “ร่วมทุน” กับกลุ่มตระกูลดังๆ

เหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปี 2535 ได้กระหน่ำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้หยุดชะงักอีกครั้งหลังจากที่กำลังจะเริ่มฟื้นตัว

ต่อมาเกิดปัจจัยกระตุ้นทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีแหล่งเงินทุนใหม่ ดอกเบี้ยต่ำ มากระตุ้นขยาย “ฟองสบู่” ให้พองโตขึ้นและใหญ่กว่าเดิมได้อีกครั้ง ดังนี้

1. ประกาศหลักเกณฑ์มาตรฐานการดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ของรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2536 ทำให้การปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีที่ดินหรือทรัพย์สินค้ำประกัน ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง 50% จากเดิมที่ให้เป็นความเสี่ยง 100% ยิ่งทำให้สินเชื่อด้านอสังหาริมทรัพย์มีมากขึ้น

2. การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ไทยและต่างประเทศสามารถเปิดให้บริการวิเทศธนกิจ (BIBF) ซึ่งบริการให้กู้เงินและรับฝากเงินตราต่างประเทศได้เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2536

3. คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุญาตให้บริษัทสามารถออกตราสารได้ ตั้งแต่ปี 2536 กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จึงกลับมาทุ่มเทลงทุนในโครงการใหม่ๆ อย่างคึกคัก เกิดภาวการณ์ซื้อที่ดินเพื่อกักตุนไว้เป็นแลนด์แบงก์ (Land Bank) ตามข้อกำหนดของ ก.ล.ต.

4. ปลายปี 2536 กระทรวงพาณิชย์ออกประกาศหลักเกณฑ์ให้บริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัยสามารถปล่อยสินเชื่อให้แก่โครงการพัฒนาที่ดิน รวมทั้งสินเชื่อรายย่อย และยังยินยอมให้ปล่อยสินเชื่อเพื่อการลงทุนต่างๆ ได้ถึง 30% ของสินทรัพย์ในบริษัทประกัน จากเดิมเพียง 10%

อาจกล่าวได้ว่า เป็นความผิดพลาดของทางการที่ดำเนินนโยบายสนับสนุนฟองสบู่ แทนที่จะปรามปราบฟองสบู่ ผลจึงเป็นความหายนะทางเศรษฐกิจในอีก 4 ปีต่อมา เมื่อฟองสบู่ลูกที่สองแตกอย่างถาวร


3. สภาวะฟองสบู่แตก

เมื่อทางการจำเป็นต้องตัดสินใจลอยตัวค่างเงินบาท และดำเนินการปิด 56 สถาบันการเงิน ระบบการเงินจึงเข้าสู่ภาวะวิกฤต สถาบันการเงินขาดสภาพคล่อง ทั้งๆ ที่สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของ ธปท.และกระทรวงการคลัง ขณะที่อีกด้านหนึ่งมาจาก ขาดความสามารถ ความโลภ ไร้ประสิทธิภาพในการบริหารเงิน และการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ประชาชน นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขาดความเชื่อมั่นในระบบสถาบันการเงินไทย

นโยบายการเงินที่เห็นได้ชัดคือ การใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ (ตะกร้าเงิน) อิงกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเวลานานถึง 10 กว่าปี โดยไม่ได้ใช้เป็นเครื่องมือในการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

การส่งสัญญาณเตือนภัยล่าช้า วิเคราะห์สถานการณ์ผิดพลาด เช่น การใช้นโยบายเปิดเสรีทางการเงินเพราะต้องการเร่งระดมทุนจากต่างประเทศเข้ามาขยายการลงทุน เนื่องจากเงินออมในประเทศไม่เพียงพอ ต่อมาเมื่อเงินทุนไหลเข้ามามากจนกระตุ้นให้เกิด “ฟองสบู่” ลูกใหม่ ธปท.กลับควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ และมิได้ตระหนักถึงภัยอันตราย สถาบันการเงินไทยหันไปพึ่งพาเงินทุนนำเข้าจากต่างประเทศ โดยอาศัยส่วนต่างค่อนข้างมากของอัตราดอกเบี้ยมาทำกำไรจำนวนมหาศาล ด้วยการปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำตัวเป็น “เสือนอนกิน”

ปริมาณเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิ ในปี 2530 มีเพียง 27.6 พันล้านบาท หลังเปิดเสรีทางการเงินในปี 2536 ได้เพิ่มขึ้นเป็น 260.9 พันล้านบาท หรือเกือบ 20 เท่าในช่วงเวลาเพียง 7-8 ปี และกว่า 90% เป็นการนำเข้าเงินทุนของภาคเอกชนโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์

เงินทุนนำเข้าจากต่างประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นเงินทุนระยะสั้น เพื่อนำมาปล่อยสินเชื่อระยะยาวในประเทศ ส่วนใหญ่กระจุกตัวที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน และหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงในช่วงฟองสบู่พองตัว เมื่อภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นจุดเริ่มฟองสบู่แตก จึงลุกลามไปถึงสถาบันการเงิน

ล่าสุด (สิงหาคม 2550) ระบบการเงินโลกกำลังเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา หรือสินเชื่อที่อยู่อาศัยเกรดต่ำสุดและมีความเสี่ยงสูง (Subprime Mortgage Loan) กำลังพ่นพิษ [8] ในขณะที่สหรัฐฯ กำลังอยู่ในภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทำให้อำนาจในการจับจ่ายใช้สอยไม่ดีเหมือนกับในห้วงปี 2544 ซึ่งธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ติดๆ กัน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้พ้นจากหายนะหลังเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน ทำให้มีประเด็นที่น่าติดตามว่า “ปี 2549-50 ฟองสบู่ที่อยู่อาศัยในสหรัฐฯ กำลังแตกจริงหรือไม่?” จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไร?”

ความรู้เรื่องเศรษฐกิจฟองสบู่ ยังคงน่าสนใจติดตามต่อไปอีกนาน

เอกสารอ้างอิง

กลุ่มศึกษาเศรษฐศาสตร์สถาบัน คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2549. บทความเรื่อง “เตือนนโยบายรัฐก่อวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่”. หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ. http://www.rakbankerd.com/hotnews.html?nid=680 บริษัท เศรษฐกิจร่วมด้วยช่วยกัน จำกัด. เข้าดูวันที่ 22 ธันวาคม 2549.

วีรพงษ์ รามางกูร 2549. ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอ๊ดวานซ์ อะโกร จำกัด (มหาชน) อดีต รมว.คลัง. บทความเรื่อง “นักวิชาการชี้ 2 ปีเศรษฐกิจไร้ ‘ฟองสบู่’ ”. หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ หรือ http://www.rakbankerd.com/hotnews.html?nid=790 บริษัท เศรษฐกิจร่วมด้วยช่วยกัน จำกัด. เข้าดูเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2549.

ศุภวุฒิ สายเชื้อ 2543. พ็อกเก็ตบุ๊ค เรื่อง “เศรษฐกิจไทย พลาดสู่วิกฤติ” บทที่ 7 “วิกฤตเศรษฐกิจจากการเปิดเสรีทางการเงิน” หน้า 96-102. กรุงเทพฯ : บริษัทพิฆเณศ พริ้นติ้ง เซ็นเตอร์.

ศุภวุฒิ สายเชื้อ 2549. คอลัมน์เศรษฐศาสตร์จานร้อน บทความเรื่อง “เรื่องของเศรษฐกิจฟองสบู่”. หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ. http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2004q1/article2004q1/article2004jan19p7.htm บริษัท เศรษฐกิจร่วมด้วยช่วยกัน จำกัด. เข้าดูเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2549.

จาก “Subprime” สู่หุ้นกู้ “CDS”

สุกรี แมนชัยนิมิต
Positioning Magazine( ตุลาคม 2551)
ที่มาhttp://www.positioningmag.com/magazine/printnews.aspx?id=74542
การกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ หลังวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชีย และการค้าโลกเสียสมดุล ด้วยมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะการกระตุ้นการบริโภคของชาวอเมริกัน จนนำมาสู่การพุ่งขึ้นของยอดสินเชื่อ “ซับไพรม์” ซึ่งแม้จะเป็นหนี้เสี่ยงที่จะกลายเป็นหนี้เน่า แต่ก็เป็นแหล่งที่นักการเงินมองเห็นหนทางการเก็งกำไร ซึ่งหลายคนร่ำรวยจากเงินก้อนนี้มาแล้ว

“สินเชื่อซับไพรม์” พ่นพิษมาตั้งแต่กลางปี 2007 ที่มีสถาบันการเงินของสหรัฐฯ มีปัญหาจากลูกหนี้กลุ่ม “ซับไพรม์” คือ “นิว เซนจูรี ไฟแนนเชียล คอร์ป” ล้มละลาย

สินเชื่อ “ซับไพรม์” คือการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกหนี้ที่มีประวัติทางการเงินไม่ดี หรือปล่อยสินเชื่อให้บุคคลที่คาดว่าจะผิดนัดชำระหนี้ โดยมีสินเชื่อทั้งประเภทสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Subprime Mortgages) สินเชื่อรถยนต์ (Subprime Car Loans) สินเชื่อบัตรเครดิต (Subprime Credit Cards) เมื่อลูกหนี้มีความเสี่ยงสูง การคิดดอกเบี้ยย่อมสูงกว่าลูกหนี้ปกติ หรือหากชำระก่อนกำหนดจะต้องจ่ายค่าปรับสูงกว่า

จากข้อมูลของบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด โดย “วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล” กรรมการบริหาร และหัวหน้าสำนักวิจัย ระบุว่า สินเชื่อซับไพรม์ในกลุ่มลูกหนี้ที่อยู่อาศัยเริ่มเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2004 ซึ่งมูลค่าถึง 363,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2005 สูงถึง 465,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2006 จำนวน 449,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 14.38 ล้านล้านบาท

14.38 ล้านล้านบาท มากกว่างบประมาณรายจ่ายประจำปีของประเทศไทยรวมกันประมาณ 7-8 ปี (งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 ของไทยอยู่ที่ประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท) ขณะที่ปี 2000 สินเชื่อซับไพรม์สหรัฐฯ มีมูลค่าเพียง 52,000 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น จึงเป็นสินเชื่อที่มีอัตราเติบโตสูงสุดเมื่อเทียบกับสินเชื่อกลุ่มอื่น โดย 2007 สินเชื่อที่อยู่อาศัยรวมของสหรัฐฯ หรือรวมลูกหนี้ทุกประเภทแล้วมีมูลค่า 10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ในปี 2006 เป็นกลุ่มสินเชื่อซับไพรม์ถึง 20% ขณะที่ปี 1994 มีเพียง 5% และหากนับเป็นจำนวนครัวเรือนของสหรัฐฯ แล้ว คนสหรัฐฯ ที่มีบ้านทั้งหมด 109,932,000 บ้าน ในจำนวน 8% หรือ 8,794,560 บ้าน เป็นลูกหนี้ “ซับไพรม์”

แปลงหนี้เป็นทุน ปั่นกำไร

การลงทุนที่ได้รับความนิยมในสหรัฐฯ มาหลายปี คือกระบวนการ “แปลงสินทรัพย์เป็นทุน” หรือ Securitization ซึ่งประเทศไทยเคยมีการพูดถึงอย่างหนาหูในช่วงรัฐบาลทักษิณ 1 ที่มีแนวคิดการนำที่ดิน หรืออาคาร หรือโครงการในอนาคตแปลงเป็นสินทรัพย์เพื่อระดมเงินมาลงทุน โดยได้ทำตัวอย่างไว้ในโครงการก่อสร้างศูนย์ราชการ และมีการตั้งบริษัทลูกสังกัดกรมธนารักษ์ ออกหุ้นกู้ระดมทุน 20,000 ล้านบาทมาก่อสร้างโครงการ

แต่รูปแบบ “แปลงสินทรัพย์เป็นทุน” ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ มีนวัตกรรมมากกว่า คือการนำ “สินเชื่อที่อยู่อาศัย” มาจัดรวมกันเสนอขายออกมาเป็นตราสารทางการเงินที่มีหลักทรัพย์เหล่านั้นค้ำประกัน เรียกว่า Mortgage-Backed Securities (MBS)

MBS ยังเป็นส่วนหนึ่งของ CDO (Collateralized Debt Obligations) ซึ่งเป็นตราสารทางการเงินที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ที่เกิดจากการรวมเข้าด้วยกันของพันธบัตรและสินเชื่อต่างๆ หรือ MBS

CDO จะแบ่งเป็นส่วนๆ (Tranches) ต่างกันในเรื่องเวลาครบกำหนดไถ่ถอน ความเสี่ยง และอัตราดอกเบี้ย ผลตอบแทนที่สูง และง่ายขึ้นทำให้การเก็งกำไรกันมาก จนสินเชื่อซับไพรม์ถูกแปลงออกมาเป็นตราสารทางการเงินในปี 2006 สูงถึง 75% จากปี 2001 มี 54% ขณะที่หนี้เสียในกลุ่มซับไพรม์ หรือการผิดนัดชำระหนี้สูงขึ้นมากตามภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มถดถอย

นอกจากนี้ ยังเกิดตราสารอนุพันธ์ ที่เรียกว่า Credit Default Swaps (CDS) ซึ่งเหมือนกับการซื้อประกันภัยแบบหนึ่ง โดยเป็นการทำสัญญาระหว่าง 2 ฝ่าย โดยผู้ซื้อจะชำระเงินให้กับผู้ขายในอัตราคงที่เป็นระยะๆ แลกกับสิทธิในการรับผลตอบแทน หากเกิดการล้มละลาย หรือหมดความสามารถในการชำระหนี้ของ “บุคคลที่สาม หรือหน่วยอ้างอิง” (Reference Entity)

การลงทุนใน CDS น่าจะหยุดตรงที่การป้องกันความเสี่ยงเท่านั้น แต่กลายเป็นว่า “ความเสี่ยง” ที่ไม่มีใครอยากเจอ กลับสามารถทำเงินได้มากขึ้น กลายเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์เพื่อเก็งกำไร เพราะมีการซื้อและทำสัญญาเป็นทอดๆ โดยมีบริษัทรับจัดอันดับความน่าเชื่อถือร่วมด้วย จนมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดรวมของ CDS ในขณะนี้อยู่ที่ 62 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

เอกสารของ บล.ทิสโก้ได้อธิบายไว้ว่ามูลค่าตลาดตราสาร CDS ดูมหาศาล เนื่องจากการทำธุรกิจที่ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ในตลาด กรณีตัวอย่างเช่น
1. บริษัท A ถือตราสาร CDO มูลค่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐ
2. บริษัท A ต้องการประกันความเสี่ยงโดยซื้อตราสาร CDS จากบริษัท B มูลค่าหน้าตั๋ว 10 ล้านเหรียญสหรัฐเช่นกัน
3. ถึงจุดหนึ่งบริษัท A เห็นว่าความเสี่ยงของตราสาร CDO ที่ตัวเองถืออยู่ลดลง แต่อยากเก็งกำไรต่อ
4. บริษัท A หาหรือเก็บส่วนต่าง โดยออกตราสาร CDS ให้บริษัทอื่นต่อไปอีก
5. ขณะเดียวกันบริษัท B อยากป้องกันความเสี่ยงธุรกรรมที่ทำไป ก็ไปซื้อตราสาร CDS จากคู่ค้าอื่น ซึ่งในตลาดนี้นอกจากบริษัท A และ B ยังมีอีกหลายคู่บริษัทไขว้กันไปมา

สถาบันการเงินที่เป็นวาณิชธนกิจหรือสถาบันการเงินเพื่อการลงทุน Investment Banking อย่าง “เลแมน บราเดอร์ส” เข้าไปเกี่ยวพันกับการทำ CDS จำนวนมาก มูลค่าสัญญาที่เข้าไปรับค้ำประกันสูงถึง 800,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เช่นเดียวกับเอไอจี หรือบริษัท อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (เอไอจี) ที่ถือทั้ง CDO และ CDS เมื่อลูกหนี้ไม่สามารถจ่ายหนี้ เงินที่มีอยู่ไม่เพียงพอจ่ายเข้าระบบอย่างที่วางแผนไว้ ในที่สุดเลแมน บราเดอร์ส ต้อง “ล้มละลาย” ส่วนเอไอจี ต้องนำเงินรัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามาอุ้ม เพื่อรอผ่องถ่ายหาผู้ถือหุ้นใหม่

บทสรุปจาก “ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ” กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) น่าจะชัดเจนที่สุดคือ ปัญหาหลักของสถาบันการเงินที่เผชิญกับวิกฤตทางการเงินทำให้ต้องล้มละลายเพราะสถาบันการเงินเหล่านี้ ดำเนินธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง ลงทุนอย่างขาดความระมัดระวัง และกู้เงินมาลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยมีทุนของตนเองอยู่เพียงเล็กน้อย เพราะมั่นใจเกินไป และอยากได้กำไรสูง จะเห็นได้ว่าบริษัทแบร์เติร์นส์ เลแมน เอไอจี และเมอร์ริล ลินช์นั้น ล้วนแต่มีสินทรัพย์ต่อทุนประมาณ 20-30 เท่า หรือลงทุน 1 บาท และกู้เงินมา 29 บาท เพื่อใช้ในการลงทุน ทำให้เมื่อมีปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพ ทุนก็จะหมดลงได้อย่างรวดเร็ว และเกิดปัญหาสภาพคล่องได้โดยง่าย ยังมีสถาบันการเงินของสหรัฐฯ ที่มีลักษณะเช่นนี้อยู่อีก จึงไม่ควรแปลกใจหากมีสถาบันการเงินของสหรัฐฯ ล้มละลายอีกหลายแห่งใน 6-12 เดือนข้างหน้า

ปรากฏการณ์ของ “เลแมน บราเดอร์ส” ที่ชัดเจน คือการมีหนี้สินต่อทุนสูงอย่างไม่น่าเชื่อ นับตั้งแต่ปี 2003 ซึ่งมีหนี้มากกว่าทุนถึง 23.7 เท่า มาในปี 2007 สูงถึง 30.7 เท่า นั่นเพราะกฎเกณฑ์ที่เอื้อต่อการลงทุน โดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ของสหรัฐฯ ไม่ได้คุมสถาบันการเงินประเภทวาณิชธนกิจเข้มเหมือนกับที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ คุมธนาคารพาณิชย์ ที่มีหนี้สินต่อทุนเพียงประมาณ 8-10 เท่า หรือหากเป็นเอกชนทั่วไปอย่างในประเทศไทยจะมีหนี้มากกว่าทุนเพียงประมาณ 1.5-2 เท่า

กฎเกณฑ์ที่เอื้อต่อการก่อหนี้ ทำให้เลแมนฯ และเอไอจี ที่ต้องการหมุนทุนให้เกิดรายได้สูงสุดจึงมีปัญหา นี่เป็นเพียงตัวอย่าง 2 สถาบันการเงินในกว่า 25 แห่งที่ล้มระเนระนาดนับตั้งแต่เมษายน 2007 “ข่าวร้าย” นี้ยังไม่จบ และยังไม่มีใครบอกได้ว่าจะสิ้นสุดตรงไหน

สรุปสาเหตุวิฤตการเงินสหรัฐฯ
1. นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยในปี 2001-2004 ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ลดลงถึง 5.5% จากที่เคยอยู่ในระดับ 6.5% ในปี 2000 ทำให้ราคาบ้านในสหรัฐฯ สูงขึ้นต่อเนื่องนับจากปี 1991 เพิ่มขึ้นถึง 130% ยิ่งราคาสูงขึ้นสถาบันการเงินยิ่งปล่อยกู้ได้มาก แต่ในปี 2006 มีการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อชะลอเงินเฟ้อจนอยู่ในระดับ 5.25% และลดลงมาอีกครั้งเหลือ 2% ในปี 2007 โดยราคาบ้านปี 2008 ตกลงมาจากปี 2006 จำนวน 15.4%
2. การกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้มาตรการปล่อยกู้หย่อนยาน และสร้างแรงจูงใจในการกู้ ทำให้เกิดการปล่อยสินเชื่อที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะสินเชื่อ “ซับไพรม์”
3. สถาบันการเงินจำนวนมากปล่อยสินเชื่อ “ซับไพรม์” เพื่อนำไปขายต่อสร้างกำไร
4. มาตรการกำกับดูแลของภาครัฐไม่รัดกุม
5. ผลตอบแทนที่สูงของตราสารทางการเงินประเภท MBS และ CDO ที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อ “ซับไพรม์” ทำให้เกิดการลงทุนในตราสารเหล่านี้จำนวนมาก
6. ผู้ซื้อตราสารหนี้ประเภท MBS และ CDO ที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อ “ซับไพรม์” พึ่งพิงกับอันดับความน่าเชื่อถือมากเกินไป การเก็งกำไรใน CDS เริ่มมากขึ้น
7. การประเมินค่าชดเชยความเสี่ยง (Risk Premiun) ที่ผิดพลาดเนื่องจากมีสมมติฐานในเชิงบวกมากเกินไปเกี่ยวกับภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์
8. มีความขัดแย้งกันในผลประโยชน์ (Conflicts of Interest) ของหน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือ


เปรียบเทียบวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในสหรัฐฯ กับวิกฤตต้มยำกุ้ง ในไทย มาตรการและผลกระทบ

วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในสหรัฐฯ ปี 2008
ที่มาของวิกฤต
-ความฟุ่มเฟือยในการใช้จ่ายของประชาชน
-การปล่อยกู้ง่าย และการเก็งกำไรของสถาบันการเงิน
ผล
-สถาบันการเงินขาดสภาพคล่อง -ล้มละลาย
มาตรการกู้วิกฤต
-รัฐบาลสหรัฐอัดฉีดเงินอุ้มสถาบันการเงิน เช่น ให้เอไอจีกู้ 8.5 หมื่นล้านดอลล์,ให้แฟนนี เม และเฟรดดี แมค 2 แสนล้านดอลล์, ให้แบร์สเติร์นส์ 3 หมื่นล้านดอลล์

วิกฤตต้มยำกุ้งในไทย ปี 1997
ที่มาของวิกฤต
-มีการลงทุนโดยกู้เงินจากต่างประเทศมาก ค่าเงินอ่อนรัฐบาลนำทุนสำรองไปอุ้มจนทุนสำรองวูบ
-สถาบันการเงินปล่อยกู้ไม่เหมาะสมจนเกิดหนี้เสีย
ผล
-สถาบันการเงินล้มละลาย
มาตรการกู้วิกฤต
-รัฐบาลไทยทำตามคำแนะนำสหรัฐฯ และไอเอ็มเอฟ ปล่อยให้สถาบันการเงินล้ม และให้ขายสินทรัพย์ให้ต่างชาติ

Read more: http://www.positioningmag.com/magazine/printnews.aspx?id=74542#ixzz2QpZyel4K
Under Creative Commons License: Attribution Non-Commercial No Derivatives

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

ตลาดออฟฟิศเกรดเอปี56โตต่อเนื่องรับอานิสงส์ บ.ต่างชาติ

16 มกราคม 2556
ที่มา http://www.ddproperty.com/
คอลลิเออร์ส คาดสำนักงานเกรดเอไทยปี 56 รับอนิสงส์จากบริษัทข้ามชาติ โตต่อเนื่อง สอดคล้องเสถียรภาพทั่วโลกโดยรวมยังบวก

แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในสภาวะที่ไม่ค่อยดีนักจากปัญหาวิกฤติหนี้ยูโรโซนที่กำลังคุกรุ่น ที่ส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจในหลายประเทศชะลอตัว  แต่จากรายงานการสำรวจ มุมมองตลาดสำนักงานทั่วโลกปี 2556 โดยคอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล นั้นตลาดสำนักงานโดยรวมคาดว่าน่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นพอสมควร

ขณะที่เจ้าของอาคารสำนักงานขนาดใหญ่จำนวนมากกำลังรอดูท่าทีเศรษฐกิจโลกอยู่นั้น ผู้เช่าเองก็กำลังมองหาสำนักงาน เพื่อปรับขยายตามความจำเป็นในการดำเนินงานในอาคารสำนักงานที่มีคุณภาพในเมืองใหญ่ทั่วโลกเช่นกัน จึงเห็นได้ถึงดีมานด์ที่สอดคล้องกันจากทั้งเจ้าของสำนักงานและบรรดานักลงทุน

ในเรื่องของราคาค่าเช่า พบว่าตลาดในเอเชีย 2 แห่งติดอันดับท็อป 5 สำนักงานที่มีราคาแพงที่สุดในโลก โดยฮ่องกง เป็นประเทศที่มีค่าเช่าสำนักงานเกรดเอแพงที่สุดในโลกที่อัตรา 166.70 เหรียญสหรัฐต่อตารางฟุต (ประมาณ 5,015 บาทต่อตารางฟุต) โดยมีโตเกียวอยู่ในอันดับ3 (106.01 เหรียญสหรัฐต่อตารางฟุต – ประมาณ 3,190 บาทต่อตารางฟุต) ตามหลังราคาค่าเช่าออฟฟิศในย่านเวสต์เอนด์ของลอนดอนที่มีเรทค่าเช่าแพงเป็นอันดับที่ 2 (125.65 เหรียญสหรัฐต่อตารางฟุต – ประมาณ 3,780 บาทต่อตารางฟุต)

ในขณะที่อัตราค่าเช่าอาคารสำนักงานเกรดเอในกรุงเทพยังคงต่ำมาก (2.13 เหรียญสหรัฐต่อตารางฟุต หรือ 64 บาทต่อตารางฟุต) เมื่อเทียบกับประเทศอื่น  จึงส่งผลให้ตลาดสำนักงานของกรุงเทพฯในช่วงปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบหลายปี โดยเฉพาะดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดของบริษัทข้ามชาติหลายแห่งที่เข้ามาตั้งสำนักงานในกรุงเทพฯ โดยมีอาคารสำนักงานเกรดเอในย่านศูนย์กลางทางธุรกิจ หรือ CBD เป็นทางเลือกแรก

นายสุรเชษฐ์ กองชีพ ผู้จัดการอาวุโสแผนกวิจัย ของคอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า “ในปี 2556 กลุ่มอาคารสำนักงานเกรดเอในกรุงเทพฯ ก็ยังคงมีแนวโน้มที่ดี แต่ด้วยจำนวนที่จำกัดและหลายโครงการใหม่ที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง จะทำให้อีก 2-3 ปีข้างหน้าอัตราการเช่าและอัตราค่าเช่าจะเพิ่มมากขึ้น”

วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556

“กรมการค้าภายใน” เตรียมเสนอบอร์ดแข่งขันไฟเขียวเกณฑ์อำนาจเหนือตลาดและเกณฑ์ควบรวมกิจการ หวังคุมธุรกิจใหญ่ ไม่ให้ทำธุรกิจเอาเปรียบรายเล็ก


ที่มา http://www.biothai.net/news/17190
Submitted by info on Mon, 2013-04-08 21:28
นายสันติชัย สารถวัลย์แพศย์ รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ จะเสนอให้คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า ที่มีนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน พิจารณาเห็นชอบการปรับปรุงแก้ไขเกณฑ์อำนาจเหนือตลาด และยกร่างเกณฑ์การควบรวมกิจการ ภายใต้ พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 เพื่อป้องกันธุรกิจรายใหญ่ผูกขาด จนทำให้ธุรกิจรายเล็กไม่สามารถแข่งขันได้ และยังเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 ที่จะมีธุรกิจจากอาเซียนเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น จึงต้องมีกฎ กติกาในการป้องกันการผูกขาด

โดยการแก้ไขเกณฑ์อำนาจเหนือตลาด ได้กำหนดเป็น 2 เกณฑ์ คือ ธุรกิจรายหนึ่งรายใดที่มีส่วนแบ่งทางการตลาด 50% ขึ้นไป และมียอดขายปีที่ผ่านมา 500 ล้านบาทขึ้นไปจะถือว่ามีอำนาจเหนือตลาด และอีกเกณฑ์ คือ ธุรกิจรายหนึ่งรายใดที่มีส่วนแบ่ง 30% ขึ้นไป พร้อมทั้งพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น มีการจำกัดการแข่งขันหรือไม่ มีอุปสรรคในการเข้าตลาดหรือไม่ ซึ่งหากธุรกิจใดที่มีส่วนแบ่ง 30% ขึ้นไป และจำกัดการแข่งขันของคู่แข่ง หรือทำให้คู่แข่งเกิดอุปสรรคในการเข้าตลาด ก็จะถือว่าธุรกิจนั้นมีอำนาจเหนือตลาด ทั้งนี้ยังกำหนดให้ธุรกิจ 3 รายแรกมีส่วนแบ่งทางการตลาด 75% ขึ้นไป และมียอดขาย 500 ล้านบาทขึ้นไปจะถือว่ามีอำนาจเหนือตลาดด้วย

“เมื่อมีผลบังคับใช้ ผู้ที่เข้าเกณฑ์มีอำนาจเหนือตลาดจะต้องแจ้งให้กรมฯ ทราบ และต้องไม่ใช้ความเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาดทำลายธุรกิจของธุรกิจรายเล็กๆ ที่ไม่สามารถแข่งขันได้ เพราะถ้าทำเช่นนั้นจะถือว่าธุรกิจรายใหญ่มีความผิดตามกฎหมายแข่งขันทางการค้า และมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” นายสันติชัยกล่าว

ส่วนการยกร่างเกณฑ์การควบรวมกิจการ ได้กำหนดเป็นเกณฑ์ที่จะใช้กับธุรกิจทั่วไป ส่วนธุรกิจอื่นๆ ที่มีหน่วยงาน หรือกฎหมายดูแลเป็นการเฉพาะ เช่น ธุรกิจการเงิน ธุรกิจการประกันภัย หรือธุรกิจโทรคมนาคม ไม่ต้องอยู่ภายใต้เกณฑ์ควบรวมกิจการนี้

โดยเกณฑ์ที่จะเสนอให้คณะกรรมการแข่งขันฯ พิจารณา ได้แก่ 1. ธุรกิจ 2 รายที่ต้องการควบรวมกิจการ และหลังจากควบรวมแล้วมีส่วนแบ่งทางการตลาด 30% ขึ้นไป และมียอดขาย 2,000 ล้านบาทขึ้นไป จะเข้าเกณฑ์การควบรวมกิจการ และต้องแจ้งต่อคณะกรรมการฯ และ 2. บริษัทที่ต้องการซื้อหุ้นบริษัทอื่น กรณีบริษัทจำกัดมหาชนกำหนดไว้ที่ 25% และบริษัทจำกัด 50% โดยหลังจากซื้อหุ้นแล้วทำให้มีส่วนแบ่งตลาด 30% ขึ้นไป และมียอดขายเกิน 2,000 ล้านบาทขึ้นไปก็ถือว่าเข้าเกณฑ์จะต้องแจ้ง ทั้งนี้ กรณีการควบรวมของธุรกิจรายเล็ก หากไม่เข้าตามเงื่อนไขดังกล่าว ก็ไม่ต้องแจ้ง

สำหรับเกณฑ์อำนาจเหนือตลาดที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน 1. กำหนดส่วนแบ่งตลาด 50% ขึ้นไป และมียอดขายปีที่ผ่านมา 1,000 ล้านบาทขึ้นไป 2. ธุรกิจ 3 รายแรกที่มีส่วนแบ่งตลาด 75% ขึ้นไป และมียอดเงินขายในปีที่ผ่านมาตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โดยสาเหตุที่ต้องเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 30% ขึ้นไป และลดวงเงินยอดขายลงเหลือ 500 ล้านบาทขึ้นไป เป็นเพราะต้องการดูแลธุรกิจต่างๆ ให้ได้ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งรายใหญ่ และรายกลาง จากเดิมที่ดูแลได้เฉพาะรายใหญ่เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ธุรกิจที่เข้าข่ายมีอำนาจเหนือตลาด เช่น ปูนซีเมนต์ ธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ เหล้า-เบียร์ อาหารสัตว์ เป็นต้น

ประกันฝุ่นตลบแห่‘ควบรวม-ขาย’รัฐเว้นภาษี/ไซส์เล็ก-กลางซุ่มเจรจา

ที่มาhttp://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413371906
[ ฉบับที่ 1372 ประจำวันที่ 26-1-2013  ถึง 29-1-2013 ] 
ส.วินาศภัยไทย/ส.ประกันชีวิต/คปภ. - จับตา! ปีนี้บริษัทประกันแห่ควบรวมขายกิจการหลัง ครม.ไฟเขียวก.ม.ภาษีควบกิจการ วงในเผยซุ่มเจรจาร่วม 10 บริษัท เป็นไซส์เล็กและกลางที่มีเบี้ยประกันไม่ถึง 2 พันล้านบาท เผย ไซส์เล็กจ้องขายต่างชาติ ส่วนไซส์กลางจะควบกันเองเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง บิ๊กวงการ เชื่อปีนี้ควบรวมฟีเวอร์เป็นไปตามเทรนด์โลกรับเออีซี คปภ. ยกธงเชียร์ ด้าน “สุจินต์ หวั่งหลี” ย้ำต้องเป็นประโยชน์กับผู้ถือหุ้น 2 ฝ่าย ระบุ “นวกิจ” ค่ายประกันในเครือไม่ปิดกั้นแม้จะควบกับบริษัทอื่นแล้ว 3 บริษัทขอแค่มีเบี้ยไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท เท่านั้น

พลันที่คณะรัฐมนตรี เห็น ชอบร่างกฎหมายเกี่ยวกับการพัฒนาตลาดทุนไทยด้วยการยกเว้นภาษีเงินสำรองที่เกิดจากจากการควบรวมกิจการของสถาบันการเงินรวมถึงบริษัทประกันภัยไม่ต้องนำมาคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเรียกเสียงเฮจากทั้งฝั่งรัฐคือสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.)และภาคธุรกิจคือบริษัทประกันภัยหลังจากผลักดันกันมานานและคาดว่าจะจูงใจให้บริษัทประกันภัยหันมาควบรวมกันมากขึ้นตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป

แหล่งข่าวจากบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งเปิดเผย “สยามธุรกิจ”ว่า มาตรการนี้จะกระตุ้นการควบรวมกิจการของบริษัทประกันภัยได้มากลดแรงกดดันของผู้ถือหุ้นทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลเพราะเวลารวมกิจการกันกรณีผู้ถือหุ้นบุคคลธรรมดามีรายได้ต้องนำมาเสียภาษี ขณะที่ผู้ถือหุ้นนิติบุคคลต้องประเมินราคาที่ได้มากับราคาที่ขายไปจากการรวมบริษัทเข้าด้วยกัน ส่วนต่างเท่าไหร่ต้องนำไปเสียภาษีเป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจควบรวมกันแต่เมื่อรัฐยกเว้นภาษีทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น มาตรการนี้เป็นประโยชน์ต่อการสร้างโอกาสควบรวมในธุรกิจประกัน

ทั้งนี้ จะเห็นการควบรวมเกิดมากขึ้นในปีนี้ซึ่งขณะนี้มีบริษัทประกันวินาศภัยประมาณ 5-7 บริษัทซุ่มเจรจาควบรวมกันมีอยู่หลายขนาดทั้งไซส์เล็กซึ่งเป็นบริษัทที่มีเบี้ยประกันต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท อีกกลุ่มเป็นบริษัทขนาดกลางที่มีเบี้ยประกันตั้งแต่ 1,000-2,000 ล้านบาทที่จะควบรวมเข้าด้วยกัน ส่วนบริษัทขนาดใหญ่ยังไม่เปิดเผยมากเพราะจะมีแรงกระเพื่อมกับธุรกิจภาพรวมซึ่งปัจจุบัน ไทยมีบริษัทประกันวินาศภัย 60 กว่าบริษัทเกินครึ่งเป็นไซส์กลางและเล็ก

“บริษัทกลุ่มที่ว่านี้มีเจ้าของเป็นคนไทยเป็นบริษัทครอบครัว ฐานะการเงินดี เชื่อว่าปีนี้จะเห็นดีลซื้อและควบรวมกิจการมากในปีนี้อย่างไซส์เล็กเขาจะขายให้ต่างชาติ”

นายสุจินต์ หวั่งหลี ประธานกรรมการ บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด(มหาชน) ให้ความเห็นกับ “สยามธุรกิจ” ว่า เป็นสิ่งดีที่รัฐบาลมองเห็นเพื่อส่งเสริมบริษัทประกันภัยควบรวมกิจการกัน แต่ตนมองว่าถึงตอนนี้โอกาสควบรวมผ่านไปแล้วเพราะการควบรวมต้องเป็นประโยชน์กับผู้ถือหุ้นทั้ง 2 ฝ่ายถ้ารวมกันแล้วไม่เป็นประโยชน์ก็คงไม่ทำ ยกตัวอย่าง บริษัทใหญ่อย่างกรุงเทพประกันภัยหรือวิริยะประกันภัยจะควบรวมกับบริษัทขนาดกลาง ขนาดเล็กไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยเขาสามารถเติบโตได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว เหลือแต่บริษัทขนาดกลางและเล็กที่จะควบกันเองต้องถามควบแล้วเกิดประโยชน์กับผู้ถือหุ้นทั้ง 2 ฝ่ายหรือไม่

“ตอนที่นวกิจควบรวมกับอีก 3 บริษัทคือประกันภัยสากล ,ไทยพาณิชย์ประกันภัยและไทยสมุทรประกันภัยเมื่อหลายปีก่อนเพราะเป็นประโยชน์กับผู้ถือหุ้นทั้ง 2 ฝ่ายผู้ถือหุ้นกลุ่มบริษัทเหล่านั้นอย่างกลุ่มพรประภาก็เข้ามาถือหุ้นในบริษัทเรา ถึงตอนนี้เราก็ไม่ปิดโอกาสเรื่องควบรวมกับบริษัทอื่นเพิ่มอีกก็มีไซส์เล็กมาเสนอแต่เรามองแล้วไม่เป็นประโยชน์ที่เรามองว่าจะเกื้อกูลกับ 2 ฝ่ายได้ต้องเป็นบริษัทไซส์พอสมควรอย่างตอนนี้เรามีเบี้ยประกัน 2,000 ล้านบาทถ้าควบกันแล้วเบี้ยเพิ่มเป็น 4-5,000 ล้านบาทเอาเราไม่ได้มีเป้าหมายจะเป็น 1 ใน 10 อีกอย่างเรามีนิปปอนโคอะของญี่ปุ่นถือหุ้นอยู่”

ด้านนายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย ให้ความเห็น”สยามธุรกิจ”ว่า เชื่อว่าการควบรวมกิจการจะเกิดมากขึ้นเป็นไปตามแนวโน้มธุรกิจทั่วโลกที่เคยเกิดมาแล้วในการแข่งขันภายใต้กฎเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานสากล เช่น เรื่องการดำรงเงินกองทุนตามความเสี่ยง( RBC)รวมไปถึงการควบรวมเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจมากขึ้น

“เป็นสิ่งที่ดีต่อธุรกิจที่ต้องเดินไปตามเทรนด์การแข่งขันในระดับสากลรวมไปถึงเออีซีแต่การควบรวมกันต้องตอบโจทย์ในแง่ของนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะได้เช่น สินค้าใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ลูกค้าและความแข็งแกร่งของบริษัท”

นายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการคปภ. เปิดเผยว่า มาตรการนี้จะสนับสนุนให้เกิดการควบรวมกิจการของบริษัทประกันภัยมากขึ้นเพราะไม่ต้องนำเงินสำรองของบริษัทที่ควบรวมกิจการกันมาคำนวณภาษี ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาที่ทำให้ภาคธุรกิจไม่สามารถที่จะเสริมความเข้มแข็งให้กับบริษัทได้

“เมื่อคปภ.ช่วยผลักดันแล้ว บริษัทเองก็ต้องเตรียมความพร้อมเพื่อให้เกิดความแข็งแกร่งด้วยพร้อมก้าวสู่การเปิดเออีซี สามารถทำได้หลายวิธี คือ 1.หาผู้ร่วมทุนต่างประเทศ 2.ควบรวมกิจการกัน และ3.ลดบทบาทธุรกิจมาทำเฉพาะธุรกิจที่ตัวเองถนัด แต่สิ่งที่คปภ.อยากเห็นคือการควบรวมกิจการกันมากกว่า”

นายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทยกล่าวว่า เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวได้เร็วก็จะมีผลดีต่อการควบรวมกิจการของธุรกิจในกลุ่มประกันภัยเพราะปัจจุบันมีปัจจัยผลักดันให้ธุรกิจเกิดการควบรวมกันมากขึ้นโดยเฉพาะการเพิ่มความเพียงพอของเงินกองทุน(CAR Ratio) ขั้นต่ำเป็น 140% จากเดิม 125% การแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น โดยเชื่อว่าจะเป็นการควบรวมกันเองของบริษัทประกันวินาศภัยในประเทศที่มีราว 60 บริษัทซึ่งการควบรวมทำให้ธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันดีขึ้นเป็นโอกาสที่จะขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้านสอดรับกับเออีซี

วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556

ราคาสินค้าเกิดจากอะไรบ้าง


ที่มาhttp://incquity.com/articles/hidden-cost-business
ในอุตสาหกรรมประเภทสินค้านั้นคงไม่ยากต่อการนิยามต้นทุน เพราะย่อมหมายถึงค่าแรงและวัตถุดิบเป็นสำคัญ แต่มีเพียงแค่นั้นจริงหรือ? และสำหรับบริการล่ะ มีอะไรที่แตกต่างกันออกไปอีกหรือเปล่า?
ในโลกของ SMEs ทั้งในแง่ค้าปลีกและผลิตเพื่อส่งขาย ราคา เป็นตัวตัดสินที่ชัดเจนพอสมควรว่าลูกค้าหรือผู้บริโภคจะสนใจหรือไม่ ซึ่งสิ่งที่ส่งผลสะท้อนจนเกิดเป็นราคาสินค้าหรือบริการนั้นก็คือ ต้นทุนนั่นเอง

ในอุตสาหกรรมประเภทสินค้านั้นคงไม่ยากต่อการนิยามต้นทุน เพราะย่อมหมายถึงค่าแรงและวัตถุดิบเป็นสำคัญ แต่มีเพียงแค่นั้นจริงหรือ? และสำหรับบริการล่ะ มีอะไรที่แตกต่างกันออกไปอีกหรือเปล่า? บทความของ INCquity ตอนนี้จะมุ่งตอบคำถามเรื่องนี้เป็นสำคัญ

ราคาขายของทั้งสินค้าและบริการควรสะท้อนต้นทุนของสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้ เราลองมาสำรวจกันว่าในฐานะนักธุรกิจเริ่มต้นที่รอบคอบ เราได้รวมสิ่งเหล่านี้เข้าไปไว้ในต้นทุนแล้วหรือยัง?

ค่าวัตถุดิบ
ข้อนี้คงนิยามได้ไม่ยากว่าหมายถึงวัสดุพื้นฐานทุกอย่างที่ต้องนำมาประกอบ หรือแปรรูปก่อนประกอบจนเกิดเป็นสินค้าหนึ่งชิ้น และวัตถุดิบเหล่านี้โดยมากมักมาเป็นจำนวนมากก่อนนำมาถูกตัดทอนย่อยๆ เพื่อทยอยใช้หรือนำมาใช้ในการผลิตตามคำสั่งซื้อต่อครั้ง

ในการบริการเอง สินค้าที่เป็นส่วนประกอบของบริการหลักๆ ของเราก็ถือว่าเข้าข่ายเหล่านี้ด้วยเช่นเดียวกัน ตัวอย่างของวัตถุดิบเหล่านี้ก็เช่น ยาทาเล็บในธุรกิจร้านแต่งเล็บ ยาหม่องหรือสมุนไพรในลูกประคบที่เราซื้อมาทำเองในธุรกิจสปา หรือค่าเอกสารที่เราต้องเตรียมให้ผู้เข้าอบรมหรือเด็กที่มาติว ในกรณีติวเตอร์หรือผู้สัมมนา เป็นต้น

ความเปลี่ยนแปลงของค่าวัตถุดิบอาจเกิดขึ้นได้สองกรณี คือการใช้วัตถุดิบต่อหน่วยให้คุ้มค่าขึ้น และการได้ราคาวัตถุดิบต่อหน่วยมาต่ำลงไม่ว่าจะด้วยการซื้อครั้งละจำนวนมากๆ หรือการต่อรองราคาก็ตาม

ค่าแรง
แม้ว่าอัตราค่าแรงในประเทศไทยในปัจจุบัน (2556) นั้นจะพุ่งสูงขึ้นจนใกล้เคียงกับค่าแรงงานในประเทศอินเดียแล้ว แต่โดยคุณภาพของงาน (แม้จะยังไม่ได้เทียบกับมาตรฐานใดๆ) เมื่อเทียบกับงานของอินเดีย หรือจีน (ที่เราอาจมีค่าแรงสูงกว่าประมาณ 10-15% ในปัจจุบัน) ก็ยังจัดว่าคุ้มค่ากว่า โดยเฉพาะในสายตาของผู้บริโภคในยุโรปและทวีปอเมริกาที่ยังคงนิยมสินค้าที่มีตรา Made in Thailand เพราะถือว่างานมีความประณีตอยู่มากกว่า ข้อนี้เป็นความน่าภูมิใจของเราจริงๆ


ฉะนั้นหากจะมองว่าปัญหาค่าแรงในไทยดูจะยากเกินแก้ เราอยากแนะนำว่าที่จริงควรมองว่าหากคุณภาพของเรายังอยู่ในระดับที่นานาชาติให้การยอมรับอยู่ การผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก โดยตั้งราคาราคาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมนั้นก็เป็นแนวทางหนึ่งที่น่าสนใจ

SMEs ของไทยได้เปรียบมากกว่าในแง่ขนาดของออเดอร์ที่สามารถเสนอให้กับลูกค้าของเราได้

ค่าดำเนินการ
ยิ่งขนาดธุรกิจใหญ่มากเท่าไร ค่าดำเนินการซึ่งหมายความรวมถึงค่าบริหารและจัดการเครื่องจักรแต่ละครั้งก็จะสูงขึ้นไปด้วยเป็นเงาตามตัว และจุดนี้เองที่ SMEs ของไทยได้เปรียบมากกว่าในแง่ขนาดของออเดอร์ที่สามารถเสนอให้กับลูกค้าของเราได้

ถ้าปริมาณการผลิตในจีนต่อล็อตต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ 5,000 ชิ้น กับลูกค้าที่ต้องการงานประณีตและไม่ได้ต้องการงานต่อล็อตจำนวนมาก (300-2,000 ชิ้น) นั้น โรงงานในไทยจึงได้เปรียบกว่ามากในแง่ความเหมาะสมในแง่ขนาดโรงงานต่อจำนวนผลิต

เราอาจเห็นว่าศักยภาพในการผลิตต่ำของเรานั้นไม่น่าจะใช่จุดขายหรือจุดแข็งของเราได้ แต่หากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าเรื่องนี้กลายเป็นข้อจำกัดของโรงงานในจีนที่ไม่สามารถผลิตสินค้าจำนวนเล็กๆ ได้เลย การบริหารค่าดำเนินการให้สามารถทำงานต่อล็อตได้อย่างรวดเร็ว ลดต้นทุนในส่วนนี้ได้ ก็จะสามารถทำให้ราคาต้นทุนของเราต่ำลงได้อีกเช่นเดียวกัน

อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา
เราทำอะไรกับค่าเงินไม่ได้มากนักนอกจากจับตาดูไม่ให้เรื่องนี้กลายเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในราคาสินค้า (การคิดเผื่อไว้ตั้งแต่แรกจึงเป็นเรื่องที่ดี) และอีกอย่างที่อาจทำได้คือหากเราต้องเพิ่มกำลังการผลิตโดยอาศัยโรงงานในประเทศเพื่อนบ้าน เรื่องอัตราแลกเปลี่ยนก็จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำได้ทั้งทำให้ต้นทุนของเราเพิ่มขึ้นหรือสมดุล หรือแม้แต่ลดลง

อากรและภาษีที่ประเทศนำเข้าเรียกเก็บ
เป็นการดีกว่าหากเราจะปรึกษาเรื่องนี้กับกรมส่งเสริมการส่งออกหรือหน่วยงานที่ทราบเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ ทั้งระเบียบในประเทศและอัตราภาษี/อากรของประเทศต่างๆ ซึ่งมีความซับซ้อนยากง่ายต่างกัน  และควรพิจารณาความได้เปรียบเสียเปรียบในการส่งออกจากแต่ละประเทศด้วย เช่น บางประเทศยอมให้สินค้าจากจีนส่งสินค้าไปขายได้ในอัตราภาษีที่ต่ำกว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นทั้งต้นทุนและอุปสรรคของการขายสินค้าทั้งสิ้น

ค่าใช้จ่ายที่ไม่น่าจะเสียอื่น ๆ
การที่เราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ทำให้เราไม่สามารถนำเสนอสินค้าของเราได้ด้วยตัวเอง ซึ่งน่าจะเรียกความมั่นใจจากคู่ค้าได้ หลายครั้งเป็นเหตุผลให้เราต้องใช้ตัวแทนจำหน่ายเพื่อทำหน้าที่ในการนำเสนอสินค้าของเราแทน เพียงตัวแทนจำหน่ายบวกค่านายหน้าในการขายเข้ามาในราคาสินค้าของเรา ก็เป็นเหตุหนึ่งที่จะทำให้ต้นทุนของเราสูงขึ้นได้อย่างน่าใจหาย (บางครั้งตัวแทนจำหน่ายอาจบวกขึ้นไปถึง 25%)

แน่นอน เราอาจไปเรียนภาษาอังกฤษไม่ทันแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร การต่อรองอย่างสมเหตุสมผล และการคิดถึงค่าใช้จ่ายส่วนนี้ในต้นทุน ก็อาจช่วยเราได้ในแง่ที่ทำให้เราได้ทราบถึงต้นทุนที่แท้จริง และบริหารจัดการได้ดีขึ้นเสียตั้งแต่ก่อนจะถึงเวลาต้องพบกับลูกค้าของเรา

• • •

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่นักธุรกิจเริ่มต้นหลายคนอาจลืมนึกไปบ้าง หรืออาจไม่มองว่าเป็นต้นทุน แต่ขอให้ทำใจไว้ส่วนหนึ่งเลยว่าไม่ว่าเราจะพยายามเลี่ยงขนาดไหน ต้นทุนเหล่านี้ไม่เคยหายไปและสุดท้ายก็จะฟ้องราคาของมันเข้ามาในบัญชีรายจ่ายของเราอยู่ดี

หวังว่าการทบทวนประเด็นเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้คงจะช่วยให้เราบริหารจัดการราคาสินค้าของเราให้สะท้อนค่าที่แท้จริงได้ดียิ่งขึ้น และตราบใดที่ราคาของสินค้าเหมาะสมเมื่อเทียบกับคุณภาพที่แท้จริง ก็ไม่มีเหตุผลใดที่เราจะไม่ควรรับกำไรในส่วนที่เราควรจะได้แต่อย่างใด

Photo belongs to Candescent

5 กลยุทธ์การตลาด ตั้งราคาสินค้าให้ดูราคาถูกลง



"Ninety-nine percent of advertising doesn't sell much of anything." ~David Ogilvy • Photo belongs to Elliott Brown
 ที่มา http://incquity.com/articles/money-talk/5-low-price-strategy
ไม่น่าเชื่อว่าการจัดแจงเกี่ยวกับราคาเล็กๆ น้อยๆ นั้นกลับสร้างผลทางจิตวิทยาที่ทำให้สินค้าเจ้าหนึ่งเอาชนะสินค้าไปได้อย่างฉิวเฉียดในตอนจบได้บ่อยๆ
เมื่อไปช้อปปิ้งหรือแม้แต่ไปเลือกซื้อสินค้าตามซูเปอร์มาร์เก็ต ภาพหนึ่งที่คุณอาจไม่ค่อยได้นึกถึง นั่นคือที่จริงเรากำลังยืนอยู่ท่ามกลางสงครามราคาอันเงียบกริบระหว่างแต่ละยี่ห้อที่กำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด! และทุกคนต่างก็หวังว่าจะเฉือนเอาชนะใจเราได้เพื่อจะได้เงินของเรา ซึ่งชัยชนะที่ว่านั่น (ถ้าเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค) ส่วนใหญ่ชัยชนะจะตัดสินกันที่แทบวินาทีสุดท้ายที่จุดขายสินค้า (Point of Sale) เมื่อลูกค้าจะตัดสินใจซื้อจากราคาว่าสินค้าตัวไหนราคาถูกกว่า

ถึงแม้สินค้าจะราคาต่างกันไม่เท่าไร แต่ไม่น่าเชื่อว่าการจัดแจงเกี่ยวกับราคาเล็กๆ น้อยๆ นั้นกลับสร้างผลทางจิตวิทยาที่ทำให้สินค้าเจ้าหนึ่งเอาชนะสินค้าไปได้อย่างฉิวเฉียดในตอนจบบ่อยๆ และ 5 กลยุทธ์ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ เราพบว่าผู้ขายสินค้าในตลาดปัจจุบันนิยมเลือกใช้เพื่อให้สินค้าของตัวเองดูราคาถูกลงได้สำหรับเรา

1.ราคานี้ยังไม่รวม
เทคนิคนี้เรามักจะพบบ่อยตามร้านอาหาร ที่เมื่อถึงเวลาจ่ายเงินทีไรราคาก็มักจะออกมาสูงกว่าที่ราคาอาหารที่เราสั่งทุกที นั่นเป็นเพราะราคาที่อยู่ในเมนูนั้นคือราคาที่ยังไม่รวมภาษีหรือค่าบริการต่างๆ ที่เพิ่มมามากถึง 7-10% ของราคาอาหารเลยทีเดียว

ในธุรกิจร้านอาหาร เรามักพบข้อความที่ด้านล้างสุดของเมนูระบุว่าราคาอาหารยังไม่รวมเซอร์วิส ชาร์จ (service charge) และภาษี หรือเราอาจพบแบบเครื่องหมายบวกบวก “++” ซึ่งหมายถึงจะมีคิดเงินเพิ่มโดยจะคำนวน service charge ก่อนแล้วคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามลำดับ หรือแบบบวก“+” เพียงอันเดียวซึ่งจะหมายถึง บวกภาษีมูลค่าเพิ่มเพียงอย่างเดียว

ที่จริงแล้วธรรมเนียม (หรือแนวคิด) การบวก service charge นั้นตั้งอยู่บนแนวคิดว่าเราได้ “ใช้บริการ” ของเขาหรือไม่ ซึ่งการบริการของร้านอาหารนั้นก็เป็นไปได้ตั้งแต่การนั่งรับประทานในร้านซึ่งตกแต่งไว้อย่างสวยงาม และใช้บริกรอำนวยความสะดวกของร้าน ไปจนถึงบริการส่งสินค้าถึงบ้าน ซึ่งต้องใช้พนักงานส่งสินค้า ซึ่งบริการเหล่านั้นเกิดเป็นค่าใช้จ่ายกับเจ้าของสินค้าทั้งสิ้น การบวก service charge จึงเป็นเสมือนการชดเชยค่าใช้จ่ายเหล่านั้นให้กับทางร้าน ซึ่งถ้าเราได้ใช้บริการอย่างยาวนานหรือสมเหตุผล (เช่น อยู่ที่ร้านนาน หรือระยะทางส่งสินค้าไกลมากๆ) ค่าบริการนี้ก็ถือว่าดูมีที่มาที่ไปที่น่าจะยอมรับได้

ส่วนทิปซึ่งถือเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นพร้อมกันแต่เป็นการยากที่จะแยกแยะว่าร้านค้าส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้นคิด service charge ไปเพื่อประโยชน์ของผู้บริการจริงหรือไม่ ดังนั้น การให้ทิปในปัจจุบัน (หากประทับใจการบริการของผู้ให้บริการ) จึงควรให้เป็นเงินแยกต่างหากอย่างชัดเจนแทน

และบางครั้งเมื่อเราจะซื้อสินค้าในจากต่างประเทศโดยเฉพาะเครื่องไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ IT เราจะพบว่านอกจากราคาสินค้าที่ปิดป้ายไว้แล้วก็ควรจะเช็คให้ดีก่อนว่ามีภาษีอะไรบ้าง ไม่เช่นนั้นอาจเจอบวกแปลกๆ อย่าง Electronic Waste Recycling Fee (Ewaste) ในอเมริกา ซึ่งหมายถึงค่าธรรมเนียมการรีไซเคิลสำหรับสินค้าอิเลคทรอนิคส์บางกลุ่ม ที่ทำให้เราต้องจ่ายแพงขึ้นโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้

2. (ลดปริมาณแต่)ไม่เพิ่มราคา
มั่นใจว่าเกือบทุกคนน่าจะเคยสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของขนมกรุบกรอบ ที่ในปัจจุบันเปิดห่อมาแล้วจะต้องแปลกใจว่าทำไมถึงเหลือปริมาณเพียงเท่านี้ (บางรายเหลือไม่ถึง 10 ชิ้น) หรือแม้กระทั่งน้ำดื่มบางยี่ห้อที่มีการเปลี่ยนแพคเกจและถือโอกาสลดปริมาณลงไปด้วย ทั้งๆที่ราคาขายก็ยังเท่าเดิมกับเมื่อก่อน โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็มักจะโฆษณาไปว่านี่คือ “โฉมใหม่” สินค้า ก็มี

เป็นอันว่าราคาสินค้าที่ถูกลงหลายครั้งก็หมายถึงจำนวนชิ้นที่ลดลง หรือรสชาติที่จัดจ้านน้อยลงก็ได้เหมือนกัน อย่างไรก็ตามนั่นเป็นวิธีการลดต้นทุน

3.ดอกจันโปรโมชั่น
เดี๋ยวนี้ไม่มีป้ายโปรโมชั่นไหนที่ไม่มีดอกจันพร้อมตัวหนังสือเล็กๆ อยู่ใต้ภาพอีกต่อไปแล้ว! บางอันตั้งหัวคำโปรยดูน่าสนใจและชักชวนให้ซื้อเป็นอย่างมาก แต่หากเราไม่ใส่ใจดูให้ดีก็คงติดกับแน่ๆ

ดังนั้นเราจึงควรสังเกตและอ่านรายละเอียดของโปรโมชั่นนั้นๆ อย่างถี่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกบริษัทบัตรเครดิตต่างๆ ที่มักจะนำเสนอแต่สิทธิพิเศษเมื่อสมัครบัตรและค่าสมัครฟรี แต่จะใช้วิธีปกปิดอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเอาไว้ภายใต้ตัวหนังสือเล็กๆ เหล่านั้นเสมอ

4.ราคาเริ่มต้นเพียง
เรามักตกหลุมพรางกับสินค้าราคาถูก ยิ่งเมื่อได้ยินว่าราคาเริ่มต้นหรือราคาต่ำที่สุดในร้านนั้นช่างถูกแสนถูก หรือการตั้งลดราคาสินค้าค้างสต็อคที่ 80% แล้วเขียนราคาลดกว้างตั้งแต่ 20%-80% ก็มักจะดึงความสนใจของเราได้แทบจะในทันที แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภายใต้ราคาเริ่มต้นนั้นเป็นไปได้ตั้งแต่สินค้าที่จงใจผลิตเพื่อให้เป็น “สินค้าราคาเริ่มต้น” สำหรับโฆษณาโดยเฉพาะ ซึ่งหลายครั้งต่อให้ไม่ว่าจะลดราคาไปมากแค่ไหนก็ยังไม่เป็นที่ต้องการของลูกค้าอยู่ดี

สมมติว่าร้านซูชิชื่อดังร้านหนึ่งที่ติดป้ายข้างหน้าว่าเริ่มต้นเพียง 19 บาท ซึ่งเมื่อลูกค้าเข้าไปก็พบว่า 19 บาทนั้นเป็นเพียงซูชิราคาถูกต่างๆ ที่ตนไม่ได้สนใจทานอยู่แล้ว จึงเลี่ยงไปทานสินค้าราคาปรกติอื่นๆแทน ส่วนราคาอาหารชนิดอื่นที่สนใจกลับมีราคาที่สูงมากเป็นธรรมดา อย่างไรก็ตาม เมื่อลูกค้าเข้าไปในร้านแล้วโอกาสในการซื้อนั้นเกิดขึ้นเสมอ จึงอาจพูดได้ว่าผู้ขายได้ประโยชน์มากกว่าผู้ซื้อในกรณีนี้

ดังนั้นเมื่อได้ยินคำว่า “เริ่มต้นเพียง…” ก็ควรคิดให้ดีก่อนเลือกซื้อหรือเลือกใช้บริการ

5.เพิ่มราคาก่อนลดราคา
อีกหนึ่งกลยุทธ์ยอดฮิตที่ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอะไร แต่ถ้าติดป้ายว่า “ลดราคา” ก็มักจะได้รับความสนใจจากผู้คนอยู่เสมอ ยิ่งเมื่อเห็นป้ายลด 30% หรือ 50% แล้วก็จะยิ่งดึงดูดนักช็อปทั้งหลายให้เข้าไปเลือกดูกัน แต่ปัญหาก็คือว่าเราเห็นเพียงป้ายลดราคาทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าลดจากราคาเต็มเท่าไรด้วยซ้ำ ซึ่งทางที่ดีแล้วถึงแม้ว่าจะเห็นป้ายลดราคาแล้วก็ควรจะเปรียบเทียบราคาหรือโปรโมชั่นกับร้านอื่นด้วยก่อนตัดสินใจซื้อ

เรื่องนี้ประสบการณ์ในการไปซื้อสินค้าตามเอาต์เล็ทนั้นบอกเราได้เป็นอย่างดี ที่ราคาลด 30-50% ที่มีราคาเกือบจะเท่ากับราคาเต็มที่กรุงเทพฯ นั้นทำเอาเราใจหายไปหลายหนแล้วเหมือนกัน เพราะราคาที่บอกว่าลดนั้น แท้จริงมีการเพิ่มราคาขึ้นไปเพื่อทำให้ราคาลดกลับมาเป็นราคาสินค้าปรกตินั่นเอง

• • •

ถ้าเราไม่ใช่นักล่าสินค้าถูกหรือ Price hunter ที่มีการเตรียมตัวดีทุกครั้งก่อนออกช้อปปิ้ง ไม่ใช่คุณแม่บ้านที่ต้องซื้อของเข้าบ้านเป็นประจำ หรือไม่ได้เป็นแฟนแบรนด์สินค้าโปรดจนแทบจะบอกราคาได้ทุกชิ้นว่าอันไหนลดไม่ลดแล้วละก็ ทั้ง 5 ประการนี้น่าจะพอให้แนวทางกับเราได้บ้างว่ามีอะไรบ้างที่ควรสังเกตและระวังเกี่ยวกับเรื่องราคาสินค้า เพราะหลายครั้งการหัวเสียหลังจากรับประทานอาหารหรือเพิ่งจับจ่ายอย่างมีความสุขเสร็จใหม่ๆ ก็ช่างเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดเสียจริง และถ้าเป็นไปได้ เพียงเรารู้ตัวก่อนสักหน่อยก็ น่าจะทำให้เรารอบคอบและได้รับความพึงพอใจจากสินค้าและบริการได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ