รศ.ธนรักษ์ เมฆขยาย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้
ที่มา
http://www.tanarak.mju.ac.th/index.php/2012-05-31-12-22-57/81-sop?showall=1
โอกาสครบรอบ 10 ปีวิกฤตเศรษฐกิจ เราควรทบทวนเพื่อเป็นบทเรียน และไม่เพียงจะไม่ก้าวพลาดอีกครั้ง แต่ช่วยกันปฏิบัติ (ไม่ดีแต่พูด) ในทางนำพาเศรษฐกิจของเราให้แข็งแกร่ง
ถ้านับตั้งแต่ทศวรรษ 2470 เป็นต้นมา [1] วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 นับเป็นวิกฤตร้ายแรงที่สุดของระบบเศรษฐกิจตกต่ำ สร้างความเสียหายต่อทุกชนชั้น ในขณะที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างสูงสุด วิกฤตการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร สมมติฐานคือ เป็นเรื่องของวัฎจักรเศรษฐกิจ เป็นความผิดพลาดของรัฐบาลในการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาค หรือเป็นเพราะภาคประชาชน อย่างไรก็ดี อาจกล่าวในเชิงลักษณะอาการได้ว่า เป็นเพราะ “ฟองสบู่แตก”
ความหมายของเศรษฐกิจฟองสบู่
การที่เศรษฐกิจสาขาใดสาขาหนึ่งพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ได้ผลตอบแทนมากกว่าสาขาอื่น และส่งผลกระทบอย่างรุนแรง เป็นสภาพที่ระบบเศรษฐกิจเติบโตแบบลวงตา ซึ่งเฉพาะมูลค่าเท่านั้นสูงขึ้น ไม่ส่งผลให้ปริมาณผลผลิต การจ้างงาน และรายได้ที่แท้จริงของประชาชนเพิ่มขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจพื้นฐาน (Real Sector) เช่น ปรากฏการณ์ที่มูลค่าในทางเศรษฐกิจหรือทรัพยากรถูกดึงไปรวมกัน เมื่อเศรษฐกิจภาคการเงินการธนาคารพองขึ้นเสมือนลูกโป่งที่ลอยขึ้นไป สุดท้ายจะแตกและตกลงมาสู่พื้นฐานความจริง
เศรษฐกิจฟองสบู่ (Bubble Economy) หรือ สินทรัพย์ที่พองตัวขึ้นมา (Inflated Asset) เป็นภาวะบูม (Boom) ของเศรษฐกิจที่เกิดจากมายาภาพของคนที่เชื่อว่า ราคาสินค้าที่อยู่ในเศรษฐกิจสต็อก (Stock Economy) [2] จะมีราคาสูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทุกคนจึงแห่กันมาเล่นเกมเงินตรา (เก็งกำไร) เพื่อแสวงหา Capital Gain [3] สะท้อนถึงเศรษฐกิจขยายตัวเพราะอุปสงค์เทียม
ประเภทของเศรษฐกิจฟองสบู่
ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 ในเมืองการค้าของยุโรปที่มีการขยายตัวของการค้า เคยเกิดการเก็งกำไร พร้อมๆ กับวิวัฒนาการของเศรษฐกิจทุนนิยม หลังจากนั้นฟองสบู่ได้ทวีความซับซ้อนและรุนแรงยิ่งขึ้น เศรษฐกิจฟองสบู่อาจแบ่งตามลักษณะของกลุ่มคนที่ทำให้เกิดออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. มวลชนทั่วไปที่ไม่รู้ความ เริ่มจากการเป็นเศรษฐีในชั่วพริบตาของผู้คนจำนวนมากที่เข้ามาเล่นเก็งกำไร ไปกระตุ้นความโลภของคนอื่นให้เข้ามาผสมโรง จนคลั่งไคล้ลุกลามไปทั่วภายในเวลาไม่นาน เช่น เหตุการณ์คลั่งไคล้ดอกทิวลิปที่ฮอลแลนด์ในศตวรรษที่ 17
2. มวลชนผู้มีอันจะกิน สร้างกระแสการเก็งกำไรเพื่อให้มีรายได้ที่ทัดเทียม และการเลียนแบบเพื่อความเท่าเทียมทางสังคม เช่น เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกาเมื่อทศวรรษที่ 1920 เนื่องจากภาวะมอเตอร์ไรเซชั่น (ประชายานยนต์) ที่ผู้คนต้องการมีรถยนต์เป็นของตนเอง ทำให้เกิดกระแสการเก็งกำไร เพื่อนำผลได้มาซื้อรถยนต์เพื่อสร้างความทัดเทียมกันทางสังคม
3. บริษัทขนาดใหญ่ ระดมเงินจำนวนมหาศาลจากตลาดทุนด้วยต้นทุนที่ต่ำ แต่ไม่นำเงินไปลงทุนทางการผลิตเช่นในอดีต กลับหมุนเงินจำนวนมหาศาลนี้มาเล่นเก็งกำไร ประกอบกับการเปิดเสรีทางการเงิน ทำให้สร้างผลกำไรได้สูงกว่าจากการผลิต ต่อมาบริษัทอื่นๆ ทั้งใหญ่และเล็ก ต่างเอาอย่าง เช่น เศรษฐกิจฟองสบู่ช่วงครึ่งหลังทศวรรษที่ 1980
กลไกการเกิดเศรษฐกิจฟองสบู่
สามารถแบ่งตามวิวัฒนาการของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเป็น 2 ห้วง ดังนี้
(1) ห้วงศตวรรษที่ 19 (ปี ค.ศ. 1800-1899)
แบ่งออกเป็น 8 ขั้นตอน ดังนี้
1. มีการสะสมความมั่งคั่งก่อนที่วัฎจักรเศรษฐกิจหนึ่งๆ จะเริ่มขึ้น [4] ยิ่งถ้าสะสมก่อนห้วงบูม พอถึงห้วงบูม การเก็งกำไรยิ่งมีมากขึ้น ทำให้ความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจ (Panic) รุนแรงยิ่งขึ้น
2. มีปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจ ถ้าหลายๆ ปัจจัยเกิดขึ้นพร้อมกัน หรือเป็นปัจจัยที่ทรงพลัง เช่น ค่าเงินเยนญี่ปุ่นแข็งขึ้น จะผลักดันให้เศรษฐกิจโตแบบพุ่งโลด การเก็งกำไรเกิดขึ้นง่ายและรุนแรงกว่าปกติ
3. ราคาสินค้าแพงขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจคึกคัก เกิดการขยายการผลิต การนำเข้าวัตถุดิบ การก่อสร้างโรงงาน การติดตั้งเครื่องจักร เศรษฐกิจจริงจะขยายตัวและต้องใช้เงินทุน การระดมเงินทุนโดยผ่านการออกพันธบัตรหรือตลาดหลักทรัพย์มีมากขึ้น
4. เกิดการเก็งกำไร ยิ่งภาวะเศรษฐกิจบูมนานต่อเนื่อง ราคาสินค้าจะยิ่งถีบตัวสูงขึ้นตาม ผู้คนแห่กันซื้อคุณสมบัติใหม่ของสินค้า [5] โดยไม่เกี่ยวข้องกับคุณค่าใช้สอย (Use Value) อันเป็นคุณสมบัติเดิมของสินค้านั้น
5. การเคลื่อนไหวของเงินรวดเร็วมาก สินเชื่อขยายตัวอย่างรวดเร็ว การเก็งกำไรขยายไปสู่หุ้นหรือพันธบัตร ความมั่งคั่งที่สะสมมา (ในขั้นตอนที่ 1) ถูกนำไปใช้เล่นเก็งกำไร
6. เกิดอุปสงค์เพิ่มเติมในภาคเศรษฐกิจจริง โดยเฉพาะอุปสงค์ต่อสินค้าฟุ่มเฟือย เนื่องจากรายได้เพิ่มขึ้นจากกำไรที่ได้มาจากการเก็งกำไรระยะสั้นชั่วคราว [6]
7. ทางการเข้าแทรกแซงการปล่อยสินเชื่อ เมื่อเห็นว่า ถึงขีดที่จะเป็นอันตรายต่อสถาบันการเงินทั้งระบบ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเข้ามาควบคุมการปล่อยสินเชื่อ การพองตัวออกคล้ายฟองสบู่ของสินเชื่อถูกทำให้แฟบลง
8. อวสานของการเก็งกำไร อุปสงค์ในข้อที่ 6 จะสูญสลายไปก่อน ต่อมาการผลิตในภาคเศรษฐกิจจริงลดลง เกิดการว่างงาน ผลกระทบจากฟองสบู่แตกจะแผ่กระจายไปสู่ภาคเศรษฐกิจโดยรวม เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยยาวนาน
(2) ห้วงศตวรรษที่ 20 (ปี ค.ศ. 1900-1999)
เงินในยุคเศรษฐกิจฟองสบู่ไม่ได้เป็นไปตามทฤษฏีเศรษฐศาสตร์คลาสสิก ที่เป็นแค่สื่อกลางแลกเปลี่ยนกับใช้สะสมทรัพย์ แต่เป็นทรัพย์ที่งอกเงยได้โดยตัวมันเอง เป็นทุนที่ทรงประสิทธิภาพในการสร้างความมั่งคั่ง ปรากฏการณ์ที่ทำให้ทฤษฏีมูลค่าเกิดจากแรงงานไม่อาจอธิบายได้มีอยู่ 3 กรณี คือ
1. แรงงานมนุษย์ถูกทดแทนด้วยหุ่นยนต์หรือคอมพิวเตอร์
2. ความเหลื่อมล้ำกันของค่าแรงสูงมาก
3. ราคามิได้ถูกกำหนดจากต้นทุนที่แท้จริงเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับความต้องการ (กฎอุปสงค์) และปริมาณสินค้า (กฎอุปทาน)
ต่อไปอธิบายกลไกการเกิดเศรษฐกิจฟองสบู่ อาจแบ่งตามวิวัฒนาการของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเป็น 4 ขั้น (ศุภวุฒิ สายเชื้อ 2543)
1. ก่อนจัดตั้งสถาบันการเงินหรือธนาคารออมทรัพย์ การสะสมทรัพย์เกิดขึ้นภายในตัวเศรษฐกิจจริง ในรูปของ ทองคำ เหรียญ อัญมณี ฯลฯ ดังภาพที่ 1

ภาพที่ 1 ยังไม่มีสถาบันการเงิน มีแต่เศรษฐกิจจริง
2. มีสถาบันการเงิน แต่การฝากเงินยังเป็นเพื่อให้ธนาคารดูแลรักษาแทน ผู้ฝากนอกจากไม่ได้รับดอกเบี้ยแล้ว ยังต้องจ่ายค่าตอบแทนแก่ธนาคารที่ช่วยดูแลรักษาให้ เมื่อจะนำเงินไปใช้ในการลงทุนจึงค่อยถอนออกมา ดัง
ภาพที่ 2
ภาพที่ 2 เริ่มมีสถาบันการเงินเกิดขึ้น
3. ธนาคารพาณิชย์เริ่มปล่อยกู้ ผู้ประกอบการนำเงินไปลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริง สร้างงาน ผลิตสินค้า ก่อให้เกิดผลกำไร แล้วนำเงินมาใช้หนี้พร้อมดอกเบี้ยเงินกู้ ธนาคารจ่ายดอกเบี้ยแก่ผู้ฝาก เพื่อระดมเงินฝาก ดังภาพที่ 3
ภาพที่ 3 ธนาคารพาณิชย์เริ่มปล่อยกู้ เกิดกระแสเงินจากการปล่อยกู้
4. ปริมาณเงินตราใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การไหลเวียนของสินค้าและบริการคล่องตัว ภาคเศรษฐกิจจริงขยายตัว รายได้ของผู้คนเพิ่มสูงขึ้นกว่าอัตราการบริโภค มีเงินออมเพิ่มขึ้นโดยสัมพัทธ์ ต่อมาผู้ประกอบการกลายเป็นบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ที่มีกำไรสะสมมากจนไม่ต้องกู้ยืมจากธนาคาร
ปริมาณเงินที่อยู่ในสภาพคล่องจำนวนมหาศาลนี้ต้องดิ้นรนหาทางออก โดยนำไปเก็งกำไรในเศรษฐกิจสต็อก [7] ต่อมาเติบโตอย่างเป็นอิสระโดยสัมพัทธ์จากเศรษฐกิจจริงและมีขนาดใหญ่กว่า ทำให้ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่กลายเป็นสิ่งที่ไร้พรมแดนไปโดยอัตโนมัติ ดังภาพที่ 4
ภาพที่ 4 การเกิดขึ้นของเศรษฐกิจสต็อก
การเกิดและแตกเศรษฐกิจฟองสบู่
กรณีฟองสบู่แตกในปี 2540 อธิบายได้ 3 ระยะ ดังนี้
1. การก่อตัวของฟองสบู่
ในห้วงปี 2527-2529 เศรษฐกิจไทยยังตกต่ำ เกิดปัญหาสถาบันการเงิน (“ราชาเงินทุน”) ล้ม จนเป็นที่มาของการเกิดโครงการ 4 เมษายน 2527 โดยรัฐบาลต้องไปขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และหั่นงบประมาณรายจ่ายในปี 2528 และ 2529 ติดต่อกัน เพื่อรักษาวินัยการเงินและการคลัง
ก่อนเข้าสู่ปี 2530 เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว พอดีกับนักลงทุนจากญี่ปุ่นหนีพิษเงินเยนที่ปรับตัวสูงขึ้นเท่าตัวในช่วงไม่กี่ปีก่อนหน้า ได้ตัดสินใจย้ายฐานการผลิตเพื่อการส่งออกเข้ามา ตามมาด้วยนักลงทุนจากกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ในเอเชีย เช่น ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงทิศทางการพัฒนาประเทศจากเกษตรกรรมไปสู่อุตสาหกรรมและภาคบริการ จนกลายเป็นภาวะ “บูม” ทางเศรษฐกิจในเวลาต่อมา
2. การพองตัวของฟองสบู่
ความต้องการที่ดินเพื่อตั้ง โรงงาน สำนักงาน สนามกอล์ฟ รีสอร์ท ที่อยู่อาศัย โรงแรม ฯลฯ เพิ่มสูงขึ้น ธุรกิจซื้อขายที่ดินเติบโตขึ้น พวกนายหน้าค้าที่ดินได้กำไรอย่างงดงามในชั่วข้ามคืน เกิดเศรษฐีใหม่กว่า 200,000 คนที่ร่ำรวยจากการค้าที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ และการเล่นหุ้น มีการปั่นราคาที่ดิน ทำให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นจากเดิมเป็นร้อยเท่า
สภาพคล่องทางการเงินมีสูงมาก เงินนอกประเทศสามารถเข้าง่ายออกง่าย อัตราดอกเบี้ยเพียง 11.5% ธนาคารพาณิชย์สนับสนุนการปล่อยกู้สินเชื่อเพื่อซื้อที่ดินกันอย่างเต็มที่ แสดงว่า ส่งเสริมพวกนักเก็งกำไรให้เข้ามาสู่ธุรกิจฟองสบู่
ต้นปี 2533 ความเคลื่อนไหวของการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มแผ่วลง เนื่องจากปัญหาขาดแคลนวัสดุก่อสร้าง ตามจำนวนโครงการลงทุนที่เริ่มก่อสร้าง รัฐบาลโดยผ่าน ธปท.ได้ขอความร่วมมือจากสถาบันการเงินให้ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อที่ไม่ก่อประโยชน์ต่อการเพิ่มผลผลิต โดยเฉพาะที่นำไปเก็งกำไร ประจวบกับสงครามอ่าวเปอร์เซียในช่วงปลายปี 2533 ทำให้การเก็งกำไรหดหายไป ตลาดอสังหาริมทรัพย์ซบเซา ราคาที่ดินเข้าสู่ภาวะทรงตัวและหยุดเคลื่อนไหว
ขณะที่ฟองสบู่ลูกที่หนึ่งเริ่มแตก กลับปรากฏว่า มีกลุ่มนักธุรกิจต่างชาติที่มีความพร้อมทั้งเงินทุนและเทคโนโลยีทันสมัย ได้เข้ามาลงทุนอยู่ตลอดเวลาในช่วงปี 2534 เป็นการต่ออายุให้แก่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ส่วนใหญ่เป็นญี่ปุ่นและฮ่องกงเข้ามา “ร่วมทุน” กับกลุ่มตระกูลดังๆ
เหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปี 2535 ได้กระหน่ำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้หยุดชะงักอีกครั้งหลังจากที่กำลังจะเริ่มฟื้นตัว
ต่อมาเกิดปัจจัยกระตุ้นทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีแหล่งเงินทุนใหม่ ดอกเบี้ยต่ำ มากระตุ้นขยาย “ฟองสบู่” ให้พองโตขึ้นและใหญ่กว่าเดิมได้อีกครั้ง ดังนี้
1. ประกาศหลักเกณฑ์มาตรฐานการดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ของรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2536 ทำให้การปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีที่ดินหรือทรัพย์สินค้ำประกัน ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง 50% จากเดิมที่ให้เป็นความเสี่ยง 100% ยิ่งทำให้สินเชื่อด้านอสังหาริมทรัพย์มีมากขึ้น
2. การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ไทยและต่างประเทศสามารถเปิดให้บริการวิเทศธนกิจ (BIBF) ซึ่งบริการให้กู้เงินและรับฝากเงินตราต่างประเทศได้เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2536
3. คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุญาตให้บริษัทสามารถออกตราสารได้ ตั้งแต่ปี 2536 กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จึงกลับมาทุ่มเทลงทุนในโครงการใหม่ๆ อย่างคึกคัก เกิดภาวการณ์ซื้อที่ดินเพื่อกักตุนไว้เป็นแลนด์แบงก์ (Land Bank) ตามข้อกำหนดของ ก.ล.ต.
4. ปลายปี 2536 กระทรวงพาณิชย์ออกประกาศหลักเกณฑ์ให้บริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัยสามารถปล่อยสินเชื่อให้แก่โครงการพัฒนาที่ดิน รวมทั้งสินเชื่อรายย่อย และยังยินยอมให้ปล่อยสินเชื่อเพื่อการลงทุนต่างๆ ได้ถึง 30% ของสินทรัพย์ในบริษัทประกัน จากเดิมเพียง 10%
อาจกล่าวได้ว่า เป็นความผิดพลาดของทางการที่ดำเนินนโยบายสนับสนุนฟองสบู่ แทนที่จะปรามปราบฟองสบู่ ผลจึงเป็นความหายนะทางเศรษฐกิจในอีก 4 ปีต่อมา เมื่อฟองสบู่ลูกที่สองแตกอย่างถาวร
3. สภาวะฟองสบู่แตก
เมื่อทางการจำเป็นต้องตัดสินใจลอยตัวค่างเงินบาท และดำเนินการปิด 56 สถาบันการเงิน ระบบการเงินจึงเข้าสู่ภาวะวิกฤต สถาบันการเงินขาดสภาพคล่อง ทั้งๆ ที่สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของ ธปท.และกระทรวงการคลัง ขณะที่อีกด้านหนึ่งมาจาก ขาดความสามารถ ความโลภ ไร้ประสิทธิภาพในการบริหารเงิน และการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ประชาชน นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขาดความเชื่อมั่นในระบบสถาบันการเงินไทย
นโยบายการเงินที่เห็นได้ชัดคือ การใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ (ตะกร้าเงิน) อิงกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเวลานานถึง 10 กว่าปี โดยไม่ได้ใช้เป็นเครื่องมือในการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
การส่งสัญญาณเตือนภัยล่าช้า วิเคราะห์สถานการณ์ผิดพลาด เช่น การใช้นโยบายเปิดเสรีทางการเงินเพราะต้องการเร่งระดมทุนจากต่างประเทศเข้ามาขยายการลงทุน เนื่องจากเงินออมในประเทศไม่เพียงพอ ต่อมาเมื่อเงินทุนไหลเข้ามามากจนกระตุ้นให้เกิด “ฟองสบู่” ลูกใหม่ ธปท.กลับควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ และมิได้ตระหนักถึงภัยอันตราย สถาบันการเงินไทยหันไปพึ่งพาเงินทุนนำเข้าจากต่างประเทศ โดยอาศัยส่วนต่างค่อนข้างมากของอัตราดอกเบี้ยมาทำกำไรจำนวนมหาศาล ด้วยการปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำตัวเป็น “เสือนอนกิน”
ปริมาณเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิ ในปี 2530 มีเพียง 27.6 พันล้านบาท หลังเปิดเสรีทางการเงินในปี 2536 ได้เพิ่มขึ้นเป็น 260.9 พันล้านบาท หรือเกือบ 20 เท่าในช่วงเวลาเพียง 7-8 ปี และกว่า 90% เป็นการนำเข้าเงินทุนของภาคเอกชนโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์
เงินทุนนำเข้าจากต่างประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นเงินทุนระยะสั้น เพื่อนำมาปล่อยสินเชื่อระยะยาวในประเทศ ส่วนใหญ่กระจุกตัวที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน และหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงในช่วงฟองสบู่พองตัว เมื่อภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นจุดเริ่มฟองสบู่แตก จึงลุกลามไปถึงสถาบันการเงิน
ล่าสุด (สิงหาคม 2550) ระบบการเงินโลกกำลังเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา หรือสินเชื่อที่อยู่อาศัยเกรดต่ำสุดและมีความเสี่ยงสูง (Subprime Mortgage Loan) กำลังพ่นพิษ [8] ในขณะที่สหรัฐฯ กำลังอยู่ในภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทำให้อำนาจในการจับจ่ายใช้สอยไม่ดีเหมือนกับในห้วงปี 2544 ซึ่งธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ติดๆ กัน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้พ้นจากหายนะหลังเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน ทำให้มีประเด็นที่น่าติดตามว่า “ปี 2549-50 ฟองสบู่ที่อยู่อาศัยในสหรัฐฯ กำลังแตกจริงหรือไม่?” จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไร?”
ความรู้เรื่องเศรษฐกิจฟองสบู่ ยังคงน่าสนใจติดตามต่อไปอีกนาน
เอกสารอ้างอิง
กลุ่มศึกษาเศรษฐศาสตร์สถาบัน คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2549. บทความเรื่อง “เตือนนโยบายรัฐก่อวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่”. หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ. http://www.rakbankerd.com/hotnews.html?nid=680 บริษัท เศรษฐกิจร่วมด้วยช่วยกัน จำกัด. เข้าดูวันที่ 22 ธันวาคม 2549.
วีรพงษ์ รามางกูร 2549. ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอ๊ดวานซ์ อะโกร จำกัด (มหาชน) อดีต รมว.คลัง. บทความเรื่อง “นักวิชาการชี้ 2 ปีเศรษฐกิจไร้ ‘ฟองสบู่’ ”. หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ หรือ http://www.rakbankerd.com/hotnews.html?nid=790 บริษัท เศรษฐกิจร่วมด้วยช่วยกัน จำกัด. เข้าดูเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2549.
ศุภวุฒิ สายเชื้อ 2543. พ็อกเก็ตบุ๊ค เรื่อง “เศรษฐกิจไทย พลาดสู่วิกฤติ” บทที่ 7 “วิกฤตเศรษฐกิจจากการเปิดเสรีทางการเงิน” หน้า 96-102. กรุงเทพฯ : บริษัทพิฆเณศ พริ้นติ้ง เซ็นเตอร์.
ศุภวุฒิ สายเชื้อ 2549. คอลัมน์เศรษฐศาสตร์จานร้อน บทความเรื่อง “เรื่องของเศรษฐกิจฟองสบู่”. หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ. http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2004q1/article2004q1/article2004jan19p7.htm บริษัท เศรษฐกิจร่วมด้วยช่วยกัน จำกัด. เข้าดูเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2549.