head ads

วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556

ประกันฝุ่นตลบแห่‘ควบรวม-ขาย’รัฐเว้นภาษี/ไซส์เล็ก-กลางซุ่มเจรจา

ที่มาhttp://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413371906
[ ฉบับที่ 1372 ประจำวันที่ 26-1-2013  ถึง 29-1-2013 ] 
ส.วินาศภัยไทย/ส.ประกันชีวิต/คปภ. - จับตา! ปีนี้บริษัทประกันแห่ควบรวมขายกิจการหลัง ครม.ไฟเขียวก.ม.ภาษีควบกิจการ วงในเผยซุ่มเจรจาร่วม 10 บริษัท เป็นไซส์เล็กและกลางที่มีเบี้ยประกันไม่ถึง 2 พันล้านบาท เผย ไซส์เล็กจ้องขายต่างชาติ ส่วนไซส์กลางจะควบกันเองเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง บิ๊กวงการ เชื่อปีนี้ควบรวมฟีเวอร์เป็นไปตามเทรนด์โลกรับเออีซี คปภ. ยกธงเชียร์ ด้าน “สุจินต์ หวั่งหลี” ย้ำต้องเป็นประโยชน์กับผู้ถือหุ้น 2 ฝ่าย ระบุ “นวกิจ” ค่ายประกันในเครือไม่ปิดกั้นแม้จะควบกับบริษัทอื่นแล้ว 3 บริษัทขอแค่มีเบี้ยไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท เท่านั้น

พลันที่คณะรัฐมนตรี เห็น ชอบร่างกฎหมายเกี่ยวกับการพัฒนาตลาดทุนไทยด้วยการยกเว้นภาษีเงินสำรองที่เกิดจากจากการควบรวมกิจการของสถาบันการเงินรวมถึงบริษัทประกันภัยไม่ต้องนำมาคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเรียกเสียงเฮจากทั้งฝั่งรัฐคือสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.)และภาคธุรกิจคือบริษัทประกันภัยหลังจากผลักดันกันมานานและคาดว่าจะจูงใจให้บริษัทประกันภัยหันมาควบรวมกันมากขึ้นตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป

แหล่งข่าวจากบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งเปิดเผย “สยามธุรกิจ”ว่า มาตรการนี้จะกระตุ้นการควบรวมกิจการของบริษัทประกันภัยได้มากลดแรงกดดันของผู้ถือหุ้นทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลเพราะเวลารวมกิจการกันกรณีผู้ถือหุ้นบุคคลธรรมดามีรายได้ต้องนำมาเสียภาษี ขณะที่ผู้ถือหุ้นนิติบุคคลต้องประเมินราคาที่ได้มากับราคาที่ขายไปจากการรวมบริษัทเข้าด้วยกัน ส่วนต่างเท่าไหร่ต้องนำไปเสียภาษีเป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจควบรวมกันแต่เมื่อรัฐยกเว้นภาษีทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น มาตรการนี้เป็นประโยชน์ต่อการสร้างโอกาสควบรวมในธุรกิจประกัน

ทั้งนี้ จะเห็นการควบรวมเกิดมากขึ้นในปีนี้ซึ่งขณะนี้มีบริษัทประกันวินาศภัยประมาณ 5-7 บริษัทซุ่มเจรจาควบรวมกันมีอยู่หลายขนาดทั้งไซส์เล็กซึ่งเป็นบริษัทที่มีเบี้ยประกันต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท อีกกลุ่มเป็นบริษัทขนาดกลางที่มีเบี้ยประกันตั้งแต่ 1,000-2,000 ล้านบาทที่จะควบรวมเข้าด้วยกัน ส่วนบริษัทขนาดใหญ่ยังไม่เปิดเผยมากเพราะจะมีแรงกระเพื่อมกับธุรกิจภาพรวมซึ่งปัจจุบัน ไทยมีบริษัทประกันวินาศภัย 60 กว่าบริษัทเกินครึ่งเป็นไซส์กลางและเล็ก

“บริษัทกลุ่มที่ว่านี้มีเจ้าของเป็นคนไทยเป็นบริษัทครอบครัว ฐานะการเงินดี เชื่อว่าปีนี้จะเห็นดีลซื้อและควบรวมกิจการมากในปีนี้อย่างไซส์เล็กเขาจะขายให้ต่างชาติ”

นายสุจินต์ หวั่งหลี ประธานกรรมการ บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด(มหาชน) ให้ความเห็นกับ “สยามธุรกิจ” ว่า เป็นสิ่งดีที่รัฐบาลมองเห็นเพื่อส่งเสริมบริษัทประกันภัยควบรวมกิจการกัน แต่ตนมองว่าถึงตอนนี้โอกาสควบรวมผ่านไปแล้วเพราะการควบรวมต้องเป็นประโยชน์กับผู้ถือหุ้นทั้ง 2 ฝ่ายถ้ารวมกันแล้วไม่เป็นประโยชน์ก็คงไม่ทำ ยกตัวอย่าง บริษัทใหญ่อย่างกรุงเทพประกันภัยหรือวิริยะประกันภัยจะควบรวมกับบริษัทขนาดกลาง ขนาดเล็กไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยเขาสามารถเติบโตได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว เหลือแต่บริษัทขนาดกลางและเล็กที่จะควบกันเองต้องถามควบแล้วเกิดประโยชน์กับผู้ถือหุ้นทั้ง 2 ฝ่ายหรือไม่

“ตอนที่นวกิจควบรวมกับอีก 3 บริษัทคือประกันภัยสากล ,ไทยพาณิชย์ประกันภัยและไทยสมุทรประกันภัยเมื่อหลายปีก่อนเพราะเป็นประโยชน์กับผู้ถือหุ้นทั้ง 2 ฝ่ายผู้ถือหุ้นกลุ่มบริษัทเหล่านั้นอย่างกลุ่มพรประภาก็เข้ามาถือหุ้นในบริษัทเรา ถึงตอนนี้เราก็ไม่ปิดโอกาสเรื่องควบรวมกับบริษัทอื่นเพิ่มอีกก็มีไซส์เล็กมาเสนอแต่เรามองแล้วไม่เป็นประโยชน์ที่เรามองว่าจะเกื้อกูลกับ 2 ฝ่ายได้ต้องเป็นบริษัทไซส์พอสมควรอย่างตอนนี้เรามีเบี้ยประกัน 2,000 ล้านบาทถ้าควบกันแล้วเบี้ยเพิ่มเป็น 4-5,000 ล้านบาทเอาเราไม่ได้มีเป้าหมายจะเป็น 1 ใน 10 อีกอย่างเรามีนิปปอนโคอะของญี่ปุ่นถือหุ้นอยู่”

ด้านนายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย ให้ความเห็น”สยามธุรกิจ”ว่า เชื่อว่าการควบรวมกิจการจะเกิดมากขึ้นเป็นไปตามแนวโน้มธุรกิจทั่วโลกที่เคยเกิดมาแล้วในการแข่งขันภายใต้กฎเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานสากล เช่น เรื่องการดำรงเงินกองทุนตามความเสี่ยง( RBC)รวมไปถึงการควบรวมเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจมากขึ้น

“เป็นสิ่งที่ดีต่อธุรกิจที่ต้องเดินไปตามเทรนด์การแข่งขันในระดับสากลรวมไปถึงเออีซีแต่การควบรวมกันต้องตอบโจทย์ในแง่ของนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะได้เช่น สินค้าใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ลูกค้าและความแข็งแกร่งของบริษัท”

นายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการคปภ. เปิดเผยว่า มาตรการนี้จะสนับสนุนให้เกิดการควบรวมกิจการของบริษัทประกันภัยมากขึ้นเพราะไม่ต้องนำเงินสำรองของบริษัทที่ควบรวมกิจการกันมาคำนวณภาษี ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาที่ทำให้ภาคธุรกิจไม่สามารถที่จะเสริมความเข้มแข็งให้กับบริษัทได้

“เมื่อคปภ.ช่วยผลักดันแล้ว บริษัทเองก็ต้องเตรียมความพร้อมเพื่อให้เกิดความแข็งแกร่งด้วยพร้อมก้าวสู่การเปิดเออีซี สามารถทำได้หลายวิธี คือ 1.หาผู้ร่วมทุนต่างประเทศ 2.ควบรวมกิจการกัน และ3.ลดบทบาทธุรกิจมาทำเฉพาะธุรกิจที่ตัวเองถนัด แต่สิ่งที่คปภ.อยากเห็นคือการควบรวมกิจการกันมากกว่า”

นายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทยกล่าวว่า เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวได้เร็วก็จะมีผลดีต่อการควบรวมกิจการของธุรกิจในกลุ่มประกันภัยเพราะปัจจุบันมีปัจจัยผลักดันให้ธุรกิจเกิดการควบรวมกันมากขึ้นโดยเฉพาะการเพิ่มความเพียงพอของเงินกองทุน(CAR Ratio) ขั้นต่ำเป็น 140% จากเดิม 125% การแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น โดยเชื่อว่าจะเป็นการควบรวมกันเองของบริษัทประกันวินาศภัยในประเทศที่มีราว 60 บริษัทซึ่งการควบรวมทำให้ธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันดีขึ้นเป็นโอกาสที่จะขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้านสอดรับกับเออีซี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น