ที่มา http://www.cpall.co.th/Blog/Detail/Sompop
เท่าที่เป็นอยู่ ยังมีกิจการธุรกิจมากมายในยุโรป สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ที่ยังอยู่ยั่งยืนยงติดต่อกันมาเป็นเวลานับศตวรรษ บางครั้งสามารถสืบสาวประวัติศาสตร์ของตัวเอง คืนกลับไปสู่ยุคที่ไทยยังมีกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีกันเลยทีเดียว
แม้แต่ธุรกิจประเภท“ซื้อมา ขายไป” เช่น การค้าปลีกเอง ปัจจุบันก็ยังมีเครือข่ายธุรกิจประเภทนี้จำนวนมาก ที่มีประวัติศาสตร์การก่อตั้งและดำรงอยู่เป็นเวลายาวนานนับเป็นร้อยปีกันเลยทีเดียว แม้ว่าธุรกิจเหล่านั้นจะถูก”เปลี่ยนมือ” หรือมีการทำ “M&A” (Merger & Acquisition) กับเครืออื่นๆ มาอย่างต่อเนื่องก็ตาม
ว่าเฉพาะญี่ปุ่นที่เป็นประเทศใกล้บ้านเรือนเคียงของแผ่นดินมังกรเอง ปรากฎว่าธุรกิจการค้าปลีกเช่นห้างสรรพสินค้า (Department Stores) เอง ต่างก็มีอายุที่สืบสาวกลับไปได้อย่างยาวไกลในประวัติศาสตร์
ตัวอย่างเช่น ห้าง “Mitsukoshi” อันโด่งดังในแดนซามูไรนั้น ก่อตั้งในปีค.ศ. 1673 ซึ่งตรงกับช่วงกลางๆ ของรัชสมัยสมเด็พระนารายณ์มหาราช ในยุคกรุงศรีอยุธยาของสยาม โดยตั้งขึ้นมาในรูปของบริษัทการค้า (Trading Company) ก่อน
เมื่อห้างสรรพสินค้าจำนวนมากก็มีอายุนับร้อยปี ตัวอย่างเช่น “Mitsukoshi” สาขาที่ นิฮองบาชิ(Nihonbashi)ในใจกลางกรุงโตเกียว ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่โตที่สุดของโลกนั้น ก็ได้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1909 หรือกว่าหนึ่งร้อยปีมาแล้ว เพราะสาขาเดียวมียอดขายถึง 253,000 ล้านเยนในปี 2009 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงประมาณทศวรรษเศษ ๆ ที่ผ่านมา ภายในหลังจากที่ญี่ปุ่นถูกฟองสบู่“พลาซ่า แอ็คคอร์ด” (Plaza Accord) ในปี 1985 ดันขึ้นจนโป่งพองเต็มที่ แล้วแตกตัวออกมาในต้นทศวรรษที่ 1990’s ธุรกิจต่างๆ ต่างประสบกับอาการ “ล้มลุก คลุกคลาน” และต้องหาทางเอาตัวรอด โดยวิธีการต่างๆ โดยที่วิธีการหนึ่งที่เป็นที่นิยม ก็คือการทำ“M&A” ควบรวมกับกิจการในเครืออื่นๆ ที่บางเครือก็เคยเป็นคู่แข่งทางธุรกิจที่เข้มข้นแหลมคมมาอย่างยาวนาน
ตัวอย่างเช่น การที่ “Mitsukoshi” ต้องควบรวมกิจการกับ “Isetan” และ “Marui Imai” ในปี 2008 และ 2009 ตามลำดับ ทำให้มีชื่อยาวเฟื้อยว่า “Mitsukoshi Isetan Marui” ในปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นเครือธุรกิจห้างสรรพสินค้าที่มีมูลค่าการขายสูงสุดในญี่ปุ่น โดยในปี 2009 มียอดขายรวมทั้งสิ้น 1.43 ล้านล้าน (trillion) เยน
ท่านที่เคยไปเยือนกรุงโตเกียวและเดินทางไปแถบย่านชินจูกุอันโด่งดัง ก็จะพบห้างหลักของ “Isetan” ตั้งตระหง่านอยู่และสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน เพราะตั้งอยู่ข้างๆ สถานีรถไฟชินจูกุซึ่งถือเป็นสถานีรถไฟที่พลุกพล่านที่สุดแห่งหนึ่งในแดนซามูไร เพราะมีผู้ใช้บริการรถไฟโดยผ่านสถานีนี้นับล้านๆ คนในแต่ละวัน
ห้าง“Isetan”ในชินจูกุมียอดขายถึง 246,000 ล้านเยนในปี 2009 เรียกได้ว่า“ไม่น้อยหน้า”ห้าง Mitsukoshi ที่นิฮองบาชินัก
การ“แต่งงาน”ของ “Mitsukoshi” กับ “Isetan”เองในปี 2008 มีสาเหตุสำคัญมาจากปัญหาทางการเงินของ “Isetan” เอง แต่ก็นับว่า“ถูกฝาถูกตัว” ไม่ใช่น้อย
เพราะขณะที่ “Mitsukoshi” ขึ้นชื่อในด้านการเป็นห้างสรรพสินค้าระดับบน (Upper market)ของญี่ปุ่นที่ขาย“ของดี ของแพง” นั้น “Isetan” ก็เลื่องชื่อในด้านผลิตภัณฑ์แฟชั่นทั้งหลาย ซึ่งต่างก็เป็น“Brands” ที่คนญี่ปุ่นรู้จักกันเป็นอย่างดีทั้งสิ้น
ดังนั้น เมื่อทั้งคู่รวมธุรกิจเข้าด้วยกัน ก็ต่างยังชู“แบรนด์”ของตนเอาไว้ทั้งคู่
ห้างสรรพสินค้าอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งถือว่ามีชื่อเสียงและดำรงอยู่อย่างยาวนานเคียงคู่กันมากับ“Mitsukoshi” ก็คือ“Takashimaya” ที่มีประวัติการก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1829 ในกรุงเกียวโตอันถือเป็น “อู่อารยธรรม”สำคัญ และเป็นเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น อันเป็นที่ประทับขององค์จักรพรรดิญี่ปุ่นในอดีต ที่ปัจจุบันยังยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ได้ควบรวมกับเครืออื่นๆ
ส่วนห้างสรรพสินค้าเลื่องชื่อแห่งย่าน“คันไซ”ที่มีนครโอซาก้าเป็นศูนย์กลางคือ “Daimaru” ก็มีชื่อเสียงโด่งดัง และถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ปี 1920
ท่านผู้อ่านบางท่านคงยังพอจำได้ว่า ห้าง“ไดมารู”คือห้างสรรพสินค้าต่างชาติรายแรกๆ ที่เข้ามาก่อตั้งที่ย่านราชดำริของกรุงเทพฯเมื่อหลายทศวรรษก่อน ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ชาวกรุง ในฐานะที่เป็นธุรกิจแห่งแรกๆ ที่นำบันไดเลื่อนมาติดตั้งให้ลูกค้าใช้
ในปี 2007 “Daimaru” แห่งโอซาก้า ก็ต้องควบรวมกิจการกับ “Matsuzakaya” ซึ่งเป็นห้างขนาดใหญ่ในเมืองนาโกย่า แล้วเปลี่ยน“Head office”มาอยู่ที่กรุงโตเกียวแทน
กลุ่ม “Daimaru-Matsuzakaya” นับเป็นห้างสรรพสินค้าที่มียอดขายสูงเป็นอันดับที่ 2 ของแดนซากุระ โดยในปี 2009 มียอดขายที่ 1.097 ล้านล้านเยน ตามด้วยห้าง“Takashimaya”ที่มียอดขาย 926,000 ล้านเยนในปีเดียวกันนั้น
กล่มธุรกิจค้าปลีกที่แม้ว่าจะไม่ได้มียอดขายสูงเท่าสามกลุ่มที่กล่าวมาข้างต้น แต่สร้างผลตอบแทนทางการประกอบการด้านรายได้ (Operating income) ที่สูงกว่ามาก ก็คือกลุ่ม“Seven and 11 Holdings” (Sogo Seibu)
ห้างสรรพสินค้า“Seibu” ซึ่งก่อตั้งโดยผู้ดำเนินธุรกิจเดินรถไฟของเอกชนญี่ปุ่น ก็ได้เริ่มก่อตั้งมาอย่างยาวนาน คือก่อตั้งตั้งทศวรรษที่ 1920’s เช่นกัน
แต่ด้วยวิบากกรรมหลังช่วงฟองสบู่แตก “Seibu” กับ “Sogo” ห้างใหญ่อีกห้างหนึ่งก็ต้องควบรวมกิจการกันในปี 2000 เพราะห้าง “Sogo” ประสบกับปัญหาทางการเงินมาก
ต่อมาในเดือนธันวาคม 2005 กลุ่ม “Sogo and Seibu” ก็ต้องรวมตัวเข้ากับกลุ่ม “Seven & 11 Holdings” ซึ่งดำเนินธุรกิจค้าปลีกด้านร้านสะดวกซื้อ(Convenience Stores) และซุปเปอร์มาร์เก็ต อันโด่งดังในญี่ปุ่น นั่นก็คืองาน “7-11” และ “Ito-yokado”
นอกจากนี้กลุ่ม “Seven & 11 Holdings” ยังมีการกระจายตัวทางธุรกิจไปสู่ธุรกิจการเงิน โดยจัดตั้งธนาคารภายใน (Internal bank) ที่มีชื่อว่า“Seven Bank” เพื่อให้บริการแก่ธุรกิจหลักคือกิจการค้าปลีกด้วย
ร้าน“7-11”นับเป็นร้านค้าปลีกสะดวกซื้อที่ใหญ่และมีสาขามากที่สุดในแดนซามูไร เพราะมีร้าน “7-11” ในญี่ปุ่นทั่วประเทศกว่า 13,000 แห่งในปัจจุบัน ซึ่งมากกว่าสาขาในประเทศ“บ้านเกิด” ของ “7-11”เอง คือสหรัฐอเมริกาที่มีประมาณ 7,000 แห่ง ตามด้วยไทยที่ตามหลังสหรัฐฯ มาติดๆ โดยมีสาขาร้านเกือบ 7,000 แห่งในสิ้นปี 2012 นี้
ญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อลือชาในด้านธุรกิจการค้าปลีกประเภทต่างๆโดยเฉพาะห้าง สรรพสินค้า ซึ่งนอกจากจะมีประวัติศาสตร์การก่อตั้งอันยาวนานแล้วยังมีพัฒนาการเติบใหญ่อย่างต่อ เนื่อง ก่อนที่จะมาเผชิญกับ“วิบากกรรมฟองสบู่แตก” ในต้นทศวรรษที่ 1990’s เป็นต้นมา ที่ส่งผลให้ยอด ขายและผลประกอบการของธุรกิจนี้ในแดนซามูไรอยู่ในสภาพ“ทรงๆ ทรุดๆ” เช่นปัจจุบันนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น