วันที่ 04/10/2554เวลา : 09.30
ที่มา http://www.cpall.co.th/Blog/Detail/Sompop
มหาเศรษฐีที่ทำท่าจะ “ขาดไฟ”เพราะได้ก่อหนี้จนชนเพดานของทางการอินทรี ได้สร้างความปั่นป่วนของทั้งตลาดเงิน (Money market) ตลาดทุน (Capital market) รวมตลอดถึงตลาดซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า (Futures commodity markets) ไปทั่วโลก
“โภคภัณฑ์” ที่มีความผันผวนแกว่งไกวไปในทิศทางพุ่งทะยาน ก็คือราคาทองคำ ที่ได้พุ่งสูงเกินกว่า 1,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อน้ำหนักหนึ่งออนซ์ในช่วงต้นสิงหาคม 2011 ดังกล่าว
เมื่อสินทรัพย์ (Assets) อื่นๆ ตกอยู่สภาวะ“อันตราย” ทองคำดูจะกลายเป็น “สวรรค์”ที่ปลอดภัยที่สุด (The safe heaven) ที่ผู้คนแย่งกันซื้อ เพื่อกระจายความเสี่ยงในการบริหารสินทรัพย์ (Asset management) ของตน
การที่ทางการของแผ่นดินอินทรี ได้ก่อหนี้สาธารณะจน“ชน”เพดาน ที่มูลค่าประมาณ 14.3 ล้านล้านดอลลาร์ ได้สร้างทั้งความตระหนกและกังวลแก่ทั้งผู้คนในแดนอินทรี และที่อื่นๆ ของโลก
เพราะมูลค่าหนี้ดังกล่าว มีสัดส่วนใกล้เคียงกับตัวเลขมูลค่า GDP ของสหรัฐฯ อันเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราแผ่นดินอินทรีเพียงแดนดินเดียว ก็มี GDP ที่มีมูลค่าร่วม 15 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นเกือบหนึ่งในสี่ของมูลค่า GDP รวมทั้งโลกที่มีมูลค่ากว่า 60 ล้านล้านดอลลาร์
เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นประเทศที่เชิดชูระบบประชาธิปไตยที่ให้ความสำคัญกับเสียงของประชาชน ทำให้การก่อหนี้ของรัฐบาล ต้องได้รับการอนุมัติจากสภาครองเกรสที่มีสมาชิกมาจากตัวแทนของประชาชน
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจอันมีผลสำคัญมาจากฤทธิ์เดชของวิกฤต การณ์ซัปไพร์ม(Subprime crisis) ที่“ลุงแซม”ยังไม่สามารถเยียวยารักษาตนเองให้“หายขาด”ได้ ได้ส่งผลให้การเมืองของแผ่นดินอินทรีดูจะมี”คุณภาพ”ที่เสื่อมทรุดลงด้วยเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ ที่ได้ “ผ่านเลย” ประสบการณ์ของวิกฤตการณ์ทางการเงินในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งไม่ยกเว้นแม้กระทั่งประเทศที่เคยมีทั้งฐานรากเศรษฐกิจและการเมืองที่เข้มแข็งมากๆ เช่น ญี่ปุ่น
ก่อนเผชิญกับปัญหา“ฟองสบู่”ทางเศรษฐกิจแตกตัวในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990’s การเมืองของแดนซามูไรเคยมีเสถียรภาพมากๆ ภายใต้การปกครองที่พรรค“LDP” (Liberal Democratic Party) เพียงพรรคเดียว มาตั้งแต่ที่ญี่ปุ่นหลุดพ้นจากการถูกยึดครองโดยฝ่ายสัมพันธมิตรภายหลังการพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2
เสถียรภาพทางการเมืองอันต่อเนื่องยาวนานนับเป็นเวลาหลายๆ ทศวรรษดังกล่าวของ“ซามูไร” ได้มีบทบาทสำคัญในการนำพาประเทศที่เคย“ย่อยยับ”จากสัประยุทธ์แห่งมหาสงคราม โลกครั้งที่ 2 ให้สามารถตั้งหลักและผงาดตัวในทางเศรษฐกิจขึ้นมาใหม่ ในช่วงเวลาเพียง 1-2 ทศวรรษเท่านั้น
ราวๆ ครึ่งหลังของทศวรรษที่ 1960’s ญี่ปุ่นก็สามารถเติบใหญ่ในทางเศรษฐกิจ จนกลายเป็นประเทศที่มีมูลค่า GDP สูงเป็นอันดับที่ 2 ของโลก โดยเป็นรองเฉพาะสหรัฐฯ เท่านั้น
แต่การ“ระเริง”กับเศรษฐกิจแบบฟองสบู่ในช่วงหลังการประชุม“พลาซ่าแอ็กคอร์ด” (Plaza Accord) ที่เกิดขึ้นในปลายปี 1985 เป็นต้นมา ได้ส่งผลให้ฟองสบู่ทางเศรษฐกิจดังกล่าวที่โปร่งพองเต็มที่ต้องแตกตัวออกมาในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ขวบปีภายหลังจากนั้น โดยแตกตัวออกมาในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990’s ที่ได้สร้างวิกฤตการณ์อันรุนแรงตามมา ดังที่ปรากฏรูปธรรมออกมาให้เห็นจากความตกต่ำของตลาดหุ้น การร่วงลงของราคาอสังหาริมทรัพย์ สภาวะการเสื่อมทรุดและซวนเซของธุรกิจต่างๆ ทั้งที่อยู่ในภาคเศรษฐกิจจริง (Real sector) และภาคการเงิน (Financial sector)ต่างๆ ที่หลายแห่งต้องอาศัยภาครัฐมาช่วยประคับประคอง เพื่อให้รอดพ้นจากสภาวะวิกฤติดังกล่าว ฯลฯ
การกอบกู้วิกฤตการณ์ฟองสบู่แตกข้างต้น ไม่เพียงทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องก่อหนี้ด้วยมูลค่ามหาศาล จนกลายเป็นประเทศที่มีสัดส่วนมูลค่าของหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่สูงที่สุดในโลก คือสูงกว่า 200% ของ GDP เช่นในปัจจุบันเท่านั้น หากแต่ “คุณภาพ”ทางการเมืองของแดนซามูไร ก็ได้เสื่อมทรุดเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ดังที่ปรากฏออกมาให้เห็นจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ทั้งภายในพรรคแกนนำรัฐบาลเอง ที่ทำให้ต้องมีการปรับครม. หรือไม่ก็ต้องยุบสภาจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่บ่อยครั้ง ทำให้แดนซามูไรมีทั้งรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีใหม่ๆ มากและบ่อยขึ้น
ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองดังกล่าว เป็นที่มาของความตกต่ำลงของ “คุณภาพ”ทางการเมืองของญี่ปุ่น ซึ่งก็หมายถึงปัญหาการกำหนดนโยบายที่มีความถูกต้องและความต่อเนื่องในการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจภายหลังการแตกตัวของฟองสบู่ที่ได้สร้างความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจมากมาย
เคราะห์ดีว่าญี่ปุ่นเป็นชาติที่รู้จักมัธยัตถ์อดออม ยามที่รัฐบาล“ปั้ม”พันธบัตรออกมาขายหรือก่อหนี้สาธารณะ ชาวญี่ปุ่นเองก็มีเงินออมมากพอที่จะนำมาซื้อพันธบัตรดังกล่าวแม้ว่าจะได้รับดอกเบี้ยเพียงน้อยนิด ทำให้ทางการซามูไรไม่ต้องตกเป็นหนี้ต่างประเทศเหมือนบรรดาประเทศตะวันตกทั้งหลายของประเทศ โดยที่มีเจ้าหนี้มากมายเป็นต่างประเทศเพราะภายใน ประเทศเองมีเงินออม (Savings) ไม่เพียงพอ ตัวอย่างเช่น สหรัฐฯ ที่ปัจจุบันเป็น“ลูกหนี้”รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีจีนเป็น เจ้าหนี้”รายใหญ่ที่สุด เพราะจนถึงประมาณกลางปี 2011 ที่ผ่านมามังกรได้ซื้อพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าร่วม 1.2 ล้านล้าน (trillion) ดอลลาร์ ขณะที่ทุนสำรองต่างประเทศ (Foreign reserve) กว่า 3.2 ล้านล้านดอลลาร์ที่ธนาคารกลางของจีนมีอยู่ ประมาณ 70% (กว่า 2.1 ล้านล้านดอลลาร์) ก็อยู่ในมูลค่าของสินทรัพย์ที่เป็นดอลลาร์สหรัฐฯ
การพึ่งพาตลาดส่งออกในแดนอินทรีมากๆ ยังทำให้มังกรเกิดความสุ่มเสี่ยงในการบริหารภาคเศรษฐกิจจริง (Real sector) เช่นการส่งออกของตน เพราะถ้าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มีปัญหากว่านี้ และไม่สามารถนำเข้าได้มากเช่นเดิม จีนซึ่งเป็นประเทศที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ มากที่ สุดในโลก ก็ไม่แคล้วต้องถูกกระทบตามไปด้วย
ถ้าดอลลาร์ลดค่าลงอีกในอนาคต ก็คงจะกดดันค่าเงินหยวนให้ต้องแข็งค่าขึ้นไปอีกในอนาคต ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อจีนตามมาทั้งสิ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น