head ads

วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2556

การไปออกลงทุนยังต่างประเทศของจีน ตอน 2



การไปออกลงทุนยังต่างประเทศของจีน ตอน 2
ที่มา  http://www.cpall.co.th/Blog/Detail/Sompop
“รูปธรรม”ของความน่ามหัศจรรย์ทางการพัฒนาเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ได้ปรากฎออกมาให้เห็นจากการขยายตัวเติบใหญ่ทางเศรษฐกิจในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา

        เพราะซามูไรใช้เวลาเพียงทศวรรษเศษ ก็สามารถ“ตั้งหลัก”ใหม่ทางด้านพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง

        ในด้านเศรษฐกิจนั้น GDP ของแดนซากุระได้ขยายตัวเป็นตัวเลข“สองหลัก”ในแต่ละปี นับตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 1950’s อันเป็นช่วงที่มหาสงครามโลกครั้งที่สองได้ยุติไปเพียงประมาณทศวรรษเดียวเท่านั้น ภายหลังจากนั้น GDP ของซามูไรก็ได้ขยายตัวในระดับตัวเลขสองหลักหรือใกล้สองหลักในแต่ละปีติดต่อกันอีกนับทศวรรษๆ

        “ตัวเลข”ความสำเร็จทางการพัฒนาเศรษฐกิจของญี่ปุ่นดังกล่าว ได้“เข้าตา”คณะกรรมการโอลิมปิคโลกที่ลงมติในปี 1959 ให้ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิกเป็นประเทศแรกของทวีปเอเซียในปี 1964

        “รูปธรรม”ข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ญี่ปุ่นได้รับการลงมติให้จัดกีฬา“มหากาพย์”โลกดังกล่าว ภายหลังจากแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 เพียงประมาณทศวรรษครึ่งเท่านั้น และสามารถจัดมหกรรมกีฬาอันยิ่งใหญ่ของโลกดังกล่าวในเดือนตุลาคม 1964 อันเป็นช่วงระยะเวลาไม่ถึง 20 ปีภายหลังการยุติลงของอภิมหาสงครามดังกล่าว

        มหกรรมกีฬากระเดื่องโลกดังกล่าว ได้มีส่วนช่วยเร่งโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจของแดนซากุระที่ขยายตัวชนิด”ก้าวกระโดด”ในทศวรรษที่ 1960’s เพราะการลงทุนสร้างกิจการสาธารณูป โภคพื้นฐาน ฯลฯ เพื่อเตรียมตัวจัดกีฬาโอลิมปิคดังกล่าว ไม่เพียงเอาไว้ใช้ประโยชน์ป่าวประกาศประเทศสู่สากลอย่างเอิกเกริกเท่านั้น หากแต่ยังเป็นประโยชน์อย่างมากในการพัฒนาเศรษฐกิจย่าน“คันโต่”ที่มีกรุงโตเกียวเป็นศูนย์กลาง ให้เข้มแข็งยิ่งใหญ่มากยิ่งขึ้น

        ในช่วงระยะเวลาไล่เลี่ยกับที่ญี่ปุ่นจัดมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแวดวงการกีฬาของมนุษยชาติดังกล่าว ซามูไรก็ได้นำรถไฟด่วน “ลูกกระสุน” หรือ“ชินกังเซน”ที่สามารถวิ่งด้วยความเร็วกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงออกปรากฎสู่สายตาชาวโลกด้วย

        หลังจากเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิได้เพียงไม่กี่ขวบปี  GDP ของญี่ปุ่นก็ได้พุ่งทะยานต่อเนื่องจนมีขนาดใหญ่กว่าเยอรมันตะวันตก ครองตำแหน่งประเทศที่มี GDP ที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับที่ 2 ของโลกในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษที่ 1960’s เป็นต้นมา และสามารถครองตำแหน่งดังกล่าวติดต่อกันด้วยระยะเวลากว่า 4 ทศวรรษ กว่าที่จีนจะสามารถแซงหน้าขึ้นมาแทนในปี 2010 เป็นต้นมา

        ภายหลังเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิคเพียง 6-7 ปี ซามูไรก็ประกาศศักดาต่อด้วยการเป็นเจ้าภาพจัด“โอซาก้าเวิร์ลเอ็กโป”ในต้นทศวรรษที่ 1970’s ที่มีส่วนช่วยสร้างและกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิของย่าน”คันไซ”ที่มีนครโอซาก้าเป็นศูนย์กลาง ให้ขยายตัวเติบใหญ่ชนิด“กระพือปีก”และทะยานบินเช่นกัน

        กล่าวได้ว่า นับตั้งเริ่มต้นพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา และต้องฝ่าข้ามมหาสงครามโลกถึงสองครั้งในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ญี่ปุ่นได้ผ่านเลยการเดินทางด้านการพัฒนาเศรษฐกิจมาแล้วเป็นเวลากว่าศตวรรษ ที่สงผลให้สัดส่วนของ GDP ญี่ปุ่นต่อ GDP โลก  มีสูงกว่าสัดส่วนประชากรญี่ปุ่นต่อจำนวนประชากรรวมของโลกเป็นอันมาก ในปัจจุบันญี่ปุ่นมีมูลค่า GDP ประมาณ 8% ของ GDP โลก แต่มีประชากรไม่ถึง 2% ของจำนวนประชากรทั่วทั้งโลก

        บนเส้นทางของการพัฒนาเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่ซามูไรใช้เป็นยุทธศาสตร์หลักในการออกปฏิสัมพันธ์กับโลก โดยไม่ต้องพะวักพะวงกับเรื่องความมั่นคงมากๆ  เพราะหลังการพ่ายแพ้ “สัประยุทธ์”ของสงครามโลกครั้งที่ 2  สหรัฐฯได้ทำหน้าที่“อารักขา”ด้านความมั่นคงแก่ซามูไร และห้ามการมีกองทัพของญี่ปุ่นเอง โดยมีได้เฉพาะกองกำลังป้องกันตัวเองเท่านั้น แม้ว่าได้ผ่อนคลายเงื่อนปมนี้ลงมาระยะ เวลาต่อมาก็ตาม

        รูปธรรมของการ“อารักขา”ด้านความมั่นคงของสหรัฐฯต่อญี่ปุ่น ได้ปรากฎออกมาอย่างชัดเจน จากการที่พญาอินทรีมีฐานทัพอยู่ในแผ่นดินซามูไร ด้วยกองกำลังใหญ่โตที่มีกองกำลังพลนับหมื่นๆ คน และแสนยานุภาพด้านความมั่นคงอันใหญ่โตและทันสมัย

        แม้ว่าญี่ปุ่นและสหรัฐฯได้มีความ“แนบแน่น”กันมากในด้านมาตรการด้านความมั่นคงนับ ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา (ซึ่งเป็นไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกัน เมื่อเทียบกับช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2)   ถึงกระนั้น ทั้งสองประเทศก็กลายเป็นคู่ขับเคี่ยวสำคัญบนเวทีเศรษฐกิจโลก

        ซามูไรได้ป่าวประกาศความยิ่งใหญ่ในทางเศรษฐกิจ จนสามารถแซงหน้าเยอรมันนี ผงาดขึ้นเป็นประเทศที่มี GDP ใหญ่เป็นอันดับที่สองของโลกแทนที่ในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษที่ 1960’s

         แต่ในช่วงที่ซามูไรกำลัง“รุ่ง”แบบสุดๆอยู่นั้น เศรษฐกิจของแดนอินทรีกลับ“แผ่ว”ตัวร่วงโรยลง ภายหลังจากพุ่งทะยานทางการพัฒนาในฐานะอภิมหาอำนาจหมายเลขที่ 1 ของโลก ติดต่อกันเป็นระยะเวลาสองทศวรรษภายหลังสงครามโลกรั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลงเป็นต้นมา ที่ปรากฎตัวออกมาให้เห็นจากอาการเสียศูนย์เสื่อมทรุดทั้งในภาคเศรษฐกิจจริง (Real sector) ตัวอย่างเช่น การขาดดุลการค้าที่ทะยานตัวพุ่งสูงขึ้น และอาการตกต่ำลงของภาคการเงิน (Financial sector) เช่น อาการผันผวนตกต่ำของตลาดหุ้นในช่วงเวลาครึ่งหลังของทศวรรษที่ 1960’s อันเป็นช่วงโชติช่วงชัชวาลของเศรษฐกิจญี่ปุ่นดังกล่าว

        จนกระทั่งถึงต้นทศวรรษที่ 1970’s สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีริชาร์ด เอ็ม นิกสันพญาอินทรีก็ได้ “ตัดช่องน้อยแต่พอตัว” ปลดล็อกค่าเงินดอลลาร์ของตนเองออกจากการผูกติดกับทองคำภายใต้มาตรฐานปริวรรตทองคำ (Gold Exchange Standard) และปล่อยค่าเงินลอยตัว       (Floating Exchange Rate) ในที่สุด ที่ส่งผลให้ประเทศที่พัฒนาแล้วต่างๆ ทั้งในฟากฝั่งตะวันตกและตะวันออกเช่นญี่ปุ่น ต้องปล่อยค่าเงินลอยตัวตามในราวๆ ปี 1973 เป็นต้นมา ที่ส่งผลให้ค่าเงินเยนของญี่ปุ่นที่เคยมีระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ   (ที่เคยมีระดับที่ 1 ดอลลาร์ต่อ 360 เยน) ต้องดีดค่าแข็งตัวขึ้นเป็นอันมาก

        ซามูไรได้“แก้เกม”ปัญหาค่าเงินเยนแข็ง โดยการย้ายและขยายฐานการลงทุนสู่ต่าง ประเทศอย่างต่อเนื่อง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการย้ายฐานไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านเช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกงและสิงคโปร์ ที่ส่งผลให้ญี่ปุ่นทำหน้าที่เป็น“แม่ห่าน”ที่ทำหน้าที่พาบรรดา“ลูกห่าน”ฝูงแรกๆ ข้างต้นบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ที่ทำให้แนวคิดหรือ“ทฤษฎี”ทางการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่มีชื่อว่า “Flying Geese Model” เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในระยะเวลาต่อมา
 พิมห์หน้านี้       ให้คะแนน



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น