head ads

วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2556

ผ่าปมหนี้เน่า'2แบงก์รัฐ'ซ้ำรอยบีบีซี


ผ่าปมหนี้เน่า 2 แบงก์รัฐ ซ้ำรอยบีบีซีปล่อยกู้พวกพ้อง - ส่อทุจริต : ณัฎฐ์ชิตา เกิดแดง ... รายงาน
ที่มาhttp://www.komchadluek.net/detail/2013
                          จากกระแสความปั่นป่วนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 2 แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) หรือไอแบงก์ ในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ดูเหมือนจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ของกระทรวงการคลังในการเข้าไปฟื้นฟูฐานะและเรียกความเชื่อมั่นของผู้ฝากเงินและผู้กู้เงิน รวมทั้งความเชื่อมั่นต่อระบบสถาบันการเงินของรัฐบาลให้กลับคืนมา ซึ่งดูแล้วคงไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อหนี้เสีย หรือเอ็นพีแอล ที่เริ่มปูดออกมาสูงขึ้นเรื่อยๆ และเป็นตัวเลขที่สูงระดับ 40-50% มีผลกระทบต่อความมั่นคงของธนาคาร จนถึงขั้นมีกระแสข่าวลูกค้าแห่ถอนเงินและพนักงานหมดขวัญกำลังใจกลัวถูกยุบรวมกิจการ

                          จังหวะนี้จึงน่าเหมาะสมที่กระทรวงการคลัง ในฐานะผู้ถือหุ้นทั้ง 100% เข้าไปสังคายนาเสียใหม่ ทั้งในแง่การแก้ไขปัญหาหนี้เสียที่สะสมมา การบริหารงานภายในเพื่อให้เกิดการโปร่งใส เร่งตรวจสอบการทุจริตและสร้างมาตรฐานการดำเนินงานใหม่ในอนาคต เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยตามมาอีก เพราะหากปล่อยไว้อาจจะถึงขั้นล้มละลาย หรือหากรัฐต้องเข้าไปอุ้มก็ต้องใช้เงินภาษีหรืองบประมาณเข้าไปเพิ่มทุนตัดหนี้สูญลดหนี้เสียอยู่ดี

โรงสีแห่ชักดาบเงินกู้ธพว.

                          ทั้งนี้ หากพิจารณาไส้ในของเอสเอ็มอีแบงก์ จะพบว่ามีปัญหาหนี้เสียมาจากการปฏิบัติตามนโยบายรัฐอย่างชัดเจน ซึ่งมีโครงการให้ธนาคารเข้าไปปล่อยกู้สะเปะสะปะ ทั้งการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมย่านราชประสงค์รายละ 4-5 แสนบาทที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันใช้แค่บุคคลค้ำไขว้กันไปมา และเกือบทั้งหมดคิดว่าเป็นเงินให้เปล่าจึงไม่ใช้หนี้คืน นอกจากนี้ ยังมีสินเชื่อหาบเร่แผงลอย วินมอเตอร์ไซค์ การช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาทในรอบแรก รวมแล้วเป็นหนี้ตามนโยบายรัฐกว่า 8,000 ล้านบาท แม้รัฐจะจ่ายชดเชยให้ แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้เงินเข้ามาจริง
                          สำหรับสินเชื่อที่กระจุกตัวในกลุ่มหนี้เสียก้อนใหญ่เห็นจะเป็นโครงการของรัฐปี 2552 เมื่อเกิดวิกฤติโรงงานปิดตัวจำนวนมาก รัฐบาลจึงมอบหมายให้กระทรวงแรงงานนำเงินกองทุนประมาณ 7,000 ล้านบาทมาให้เอสเอ็มอีแบงก์ปล่อยกู้ชะลอการเลิกจ้างในอัตราดอกเบี้ยต่ำ 3% แต่ธนาคารกลับเพิ่มวงเงินปล่อยกู้ไปถึง 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ต้นทุนเงินฝากที่ระดมเข้ามาบวกค่าดำเนินการอยู่ที่ 5-8% ทำให้ธนาคารขาดทุนสะสมมาอย่างต่อเนื่อง และพุ่งพรวดจากสิ้นปีก่อนถึง 6,000 ล้านบาท ประกอบกับการปล่อยกู้แทนที่จะให้โรงงาน หรือให้ธุรกิจที่มีการจ้างงานตามวัตถุประสงค์ แต่กลับไปปล่อยกู้ให้โรงสีจำนวนมากวงเงินอาจถึง 50-200 ล้านบาทต่อราย ทั้งที่มีการจ้างงานเพียง 7-8 คนเท่านั้น

                          “สินเชื่อป้องกันการเลิกจ้างครั้งนั้นกระจุกตัวอยู่ที่โรงสีมากที่สุด ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มพวกพ้องหรือมาจากฝั่งการเมือง พอปี 2553-2554 โรงสีมีปัญหาเพราะรัฐบาลใช้การประกันราคาแทนทำให้ปิดตัวไปมาก และถือโอกาสเบี้ยวหนี้ เพราะเอาโรงสีเป็นหลักประกันซึ่งต่ำกว่าวงเงินกู้จึงปล่อยให้แบงก์ยึดไป แม้ตอนนี้โรงสีจะกลับมาร่ำรวยจากการจำนำข้าวก็เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากจะมาใช้หนี้คืนในเมื่อกลายเป็นหนี้เสียไปแล้วก็ปล่อยให้ธนาคารไปฟ้องร้องเอาเอง” แหล่งข่าวระบุ

ขีดเส้น6เดือนชี้ชะตาอยู่หรือไป

                          แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ธนาคารมีหนี้เสียสะสมมานานแล้ว แต่ที่มาปูดช่วงของนายโสฬส สาครวิศว อดีตกรรมการผู้จัดการ เพราะกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าไปตรวจสอบเข้มงวดมากขึ้น และพบสินเชื่อหลายโครงการมีความเสี่ยงในการชำระหนี้คืน และนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการปล่อยสินชื่อที่ส่อใปในทางทุจริต ซึ่งน่าจะเกี่ยวพันถึงพนักงานและผู้บริหารหลายระดับ รวมกระทั่งนายโสฬสเองก็ถูกเลิกจ้างและถูกตรวจสอบด้วย ซึ่งอาจจะถึงขั้นถูกดำเนินทั้งคดีอาญาและทางแพ่ง ขณะที่นายโสฬสก็ยืนยันว่าตลอดว่าการอนุมัติทำไปตามขั้นตอนหรือตามที่พนักงานหรือผู้อำนวยการฝ่ายตั้งเรื่องเสนอขึ้นมา

                          หลังจากมีการจัดชั้นหนี้สงสัยจะสูญใหม่ตามที่ ธปท.ท้วงติงมา ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์เดียวกับแบงก์พาณิชย์ส่งผลให้ภายในปีครึ่งจากหนี้เสียอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาทในปี 2554 เพิ่มขึ้นเป็น 3.1 หมื่นล้านสิ้นปี 2555 และทะยานขึ้นเป็น 3.9 หมื่นล้านบาทกลางเดือนมกราคม 2556 เมื่อทียบกับสินเชื่อทั้งหมด 9.7 หมื่นล้านบาท โดยเท่าที่ดูแล้วเป็นหนี้ที่คาดว่าจะแก้ไขได้แค่ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งมาจากรายย่อยๆ เท่านั้น ที่เหลือ 3 หมื่นล้านบาทน่าจะเป็นหนี้ที่แก้ไขไม่ได้ และต้องดำเนินการฟ้องร้องต่อไป
                          แหล่งข่าวกล่าวว่า กระทรวงการคลังมองว่าหากปล่อยให้เอสเอ็มอีแบงก์แก้ปัญหาด้วยตัวเองต่อไป หนี้เสียก็จะยังอยู่ในระดับสูง 40-50% จะทำให้เป็นภาระงบประมาณในการเพิ่มทุนจำนวนมากกว่า 6,000 ล้านบาท บอร์ดจึงมีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์ฟื้นฟูกิจการระยะ 5 ปี โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร เป็นประธาน แต่แผนที่ส่งมาครั้งแรกก็ยังไม่ผ่านจนกระทั่งช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้ยอมรับแผนและให้ส่งรายละเอียดของแผนมาอีกครั้งภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ พร้อมทั้งขีดเส้น 6 เดือน หรือเดือนมิถุนายน ต้องเห็นความคืบหน้าของการทำตามแผน ไม่เช่นนั้นสิ่งที่กำลังคิดและเกือบจำทำไปแล้วคือการให้ยุบรวมกับธนาคารออมสินอาจจะถูกงัดออกมาใช้ในที่สุดก็เป็นได้

แก้ผิดจุดดันหนี้เน่าไอแบงก์พุ่ง

                          ส่วนปมของการเกิดหนี้เสียของไอแบงก์นั้น นอกจากจะเกิดขึ้นจากการทำงานที่ขาดประสิทธิภาพ ขาดแรงจูงใจในการติดตามทวงหนี้แล้ว แหล่งข่าวกล่าวว่า ตั้งแต่นายธานินทร์ อังสุวรังษี เข้ามาเป็นผู้จัดการเมื่อปลายปีก่อน ได้มีคำสั่งให้ชะลอการอนุมัติสินเชื่อทุกราย รวมทั้งลูกหนี้ปกติที่เบิกจ่ายเงินเป็นงวดด้วย ทำให้กลุ่มนี้ได้รับผลกระทบสภาพคล่องหมุนเวียนธุรกิจและมีปัญหาในการจ่ายค่างวดคืนก็กลายมาเป็นหนี้เสียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และตัดงบค่าใช้จ่ายทั้งหมดทั้งงบรับรองของสาขาแม้แต่ค่าน้ำมันรถ ทำให้พนักงานไม่มีแรงจูงใจในการปล่อยกู้เมื่อสินเชื่อไม่ขยายจึงทำให้หนี้เสียวิ่งแซงหน้า

                          นอกจากนี้ เอ็มดีใหม่ยังมีคำสั่งให้สั่งฟ้องลูกหนี้เสียทุกรายแทนที่จะเรียกมาเจรจาปรับโครงสร้างหนี้หรือให้ทยอยจ่ายหนี้คืน และเมื่อสั่งฟ้องทำให้ต้องตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญและทำให้หนี้เสียพุ่งพรวดจาก 2.4 หมื่นล้านบาท หรือ 20% จ่อเป็น 3.9 หมื่นล้านบาท หรือ 30% ของสินเชื่อรวม 1.2 แสนล้านบาท และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มไปถึง 6 หมื่นล้านบาท หรือ 50% ได้ในอนาคต ทำให้ผู้บริหารเร่งทำแผนขอเพิ่มทุนด่วน 1.3 หมื่นล้านมาเติมเงินกองทนที่กำลังจะติดลบ และเงินฝากที่ไหลออกไปส่วนหนึ่งเป็นเพราะนโยบายของผู้บริหารใหม่ที่ไม่จ่ายผลตอบแทนเพื่อลดสภาพคล่องส่วนเกิน ทำให้มีการถอนเงินออกไปเกือบหมื่นล้านบาทในเดือนมกราคม จนต้องเร่งระดมเงินฝากเข้ามาทดแทน 7,000 ล้านบาทเมื่อเร็วๆ นี้

                          สำหรับไส้ในของหนี้เสีย 90% เป็นหนี้จากการปล่อยกู้รายใหญ่ โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งธนาคารเองก็ยอมรับว่ามีประมาณ 100 ราย แต่เป็นหนี้สูงถึง 2.4 หมื่นล้านบาท เนื่องจากเอ็มดีแบงก์มีอำนาจในการอนุมัติสินเชื่อรายละสูงถึง 200 ล้านบาท ส่วนบอร์ดมีอำนาจอนุมัติ 500 ล้านบาท เมื่อกลุ่มนี้กลายเป็นหนี้เสียจึงเป็นสัดส่วนที่สูงมาก อีกทั้งมีบ้างที่นักการเมืองฝากมา หรือพวกใกล้ชิดบอร์ด โดยเฉพาะการท้วงติงการปล่อยกู้ที่ไม่เหมาะสม 21 โครงการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หากไปตรวจสอบอาจจะพบว่าเป็นคนใกล้ชิดของใคร  ซึ่งบอร์ดชุดปัจจุบันได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบการปล่อยสินเชื่อที่ส่อไปทางทุจริตดังกล่าวแล้ว

                          อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมา ธนาคารได้สั่งดำเนินคดีกับพนักงานไอแบงก์รวมกันอย่างน้อย 4-6 คนและมีคนถูกไล่ออกไปแล้ว ทั้งกรณีการทุจริตการปล่อยสินเชื่อ โดยเป็นการขอเปอร์เซ็นต์จากการปล่อยสินเชื่อ 3-7% และเกี่ยวกับการทุจริตเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างเกี่ยวกับการเปิดสาขาใหม่ของไอแบงก์ทั่วประเทศกว่า 100 สาขา ซึ่งมีการฮั้วเพื่อรับส่วนแบ่งผ่านการตั้งบริษัท 2 แห่ง เพื่อรับงานเปิดสาขาใหม่ของมูลค่าราว 500 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีกรณีการทุจริตการปล่อยสินเชื่อให้รายย่อย โดยการปลอมแปลงเอกสารทุกประเภททั้งข้อมูลสำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้านต่างๆ เพื่อขอสินเชื่อแต่ละรายในวงเงิน 5 แสนบาท จำนวนหลายสัญญา และทำกันมาเป็นขบวนการมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ปี รวมถึงการทุจริตที่ขอสินเชื่อโดยใช้สินทรัพย์ด้อยคุณภาพมาเป็นหลักประกัน และหยุดการผ่อนชำระจนเป็นหนี้เสีย เป็นต้น
                          “การปล่อยสินเชื่อรายใหญ่ล้วนเป็นคนรู้จักของอดีตผู้บริหารทั้งสิ้น และช่วงที่ยังอยู่ในตำแหน่งก็จะใช้วิธีเจรจาให้จ่ายหนี้เข้ามาบ้าง หากเห็นว่าค้าง 2-3 งวด ทำให้หนี้เหล่านี้ยังไม่ถูกจัดชั้น และยังเดินตามปกติ และช่วงที่มีรักษาการมาทำงานต่อก็เจรจาปรับโครงส้รางหนี้มาเรื่อยๆ จนเอ็นพีแอลทำท่าจะลดลงบ้าง แต่พอเอ็มดีใหม่มีคำสั่งให้ส่งฟ้องทุกรายเลยกลายมาเป็นหนี้เสียตูมเดียวทำท่าจะพุ่งไปถึง 3.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งการสั่งฟ้องนั้นไม่ถูกต้องเพราะการให้กู้เป็นสัญญาร่วมทุนระหว่างแบงก์กับลูกค้าไม่เหมือนกับการให้กู้ปกติของแบงก์อื่น”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น