ที่มาhttp://www.cpall.co.th/Blog/Detail/Sompop
ในวันที่ 22 กันยายน 1985 มีการปะชุมของกลุ่มมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกที่เรียกว่ากลุ่ม “G.5” อันประกอบไปด้วย สหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมันนีตะวันตก และญี่ปุ่น ในโรงแรมพลาซ่าในกรุงนิวยอร์ค และได้ผลการประชุมออกมาที่เรียกว่า“ข้อตกลงพลาซ่า” (Plaza Accord) ที่มีหัวใจสำคัญอยู่ที่การกำหนดให้แต่ละสมาชิกประเทศของ“G.5” ลดทอนการแทรกแซงตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของตน เพื่อให้ค่าเงินของแต่ละประเทศถูกกำหนดโดยกลไกตลาด
ผลที่ตามมาก็คือการที่ญี่ปุ่นที่มีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและได้เปรียบด้านดุลการค้ากับโลกมากๆ ได้มีค่าเงินเยนที่เพิ่มสูงขึ้นชนิด“พุ่งทะยาน” คือแข็งตัวจากที่ระดับ 240-250 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงก่อนเกิด “Plaza Accord” เหลือต่ำกว่า 200 เยนต่อดอลลาร์อย่างรวดเร็ว แล้วยังแข็งค่าต่อเนื่องต่อไปอีก
ดังนั้น ซามูไรจึงต้อง“แก้เกม”จากปัญหาค่าเงินเยนแข็ง โดยการย้ายและขยายฐาน เศรษฐกิจและธุรกิจออกสู่ต่างประเทศระลอกใหม่ที่มี“พลานุภาพ”มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เพราะการที่ค่าเงินเยนแข็งมากๆ ที่แม้ว่าจะสร้างข้อเสียเปรียบให้แก่การผลิตเพื่อ
การส่งออกของญี่ปุ่น แต่ก็สร้างข้อได้เปรียบในการใช้เงินเยนที่แข็งค่าขึ้นมากดังกล่าวออกไปลงทุนยังต่างประเทศ พร้อมๆกับต้อง“ผ่องถ่าย”เงินทุนต่างประเทศที่ตนสะสมเก็บไว้มากๆ ออกไปลงทุนยังต่าง ประเทศ “แข่ง”กับการลดลงของค่าดอลลาร์ที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน
กลุ่มประเทศที่ได้อานิสสงฆ์มากๆ จากระลอกที่สามของการย้ายฐานการลงทุนสู่ต่าง ประเทศของญี่ปุ่น ก็คือสมาชิกกลุ่มมอาเซียน ซึ่งขณะนั้นยังมีเพียง 6 ประเทศ ที่เป็นฐานการลงทุนของญี่ปุ่นอยู่แล้ว ตั้งแต่ที่ญี่ปุ่นเริ่มทะยอยออกลงทุนยังต่างประเทศในทศวรรษที่ 1960’s เป็นต้นมา
ไม่เพียงเท่านั้น กลุ่ม“ลูกห่าน” 4 ตัวที่รองรับการย้ายฐานการผลิตของญี่ปุ่นมากๆ ในช่วงหลังต้นทศวรรษที่ 1970’s ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง และสิงคโปร์ ก็กลายเป็น“ห่าน”ในวัย “กำยำ” และมีกำลังวังชาที่จะออกไปลงทุนยังต่างประเทศตามแนวทางของ“แม่ห่าน” ญี่ปุ่นเช่นกัน
ภาวะข้างต้น ทำให้ไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมเศรษฐกิจของกลุ่มอาเซียน จึงเฟื่องฟูขยายตัวมากๆในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษที่ 1980’s อันเป็นช่วงหลังการประชุม “Plaza Accord” (1985) เป็นต้นมา ดังตัวอย่างเช่น เศรษฐกิจไทยในช่วงสมัยที่พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัน ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี (1888-1991) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งหลักและขยายตัวอย่างรวดเร็วของ “Eastern Sea Board” ที่ริเริ่มไว้ในสมัยที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ
แต่ไม่มี“งานเลี้ยง”ใดที่ไม่มีวันเลิกลา” เพราะผลของ“Plaza Accord” ในปลายปี 1985 ได้ดันและกระทุ้งให้ฟองสบู่ทางเศรษฐกิจในแดนซามูไรให้ขยายตัวเติบใหญ่ขึ้นมาอย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งหลังของปี 1980’s ก่อนที่จะแตกตัวออกมาในช่วงต้น 1990’s ที่สร้างความเสียหายให้แก่แดนซามูไรครั้งประวัติการณ์ ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเผชิญกับสภาวะ“สามวันดี สี่วันไข้”และถูกครอบงำด้วยสภาวะเงินฝืด (Deflationary pressure) มาจนถึงทุกวันนี้
ส่วนเศรษฐกิจของประเทศในอุษาคเนย์เองนั้น ก็เจริญรอยเส้นทางเดินของซามูไร คือเมื่อโตและโป่งพองด้วยฤทธิ์เดชของ”ฟองสบู่”มากๆ แล้วมีการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาค(Macro-economic policy)ที่ผิดพลาด รวมทั้งกลยุทธ์การลงทุนของภาคธุรกิจชนิด“ลืมตัว” ในที่สุดฟองสบู่ดังกล่าวก็แตกตัวออกมาในกลางปี 1997 โดยมีสยามประเทศเป็นตัว“เขี่ยลูก” ตามที่รู้จักกันในนามวิกฤตการณ์“ต้มยำกุ้ง” ที่ส่งผลกระทบออกไปอย่างกว้างขวางทั้งในหมู่สมาชิกอาเซียน และประเทศในภูมิภาคเอเซียและนอกเอเซียอื่นๆ
แต่ในช่วงที่ซามูไรต้องเผชิญกับสภาวะ“อัศดงคต”ทางการพัฒนาในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990’s นั้น พญามังกรที่อยู่ข้างๆ บ้านกลับผงาดตัวเติบใหญ่ขึ้นมาแทน
แม้ว่าจีนเริ่มต้นเปิดตัวออกมาภายใต้นโยบายเปิดประเทศ (Open-door policy) ภายใต้การนำของเติ้งเสี่ยวผิงในปลายทศวรรษที่ 1970’s และมีผลอย่างชัดเจนในทศวรรษที่ 1980’s แต่ช่วงเวลาดังกล่าว แผ่นดินมังกรก็ยังเต็มไปด้วยปัญหาทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองที่“พัฒนา”ไปสู่เหตุการณ์ฟองสบู่แตกในปี 1988 และเหตุการณ์ไม่สงบ“เทียนอันเหมิน”ในกลางปี 1989 อันเป็นช่วงที่ “ฟองสบู่”ในญี่ปุ่นได้ดำเนินมาถึงระยะสุดท้าย ก่อนที่จะแตกตัวออกมาในต้นปี 1990’s
แต่ในช่วง 2-3 ทศวรรษแรกของการเปิดประเทศในปลาย 1970’s เป็นต้นมา จีนได้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเหมือนกับบรรดาประเทศในอุษาคเนย์ช่วงตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 1960’s เป็นต้นมา นั่นก็คือส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศชนิด“ขนานใหญ่” ส่งเสริมการค้าต่างประเทศชนิดขมีขมัน ลงทุนด้านกิจการสาธารณูปโภคพื้นฐาน การพัฒนาภาคบริการและภาคการเงิน ฯลฯ ภายใต้ระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมแบบตลาด(Socialist market economy) ที่เริ่ม“อิ่มตัว”ภายหลังจากที่จีนผ่านเลยการจัดมหกรรมระดับโลกสองมหกรรม นั่นก็คือเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิคในปี 2008 และเวิร์ลเอ็กโปในปี 2010
“มุข”ใหม่ๆที่จีนต้องนำมาใช้ในการนำพาประเทศของตนให้หลุดออกจาก“กับดัก”ของประเทศที่มีรายได้เพียงปานกลาง (Middle –Income Trap) ก็คือการออกไปลงทุนยังต่างประเทศ เหมือนเช่นที่ประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่นเคยทำในช่วง 1-2 ทศวรรษก่อนที่นจะเปิดประเทศในปลาย 1970’s
ในไม่กี่ขวบปีที่ผ่านมานี้ การออกไปลงทุนยังต่างประเทศโดยตรง (Outbound Direct Investment - ODI) ของจีนได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นตามลำดับ และยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องแม้ว่าปัจจุบัน GDP ของจีน (และของโลก) ได้ชะลอตัวลง โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2012 จีนมี “ODI” คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 38,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสูงมากกว่าช่วงเดียวกันของปี 2011 ถึง 48.2%
“Ernst & Young” ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาชื่อดังของโลกคาดการณ์ไว้ว่า ในปี 2020 นี้ “ODI” ของจีนจะมีมูลค่าสูงถึง 160,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
มังกรและ“ODI” จะมีทิศทางเช่นไรในอนาคต เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆที่เปิด ตัวสู่ออกสู่โลกภายนอกก่อนจีน ไม่ว่าจะเป็นมหาอำนาจโลกตะวันตก เช่นสหรัฐฯ ยุโรป หรือตะวันออก เช่นญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ฯลฯ นับว่าเป็นเรื่องที่ชวนติดตามเป็นอย่างยิ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น