การออกไปลงทุนยังต่างประเทศของจีน ตอน 3
ที่มาhttp://www.cpall.co.th/Blog/Detail/Sompop
ตัวอย่างเช่น กรณีไทยเอง ภายหลังจากมีนโยบายเปิดประเทศอย่างกว้างขวางภายใต้การริเริ่มของรัฐบาลภายใต้การนำของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งได้ตั้ง“สภาพัฒน์”และ“BOI” ขึ้นมาในช่วงต้นทศวรรษที่ 1960’s พร้อมกับการร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 ขึ้นใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 1961 เป็นต้นมา ก็ได้ส่งเสริมการเข้ามาลงทุนของต่างประเทศอย่างกว้างขวาง โดยการให้สิทธิประโยชน์มากมายจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ “BOI” ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นมาใหม่
ญี่ปุ่นจึงเป็นประเทศแรกๆ ที่ขอ“BOI” และเริ่มต้นลงทุนในไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาอุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้า (Import substitute industries) ที่เป็นอุตสาหกรรมเบา(Light industry) ที่เน้นการใช้แรงงานเข้มข้น(Labor intensive)ทั้งหลาย ตัวอย่างเช่น สิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่อง ใช้ไฟฟ้า มอเตอร์ไซด์ อาหารแปรรูป ฯลฯ
อุตสาหกรรมที่ต้องใช้เทคโนโลยีก้าวหน้ามาก ๆ และได้รับการส่งเสริมตั้งแต่เริ่มใช้แผน 1 ใหม่ๆ ก็คือการประกอบรถยนต์ เพื่อทดแทนการนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปจากต่างประเทศ
เพื่อจูงใจให้ต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งญี่ปุ่นสนใจลงทุนด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ในไทย ทั้งๆที่ขณะนั้นตลาดรถยนต์ในประเทศยังเล็กมาก ก็คือการใช้สิทธิพิเศษและการปกป้องนักลงทุนจากตางประเทศ ชนิด “ประเคน”ให้กันเลยทีเดียว
จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมครั้งหนึ่งในช่วงก่อน ปี 199 ไทยจึงเคยเก็บภาษีรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศ ในอัตราหลายร้อยเปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับราคารถยนต์ในขณะนั้น
พร้อมกันไปนั้น รัฐบาลไทยนับตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 1960’s เป็นต้นมา ยังได้ลงทุนสร้างกิจการสาธารณูปโภคพื้นฐาน (Basic infrastructure) ต่างๆ ที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนของต่างประเทศ เช่นการพัฒนาระบบไฟฟ้าและประปา การสร้างถนนหนทางชนิด“ปูพรม”ทั่วทั้งประเทศ เพื่อเอื้ออำนวยความสะดวกให้รถยนต์ที่ผลิตออกมาวิ่ง เพราะถ้าขาดถนนต่อให้มีนโยบายจูงใจมากเพียงไร ก็คงยากต่อชักชวนให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนโรงงานประกอบรถยนต์ ที่ผลิตแล้วขาดตลาดรองรับ เพราะไม่มีถนนให้วิ่งนั่นเอง
การลงทุนสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งที่ได้ดำเนินการอย่างต่อ เนื่องนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960’s เป็นต้นมา ได้สร้างประโยชน์ชนิด“ยิงกระสุนนัดเดียว” แต่ว่าได้”นก”หล่นลงมาเป็นฝูงเลยทีเดียว ทั้งที่เป็น“นก”ทางเศรษฐกิจสังคม การเมือง และความมั่นคง
ในด้านเศรษฐกิจนั้น การตัดถนนสู่ภูมิภาคได้ทำให้เศรษฐกิจแบบตลาด(Market economy) “เบียด”ตัวแย่งชิงพื้นที่ของเศรษฐกิจแบบยังชีพ (Subsistence economy) อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เปลี่ยนแปลงให้วิถีชีวิตของผู้นที่เคยมุ่ง”ทำมาหากิน” เปลี่ยนไปเป็น“ทำมาค้าขาย”มากยิ่งขึ้น
เพราะถนนที่เชื่อมสู่ชนบท ได้เปลี่ยนพื้นที่ดินสองข้างทางที่ผู้คนเคยมุ่งผลิตเองใช้เองหรือกินเองไปตามมีตามเกิด ให้เป็นการผลิต “ส่วนเกิน”ออกขายสู่ตลาดที่มีทั้ง“ตลาด”ใกล้ๆบ้านที่ใหญ่โตขึ้นตามการขยายตัวของภาคเมือง(Urbanization) ที่ทำให้มีผู้คนมาอยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น เพราะมีโอกาสใน ทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่ตามมากับการเชื่อมต่อกับเมืองใหญ่ๆ เช่นกรุงเทพฯได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น เพราะมีถนนเป็นตัวกลางเชื่อมโยง
ขณะเดียวกัน ผลผลิตการเกษตรที่ผลิตได้เพิ่มขึ้น ก็มีพ่อค้าเข้าไปรับซื้อเพื่อนำไปขายในเมืองต่อ ทำให้ตลาดรองรับผลผลิตขยายตัว
ยิ่งถนนหนทางสะดวก ก็ง่ายต่อการที่“เมือง”จะลำเลียงผลิตภัณฑ์สินค้าจำพวกเครื่องอุปโภคบริโภคและปัจจัยการผลิตด้านการเกษตร ออกไปขายในชนบททำให้อุตสาหกรรมในตัวเมืองหรือที่ตั้งอยู่ใกล้ตัวเมืองใหญ่ๆ ขยายตัวเติบใหญ่
ชาวบ้านผู้คนในชนบทเอง ก็มีแรงจูงใจจากผลิตภัณฑ์สินค้าใหม่ๆที่พ่อค้าจากภาคเมืองนำเข้าไปขาย ก็ยิ่งผลิต“ส่วนเกิน”จากภาคการเกษตรของตน เพื่อหา“เงินสด”ไปซื้อหาสินค้าต่างๆ ข้างต้นมาใช้สอย เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน และเพิ่มโอกาสในการขยายการผลิตในภาคเกษตรของตน
เมื่อเป็นเช่นนี้ สาธารณูปโภคพื้นฐานเช่นถนนหนทาง ที่อำนวยให้ยวดยานพาหนะใหม่ๆ เช่น รถยนต์ที่ผลิตจากต่างชาติที่เข้ามาลงทุน จึงเป็นปัจจัยก่อนหน้า (Prerequisite) ที่สำคัญในการพัฒนาอื่นๆ ที่จะตามมา
แต่ระลอกที่สองที่ต่างชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในเอเซียตะวันออกอื่น ๆและในไทยเพิ่มขึ้น ก็คือตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 1970’s ที่มีการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญของระบบการเงินโลก นั่นก็คือการใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวในหมู่ประเทศพัฒนาแล้ว(Developed Economies) ทั้ง หลาย ที่มีส่วนทำให้เงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นมากและอย่างต่อเนื่องกว่าเดิม ส่งผลให้ซามูไรแปร“วิกฤติ”จากค่าเงินแข็งให้เป็น“โอกาส” โดยการขยายการลงทุนสู่ต่างประเทศด้วยความหนักหน่วงเข้มข้นกว่าเดิม โดยการใช้“หมัดเด็ด”ที่ย่อออกมาเป็นตัวอักษรสามตัวคือ“MIT”
“M” นั้นมาจากคำว่า “Marketability” คือผลิตแล้วต้องขายได้ ซึ่งเป็นปัจจัยแรกๆ ที่ญี่ปุ่นคำนึงถึงเวลาตัดสินใจลงทุนทำการผลิต
“I” มาจากคำว่า “Information” ก็คือความพร้อมมูลครบถ้วนของข่าวสารข้อมูลที่ญี่ปุ่นได้ลงทุนทางด้านนี้อย่างมหาศาล ทำให้มีความได้เปรียบในด้านการ“รู้เขา รู้เรา”ในการประกอบกิจการทางเศรษฐกิจ และธุรกิจมากยิ่งขึ้น
เมื่อข่าวสารข้อมูลมีประสิทธิภาพ ก็ทำให้การวางแผนด้านต่างๆมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามมา ที่ทำให้ญี่ปุ่นสามารถยกระดับขีดขั้นความสามารถทางการแข่งขัน(Competitiveness)ได้มากยิ่งขึ้นตามมา
ส่วน“T”นั้นมาจากคำว่า“Technology” ที่ซามูไรชนได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากนับตั้งแต่ยุคเมจิเป็นต้นมา ที่ทำให้ญี่ปุ่นสามารถทั้งพัฒนาเทคโนโลยีจากการลงทุนด้านนวัตรกรรม (Innovation) ของตนเอง และการนำ “R&D” ของผู้อื่นมา“ต่อยอด” จนแปรเปลี่ยนออกมาเป็นผลิตภัณฑ์สินค้าใหม่ๆ เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของตลาดได้
ความได้เปรียบของ“MIT” Model ของญี่ปุ่น ยังมีส่วนทำให้ซามูไรสร้างแบรนด์หรือยี่ห้อผลิตภัณฑ์สินค้าของตน จนกลายเป็นแบรนด์สากล (International brands) ได้ชนิดไม่แพ้บรรดาประเทศตะวันตกชั้นนำที่เริ่มต้นพัฒนาเศรษฐกิจมาก่อนญี่ปุ่นทั้งหลาย และหลายๆ แบรนด์ของซามูไร ก็ยืนอยู่ในแถวหน้าสุดของโลกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น