ที่มา http://www.cpall.co.th/Blog/Detail/Sompop/
ในช่วงปลายไตรมาสแรกของปี 2012 ที่ผ่านมา ได้ถึงรอบที่แดนภารตะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสุดยอดผู้นำ “BRICS” (BRICS – Summit)
ตั้งแต่การจัดประชุมสุดยอดผู้นำ “BRICS” ครั้งที่ 3 และมีการป่าวคำประกาศซันย่า (Sanya Declaration) ที่เมืองตากอากาศด้านใต้สุดของเกาะไหหลำเป็นต้นมา สมาชิกทั้งห้าประเทศของ “BRICS” ก็ได้มีการปรึกษาหารือกันอยู่เนืองๆ และร่วมมือกันในด้านต่างๆ เช่น การพัฒนาการค้าและเศรษฐกิจ การพัฒนาระบบการเงิน อุตสาหกรรม ด้านการแพทย์ และสุขอนามัย ด้านการเกษตร ด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีและด้านมนุษยศาสตร์ ฯลฯ เพื่อส่งผลให้ข้อตกลงแบบฉันทานุมัติ มีความเป็นจริงในทางปฏิบัติมากยิ่งขึ้นไป เพื่อให้สมาชิก “BRICS” ทั้ง 5 ประเทศ สามารถขับเคลื่อนพัฒนาการในด้านต่างๆที่ได้กล่าว มาข้างต้น ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นไป
นับวันก้าวย่างของ“BRICS” ก็ยิ่งเป็นที่จับตาสนใจของประชาคมโลกมากยิ่งขึ้นไป
คำถามก็คือ ทำไม?
คำตอบก็คือการที่สมาชิก“BRICS” ทั้ง 5 แผ่นดินข้างต้น ยังมีลำดับขั้นทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าศักยภาพที่เป็นจริง (UNDER – POTENTIAL DEVELOPMENT) เป็นอันมาก
”BRICS” ทั้ง 5 ประเทศ มีประชากรร่วมกันถึง 42% ของประชากรรวมทั่วทั้งโลก แต่มีมูลค่า GDP รวมกันเพียงประมาณ 20% ของ GDP รวมทั่วทั้งโลกเท่านั้น
ยิ่งการค้าต่างประเทศด้วยแล้ว ปรากฎว่ามูลค่ารวมของการค้าต่างประเทศ (มูลค่าส่งออกรวมกับมูลค่าการนำเข้า) ของ “BRICS” มีสัดส่วนเพียง 15% ของมูลค่ารวมการค้าของโลกเท่านั้น
ถ้าเปรียบเทียบระดับขั้นทางการพัฒนาเศรษฐกิจเหมือนกับ“วัย”ของมนุษย์ เท่าที่เป็นอยู่เศรษฐกิจของ“BRICS”ยังอยู่ในช่วงที่ยังเยาว์วัยมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว(ADVANCED ECONOMIES) ไม่ว่าจะเป็นประเทศตะวันตกเช่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป หรือแม้แต่การเปรียบเทียบกับประเทศทางฟากฝั่งตะวันออก เช่นญี่ปุ่น
ในกรณีของสหรัฐฯนั้น แผ่นดินอินทรีมีขนาดของมูลค่า GDP รวมทั่วทั้งโลกถึงประมาณ 23% แต่มีประชากรเพียงประมาณ 4.5% ของประชากรรวมของโลกเท่านั้น
ในปี 2011 ที่ผ่านมา โลกมีประชากรรวมประมาณ 7,000 ล้านคน ขณะที่สหรัฐฯ มีประชากรเพียง 312 ล้านคนเท่านั้น
ส่วนยุโรปนั้น มีมูลค่า GDP ถึงประมาณ 26-27% ของ GDP รวมทั่วทั้งโลก แต่มีประชากรเพียง 8 % ของประชากรโลก
ขณะที่สหภาพยุโรป (27 ประเทศ) มีมูลค่า GDP ถึงกว่าหนึ่งในสี่ของ GDP โลกนั้น กลับมีประชากรน้อยกว่ากลุ่มอาเซียน (ASEAN) ที่มีมูลค่า GDP คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 3% ของ GDP โลก โดยที่อาเซียนมีประชากรเกือบ 600 ล้านคนหรือประมาณ 9% ของประชากรรวมทั่วทั้งโลก
ยิ่งแดนซามูไรด้วยแล้ว มีประชากรเพียงประมาณ 127 ล้านคน หรือประมาณ 1.8% ของประชากรโลก แต่กลับมีมูลค่า GDP ประมาณ 5.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 8-9% ของมูลค่า GDP รวมทั่วโลก
การที่ GDP ของ “BRICS” ยังมีมูลค่าที่ต่ำมาก ถ้าหากสมาชิก “BRICS” มีนโยบายและมาตรการทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่ถูกต้อง และสามารถผลักดันนโยบายดังกล่าวให้ออกมาเป็นจริงในทางปฏิบัติ “BRICS”ก็จะสามารถเจริญวัยเติบใหญ่ทางการพัฒนาได้มากและได้อย่างรวดเร็ว ดังตัวอย่างของ“รูปธรรม”ที่ปรากฎออกมาให้เห็นในปัจจุบัน
ในช่วงที่ผ่านมา มีมูลเหตุหลายประการที่“จองจำ”ให้เศรษฐกิจของ “BRICS” ต้อง “จมปลัก”กับความล้าหลังและแน่นิ่ง หรือแม้แต่เสื่อมถอยทางการพัฒนา เป็นเวลาติดต่อกันมานับทศวรรษหรือในบางประเทศเป็นเวลานับศตวรรษกันเลยทีเดียว
ตัวอย่างเช่น จีน ต้องเผชิญกับปัญหา “ศตวรรษที่สูญเปล่า” (The Lost Century) ทางการพัฒนานับตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของราชวงศ์ชิง (Qing Dynasty) หรือประมาณช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ที่บ้านเมืองต้องจมปลักกับความเสื่อมทรุดเสียศูนย์ทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ดังที่ปรากฎ”รูปธรรม”ออกมาให้เห็นนานัปการ เช่นการทำสงครามแพ้ชาติตะวันตกที่เป็นชาติที่“เล็ก”กว่าทั้งขนาดของพื้นที่จำนวนประชากรชนิดเทียบกันไม่ได้กับจีน หรือแม้แต่การถูกญี่ปุ่นที่เป็นชาติใกล้บ้านเรือนเคียงรุกรานเข่นฆ่าผู้คนในจีนไปมากมายนับครั้งแล้วครั้งเล่า และบางช่วงถึงขนาดต้องเฉือนบางส่วนของแผ่นดินให้ซามูไรปกครองติดต่อกันเป็นเวลาหลายต่อหลายทศวรรษ เช่นในช่วงก่อนเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2
แม้ว่ามังกรได้”ผลัดแผ่นดิน” แปรเปลี่ยนเป็น“จีนใหม่”ในวันที่ 1 ตุลาคม 1949 เป็นต้นมา โดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้ถือบังเหียนปกครองประเทศ
แต่ในช่วงสามทศวรรษแรกแห่งการปกครองประเทศ เพื่อมุ่งสู่เส้นทางสังคมนิยมโดย ”อุดมการณ์“คอมมิวนิสต์” แม้จีนจะสามารถแปรเปลี่ยนปัจจัยทางด้านสถาบัน(Institutional factors) และมีความปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้าง (Structural Changes) ไม่ใช่น้อย เพื่อสร้างและเพิ่มความเป็นปึกแผ่นให้แก่แดนมังกร ที่“แตกกระสานซานเซ็น”มาอย่างยาวนาน ภายใต้การปกครองของบรรดาขุนศึกศักดินาอันล้าหลังและด้อยประสิทธิภาพ
จนกระทั่งเมื่อเติ้งเสี่ยวผิง สามารถเถลิงอำนาจขึ้นมาใหม่ภายหลังการลับโลกไปของเหมาเจ๋อตุงในปลายทศวรรษที่ 1970’s “เติ้ง”ที่เป็นผู้นำหัวปฏิรูปในพรรคคอมมิวนิสต์จีน จึงสามารถดำเนินนโยบายเปิดประเทศ (Open-door policy) พร้อมด้วยนโยบายและมาตรการทางการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพ และสามารถกระตุ้นผลิตภาพ (Productivity) ทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง มังกรยังสามารถ”ผงาด”สู่เวทีเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นประเทศ“หัวขบวน”ของทั้งสมาชิก “BRICS” และของโลกทางด้านการพัฒนาเศรษฐกิจในปัจจุบัน
นอกจากจีนแล้ว สมาชิก”BICS” อื่นๆ ดูจะมีเส้นทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยแตกต่างกันนัก คือดำเนินนโยบายการพัฒนาค่อนไปทางปิดประเทศ (Closed door policy) ไม่ว่าจะเป็นรัสเซียในช่วงที่ยังเป็นสหภาพโซเวียต (Soviet Union) หรือช่วงก่อนปี 1990 ที่เป็นประเทศ “หลังม่านเหล็ก”ที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบวางแผน (Planned Economy) แทนที่การใช้กลไกตลาด (Market mechanism) เป็น “เครื่องมือ”ทางการพัฒนา หรืออินเดียในช่วงก่อนทศวรรษที่ 1990’s อันเป็นช่วงที่ตระกูล“คานธี”ปกครองประเทศ ก็ดูจะมีทิศทางไม่ค่อยแตกต่างกันไปนัก
นอกจากแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไร้ประสิทธิภาพแล้ว การเมืองที่ไร้เสถียรภาพดูจะเป็น“ตัวแปร”ที่สำคัญอีกประการหนึ่งในการถ่วงรั้งพัฒนาการของ “BRICS”ในช่วงก่อนหน้านี้
เพราะการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง นำไปสู่ความ”ง่อนแง่น”ของรัฐบาล ที่สร้างปัญหาในการกำหนดและผลักดันนโยบายและมาตรการทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพให้แก่ประเทศได้ ดังที่มักปรากฎออกมาให้เห็นในประเทศสมาชิก “BRICS: บางประเทศในช่วงก่อนหน้านี้
ไม่เพียงเท่านั้น “BRICS”ยังมีปัญหาสังคมที่ยืดเยื้อเรื้อรังและถ่วงรั้งโอกาสทางการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการแบ่งชนชั้นวรรณะในอินเดีย ปัญหาการเหยียดผิวในอัฟริกาใต้ ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ทศวรรษที่1990’s เป็นต้นมา “BRICS” ที่มีการปรับเปลี่ยนของปัจจัยทางด้านสถาบัน (Institutional Changes) ไม่ว่าจะเป็นการเมือง (Positional Change) ปัจจัยทางเศรษฐกิจ (Economic Change) และปัจจัยทางสังคม (Social Change) สมาชิก “BRICS”ที่หลายๆ ประเทศเป็นแผ่นดินที่มีประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ และเป็นประเทศต่อเนื่องกันมานับเป็นเวลาพันๆ ปี ก็เริ่มสามารถ“ตั้งหลัก”และก้าวรุดทางการพัฒนาได้ แม้ว่าจะมีช่วง”สะดุด”บ้าง ก็ไม่มีนัยยะสำคัญนัก
ตัวอย่างเช่น การที่จีน ที่แม้จะเปิดตัวออกมาตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1970’s โดยการนำของเติ้งเสี่ยวผิง แต่ก็ต้องเผชิญกับความ“เชี่ยวกราก”ทั้งในทางเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงไม่ใช่น้อยในทศวรรษแรกๆ แห่งการเปิดปรเทศ ดังตัวอย่างที่ปรากฎออกมาให้เห็นจากเหตุการณ์ความไม่สงบ”เทียนอันเหมิน”ในปี 1989 ฯลฯ
หรือกรณีรัสเซีย ที่แม้จะเริ่ม“ขยับตัว”เปลี่ยนแปลงภายหลังจากที่“กอร์บาชอฟ”ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศในกลางทศวรรษที่ 1980’s แล้วป่าวประกาศมาตรการเปิดกว้างทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง ภายใต้มาตรการ“เปเรสตรอยก้า” และ“กลาสนอส์”
แต่ในที่สุดสหภาพโซเวียตที่เคยยิ่งใหญ่ และสามารถเป็นผู้นำในโลกสังคมนิยม“ต่อกร”เผชิญหน้ากับสหรัฐฯที่ป็นผู้นำในโลกทุนนิยม ด้วยเวลาติดต่อกันหลายต่อหลายทศวรรษ ที่ส่งผลให้รุ่นไอแห่ง“สงครามเย็น” (Cold War) ครอบคลุมโลกอยู่ด้วยระยะเวลาอันยาวนาน ก็ต้องล่มสลายลงในช่วง ”รอยต่อ”ของทศวรรษที่ 1980’s และ 1990’s และกว่าที่รัสเซียที่เคยเป็นแก่นแกนของสหภาพโซเวียตจะตั้งหลักใหม่ได้ ก็ต่อเมื่อ“ปูดิน”สามารถขึ้นดำรงตำแหน่งประเทศในช่วงประมาณปี 2000 ที่ส่งผลให้รัสเซียที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดในโลก(ประมาณ 17 ล้านตารางกิโลเมตร) และประชากรประมาณ 145 ล้านคน สามารถ “ผงาด”ขึ้นมาใหม่ และเป็นสมาชิก “BRICS” ชาติเดียวที่มาจากฟากฝั่งตะวันตก
ส่วนอินเดียนั้น นโยบายการปิดตัวทางเศรษฐกิจที่ดำเนินการโดยรัฐบาลโดยการนำของนางอินทิรา คานธีในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยระยะเวลาอันยาวนาน แล้วส่ง“ไม้”ต่อมายังนายราจีพ คานธีผู้ลูก ที่ขึ้นมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน ภายหลังการจากไปด้วยความน่าเศร้าสลดของผู้เป็นมารดา
จนกระทั่งนายราจิพ คานธี ต้องลาโลกไปด้วย “ชะตากรรม”เดียวกับผู้เป็นแม่ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980’s อินเดียโดยการนำของ “โมนาซิงฮา เรา”นักการเมืองอาวุโส แต่มีหัวปฏิรูป (Reformist) ที่ได้ร่วมมือกับ “ขุนคลัง”คู่ใจในขณะนั้นก็คือ”มันโมฮัน ซิงห์” เริ่มดำเนินนโยบายเปิดประเทศ และมีนโยบายเปิดประเทศที่ค่อนข้างต่อเนื่องกันมาภายหลังจากนั้น แม้ว่าบางช่วงพรรคฝ่ายค้านที่อยู่ตรงกันข้ามกับพรรคครองเกรสจะสามารถ”เบียดตัว”ขึ้นมาบริหารประเทศอยู่หลายปีในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990’s แต่นโยบายการเปิดกว้างทางการพัฒนาประเทศ ก็ยังคงดำรงอยู่ต่อไป จนกระทั่งพรรคครองเกรสโดยการนำของนางโซเนีย คานธี นำพรรคประสบชัยชนะในการเลือกตั้ง และสามารถเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แล้วส่ง“ซาร์เศรษฐกิจ”นาม”มันโมฮัน ซิงห์” นักเศรษฐศาสตร์มือดีที่เคยผ่านงานทั้งการเป็นผู้ว่าแบ็งค์ชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และทูตประจำกรุงเจนีวาของอินเดีย ฯลฯ ขึ้นถือบังเหียนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศมาจนถึงปัจจุบัน (2012)
อินเดียจึงสามารถผงาดขึ้นมาเป็น“มหาอำนาจ”แห่งอเซียใหม่ที่ยังมีโอกาสทางการพัฒนาอีกมาก เมื่อพิจารณาจากดัชนีชี้วัดหลายตัวเช่น ขนาดของ GDP ที่ยังมีสัดส่วนไม่ถึง 3% ของ GDP รวมทั่วทั้งโลก ขณะที่แดนภารตะมีประชากรกว่า 1,200 ล้านคนหรือประมาณ 17% ของประชากรรวมทั่วทั้งโลก
ดังนั้น หากอินเดียที่ถือว่าตนเองเป็นประเทศ “ประชาธิปไตย”ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะใช้ระบบการเลือกตั้งทั่วไป (General Election) อย่างต่อเนื่องกันมา ภายหลังจากที่ได้รับเอกราชจากอังกฤษในช่วงหลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 เป็นต้นมา มีนโยบายทางการพัฒนาที่ถูกต้องเช่น การมีนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับตลาด (Market Friendly Economy) การให้ความสำคัญต่อการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน (Basic Infrastructure) โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบลอจิสติกส์ (Logistics system) ที่ยังด้อยประสิทธิภาพมากในแผ่นดิน“โรตี” ฯลฯ อินเดียก็จะยิ่งมีโอกาสทางการพัฒนาไปกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ส่วนบราซิลนั้น ถือว่าเป็น”พี่เบิ้ม”ใหญ่แห่งละตินอเมริกา ซึ่งเป็น”หนึ่งเดียว”ที่เป็นอดีตเมืองขึ้นและใช้ภาษาปอร์ตุเกสเป็นภาษาราชการ ที่จมปลักอยู่กับระบบการปกครองแบบเผด็จการทหารมาเนิ่นนานปี
แต่ภายหลังจาก“เมืองกาแฟ”สามารถบริหารจัดการประเทศให้เข้าที่เข้าทางในทางการเมือง และมีการดำเนินนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจที่เปิดกว้างและถูกทิศถูกทางมากยิ่งขึ้น ประเทศที่เป็น“อู่”ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญของโลก และเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาลและมีประชากรมากมาย คือมีพื้นที่ถึงกว่า 8.5 ล้านตารางกิโลเมตร และประชากรกว่า 193 ล้านคน (ก.ย 2010) จึงสามารถผงาดขึ้นมาและ“เข้าตา”ประชาคมโลกที่โดดเด่นที่สุดชาติหนึ่งในหมู่ประเทศในละตินอเมริกาทั้งหลาย
ยิ่งราคาทรัพยากรธรรมชาติเช่น บรรดาสินค้าโภคภัณฑ์พื้นฐาน (Basic commodities) ได้พุ่งทะยานสูงขึ้นมากในช่วงหลายขวบปีที่ผ่านมา สมาชิก “BRICS” ที่มีทรัพยากรธรรมชาติมากๆ เช่น บราซิล และรัสเซีย ก็ยังได้รับ “อานิสสงฆ์”มากขึ้นตามไปด้วย
ส่วนสาธารณรัฐอัฟริกาใต้ (South Africa) นั้นจัดเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 25 ของโลก ที่มีพื้นที่ถึงประมาณ 1.22 ล้านตารางกิโลเมตร และมีประชากรประมาณ 50 ล้านคน และถือเป็น
ประเทศที่ก้าวหน้าทางกา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น