ที่มา http://www.cpall.co.th/Blog/Detail/Sompop
การที่จีนดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่ปิดตัวจากโลกภายนอก (Closed economy) ติดต่อ กันมายาวนาน และปิดตัวมากเป็นพิเศษในช่วงที่มังกรเปลี่ยนแปลงตัวเองจากระบบ“ขุนศึกศักดินา” เป็นสังคมนิยมในปลายทศวรรษที่ 1940’s เป็นต้นมาได้ส่งผลให้ GDP มังกรมีการขยายตัวค่อนข้างน้อยในช่วงประมาณสามทศวรรษแรกภายหลังเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองดังกล่าว
ดังนั้น เมื่อเริ่มเปิดตัวปฏิสัมพันธ์กับโลกในปลายทศวรรษที่ 1970’s ดังกล่าว มูลค่าของ GDP จีนจึงยังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับ GDP ของประเทศมหาอำนาจอื่นๆ
โดยในปี 1979 อันเป็นปีแรกๆ ที่จีนเริ่มเปิดประเทศนั้น GDP ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็น “คู่แข่ง”สำคัญของมังกรในปัจจุบัน มีขนาดของ GDP ที่ใหญ่กว่าจีนถึงประมาณ 15 เท่าตัว ทั้งๆ ที่จีนมีประชากรมากกว่าสหรัฐฯ หลายเท่า ขณะที่มีพื้นที่ประเทศพอๆ กันคือกว่า 9 ล้านตร.กิโลเมตรในแต่ละประเทศ
การที่ตอนเริ่มเปิดประเทศใหม่ๆ เมื่อกว่าสามทศวรรษที่แล้ว GDP จีนยังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ดังนั้น เมื่อดำเนินโยบายเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับตลาด (Market friendly economic system) ก็ได้ส่งผลให้มังกรมีการเติบใหญ่ขยายตัวชนิด“พุ่งทะยาน”ติดต่อกันถึงประมาณ 3 ทศวรรษ ที่ส่งผลให้ปี 2011 ที่ผ่านมา GDP ของจีนได้ไล่กวดสหรัฐฯขึ้นมาจนมีมูลค่าประมาณครึ่งหนึ่ง โดยในปีดังกล่าว GDP ของจีนมีมูลค่า 7.26 ล้านล้าน (trillion) ดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับที่ประมาณ 15 ล้านล้านดอลลาร์ของสหรัฐฯ
แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปกว่าสามทศวรรษ ดูประหนึ่งว่ามังกรจะไม่สามารถใช้“มุข”เก่าๆ ในการนำพาเศรษฐกิจของตนให้สามารถเคลื่อนรุดไปข้างหน้าได้เช่นที่ผ่านมา
“มุข”หลักๆที่จีนเคยใช้กระตุ้นเศรษฐกิจของตนให้ขยายตัวได้สูงมากๆ และสูงเป็นระยะ เวลาติดต่อกันถึงสามทศวรรษ ก็คือการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ และการขยายตัวของการค้าต่างประเทศ เสริมด้วยการลงทุนอย่างมากมายของภาครัฐในด้านการก่อสร้างกิจการสาธารณูปโภคพื้น ฐาน(Infrastructure)ต่างๆ และการส่งเสริมการประกอบการของกิจการรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ (Big State Owned Enterprises – SOE’s)ต่างๆ ที่กลายเป็น“ทัพหลวง”ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของแดนมังกรในปัจจุบัน
ในด้านการลงทุนจากต่างประเทศนั้น จีนเคย“ใจกว้าง”ชนิดที่หาประเทศอื่นเทียบเคียงได้ยาก เพราะตอนที่เริ่มเปิดประเทศใหม่เมื่อประมาณสามทศวรรษที่แล้ว ทางการที่เกี่ยวข้องของจีนเคยให้สิทธิพิเศษในการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศชนิด“สุดๆ”และให้สิทธิพิเศษต่างๆแก่กิจการของต่างแดนดังกล่าว มากกว่าที่นักลงทุนท้องถิ่นของจีนเองจะได้รับด้วยซ้ำ
สภาวการณ์ดังกล่าว ได้ส่งผลให้ธุรกิจของจีนจำนวนไม่น้อย ที่หาทางไปจดทะเบียน “แปลงตัว”ให้เป็นบริษัทสัญชาติต่างประเทศ แล้วค่อยกลับไปลงทุนยังแดนมังกร เพื่อให้ตนสามารถได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ ที่มีมากกว่าที่บริษัทท้องถิ่นของจีนเองได้รับ
ส่วนในด้านการค้าต่างประเทศนั้น การส่งออกและการนำเข้าของจีนก็ได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยที่สินค้าส่วนใหญ่ที่จีนส่งออกนั้น มาจากการผลิตของบริษัทต่างชาติหรือไม่ก็ร่วมทุนกับต่างชาติ
การลงทุนและการค้าต่างประเทศที่ขยายตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่องยาวนานดังกล่าว ได้ส่งผลให้มังกรได้รับฉายาเป็นโรงงานแห่งโลก (The Global Workshop) เช่นเดียวกับที่อังกฤษเคยถูกเรียกขานในศตวรรษที่ 19 อันเป็นช่วงที่“เมืองผู้ดี”ภายใต้การเป็นผู้นำในการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) ได้ผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจหมายเลขที่ 1 ของโลก
ต่อมาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 สหรัฐฯ ก็ได้ผงาดขึ้นมาเป็น “หมายเลข 1”แทนที่อังกฤษ แทน และกลายเป็นเป็นโรงงานแห่งโลกในช่วงระหว่างรอยต่อระหว่างสงครามครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2
เมื่อมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ยุติลงในกลางทศวรรษที่ 1940’s สหรัฐฯ ที่ “แพง”ขึ้นมาก ก็ต้องพัฒนาตนเองไปสู่การเป็นเศรษฐกิจที่อิงกับภาคบริการ (Service based economy โดยผู้ที่ทำหน้าที่เป็นโรงงานโลกแทน ก็คือญี่ปุ่นและเยอรมนีตะวันตก ก่อนที่จะส่ง“ไม้”ต่อไปให้จีนที่ได้ทำหน้าที่ดังกล่าวในช่วงประมาณสามทศวรรษที่ผ่านมา
ปัจจุบัน จีนคือผู้ที่ส่งออกมากที่สุดในโลกขณะที่นำเข้ามีมูลค่ามากเป็นอันดับที่ 2 ของโลก ที่ส่งผลให้มังกรกลายเป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทานโลก (The center of global supply chain) เช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
แต่เมื่อเวลาล่วงผ่านไปกว่าสามทศวรรษ พร้อมกับการพัฒนาสู่ประเทศที่มีรายได้ปานกลาง (Middle-income country) ได้ทำให้จีนใช้ “มุข”เดิมๆ คือการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ และการค้าต่างประเทศให้เป็น“หัวหอก”สำคัญในการพัฒนาประเทศได้ยากลำบากขึ้น
ยิ่งเศรษฐกิจโลกโดยการนำของมหาอำนาจตะวันตกเช่น สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป มีปัญหาผันผวนถดถอยเช่นที่เป็นอยู่ ก็ยิ่งสร้างความยากลำบากแก่จีนในการใช้มาตรการเดิมๆ ใน
การกระตุ้นเศรษฐกิจของตน
ตัวอย่างเช่น ในช่วงล่า ๆ มานี้ เศรษฐกิจทั้งในระดับมหภาคและจุลภาคของจีน ได้ตกต่ำถดถอยลง เช่น ในกรณีส่งออกและนำเข้านั้น อันเป็นภาคส่วนที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจจีนมากๆ นั้น ได้ถอยร่นลงอย่างชัดเจนในช่วง 6-7 เดือนแรกของปี 2012 นี้
ตัวอย่างเช่น การส่งออกในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้ขยายตัวเพียง 11.3% ขณะที่
การนำเข้าขยายตัวเพียง 6.3% (ในปี 2011การส่งออก และนำเข้าของจีนขยายตัวประมาณ 20.5% และ 24.5% ตามลำดับ)
แต่พอถึงเดือนกรกฎาคม การส่งออกของมังกรยิ่งถอยร่นโดยขยายตัวเพียง 1% ขณะที่การนำเข้าขยายตัวเพียง 4.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ยิ่งถ้าเป็นดัชนีราคาผู้ผลิต (Producer Price Index – PPI) ด้วยแล้วได้ติดลบ 2.1% และ 2.9% ในเดือนมิถุนายน และกรกฎาคมตามลำดับ
ส่วนภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีส่วนสำคัญต่อ GDP จีนมากๆ นั้น ปรากฎว่าในช่วงเดือนมกราคมถึงกรกฎาคมที่ผ่านมาได้ติดลบถึง 13.4%
ที่ค่อนข้างน่าตกใจก็คือ การที่การปล่อยกู้สินเชื่อระยะยาวให้แก่ธุรกิจ (Long term loan to business) ของสถาบันการเงินในจีน ได้ติดลบถึง 26.6% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2012 ที่ผ่านมา
สภาวการณ์ข้าต้น ได้ส่งผลให้ภาวะเงินเฟ้อที่เคยคุกคามเศรษฐกิจจีนติดต่อมาป็นเวลานับปี ได้ผ่อนคลายลงมาก โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ขยายตัวเพียง 2.2% และ 1.8% ตามลำดับในเดือนมิถุนายน และกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่ส่งผลให้ทางการมังกรต้องหาทาง“แก้เกม”ขาลงทางเศรษฐกิจดังกล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น