head ads

วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2556

ยุทธศาสตร์ด้านพลังงานของจีน


ที่มา http://www.cpall.co.th/Blog/Detail/Sompop
        แม้ว่าปัจจุบันจีนยังเป็นผู้บริโภคน้ำมันดิบมากเป็นอันดับที่สองของโลก  โดยเป็นรองสหรัฐฯ ที่แต่ละวันยังเป็นผู้ใช้น้ำมันมากกว่าแดนมังกรนับเท่าตัว

        ภาวการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นและดำรงอยู่ท่ามกลางสภาวะความเป็นจริงที่ว่า เท่าที่เป็นอยู่จีนมีจำนวนประชากรประมาณ 1,350 ล้านคน ขณะที่สหรัฐฯ มี 310 กว่าล้านคน (ในปี 2011)

        นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังมีขนาดของมูลค่า GDP ที่สูงกว่าจีนประมาณหนึ่งเท่าตัว
        ความเป็นจริงดังกล่าว มีส่วนส่งผลให้สหรัฐฯ เป็นผู้บริโภคน้ำมันสูงเป็นอันดับที่ 1 ของโลกอย่างต่อเนื่องกันมาถึงทุกวันนี้  โดยที่ในช่วงก่อนหน้านี้แดนอินทรีเพียงแค่ประเทศเดียวเคยใช้น้ำมันคิดเป็นสัดส่วนเกือบหนึ่งในสี่ของการใช้น้ำมันของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ทั้งๆ ที่สหรัฐฯ มีจำนวนประชากรไม่ถึง 5% ของประชากรรวมทั่วทั้งโลกด้วยซ้ำไป

        แต่การที่จีนยังเป็นประเทศกำลังพัฒนา (Developing country) ที่ประชากรยังมีรายได้ต่อหัวไม่ถึง 5,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี (เทียบกับที่เกือบ 50,000 ดอลลาร์ต่อปีในกรณีของชาวอเมริกัน) และมี GDP ที่คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของ GDP รวมทั่วโลก ขณะที่มีประชากรที่มีสัดส่วนถึง 20% ของประชากรโลกนั้น ได้ส่งผลให้มังกรยังมีโอกาสขยายตัวเติบใหญ่ทางการพัฒนาได้อีกมาก  ถ้าหากว่าจีนได้เดินแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพดังเช่นที่ผ่านมา ที่ทำให้ GDP ขยายตัวในระดับสูงและต่อเนื่องกันมานับทศวรรษ

        เมื่อเป็นเช่นนี้ การสร้างหลักประกันด้านวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้าและบริการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านพลังงาน (Energy assurance) จึงเป็นปัจจัยก่อนหน้า (Pre-requisite) ที่สำคัญยิ่งต่อการสร้างหลักประกันของโอกาสทางการพัฒนาของเศรษฐกิจจีน ให้สามารถก้าวรุดไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน (Sustainable) มากยิ่งขึ้นไปได้

        มีข้อที่น่าสังเกตว่า เท่าที่เป็นอยู่นโยบายต่างประเทศ (Foreign policy) ที่สำคัญยิ่งประการหนึ่งของทางการจีน ก็คือการเพิ่มปฏิสัมพันธ์กับประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติมากๆ (Natural-resource rich countries) ทั้งหลาย  ดังที่ปรากฎออกมาให้เห็นจาก“รูปธรรม”นานัปการ ตัวอย่างเช่น การเดินทางไปเยือนประเทศต่างๆ เหล่านั้น ชนิด“หัวกะไดไม่แห้ง” ของผู้นำจากแดนมังกรในระดับต่างๆ

        เท่าที่เป็นอยู่ จีนมีการบริโภคน้ำมันดิบประมาณวันละ 10 ล้านบาเรล  โดยที่กว่าครึ่งหนึ่งได้มาจากการนำเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากแหล่งอุปทานหลักๆ เช่น ตะวันออกกลาง

        มีแนวโน้มว่า จีนจะไม่เพียงบริโภคน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามลำดับขั้นของการพัฒนาเศรษฐกิจ ที่ยังมีโอกาสขยายตัวประมาณ 7-9% ต่อปี ติดต่อกันไปอีกหลายขวบปี  เพราะเท่าที่เป็นอยู่ขนาดของมูลค่า GDP จีน ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าศักยภาพที่เป็นจริง (Under-potential Growth) เพราะยังมีสัดส่วนของ GDP เพียงประมาณ 10% ของ GDP รวมทั่วทั้งโลก ทั้งๆ ที่มังกรเป็นประเทศขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ประเทศพอๆ กับสหรัฐฯ (ประมาณ 9.6 ล้านตร.กิโลเมตร) และมีประชากรที่มีสัดส่วนถึงประมาณหนึ่งในห้าของประชากรรวมทั่วโลก

        จากการพยากรณ์ (Projection) ของหน่วยงานด้านพลังงานของสหรัฐฯ คือ “The U.S Energy Information Administration” สหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันยังเป็นผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกมีแนว โน้มพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศลดลง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากแหล่งตะวันออกกลางที่ตั้งอยู่ห่างไกลชนิด“ครึ่งค่อนโลก”จากแดนอินทรีในช่วงสองทศวรรษข้างหน้านี้ ที่ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านการลำเลียงขนส่งมากมายในแต่ละปี

        แต่มังกรดูจะมี“ทิศทาง”ไปในลักษณะตรงกันข้ามกัน เพราะจีนมีแนวโน้มที่จะต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันดิบมากยิ่งขึ้น ตามแนวโน้มการขยายตัวของตัวเลข GDP และ“พลวัต”ด้านอื่นๆ ของเศรษฐกิจจีน  ตัวอย่างเช่น การขยายตัวของภาคเมือง (Urbanization) ในภูมิภาคต่างๆ ของจีนที่กำลังเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องเหมือนเช่นแดนอินทรีเมื่อหลายต่อหลายทศวรรษ ก่อน โดยมี“ตัวเร่ง”หลายต่อหลายประการ

        ตัวอย่างเช่น  การมีนโยบายที่ชัดเจนของทางการมังกร ที่ต้องการกระจายโอกาสทาง การพัฒนาไปสู่ภูมิภาค แทนที่จะทำให้ผลพวงทางการพัฒนากระจุกตัวอยู่แถบชายฝั่งทะเล (Coastal areas) เท่านั้น

        เพราะการ“เกลี่ย”ความเจริญทางการพัฒนาไปสู่ภูมิภาค  ไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเท่านั้น หากแต่ยังช่วยลดแรงกดดันทางด้านลบของปัญหาสังคมและการเมืองอีกด้วย

        ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมในช่วงที่ผ่านมาและที่กำลังเป็นอยู่ ทางการมังกรจึงได้ทุ่มเทลงทุนก่อสร้างกิจการสาธารณูปโภคพื้นฐานด้านการขนส่ง (Transportation Infrastructure) ไม่ว่าจะเป็นทางน้ำ ทางอากาศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางบก เช่นระบบรางและระบบถนน ที่มีการขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางในภูมิภาคที่อยู่แถบมณฑลด้านใน (Inner Provinces) ของแดนมังกร

        แนวทางการพัฒนาดังกล่าว ไม่เพียงเพิ่มอุปสงค์ด้านการเดินทางขนส่ง เพื่อสนองตอบต่อพลวัตทางการพัฒนาตามที่กล่าวมาข้างต้นเท่านั้น หากแต่โอกาสทางการพัฒนาดังกล่าว ยังได้     “บ่มเพาะ”ให้จำนวนชนชั้นกลาง(Middle class)ที่มีอำนาจซื้อ ในการ“เข้าถึง”เครื่องอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน  ตัวอย่างเช่น การซื้อหารถยนต์ส่วนตัวมาใช้สอยอีกด้วย

        ผลที่ตามมา ก็คือแนวโน้มการใช้น้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสที่จะแซงหน้าอภิมหาอำนาจหมายเลขที่ 1 ของโลกในอนาคตอันไม่ไกลนี้

        ดังนั้น จีนจึงต้องสร้างหลักประกันทางด้านแหล่งพลังงานของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันดิบที่จีนผลิตได้ไม่เพียงพอภายในประเทศ โดยการนำเข้าเพิ่มมากขึ้น

        แหล่งพลังงานที่มังกรยังจำเป็นต้องพึ่งพาเป็นหลัก ก็คือตะวันออกกลางที่เป็นภูมิภาคที่ป้อนน้ำมันดิบที่ใหญ่โตที่สุดของโลก ทำให้“การทูตน้ำมัน”กลายเป็นนโยบายต่างประเทศที่จีนได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ในการปฏิสัมพันธ์กับประเทศในตะวันออกกลางที่มีน้ำมันมากๆ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นซาอุดิอาระเบีย อิรัก ฯลฯ

        มีข้อที่สังเกตว่า เท่าที่เป็นอยู่ประเทศที่เป็นแหล่งอุปทานน้ำมันขนาดใหญ่หลายๆแห่ง มักเผชิญกับปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองทั้งที่เกิดจากความขัดแย้งภายในประเทศ และการเผชิญหน้ากับมหาอำนาโลก ที่สั่นคลอนเสถียรภาพของแหล่งอุปทานดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น

        ดังนั้น มังกรในฐานะผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ในอันดับต้นๆของโลก  จึงต้องสร้างหลักประกัน ของพลังงานดังกล่าว โดยการกระจายแหล่งรับซื้อไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นจากละตินอเมริกา อัฟริกา ฯลฯ
        “การทูต”ว่าด้วยน้ำมันจึงเป็น“ตัวแปร”สำคัญในการศึกษาติดตามสภาวะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่นับวันจะมีความเข้มข้นและแหลมคมมากขึ้นทุกที

        ในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมา อันเป็นช่วงที่จีนมีการขยายตัวของตัวเลข GDP มากๆ และเติบโตเป็นตัวเลข“สองหลัก”เกือบตลอดในแต่ละปีนั้น มังกรต้องพึ่งพาการนำน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นเป็น เงาตามตัว
        ในปี 2000 อันเป็นปีก่อนหน้าการเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ของจีน (จีนเข้าเป็นสมาชิก “WTO” ในกลางเดือนธันวาคม 2001)  มังกรได้นำเข้าน้ำมันดิบในแต่ละวันประมาณ 2 ล้านบาเรล ขณะที่สหรัฐฯ นำเข้าถึงวันละประมาณ 11 ล้านบาเรล หรือนำเข้ามากกว่าจีน 6-7 เท่าตัว

        ในปี 2000 เดียวกันนั้น ประเทศพัฒนาแล้ว (Developed countries) อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ฯลฯ ต่างนำเข้าน้ำมันดิบในแต่ละวันมากกว่าจีนเป็นอันมาก โดย “EU” นำเข้าน้ำมันวันละเกือบ 10 ล้านบาเรลในแต่ละวัน (ข้อมูลจาก IEA, World Energy Outlook, 2001)

        ในปี 2000 ทั้งจีนและอินเดียต่างนำเข้าน้ำมันดิบในระดับที่ต่ำกว่า 2 ล้านบาเรลต่อวัน ทั้งๆ ที่ทั้งสองประเทศมีจำนวนประชากร คิดเป็นสัดส่วน 20% และ 17% ของโลกตามลำดับ

        แต่พอกาลเวลาล่วงผ่านไปเพียงประมาณหนึ่งทศวรรษคือปี 2010 มังกรก็มีการนำเข้าน้ำมันดิบไปใช้กว่า 4 ล้านบาเรลต่อวัน ขณะที่อินเดียนำเข้ากว่าสองล้านบาเรลต่อวัน

        ในปี 2010 เดียวกันนั้น ทั้งสหรัฐฯ และยุโรปที่มีการนำเข้าน้ำมันมากๆ  ต่างเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น สหรัฐฯ เผชิญกับวิกฤตการณ์ซัปไพร์ม (Subprime crisis) ที่เริ่มประทุขึ้นในปลายปี 2008 ขณะที่ยุโรปก็เผชิญกับปัญหาวิกฤตการณ์ยูโรโซน (Euro Zone Crisis) ที่หนักหน่วงมากยิ่งขึ้น จนกลายเป็นปัญหาที่หนักหน่วงเป็นพิเศษในปี 2011 และ 2012

        ในปี 2010 สหรัฐฯ นำเข้าน้ำมันดิบประมาณวันละ 10 ล้านบาเรล หรือลดลงไป 10% เมื่อเทียบกับปี 2000 ขณะ ขณะที่สหภาพยุโรปนำเข้าเกือบ 10 ล้านบาเรลในแต่ละวันซึ่งไม่ค่อยแตกต่างไปจากปี 2000 นัก  ขณะที่ญี่ปุ่นนำเข้าประมาณวันละ 4 ล้านบาเรล ซึ่งน้อยกว่าการนำเข้าของจีนที่นำเข้าวันละกว่า 4 ล้านบาเรล
        “IEA” ได้คาดการณ์ต่อไปว่า ในช่วงเวลาประมาณสองทศวรรษข้างหน้านี้คือในปี 2035 มังกรจะกลายเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมันดิบมากที่สุดในโลก โดยจะนำเข้ากว่า 12 ล้านบาเรลต่อวัน ขณะที่สหรัฐฯ นำเข้าเพียง 6 ล้านบาเรลในแต่ละวัน หรือนำเข้าลดลงไปเกือบครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับปี 2010
       
        ในปี 2035  อินเดียจะนำเข้าน้ำมันดิบกว่า 6 ล้านบาเรลต่อวัน ซึ่งเป็นปริมาณการนำเข้าที่มากกว่าสหรัฐฯ ขณะที่สหภาพยุโรปจะนำเข้ากว่า 8 ล้านบาเรลต่อวัน ส่วนประเทศที่จะนำเข้าน้ำมัน ดิบลดลงมากก็คือญี่ปุ่น ที่จะนำเข้าเพียง 3 ล้านบาเรลเศษในแต่ละวัน

        แต่ตัวเลขข้างต้นก็อาจจะคลาดเคลื่อนไปได้บ้าง เมื่อพิจารณาจากข้อจำกัดของแหล่งพลังงานอื่นๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลังงานนิวเคลียร์ที่หลายๆ ประเทศมีการพึ่งพามากๆ ตัวอย่างเช่นญี่ปุ่น ที่ปัจจุบันเผชิญกับปัญหาแหล่งพลังงานจากนิวเคลียร์มาก ภายหลังการเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 2011 ที่กระทบต่อตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่ฟูกูชิมา ที่สร้างความหวาดหวั่นให้แก่ซามูไรชนเป็นอย่างมาก จนต้องหาแหล่งพลังงานอื่นๆ มาทดแทนเพิ่มมากขึ้น

        จากข้อมูลที่แสดงมาคร่าวๆ ข้างต้น ทำให้เห็นว่าจีนจะกลายเป็นประเทศที่จะต้องดิ้นรนหาแหล่งพลังงานจากต่างประเทศเป็นอันมาก และจะกลายเป็น“การบ้าน”ข้อใหญ่ที่ทางการมังกรจะต้อง“ตีโจทย์”ให้ “แตก”

        เท่าที่เป็นอยู่  จีน นำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางประมาณครึ่งหนึ่งของการนำในแต่ละวัน ขณะที่มีภาคตะวันออกกลางเอง ดูจะมีความไม่แน่นอน (Uncertainties) เพิ่มมากขึ้นในหลายๆ ด้าน  ไม่ว่าจะเป็นแหล่งอุปทานด้านน้ำมันเองที่นับวันจะร่อยหรอลง หรือปัญหาความผันผวนแกว่งไกวของเศรษฐกิจการเมือง สังคม และความมั่นคง ที่ทำให้ยากต่อการคาดเดาเหตุการณ์ในอนาคตได้

        ดังนั้น แม้ว่าตะวันออกกลางยังเป็นแหล่งที่จีนจะต้องพึ่งพาด้านพลังงานอีกยาวนาน แต่มังกรก็พยายามกระจายแหล่งรับซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจากภูมิภาคอื่นๆ ของโลก

        ตัวอย่างเช่น ในช่วงระหว่างปี 2009-2011 ที่ผ่านมา จีนได้นำเข้าน้ำมันดิบจากประเทศเวเนซุเอลามากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว โดยนำเข้าจากประเทศดังกล่าวเป็นกว่า 230,000 บาเรลต่อวัน

        อย่างไรก็ตาม แหล่งตะวันออกกลางยังเป็นแหล่งอุปทานหลักของน้ำมันดิบที่จีนซื้อ โดยในปี 2011 ที่ผ่านมา มังกรได้ซื้อนำมันดิบจากซาอุดิอาระเบียถึงวันละประมาณ 1.01 ล้านบาเรล (WSJ.com, China Realtime Report, June 27, 2012)

        มีข้อที่น่าสังเกตว่า  ยิ่งอิหร่านซึ่งเป็นผู้ขายน้ำมันรายสำคัญนั้นเผชิญกับปัญหาแรงกดดันจากอภิมหาอำนาจตะวันตกมากยิ่งขึ้น จีนที่แม้ว่าจะมีการลงทุนในแหล่งน้ำมันในอิหร่านมากๆ ก็ยิ่งต้องหาแหล่งสำรองน้ำมันอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจากประเทศในตะวันออกกลางเอง หรืออาณาบริเวณอื่นๆ ตัวอย่างเช่น จากเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นอาณาบริเวณทะเลจีนใต้ พม่า ฯลฯ

        ไม่เพียงเท่านั้น มังกรยังแสวงหาทางเลือกอื่นๆ ในการลำเลียงขนส่งน้ำมันากแหล่งอุปทานหลักเช่นตะวันออกกลางเข้าสู่แดนมังกร แทนที่จะมุ่งขนส่งผ่านช่องแคบมะละกา อันเป็นเส้นทางขนส่งหลักของน้ำมันจากตะวันออกกลางไปยังประเทศริมฝั่งทะเลแปซิฟิก ที่“อุดม”ไปด้วยกองกำลังนาวีของเหล่าบรรดาอภิมหาอำนาจและมหาอำนาจโลก ที่มีเรือรบทั้งบนน้ำและใต้น้ำแล่นกันขวักไขว่ในอาณาบริเวณดังกล่าว และอาณาบริเวณใกล้เคียง

        ตัวอย่างเช่น การขนส่งน้ำมันดิบผ่านระบบท่อจากแถบมหาสมุทรอินเดียผ่าน”แดนโสร่ง”เข้าสู่อาณาบริเวณด้านตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ฯลฯ

        กล่าวได้ว่า “น้ำมัน”และแหล่งพลังงานอื่นๆ  คือปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การกำหนดนโยบายและมาตรการด้านต่างประเทศและความมั่นคงของประเทศต่างๆ  ที่ทำให้ความขัดแย้งระหว่างประเทศเต็มไปด้วยความซับซ้อนซ่อนเงื่อนและไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ง่ายๆ

        เมื่อเป็นเช่นนี้ “การทูตพลังงาน”จึงเป็นหัวข้อที่จีนให้ความสำคัญ และจะต้องวิเคราะห์ลึกและ“ตีโจทย์”ดังกล่าวให้แตก เพื่อนำไปสู่การกำหนดนโยบายต่างประเทศทั้งในระดับประเทศเอง และระดับภูมิภาค ตัวอย่างเช่น การกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องของกลุ่มอาเซียนบนเส้นทางที่มุ่งสู่การเป็นประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ที่จะมีความครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้นในอีกไม่กี่ขวบปีข้างหน้านี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น