head ads

วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2556

การไปออกลงทุนยังต่างประเทศของจีน ตอน 1


ที่มาhttp://www.cpall.co.th/Blog/Detail/Sompop
มีนักเศรษฐศาสตร์บางท่านตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ถ้าประเทศใดประเทศหนึ่งมีพัฒนาการทางเศรษฐกิจ จนกระทั่งรายได้เฉลี่ยต่อคนของประชากร“ทะลุ” 5,000 ดอลลาร์ต่อปีขึ้นไป ประเทศนั้นๆ ก็จะมีโอกาสและความสามารถในการออกไปลงทุนยังต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นมากและอย่างรวดเร็ว
        ประเทศยักษ์ใหญ่ที่มีขนาดประชากรมากที่สุดในโลกเช่นจีน ก็ได้มาถึงจุดนั้นแล้วในปัจจุบัน เพราะการลงทุนยังต่างประเทศของมังกรได้ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโดยตรง (Outbound Direct Investment – ODI) หรือการลงทุนในภาคการเงิน (Finance related Investment – FRI)

        แม้ว่าปัจจุบัน จีนได้เผชิญกับกับสภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ อันเป็น“โรค”เดียวกับที่เกิดขึ้นกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก อันพิจารณาได้จากแนวโน้มการขยายตัวของ GDP ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2012 ที่ผ่านมา โดยที่ในไตรมาสแรกและไตรมาสที่สอง GDP ได้ขยายตัว“เพียง” 8.1% และ 7.6% ตามลำดับ

        ตัวเลข“ขนาด” การขยายตัวของ GDP ดังกล่าว ถ้าเป็นประเทศอื่นๆก็คงจะตบมือเปล่งเสียงไชโยโห่ฮิ้วกันลั่นเมืองลั่นแผ่นดินกันไปแล้ว เพราะประเทศส่วนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว (Advanced Economies) ทั้งหลาย ไม่เพียงมีแนวโน้มการขยายตัวของ GDP ชนิดต่ำเตี้ยเรี่ยดินเท่านั้น หลายๆประเทศยังเผชิญปัญหากับการ“ติดลบ”ของตัวเลขดังกล่าว ตัวอย่างเช่น ประเทศในยูโรโซนที่กำลัง“ร่อแร่” และไม่รู้ว่าจะ“ออกหัว” หรือ“ออกก้อย”ในอนาคตอันไม่ไกลข้างหน้านี้

        ดูประหนึ่งว่า โอกาสในการ“ออกก้อย”คือการที่บางประเทศสมาชิกของยูโรโซนที่มีอยู่รวมทั้งหมด 17 ประเทศ อาจจะไม่สามารถดำรงตนอยู่ในยูโรโซนภายใต้การใช้ระบบเงินตราสกุลเดียวกัน(Single currency) ได้อีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาประเทศแถบยุโรปใต้ และประเทศเล็กประเทศน้อย ที่ยังมีระดับขั้นทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่แตกต่างกว่าประเทศแถบฝั่งเหนือ เช่นเยอรมันนี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ฯลฯ เป็นอันมาก

        แต่ทันทีที่ GDP ของแดนมังกร ขยายตัวในระดับต่ำกว่า 9% ต่อปี อาการตื่นตระหนกก็ได้เกิดขึ้นทั่วโลก แม้ว่าการขยายตัวของ GDP ในอัตราไม่ต่ำกว่า 7-8 % ต่อปีเป็นระดับที่สูงมาก ชนิดที่ประเทศมากมายทั่วโลกต่างใฝ่ฝันที่จะมีการเติบโตในอัตราดังกล่าว

        มีมูลเหตุหลายประการที่ส่งผลให้ประชากรเศรษฐกิจโลก“คาดหวัง”กับจีนไว้มากในปัจจุบัน

        ประการแรกๆ เกิดจากการที่ประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆไม่ว่าจะเป็นทางฟากฝั่งตะวันตก   เช่นสหรัฐฯและยุโรป หรือฝั่งตะวันออกเช่นญี่ปุ่น ต่างตกอยู่ในสภาวะซบเซาเสื่อมถอยทางการพัฒนา อันมีเหตุผลสำคัญประการหนึ่งก็คือ“วัย”ทางเศรษฐกิจที่“ชราภาพ”ลงตามการล่วงผ่านของกาลเวลา เพราะประเทศต่างๆ ข้างต้นได้ “เดินทาง”ทางการพัฒนามาแล้วเนิ่นนาน นับเป็นเวลานับศตวรรษๆ จนมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าศักยภาพที่เป็นจริง (Over-potential growth) ไปแล้วเป็นอันมาก

        ตัวอย่างเช่น การที่สหภาพยุโรปที่มีขนาดของมูลค่า GDP กว่าหนึ่งในสี่ของ GDP รวมทั่วโลก แต่มีประชากรเพียงประมาณ 540 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นเพียง 7-8% ชองประชากรรวมทั่วทั้งโลกที่มีประมาณ 7,000 ล้านคน (นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2011 เป็นต้นมา โลกมีประชากร“ทะลุ” 7,000 ล้านคน)

        ทั้งนี้เป็นเพราะสหภาพยุโรปที่นำโดยอังกฤษได้มีการพัฒนาเศรษฐกิจมากๆ และกลาย เป็นผู้นำโลกตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา เมื่อการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial revolution) โดยการนำของ“เมืองผู้ดี”ได้เริ่มสุกงอมและปริดอกออกผลเต็มที่

        เมื่ออังกฤษเริ่มร่วงโรยลงในต้นศตวรรษที่ 20 สหรัฐอเมริกาที่มีเชื้อสายประชากรส่วนใหญ่ที่อพยพข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกจากยุโรป ก็“รับไม้”ต่อกลายเป็นอภิมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกแทนมาจนถึงปัจจุบัน ที่ส่งผลให้แดนอินทรีมีขนาดของมูลค่า GDP เกือบหนึ่งในสี่ของ GDP โลก ทั้งๆ ที่มีประชากรเพียง 310 กว่าล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 5% ของประชากรรวมทั่วทั้งโลก และได้ผ่านเลยการพัฒนาในระดับสูงมากๆ เป็นระยะเวลาติดต่อกันมาแล้วนับศตวรรษ

        ส่วนญี่ปุ่นเองนั้น พัฒนาการทางเศรษฐกิจสมัยใหม่ (Modern economic development) ก็ได้เริ่ม“เปิดฉาก”ขึ้นนับตั้งแต่ต้นสมัยเมจิ (Meiji) เป็นต้นมา ที่แดนซามูไรได้เปิดตัวเองออกปฏิสัมพันธ์กับประชาคมโลกอย่างเต็มที่ ภายหลังจากที่“ขัง”ตัวเองอยู่ในดงซากุระติดต่อกันมาหลายศตวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งญี่ปุ่นภายใต้การปกครองของ“โชกุน” ตระกูลโตกุกาวานับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา ภายหลังจากที่อิเอยะสุ โตกูกาวา ผู้เป็นต้นตระกูลได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น“โชกุน”คนแรกในปลายรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นต้นมา

        กว่า 2  ศตวรรษที่ตระกูลโตกูกาวาเป็นผู้นำในการปกรองแดนซามูไร ญี่ปุ่นได้ปิดตัวเองจากโลกภายนอก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งความระแวดระวังในการปฏิสัมพันธ์กับชาติตะวันตกทั้งหลายที่มีเพียงประเทศเล็กๆ เช่นฮอลันดา หรือเนเธอร์แลนด์เท่านั้น  ที่ได้“ไฟเขียว”จากผู้ปกครองประเทศเข้าไปค้าขายกับญี่ปุ่น โดยมีการจัดตั้งสถานีการค้าที่นางาซากิ

        การรับวิทยาการสมัยใหม่จากตะวันตกในช่วงปลายทศวรรษที่ 1860’s เมื่อจักรพรรดิเมจิ กลับขึ้นปกครองประเทศด้วยระบบจักรพรรดิแทนที่ระบบโชกุน ได้ส่งผลให้แดนซามูไรสามารถพุ่งทะยานทางการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ญี่ปุ่นเรียนรู้จากตะวันตกไม่ว่าจะเป็นทางฟากฝั่งยุโรป (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยอรมันนี) หรือสหรัฐฯ ฯลฯ แล้วนำมา“ต่อยอด” ที่ส่งผลให้ญี่ปุ่นสามารถพัฒนาเศรษฐกิจของตนให้ขยายตัวเติบใหญ่ จนมีระดับขั้นทาง การพัฒนาที่“ไล่กวด”หลังประเทศตะวันตกที่พัฒนารุดหน้าไปก่อนได้

        ระดับขั้นทางการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของญี่ปุ่น ไม่ได้ปรากฎตัวออกมาให้เห็นเฉพาะความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ เช่นการขยายตัวของการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น หากแต่ยังเผยออกมาให้เห็นจากพัฒนาการของเทคโนโลยีด้านความมั่นคง ที่ส่งผลให้ซามูไรสามารถสร้างเครื่องบินรบ เพื่อใช้ทำสงครามโลกกับประเทศตะวันตกที่เป็นผู้นำโลกอยู่ในขณะนั้นได้

        แม้ว่าญี่ปุ่นต้องพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สองอย่างบอบช้ำ เพราะต้องเผชิญกับพิษสงของระเบิดปรมาณูถึงสองลูกติดต่อกันที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิบนเกาะกิวชิวในเดือนสิงหาคม 1945 โดยที่สัประยุทธ์ในมหาสงครามโหดดังกล่าว ก็ได้คร่าชีวิตหน่อเนื้อชาวซากุระทั้งที่เป็นทหารและพลเรือนไปหลายล้านคน แต่ด้วยฐานรากขององค์ความรู้ (knowledge) ภูมิปัญญา (Wisdom) ของญี่ปุ่นที่ได้สั่งสมมายาวนานนับศตวรรษในช่วงก่อนสงคราม รวมตลอดถึงจิตวิญญานของความเป็นคนญี่ปุ่นเอง “ซามูไร”ก็สามารถผงาดตัวด้านการพัฒนาเศรษฐกิจขึ้นมาอย่างรวดเร็วชนิดน่ามหัศจรรย์ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น