ที่มา http://www.cpall.co.th/Blog/Detail/Sompop
เมื่อได้ US$ ประเทศข้างต้นก็จะทำหน้าที่ “Dollarize” โดยการทำให้ US$ แผ่กระจายไปทั่วโลก เช่นนำไปซื้อสินค้า ลงทุน ฯลฯ
ผลที่ตามมาก็คือ การทำให้ US$ กลายเป็นเงินตราสกุลโลก (Global Key Currency) มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม จนยากที่จะมีเงินตราสกุลอื่นมาเทียบเคียงหรือแข่งขันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินหยวนของจีนที่หวังจะ “โกอินเตอร์” โดยการบริหารจัดการแบบ“ทวิภาคี” เช่นที่เป็นอยู่
การที่จีนเกรงว่า ค่าเงินหยวนของตนจะถูกโจมตี จึงยังคง“ปิด”ตลาดเงินตราของตน โดยยังไม่ยอมเปิดเสรีบัญชีทุน (Capital account) เพื่อให้ต่างชาติสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินหยวนได้อย่างเสรี
จีนเลือกที่ทำ“Swap”ค่าหยวนของตนกับเงินตราสกุลอื่นแบบทวิภาคี(Bilateral agreement) เช่น การตั้งวงเงินเพื่อแลกเปลี่ยนเงินตราของตนกับประเทศอื่นๆ ตามวงเงินที่ได้ตกลงกันไว้ ซึ่งจะดำเนินไปได้เชื่องช้ากว่ามาก
ในทางตรงกันข้าม เมื่อได้ US$ เก็บเข้าสู่ทุนสำรองต่างประเทศ (Foreign reserves) ของตนเองมากๆ ผู้ที่เก็บ US$ ตัวอย่างเช่น จีน (ที่มีสำรอง US$ มากที่สุด) ก็ต้องหาทางนำ US$ เหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ เพราะการเก็บ US$ ไว้มากๆ และนานๆ ก็อาจนำมาซึ่งความสุ่มเสี่ยงต่อการถือดอลลาร์เอาไว้มากๆ และนานๆ ดังกล่าว
ยิ่งสหรัฐฯ ดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (Expansionary Monetary Policy) มากๆ และนานๆ ตัวอย่างเช่นมาตรการ “Q.E” ก็ยิ่งส่งผลให้อุปทานของ US$ ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นมากๆ และอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเพิ่มความสุ่มเสี่ยงต่อการถือดอลลาร์เอาไว้มากๆ และนานๆ ดังกล่าวยิ่งขึ้นไปอีก
ดังนั้น ประเทศที่เก็บดอลลาร์มากๆ ตัวอย่างเช่นจีน จึงต้องนำดอลลาร์ดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ยังนอกประเทศ เพราะถ้าใช้ประโยชน์ภายในประเทศ ก็อาจทำให้อุปทานของเงินหยวนเพิ่มสูงขึ้น อันอาจนำไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อได้
การ“พา”เงินดอลลาร์ออกไปใช้ประโยน์ยังต่างประเทศ เช่น การลงทุนยังต่างประเทศ ฯลฯ ก็เท่ากับการเพิ่มความเป็น“สากล”ยิ่งขึ้นให้แก่เงินดอลลาร์ และส่งผลให้ US$ แผ่กระจายไปทั่วโลก
ปฏิบัติการดังกล่าว จะยิ่งสร้างความคล่องตัวและความ“ย่ามใจ”ให้แก่สหรัฐฯ ในการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเช่น มาตรการ “Q.E” ต่อไปอีก และเท่ากับเป็นการ“ต่ออายุ”ให้แก่มาตรการ “Q.E”ดังกล่าว ที่สร้างผลประโยชน์ให้แก่สหรัฐฯ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และทั้งในทางตรงและทางงอ้อมอย่างต่อเนื่องกันไป
ในช่วงระยะสั้นนั้น มาตรการ “Q.E” โดยการที่ธนาคารกลาง (The Federal Reserve) ของสหรัฐฯ ได้อัดฉีดเงินออกมาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น ในกรณี “Q.E3”นั้น ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแผนที่จะ“ปั๊ม”เงินออกมาเรื่อยๆ จนกว่าการว่างงานในสหรัฐฯ จะลดลงในระดับที่น่าพอใจ
ดังนั้น ในช่วงระยะสั้น มาตรการ “Q.E”ดังกล่าว จึงมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านตัวทวีคูณ (Multiplier effects) ที่จะตามมาจากการกระตุ้นกิจการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์
ตัวอย่างเช่น เมื่อราคาอสังหาริมทรัพย์ขยับตัวเพิ่มสูงขึ้นภายหลังจากที่ตกต่ำมาตั้งแต่ตอนเกิดวิกฤตการณ์ซัปไพร์ม (Subppirme crisis) ก็จะส่งผลให้ความมั่งคั่ง (wealth) ของชาวอเมริกันเพิ่มขึ้น ซึ่งก็หมายถึงการเพิ่มโอกาสในการจับจ่ายใช้สอยเพื่อการบริโภค(Consumption) ในแดนอินทรี ซึ่งเป็น “ตัวแปร”ที่สำคัญมากๆ ในการกระตุ้น GDP ที่เซื่องซึมหงอยเหงามานานปีให้มีโอกาสที่จะกระฉับกระเฉงยิ่งขึ้น
การฟื้นตัวของอสังหาริมทรัพย์ ยังช่วยเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจการก่อสร้างและกิจการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์อื่นๆขยับขยายตัวตาม ซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มโอกาสในการจ้างงาน (Employment opportunity) เพื่อลดแรงคุกคามของปัญหาการว่างงานอันสูงลิบลิ่วคือเกือบ 10% ในช่วงหลังวิกฤตการณ์ซัปไพรม์ ให้มีโอกาสกระเตื้องตัวขึ้น ภายหลังจากที่สหรัฐฯ ต้อง“ติดกับ”ปัญหาดังกล่าวมาเนิ่นนานปี
มาตรการ “Q.E” ที่สาด“กระสุน”การเงินออกมาอย่างต่อเนื่องนั้น ยังมีส่วนช่วยกระตุ้นภาคการเงินอันเป็น“องคาพยพ”สำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้คึกคักกระฉับกระเฉงมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะผ่านตลาดเงิน (Money market) และตลาดทุน (Capital markets) โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหุ้นที่มีขนาดของมูลค่าตลาด (Market Capitalization)อันมหาศาล เช่นของสหรัฐฯ อันจะมีผลช่วยนำพา GDP ของแดนอินทรีให้กระเตืองตัวยิ่งขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม ปริมาณเงิน (Money supply) อันมากมายที่ถูก“ปั๊ม”ออกมาจากนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่ผ่อนคลายมากๆ (Mega Expansionary Macro-economic Policy) อาจจะถูกดูดซับ (Absorption) ไม่ได้หมดโดยเศรษฐกิจของสหรัฐฯเอง ส่งผลให้บางส่วนของปริมาณเงินมูลค่ามหาศาลเหล่านั้น ถูกยักย้ายถ่ายเทออกไปหาประโยชน์จากเศรษฐกิจโลก ก่อให้เกิดขบวนการไหลออกของเงินทุน (Capital outflows) จากสหรัฐฯมากมาย
ประเทศใดที่มีความน่าเชื่อถือกว่า เงินทุนอันมหาศาลดังกล่าว ก็มีโอกาสที่จะไหลเข้าไปมากยิ่งขึ้น อันจะมีผลทำให้เงินตราสกุลท้องถิ่น (Local currencies) ของประเทศเหล่านั้น มีโอกาสที่ขยับตัวแข็งค่ามากขึ้น ซึ่งอาจสร้างความกริ่งเกรงแก่ประเทศเหล่านั้นในด้านผลกระทบด้านลบที่จะตามมา เช่นการทำให้ส่งออกได้ยากขึ้นเพราะการแข็งตัวของค่าเงิน ส่งผลให้ประเทศเหล่านั้น ต้องแทรกแซงตลาดอัตราแลกเปลี่ยนโดยปฏิบัติการ“เกลือจิ้มเกลือ” ซึ่งก็คือการ“ปั๊ม”เงินตราสกุลท้องถิ่นออกมาไล่ซื้อดอลลาร์สหรัฐฯมาเก็บเอาไว้ เพื่อลดทอนแรงกดดันต่อค่าเงินของตน แล้วค่อยหาทาง“รีไซเคิล”(Recycle) ดอลลาร์เหล่านั้นออกไปหาประโยชน์ในต่างประเทศ
ผลที่ตามมา ก็คือขบวนการแผ่สยายบทบาทของดอลลาร์สหรัฐฯหรือการเกิด “Dollarization” ทำให้เงินดอลลาร์กระจายตัวออกไปอย่างกว้างขวางทั่วโลก โดยในที่สุดเงินดอลลาร์เหล่านั้นก็จะกลายเป็น “สินทรัพย์”ในรูปแบบต่างๆ ในประเทศที่มีดอลลาร์ไหลเข้าไปเหล่านั้น
ประเทศที่จะมีบทบาทสำคัญมากๆ ในการ“พา”ดอลลาร์สหรัฐฯออกไปท่อง“ยุทธจักร”เศรษฐกิจโลก และเร่งกระแส “Dollarization” ก็คือจีนนั่นเอง เพราะ“มังกร”เป็นประเทศที่มีดอลลาร์เก็บสะสมไว้เป็น“ฟ่อนๆ”และมากกว่าประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะดูจากทุนสำรองระหว่างประเทศที่ธนาคารกลางจีน (The People’s Bank of China) หรือเงินดอลลาร์ที่บรรดาวิสาหกิจอุตสาหกรรมจีน รวมตลอดถึงรัฐบาลแดนมังกรเอง ที่ได้เก็บสะสมเอาไว้เป็นอันมาก
เมื่อดอลลาร์สหรัฐฯ กลายเป็นเงินตราสกุลหลักและแทบจะเงินตราสกุลหลักสกุลเดียวในโลก ก็จะยิ่งเกิดประโยชน์แก่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในอนาคต และส่งผลให้ “Wall Street” ของแดนอินทรี ยิ่งเพิ่มบทบาทของการเป็น“เมืองหลวง” หรือศูนย์กลางของภาคการเงินโลกมากยิ่งขึ้นไปอีก ส่งผลให้ ”ลุงแซม” สามารถแสวงหาประโยชน์จากระบบการเงินโลกได้มากยิ่งขึ้นไป
ไม่เพียงเท่านั้น ประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่มีดอลลาร์สหรัฐฯ เก็บเอาไว้มากๆ ไม่ว่าจะเป็นดอลลาร์ที่ได้จากการเข้ามาลงทุนของต่างประเทศ เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ การส่งออกที่มีมากกว่าการนำเข้า การเข้ามาใช้บริการของภาคบริการ (Service sectors) ต่างๆ เช่นการท่องเที่ยว ฯลฯ ดอลลาร์เหล่านั้นก็จะกลายเป็น“สินทรัพย์”ที่สำคัญของประเทศ ที่ทำให้ประเทศต่างๆเหล่านั้น ต้องหา ทางปกปักรักษามูลค่าของสินทรัพย์ (Assets value) ของตน ซึ่งก็เท่ากับการปกปักรักษาค่าและบทบาทของดอลลาร์สหรัฐฯ โดยทางอ้อมนั่นเอง
ในที่สุดดอลลาร์สหรัฐฯที่มีจำนวนมาก และเก็บอยู่ในทุนสำรองต่างประเทศ (Foreign reserves) ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ก็จะต้องถูกนำมาใช้แสวงหาผลประโยชน์
ตัวอย่างเช่น การนำบางส่วน “Recycle” กลับไปลงทุนในตลาดเงิน (Money market) และตลาดทุน (Capital market) ของสหรัฐฯ ผ่านบรรดาผู้จัดการกองทุน (Fund managers) ที่รวมศูนย์อยู่ใน “Wall Street”เอง ที่ส่งผลให้แดนอินทรีสามารถแสวงหาผลประโยชน์จากภาคการเงิน (Financial sector)มากยิ่งขึ้น แม้ว่าภาคเศรษฐกิจจริง(Real sector) ของตนจะมีความอ่อนแอและขาดขีดความ สามารถทางการแข่งขันก็ตาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น